ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
11) บทที่ ๑๑: ความอิจฉาของวิญญาณที่ถูกทอดทิ้ง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๑๑
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
ความอิจฉาของวิญญาณที่ถูกทอดทิ้ง
ทุกคนวิ่งมาถึงตรงลำธารพบกับร่างสองร่างกำลังกำลังหลบหลีกและขว้างอาวุธโจมตีใส่ร่างโปร่งแสงที่บิดเบี้ยว อรัญญิกไม่รอช้านางท่องคาถาอัญเชิญดาบที่ใช้ในวิชาดาบอาทมาฏนางจับดาบเข้าฟาดฟันกับวิญญาณไร้เลือดเนื้อแต่กระนั้นก็สามารถทำให้มันเจ็บปวดได้เพราะนางลงอาคมไว้แล้ว วิญญาณตนนั้นเป็นหญิงสาวที่มีรอยแผลที่หน้าอกตรงกลางคาดว่าใช้ของมีคมแทงจนตัวตาย
แรงอาฆาตที่จองล้างจองผลาญทำให้มันมีพลังวิญญาณสูงขึ้น อรัญญิกคาดว่าเป็นเพราะชายคนรักของวิญญาณตนนี้ทำให้วิญญาณเคียดแค้น
…ความรัก… อย่างนั้นฤๅ
“บ้าน่าดู วิญญาณตนนี้” เด็กหญิงสวมชุดสีแดงนามโอเฟเลียพึมพำ เด็กชายชาวชิลีนามเซอาห์พยักหน้าเห็นด้วย เด็กชายสวมแว่นนามโซค่อนยกมุมปากแล้วเอ่ย
“สงสัยอกหักมั้งเลยคลั่ง”
“อกหักอย่างนั้นเหรอ?” ศรีถามขึ้นในขณะที่กำลังถือพระขรรค์เตรียมตั้งรับเธอเองก็ใช้อาคมเป็นเหมือนกัน โซค่อนหัวเราะพลางมองอรัญญิกและคนอื่นๆ ต่อสู้ไปด้วย
“ใช่แล้วล่ะ ฆ่าตัวตายเพราะเรื่องแบบนี้ข้าเห็นจนเอียนแล้วล่ะ น่าเบื่อจะตาย”
“นั่นสินะ…” ศรีหลุบตาพูดเบาๆ เธอไม่อาจสามารถพูดอะไรได้ไปมากกว่านี้
คนเราล้วนแต่เจอเรื่องโหดร้ายและความเศร้าจนมันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกจนกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อ
ธันนะมองเพื่อนๆ กำลังสนทนากันโดยที่จับจ้องศรีมากกว่าใคร ร่างบางนั้นเขาไม่อาจละสายตาจากได้…
“เหตุใดเจ้าจึงทำร้ายผู้อื่น” ซอถามวิญญาณด้วยเสียงเรียบ มันจ้องมองนางอย่างโกรธเคือง ใบหน้าที่บิดเบี้ยวและมีเส้นเลือดผุดประปรายนั่นย่นอย่างน่ากลัว มันไม่ตอบแต่ด่านาง
“แกไม่จำเป็นต้องรู้! ตายซะเถอะ!!” จอบที่วางอยู่ใต้ต้นไม้ขึ้นสนิมเขรอะเหม็นแห้งนั้นลอยขึ้นหวดปลายเข้าใส่นางแต่ซอก็ใช้ซอสามสายรับ หากใช้มันต่อสู้ก็จะดูเหมือนเป็นการลบหลู่ดนตรีเว้นแต่เฉพาะยามคับขันเท่านั้นที่นางจะใช้มันต่อสู้
แต่จนแล้วจนรอดมันก็เฉือนเนื้อนางเกิดรอยแผลที่ของเหลวสีแดงสาดกระเซ็นลอยว่อนเป็นประกายเพราะแสงจันทร์ วิญญาณตนนั้นแสยะยิ้มปากกว้างน่าสยองราวกับกระหายเลือด
อรัญญิกวิ่งมายืนเบื้องหน้าซอแล้วใช้ดาบฟันวิญญาณ ส่วนศรีก็ใช้พระขรรค์แทงเข้าไปอีกที
จู่ๆ วิญญาณก็หายไป ทุกคนตะลึงเมื่อตั้งสติได้จึงสอดส่องสายตาหามัน ไม่มีใครสังเกตว่าใต้เท้าธันนะเกิดเสียงดินกำลังขุดๆ จนกระทั่งมีมือขาวซีดจับข้อเท้าธันนะจากใต้ดินแล้วออกแรงดึงตัวเขาให้กระเด็นไปไกล
ศรีวิ่งอย่างว่องไวด้วยท่าทีเป็นกังวลไปหาธันนะซึ่งกำลังนอนแผ่กระอักเลือด เธอถามอย่างเป็นห่วง
“ธันนะ เป็นอะไรมั้ย?”
