ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)

8.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.

  123 บท
  32 วิจารณ์
  113.66K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

11) บทที่ ๑๑: ความอิจฉาของวิญญาณที่ถูกทอดทิ้ง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
บทที่ ๑๑
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
ความอิจฉาของวิญญาณที่ถูกทอดทิ้ง
                ทุกคนวิ่งมาถึงตรงลำธารพบกับร่างสองร่างกำลังกำลังหลบหลีกและขว้างอาวุธโจมตีใส่ร่างโปร่งแสงที่บิดเบี้ยว อรัญญิกไม่รอช้านางท่องคาถาอัญเชิญดาบที่ใช้ในวิชาดาบอาทมาฏนางจับดาบเข้าฟาดฟันกับวิญญาณไร้เลือดเนื้อแต่กระนั้นก็สามารถทำให้มันเจ็บปวดได้เพราะนางลงอาคมไว้แล้ว วิญญาณตนนั้นเป็นหญิงสาวที่มีรอยแผลที่หน้าอกตรงกลางคาดว่าใช้ของมีคมแทงจนตัวตาย
                แรงอาฆาตที่จองล้างจองผลาญทำให้มันมีพลังวิญญาณสูงขึ้น อรัญญิกคาดว่าเป็นเพราะชายคนรักของวิญญาณตนนี้ทำให้วิญญาณเคียดแค้น
                …ความรัก… อย่างนั้นฤๅ
                “บ้าน่าดู วิญญาณตนนี้” เด็กหญิงสวมชุดสีแดงนามโอเฟเลียพึมพำ เด็กชายชาวชิลีนามเซอาห์พยักหน้าเห็นด้วย เด็กชายสวมแว่นนามโซค่อนยกมุมปากแล้วเอ่ย
                “สงสัยอกหักมั้งเลยคลั่ง”
                “อกหักอย่างนั้นเหรอ?” ศรีถามขึ้นในขณะที่กำลังถือพระขรรค์เตรียมตั้งรับเธอเองก็ใช้อาคมเป็นเหมือนกัน โซค่อนหัวเราะพลางมองอรัญญิกและคนอื่นๆ ต่อสู้ไปด้วย
                “ใช่แล้วล่ะ ฆ่าตัวตายเพราะเรื่องแบบนี้ข้าเห็นจนเอียนแล้วล่ะ น่าเบื่อจะตาย”
                “นั่นสินะ…” ศรีหลุบตาพูดเบาๆ เธอไม่อาจสามารถพูดอะไรได้ไปมากกว่านี้
                คนเราล้วนแต่เจอเรื่องโหดร้ายและความเศร้าจนมันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกจนกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อ
                ธันนะมองเพื่อนๆ กำลังสนทนากันโดยที่จับจ้องศรีมากกว่าใคร ร่างบางนั้นเขาไม่อาจละสายตาจากได้…
                “เหตุใดเจ้าจึงทำร้ายผู้อื่น” ซอถามวิญญาณด้วยเสียงเรียบ มันจ้องมองนางอย่างโกรธเคือง ใบหน้าที่บิดเบี้ยวและมีเส้นเลือดผุดประปรายนั่นย่นอย่างน่ากลัว มันไม่ตอบแต่ด่านาง
                “แกไม่จำเป็นต้องรู้! ตายซะเถอะ!!” จอบที่วางอยู่ใต้ต้นไม้ขึ้นสนิมเขรอะเหม็นแห้งนั้นลอยขึ้นหวดปลายเข้าใส่นางแต่ซอก็ใช้ซอสามสายรับ หากใช้มันต่อสู้ก็จะดูเหมือนเป็นการลบหลู่ดนตรีเว้นแต่เฉพาะยามคับขันเท่านั้นที่นางจะใช้มันต่อสู้
                แต่จนแล้วจนรอดมันก็เฉือนเนื้อนางเกิดรอยแผลที่ของเหลวสีแดงสาดกระเซ็นลอยว่อนเป็นประกายเพราะแสงจันทร์ วิญญาณตนนั้นแสยะยิ้มปากกว้างน่าสยองราวกับกระหายเลือด
                อรัญญิกวิ่งมายืนเบื้องหน้าซอแล้วใช้ดาบฟันวิญญาณ ส่วนศรีก็ใช้พระขรรค์แทงเข้าไปอีกที
                จู่ๆ วิญญาณก็หายไป ทุกคนตะลึงเมื่อตั้งสติได้จึงสอดส่องสายตาหามัน ไม่มีใครสังเกตว่าใต้เท้าธันนะเกิดเสียงดินกำลังขุดๆ จนกระทั่งมีมือขาวซีดจับข้อเท้าธันนะจากใต้ดินแล้วออกแรงดึงตัวเขาให้กระเด็นไปไกล
                ศรีวิ่งอย่างว่องไวด้วยท่าทีเป็นกังวลไปหาธันนะซึ่งกำลังนอนแผ่กระอักเลือด เธอถามอย่างเป็นห่วง
                “ธันนะ เป็นอะไรมั้ย?”