“ไม่…”
“พักเถอะ เดี่ยวฉันกับทุกคนจัดการเอง”
“เธอมีอาคมเหมือนพวกที่เหลือเรอะ?” ธันนะถาม ศรีพยักหน้า “ก็พอมีน่ะ คนในตระกูลฉันจะต้องฝึกไสยศาสตร์กัน แต่ฉันเองก็รู้ไม่มากหรอก”
“แล้วจะสู้ทั้งอย่างนั้นเนี่ยนะ?”
“อืม… อย่าห่วงไปเลย”
“ใครว่าห่วงล่ะ” ธันนะเบือนหน้าหนี ศรีอมยิ้มกับท่าทีนั้นพลางใช้ปลายนิ้วไล้แก้มเขาเบาๆ
ผิวนุ่มดีแฮะ
เธอคิดก่อนจะลุกขึ้นยืนพร้อมรอยยิ้มเมื่อสายตาเหลือบเห็นวิญญาณเธอก็ขมวดคิ้ว …ไม่สิ มันไม่ใช่วิญญาณแล้วมันกลายเป็นผีที่มีเลือดเนื้อดูท่าว่ามันจะสิงร่างศพตนเองชั่วคราว
ถ้าอย่างนั้นก็จัดการได้ง่ายหน่อย
ขนมชั้นหยิบมีดรูปร่างแปลกประหลาดออกมาใส่พลังวิญญาณธาตุไฟลงไปด้วย มันทำให้นึกถึงตอนนั้นที่เขาต่อสู้กับวิญญาณ ณ ที่บ้านของศรี ขนมชั้นมองไปทางเฉาก๊วยก่อนจะเดินไปหาแล้วกระซิบ
“ผีที่บ้านศรีกำจัดยากจริงๆ ถ้าตอนนั้นเจ้ามาด้วยมันอาจจะง่ายขึ้นน่ะ”
“นั่นสินะ ขอโทษ เรื่องนี้ไว้คุยทีหลังก็แล้วกัน” พร้อมกับที่เฉาก๊วยกล่าว ขนมชั้นก้มลงไปวาดมีดบนพื้นเกิดเป็นเพลิงที่ประกายแสงในความมืด เด็กชายแสยะยิ้ม “เป็นไงล่ะ วิธีนี้ข้าก็ใช้เมื่อครั้นไปบ้านศรีนะ”
ศรีเพิ่งสังเกตว่าขนมชั้นปรายตามาทางเธอแล้วพูดโดยที่เธอไม่ได้ยินเพราะทั้งสองยืนไม่ใกล้แถมเสียงอาวุธฟาดฟันดังกลบเสียงหมด
พวกเขาคุยเรื่องอะไรกัน
“ฟ่ะ ไฟ!”
ผีคนเป็นผุดสีหน้าหวาดกลัว ไฟของขนมชั้นเป็นไฟอาคมที่สามารถควบคุมให้ไปตามทิศทางที่เขาต้องการ เหยื่อของไฟไม่มีทางหนีพ้นมันลากเป็นเส้นตรงออกจากวงไปทางมันก่อนจะล้อมไว้อย่างรวดเร็ว ไฟลุกโชนเป็นกำแพงปิดกั้นมันออกจากภายนอก ผิวเนื้อเริ่มลอกออกจนเริ่มเห็นกระดูกความร้อนราวกับไฟอเวจีนั้นทำให้ผีคนเป็นอยากร่ำไห้ วิญญาณเริ่มสลายอย่างช้าๆ
ดอกเข็มมองภาพนั้นก่อนจะตะโกนถาม
“เจ้ามาทำร้ายข้าทำไม ข้ายังไม่ได้ทำอะไรให้เจ้าเลยนะ!”
“…แกไม่จำเป็นต้องรู้” ผีคนเป็นเอ่ยเสียงแหบแหลมราวกับผีเปรตก็ไม่ปาน เลือดที่แทนน้ำตาหลั่งไหลแบแก้มที่ผอมขาวซีด
“จะบอกหรือไม่บอก” ดอกเข็มกล่าวอย่างข่มขู่ มันหัวเราะเสียงแหลมก่อนจะตอบ “คิดว่าฉันจะกลัวเรอะ ไม่มีอะไรที่ฉันต้องเสียแล้วนี่ ร่างของฉันกำลังสลายไป พวกแกชนะแล้ว…!”