                “ไม่…”
                “พักเถอะ เดี่ยวฉันกับทุกคนจัดการเอง”
                “เธอมีอาคมเหมือนพวกที่เหลือเรอะ?” ธันนะถาม ศรีพยักหน้า “ก็พอมีน่ะ คนในตระกูลฉันจะต้องฝึกไสยศาสตร์กัน แต่ฉันเองก็รู้ไม่มากหรอก”
                “แล้วจะสู้ทั้งอย่างนั้นเนี่ยนะ?”
                “อืม… อย่าห่วงไปเลย”
                “ใครว่าห่วงล่ะ” ธันนะเบือนหน้าหนี ศรีอมยิ้มกับท่าทีนั้นพลางใช้ปลายนิ้วไล้แก้มเขาเบาๆ
                ผิวนุ่มดีแฮะ
                เธอคิดก่อนจะลุกขึ้นยืนพร้อมรอยยิ้มเมื่อสายตาเหลือบเห็นวิญญาณเธอก็ขมวดคิ้ว …ไม่สิ มันไม่ใช่วิญญาณแล้วมันกลายเป็นผีที่มีเลือดเนื้อดูท่าว่ามันจะสิงร่างศพตนเองชั่วคราว
                ถ้าอย่างนั้นก็จัดการได้ง่ายหน่อย
                ขนมชั้นหยิบมีดรูปร่างแปลกประหลาดออกมาใส่พลังวิญญาณธาตุไฟลงไปด้วย มันทำให้นึกถึงตอนนั้นที่เขาต่อสู้กับวิญญาณ ณ ที่บ้านของศรี ขนมชั้นมองไปทางเฉาก๊วยก่อนจะเดินไปหาแล้วกระซิบ
                “ผีที่บ้านศรีกำจัดยากจริงๆ ถ้าตอนนั้นเจ้ามาด้วยมันอาจจะง่ายขึ้นน่ะ”
                “นั่นสินะ ขอโทษ เรื่องนี้ไว้คุยทีหลังก็แล้วกัน” พร้อมกับที่เฉาก๊วยกล่าว ขนมชั้นก้มลงไปวาดมีดบนพื้นเกิดเป็นเพลิงที่ประกายแสงในความมืด เด็กชายแสยะยิ้ม “เป็นไงล่ะ วิธีนี้ข้าก็ใช้เมื่อครั้นไปบ้านศรีนะ”
                ศรีเพิ่งสังเกตว่าขนมชั้นปรายตามาทางเธอแล้วพูดโดยที่เธอไม่ได้ยินเพราะทั้งสองยืนไม่ใกล้แถมเสียงอาวุธฟาดฟันดังกลบเสียงหมด
                พวกเขาคุยเรื่องอะไรกัน
                “ฟ่ะ ไฟ!”
                ผีคนเป็นผุดสีหน้าหวาดกลัว ไฟของขนมชั้นเป็นไฟอาคมที่สามารถควบคุมให้ไปตามทิศทางที่เขาต้องการ เหยื่อของไฟไม่มีทางหนีพ้นมันลากเป็นเส้นตรงออกจากวงไปทางมันก่อนจะล้อมไว้อย่างรวดเร็ว ไฟลุกโชนเป็นกำแพงปิดกั้นมันออกจากภายนอก ผิวเนื้อเริ่มลอกออกจนเริ่มเห็นกระดูกความร้อนราวกับไฟอเวจีนั้นทำให้ผีคนเป็นอยากร่ำไห้ วิญญาณเริ่มสลายอย่างช้าๆ
                ดอกเข็มมองภาพนั้นก่อนจะตะโกนถาม
                “เจ้ามาทำร้ายข้าทำไม ข้ายังไม่ได้ทำอะไรให้เจ้าเลยนะ!”