ธันนะเห็นชั่วแวบที่ไฟจางๆ ดวงตาแห้งเหือดนั้นกลายเป็นชุ่มฉ่ำเพราะเลือด แววตาที่ฉายความอิจฉานั้นเลื่อนลอย ความรู้สึกนั้นเหมือนกับยามที่เขามองศรีและพงสณะหยอกล้อกัน
จะอิจฉาก็ไม่แปลก…
“…แพ้ง่ายจังนะ เจ้าน่ะ” กลีบเย้าพูดเบาๆ แต่ก้องเข้าหูผีคนเป็น ใบหน้าขาวซีดบิดเบี้ยว เนื้อที่ลอกออกจนเห็นกระดูกนั้นน่าขยะแขยงเสมือนแป้งขนมปัง มันเอ่ยเสียงแหลม
“ฉัน… ฉัน… อิจฉามันสองคน” ผีคนเป็นไม่ได้กล่าวเรื่องเดียวกับหลีบเย้าแต่เปลี่ยนเป็นเรื่องอื่น
“…”
“มันทำให้ฉันนึกถึงช่วงเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน ฉันกับเขา… เราเคยมีความสุขด้วยกัน” น้ำเสียงที่บ้าคลั่งเปลี่ยนเป็นอ่อนโรยเสมือนดอกไม้ที่เหี่ยวเฉาไปตามกาลเวลา ไม่ได้รับน้ำ อาหาร เหมือนกับที่ผีคนเป็นจิตใจสลายไปตามช่วงเวลาหลังจากที่มันได้ลาจากเขาไป…
“ไอ้เด็กสองคนนั่นมันหยอกล้อเหมือนมันรักกัน… ฉันอิจฉา” คำบอกเล่านั้นเหมือนจะสารภาพสิ่งที่ตนทำและการกระทำของดอกเข็มและกลีบเย้าจนทั้งคู่หน้าแดงเพราะนึกไม่ถึงว่าผีตนนี้จะเห็นตอนที่พวกเธอหยอกเอินอย่างสนุก
“ที่ทำไปก็คงไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าสินะ แค่อิจฉาเลยระบายความโกรธออกมา…”
“อาจใช่ เขาคนนั้นก็คงมีคนใหม่ไปแล้วล่ะ” ผีตนนั้นแทรกซอที่จะพูด ไฟค่อยๆ มอดลงจนเริ่มเห็นร่างที่มีแต่กระดูกมีเนื้อติดประปราย ผิวหน้าตรงมุมปากยกน้อยๆ เหมือนจะยิ้ม
“ฉัน… ลาล่ะ”
โครงกระดูกนั้นกลายเป็นเถ้าปลิวไปตามสายลมที่พัดมาเบาๆ พร้อมกับไฟที่ดับสนิท ทุกคนมองภาพนั้นโดยที่ไม่เอ่ยอะไร เด็กหญิงผมหยักศกสีม่วงนามธีซานกล่าวเบาๆ
“เรื่องจบง่ายจังนะ รู้สึกแปลกๆ จัง ยังแทบไม่ได้สู้อะไรเลย”
“นั่นสิ แต่ก็ดีแล้วล่ะ” เด็กชายนามหว่อซีอายิ้มบางๆ “งั้นเรากลับกันเถอะ”
ทุกคนเดินกลับขึ้นบันไดอย่างงงๆ ยังไม่ทันได้สู้อะไรอีกฝ่ายก็แพ้แล้ว ซอบอกให้เด็กหญิงทุกคนไปอาบน้ำกันก่อนนอน พงสณะใช้โอกาสนี้แกล้งศรี
“ให้ฉันอาบให้มั้ย?”
“ทะลึ่งแล้วนายเนี่ย ไปไกลๆ เลยไป ฉันว่านายน่ากลัวกว่าผีเมื่อกี้นี้อีก” ศรีตอบกลับพลางหยิบของที่จะใช้อาบน้ำ เธอหวังลึกๆ ว่าพงสณะจะไม่ไปแอบดูเธอแต่ผู้ชายกะล่อนอย่างเขาอาจจะทำก็ได้
ศรีเขยิบไปหาแววไพรให้ห่างจากพงสณะก่อนจะกระซิบ “แววไพร ฉันกลัวพงสณะจัง”
“ทำไมเหรอ?”
“ก็พงสณะมันถามว่าให้ฉันอาบให้มั้ย ไม่ใช่ว่าถ้าปฏิเสธมันจะเปลี่ยนแผนมาแอบดูฉันแทนน่ะ”
“ไม่เป็นไรเดี๋ยวฉันจัดการเอง ---อ้ายพงสณะ” ประโยคท้ายหันไปพูดกับพงสณะ เด็กชายยิ้มทะเล้นก่อนจะถาม
“มีอะไรเหรอ”
“ยังมีหน้ามาถามอีก อยากตายมากนักใช่มั้ย กล้ามากนักถามศรีแบบนั้นน่ะ” แววไพรกล่าวอย่างไม่พอใจเรื่องอะไรจะให้เด็กชายมาทำมิดีมิร้ายคนที่เธอรัก……….
“ยังไงฉันก็ต้องได้เห็นอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ยังไงซะศรีก็เป็นคู่หมั้นฉันนี่” พงสณะกล่าวด้วยท่าทีไม่สะทกสะท้านจนอารมณ์ของแววไพรเดือดมากขึ้น เธอหยิบร่มบ่อสร้างขึ้นมาแล้วทำท่าใช้ปลายร่มแทงเขา รพิเข้ามาห้าม
“พอเถอะครับ ถ้าไปอาบช้าเดี๋ยวจะดึกนะครับ” ศรีหันไปยิ้มบางๆ ให้เขาก่อนจะพูด “จ้ะๆ แววไพร คงไม่เป็นไรแล้วล่ะจ้ะไปอาบกันเถอะ”
“อื้ม ---ฝากไว้ก่อนเถอะแก” แววไพรเอ่ยทิ้งท้ายไว้ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปอาบน้ำพร้อมกับเด็กหญิงคนอื่นๆ
บรรยากาศทางเดินวังเวงชอบกล มันธรรมดาสำหรับยามกลางคืนที่ความมืดครอบงำ ลมเย็นไล้ผิวให้ผวา ศรีลอบมองสิ่งต่างๆ อย่างระวัง เธอกลัวว่าจะมีผีตนไหนมาทำร้ายอีก
ห้องน้ำก็ดันมาอยู่นอกเรือนที่พัก เดี๋ยวไม่ใช่ว่ามีผีตนไหนมาแอบดูหรอกนะ ตรงนี้แหละที่ศรีกลัว ศรีเหลือบไปมองเม็ดแตงที่หอบฟืนซึ่งเธอก็ไม่ทราบว่าไปเก็บมาตอนไหน เธอถาม
“ไปเก็บมาตอนไหนเหรอจ๊ะ?” เม็ดแตงตอบด้วยใบหน้าเรียบเฉย “หลังจากต่อสู้เสร็จน่ะ”
“แล้วเอามาทำอะไรเหรอจ๊ะ?”
“อ่อ ข้าอยากอาบน้ำอุ่นน่ะ”
ศรีพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ เม็ดแตงเป็นชาวภาคเหนือที่ภูมิอากาศเย็นกว่าภาคอื่นไหนๆ เธอก็มาอยู่ที่ภาคกลางแล้วก็คงอยากอาบน้ำอุ่นเพื่อคลายหนาว ศรีเข้าใจเพราะการทนอยู่กับอุณหภูมิที่ไม่ปานกลางนั้นมันทรมานขนาดไหน อีกไม่กี่เดือนก็จะเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว สภาพแวดล้อมยิ่งไม่ดีคาดว่าปีนี้จะต้องหนาวกว่าปรกติแต่ยังไงก็สู้ภาคเหนือไม่ได้หรอก
“ดีเลย อาบน้ำอุ่นเลือดจะได้ไหลเวียนดี”
แววไพรกล่าวอย่างร่าเริง เธอคิดว่าหากดูแลตนเองดีๆ ให้สวยจากภายในสู่ภายนอกเพื่อที่จะได้มัดใจศรีแต่เด็กหญิงเกล้ามวยผมจะรักเธอหรือเปล่านั่นมันก็อีกเรื่อง หากไม่ได้จริงบุญวาสนาแต่ชาติก่อนคงไม่ได้ทำร่วมกันมากแน่ๆ เลย
ระหว่างที่คิดไปเรื่อยนั้นเองศรีก็ลอบมองหน้าที่บางครั้งก็เคลิ้มบางครั้งก็เศร้าหมองแต่เธอก็ไม่ได้ถามอะไร ถ้าเป็นแบบนั้นคงไม่มีเรื่องอะไรมากหรอกกระมัง
ว่าวเปิดประตู เธอพบกับร่างหนึ่งกำลังอาบอยู่ในอ่างอาบน้ำที่เจาะจากพื้นไม้ กลิ่นดอกไม้ออกกลิ่นยามกลางคืนอบอวลให้จิตฟุ้งซ่าน แว่นกันลมสีเข้มวางอยู่ตรงพื้นไม้บนผ้าขนหนูที่พับไว้ ว่าวพูดเสียงสั่น
“ท่ะ ท่านพี่บรรพตมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกันเจ้าคะ!”