                “…แกไม่จำเป็นต้องรู้” ผีคนเป็นเอ่ยเสียงแหบแหลมราวกับผีเปรตก็ไม่ปาน เลือดที่แทนน้ำตาหลั่งไหลแบแก้มที่ผอมขาวซีด
                “จะบอกหรือไม่บอก” ดอกเข็มกล่าวอย่างข่มขู่ มันหัวเราะเสียงแหลมก่อนจะตอบ “คิดว่าฉันจะกลัวเรอะ ไม่มีอะไรที่ฉันต้องเสียแล้วนี่ ร่างของฉันกำลังสลายไป พวกแกชนะแล้ว…!”
                ธันนะเห็นชั่วแวบที่ไฟจางๆ ดวงตาแห้งเหือดนั้นกลายเป็นชุ่มฉ่ำเพราะเลือด แววตาที่ฉายความอิจฉานั้นเลื่อนลอย ความรู้สึกนั้นเหมือนกับยามที่เขามองศรีและพงสณะหยอกล้อกัน
                จะอิจฉาก็ไม่แปลก…
                “…แพ้ง่ายจังนะ เจ้าน่ะ” กลีบเย้าพูดเบาๆ แต่ก้องเข้าหูผีคนเป็น ใบหน้าขาวซีดบิดเบี้ยว เนื้อที่ลอกออกจนเห็นกระดูกนั้นน่าขยะแขยงเสมือนแป้งขนมปัง มันเอ่ยเสียงแหลม
                “ฉัน… ฉัน… อิจฉามันสองคน” ผีคนเป็นไม่ได้กล่าวเรื่องเดียวกับหลีบเย้าแต่เปลี่ยนเป็นเรื่องอื่น
                “…”
                “มันทำให้ฉันนึกถึงช่วงเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน ฉันกับเขา… เราเคยมีความสุขด้วยกัน” น้ำเสียงที่บ้าคลั่งเปลี่ยนเป็นอ่อนโรยเสมือนดอกไม้ที่เหี่ยวเฉาไปตามกาลเวลา ไม่ได้รับน้ำ อาหาร เหมือนกับที่ผีคนเป็นจิตใจสลายไปตามช่วงเวลาหลังจากที่มันได้ลาจากเขาไป…
                “ไอ้เด็กสองคนนั่นมันหยอกล้อเหมือนมันรักกัน… ฉันอิจฉา” คำบอกเล่านั้นเหมือนจะสารภาพสิ่งที่ตนทำและการกระทำของดอกเข็มและกลีบเย้าจนทั้งคู่หน้าแดงเพราะนึกไม่ถึงว่าผีตนนี้จะเห็นตอนที่พวกเธอหยอกเอินอย่างสนุก
                “ที่ทำไปก็คงไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าสินะ แค่อิจฉาเลยระบายความโกรธออกมา…”
                “อาจใช่ เขาคนนั้นก็คงมีคนใหม่ไปแล้วล่ะ” ผีตนนั้นแทรกซอที่จะพูด ไฟค่อยๆ มอดลงจนเริ่มเห็นร่างที่มีแต่กระดูกมีเนื้อติดประปราย ผิวหน้าตรงมุมปากยกน้อยๆ เหมือนจะยิ้ม
                “ฉัน… ลาล่ะ”
                โครงกระดูกนั้นกลายเป็นเถ้าปลิวไปตามสายลมที่พัดมาเบาๆ พร้อมกับไฟที่ดับสนิท ทุกคนมองภาพนั้นโดยที่ไม่เอ่ยอะไร เด็กหญิงผมหยักศกสีม่วงนามธีซานกล่าวเบาๆ
                “เรื่องจบง่ายจังนะ รู้สึกแปลกๆ จัง ยังแทบไม่ได้สู้อะไรเลย”
                “นั่นสิ แต่ก็ดีแล้วล่ะ” เด็กชายนามหว่อซีอายิ้มบางๆ “งั้นเรากลับกันเถอะ”
                ทุกคนเดินกลับขึ้นบันไดอย่างงงๆ ยังไม่ทันได้สู้อะไรอีกฝ่ายก็แพ้แล้ว ซอบอกให้เด็กหญิงทุกคนไปอาบน้ำกันก่อนนอน พงสณะใช้โอกาสนี้แกล้งศรี
                “ให้ฉันอาบให้มั้ย?”
                “ทะลึ่งแล้วนายเนี่ย ไปไกลๆ เลยไป ฉันว่านายน่ากลัวกว่าผีเมื่อกี้นี้อีก” ศรีตอบกลับพลางหยิบของที่จะใช้อาบน้ำ เธอหวังลึกๆ ว่าพงสณะจะไม่ไปแอบดูเธอแต่ผู้ชายกะล่อนอย่างเขาอาจจะทำก็ได้
                ศรีเขยิบไปหาแววไพรให้ห่างจากพงสณะก่อนจะกระซิบ “แววไพร ฉันกลัวพงสณะจัง”
                “ทำไมเหรอ?”