“ข้ามีมือมีเท้าจะมาได้ก็ไม่แปลก จริงๆ แล้วข้าก็ขอให้ท่านปักษธรใช้อาคมเคลื่อนย้ายมา เนี่ยนั่งหลบอยู่ในห้องน้ำมานานแล้ว ไม่กล้าออกไปเพราะป้าเจ้าของบอกว่าแถวนี้มีผีอยู่ เพิ่งลงอาบ ๕ นาทีได้กระมัง” บรรพตตอบอย่างไม่ใส่ใจอะไรแต่นั่นทำให้ว่าวเคือง
“ในขณะที่พวกเรากำลังจะตายท่านพี่บรรพตกลับมาอยู่ในนี้น่ะเหรอเจ้าคะ แย่ที่สุดเลย!”
“ขะ ข้า……… ข้าขอโทษ”
“สำนึกก็ดีแล้วล่ะเจ้าค่ะ” ว่าวกล่าวด้วยเสียงที่ขุ่นเคืองพร้อมกับเดินเข้าไป ศรีสงสารบรรพตแต่อีกใจก็เห็นด้วยกับว่าว เธอไม่สามารถเอ่ยอะไร บรรพตรู้สึกว่าตนเองเป็นเด็กเมื่อถูกโดนดุแบบนั้นทั้งๆ ที่เธอเป็นผู้อาวุโสกว่าแท้ๆ
.
.
.
“เจ้าอย่ามีชีวิตอยู่ต่อเลย… มอบหัวใจอันเป็นอมตะให้ข้าเถิด…”
“เห็นทีคงมิได้กระมัง เพราะข้ายังต้องมีชีวิตเพื่อชดใช้กรรม”
ศรีได้ยินเสียงใครบางคนกำลังคุยกัน ประโยคที่สองเสียงคล้ายเธอแต่ฟังดูแล้วมีพลังมากกว่า
“การมีชีวิตอยู่มันแสนทรมาน เจ้าต้องการฤ?”
“ความสุขเปรียบเสมือนของหวานหากทานมากไปก็มิดี แต่ถึงกระนั้นข้าก็ยังต้องการมัน เพราะนั่นมันทำให้ข้ารู้ว่าชีวิตนี้ยังมีอะไรอีกมาก”
ระหว่างนั้นเกิดปรากฏเงาร่างหญิงสาวห่างจากศรีค่อนข้างไกล เสมือนกับมีการแสดงหนังตะลุง เทียนสีขาวปักอยู่ตรงกลางเงา เปลวไฟไหววูบยามที่เงาเคลื่อนไหว
“งั้นขอให้โชคดี”
เงาเคลื่อนย้ายไปในความมืด เงาที่สองนิ่งอยู่กับที่ เมื่อแสงไฟดับลงเงานั้นก็หายไป
.
.
.
“ศรี… เป็นอะไรไป”
เสียงใครบางคนถามเธอ มีความเป็นห่วงแฝงอยู่ มือของเธอเผลอคว้าบางอย่างเมื่อลืมตาก็พบว่ามันเป็นมือของแววไพร ศรียันกายนั่งก่อนจะยิ้มบางๆ ให้เพื่อนๆ
“ฉันไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ว่าแต่ฉันเป็นอะไรไปเหรอ”
“เจ้าหลับไประหว่างแช่น้ำน่ะ ตกใจหมดเลยนึกว่าโดนอะไรเข้า” เสียงเหมือนผู้ชายของบรรพตที่เอ่ยอย่างกังวลนั้นทำให้ศรีรู้สึกผิด เป็นเช่นนี้มาตลอดที่เธอมักจะฝันถึงใครบางคน …แต่ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะเห็นหน้าชัดๆ…
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