                “ก็พงสณะมันถามว่าให้ฉันอาบให้มั้ย ไม่ใช่ว่าถ้าปฏิเสธมันจะเปลี่ยนแผนมาแอบดูฉันแทนน่ะ”
                “ไม่เป็นไรเดี๋ยวฉันจัดการเอง ---อ้ายพงสณะ” ประโยคท้ายหันไปพูดกับพงสณะ เด็กชายยิ้มทะเล้นก่อนจะถาม
                “มีอะไรเหรอ”
                “ยังมีหน้ามาถามอีก อยากตายมากนักใช่มั้ย กล้ามากนักถามศรีแบบนั้นน่ะ” แววไพรกล่าวอย่างไม่พอใจเรื่องอะไรจะให้เด็กชายมาทำมิดีมิร้ายคนที่เธอรัก……….
                “ยังไงฉันก็ต้องได้เห็นอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ยังไงซะศรีก็เป็นคู่หมั้นฉันนี่” พงสณะกล่าวด้วยท่าทีไม่สะทกสะท้านจนอารมณ์ของแววไพรเดือดมากขึ้น เธอหยิบร่มบ่อสร้างขึ้นมาแล้วทำท่าใช้ปลายร่มแทงเขา รพิเข้ามาห้าม
                “พอเถอะครับ ถ้าไปอาบช้าเดี๋ยวจะดึกนะครับ” ศรีหันไปยิ้มบางๆ ให้เขาก่อนจะพูด “จ้ะๆ แววไพร คงไม่เป็นไรแล้วล่ะจ้ะไปอาบกันเถอะ”
                “อื้ม ---ฝากไว้ก่อนเถอะแก” แววไพรเอ่ยทิ้งท้ายไว้ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปอาบน้ำพร้อมกับเด็กหญิงคนอื่นๆ
                บรรยากาศทางเดินวังเวงชอบกล มันธรรมดาสำหรับยามกลางคืนที่ความมืดครอบงำ ลมเย็นไล้ผิวให้ผวา ศรีลอบมองสิ่งต่างๆ อย่างระวัง เธอกลัวว่าจะมีผีตนไหนมาทำร้ายอีก
                ห้องน้ำก็ดันมาอยู่นอกเรือนที่พัก เดี๋ยวไม่ใช่ว่ามีผีตนไหนมาแอบดูหรอกนะ ตรงนี้แหละที่ศรีกลัว ศรีเหลือบไปมองเม็ดแตงที่หอบฟืนซึ่งเธอก็ไม่ทราบว่าไปเก็บมาตอนไหน เธอถาม
                “ไปเก็บมาตอนไหนเหรอจ๊ะ?” เม็ดแตงตอบด้วยใบหน้าเรียบเฉย “หลังจากต่อสู้เสร็จน่ะ”
                “แล้วเอามาทำอะไรเหรอจ๊ะ?”
                “อ่อ ข้าอยากอาบน้ำอุ่นน่ะ”
                ศรีพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ เม็ดแตงเป็นชาวภาคเหนือที่ภูมิอากาศเย็นกว่าภาคอื่นไหนๆ เธอก็มาอยู่ที่ภาคกลางแล้วก็คงอยากอาบน้ำอุ่นเพื่อคลายหนาว ศรีเข้าใจเพราะการทนอยู่กับอุณหภูมิที่ไม่ปานกลางนั้นมันทรมานขนาดไหน อีกไม่กี่เดือนก็จะเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว สภาพแวดล้อมยิ่งไม่ดีคาดว่าปีนี้จะต้องหนาวกว่าปรกติแต่ยังไงก็สู้ภาคเหนือไม่ได้หรอก
                “ดีเลย อาบน้ำอุ่นเลือดจะได้ไหลเวียนดี”
                แววไพรกล่าวอย่างร่าเริง เธอคิดว่าหากดูแลตนเองดีๆ ให้สวยจากภายในสู่ภายนอกเพื่อที่จะได้มัดใจศรีแต่เด็กหญิงเกล้ามวยผมจะรักเธอหรือเปล่านั่นมันก็อีกเรื่อง หากไม่ได้จริงบุญวาสนาแต่ชาติก่อนคงไม่ได้ทำร่วมกันมากแน่ๆ เลย
                ระหว่างที่คิดไปเรื่อยนั้นเองศรีก็ลอบมองหน้าที่บางครั้งก็เคลิ้มบางครั้งก็เศร้าหมองแต่เธอก็ไม่ได้ถามอะไร ถ้าเป็นแบบนั้นคงไม่มีเรื่องอะไรมากหรอกกระมัง
                ว่าวเปิดประตู เธอพบกับร่างหนึ่งกำลังอาบอยู่ในอ่างอาบน้ำที่เจาะจากพื้นไม้ กลิ่นดอกไม้ออกกลิ่นยามกลางคืนอบอวลให้จิตฟุ้งซ่าน แว่นกันลมสีเข้มวางอยู่ตรงพื้นไม้บนผ้าขนหนูที่พับไว้ ว่าวพูดเสียงสั่น
                “ท่ะ ท่านพี่บรรพตมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกันเจ้าคะ!”
                “ข้ามีมือมีเท้าจะมาได้ก็ไม่แปลก จริงๆ แล้วข้าก็ขอให้ท่านปักษธรใช้อาคมเคลื่อนย้ายมา เนี่ยนั่งหลบอยู่ในห้องน้ำมานานแล้ว ไม่กล้าออกไปเพราะป้าเจ้าของบอกว่าแถวนี้มีผีอยู่ เพิ่งลงอาบ ๕ นาทีได้กระมัง” บรรพตตอบอย่างไม่ใส่ใจอะไรแต่นั่นทำให้ว่าวเคือง
                “ในขณะที่พวกเรากำลังจะตายท่านพี่บรรพตกลับมาอยู่ในนี้น่ะเหรอเจ้าคะ แย่ที่สุดเลย!”
                “ขะ ข้า……… ข้าขอโทษ”
                “สำนึกก็ดีแล้วล่ะเจ้าค่ะ” ว่าวกล่าวด้วยเสียงที่ขุ่นเคืองพร้อมกับเดินเข้าไป ศรีสงสารบรรพตแต่อีกใจก็เห็นด้วยกับว่าว เธอไม่สามารถเอ่ยอะไร บรรพตรู้สึกว่าตนเองเป็นเด็กเมื่อถูกโดนดุแบบนั้นทั้งๆ ที่เธอเป็นผู้อาวุโสกว่าแท้ๆ
               
                .
                .
                .
                “เจ้าอย่ามีชีวิตอยู่ต่อเลย… มอบหัวใจอันเป็นอมตะให้ข้าเถิด…”
                “เห็นทีคงมิได้กระมัง เพราะข้ายังต้องมีชีวิตเพื่อชดใช้กรรม”
                ศรีได้ยินเสียงใครบางคนกำลังคุยกัน ประโยคที่สองเสียงคล้ายเธอแต่ฟังดูแล้วมีพลังมากกว่า
                “การมีชีวิตอยู่มันแสนทรมาน เจ้าต้องการฤ?”
                “ความสุขเปรียบเสมือนของหวานหากทานมากไปก็มิดี แต่ถึงกระนั้นข้าก็ยังต้องการมัน เพราะนั่นมันทำให้ข้ารู้ว่าชีวิตนี้ยังมีอะไรอีกมาก”
                ระหว่างนั้นเกิดปรากฏเงาร่างหญิงสาวห่างจากศรีค่อนข้างไกล เสมือนกับมีการแสดงหนังตะลุง เทียนสีขาวปักอยู่ตรงกลางเงา เปลวไฟไหววูบยามที่เงาเคลื่อนไหว
                “งั้นขอให้โชคดี”
                เงาเคลื่อนย้ายไปในความมืด เงาที่สองนิ่งอยู่กับที่ เมื่อแสงไฟดับลงเงานั้นก็หายไป
                .
                .
                .
                “ศรี… เป็นอะไรไป”
                เสียงใครบางคนถามเธอ มีความเป็นห่วงแฝงอยู่ มือของเธอเผลอคว้าบางอย่างเมื่อลืมตาก็พบว่ามันเป็นมือของแววไพร ศรียันกายนั่งก่อนจะยิ้มบางๆ ให้เพื่อนๆ
                “ฉันไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ว่าแต่ฉันเป็นอะไรไปเหรอ”
                “เจ้าหลับไประหว่างแช่น้ำน่ะ ตกใจหมดเลยนึกว่าโดนอะไรเข้า” เสียงเหมือนผู้ชายของบรรพตที่เอ่ยอย่างกังวลนั้นทำให้ศรีรู้สึกผิด เป็นเช่นนี้มาตลอดที่เธอมักจะฝันถึงใครบางคน …แต่ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะเห็นหน้าชัดๆ…
               

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา