ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
8.9
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
123 บท
32 วิจารณ์
113.44K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
107) บทที่ ๑๐๖ : สิ่งตอบแทนเล็กๆ ที่มีค่า
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๑๐๖
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
สิ่งตอบแทนเล็กๆ ที่มีค่า
วันอาทิตย์ที่ ๑๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๘
เช้า
ตามที่บอกไว้ เมื่อเปิดประตูรั้วรับแขกระหว่างทานอาหารเช้าก็พบว่า พงสณะกับครอบครัวของเขามายืนรออยู่หน้าเรือนพร้อมของฝากแล้ว รถยนต์ที่โดยสารมานั้นจอดริมรั้ว ศรีและอสุรายกมือไหว้แล้วกล่าวเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายเข้าไป ทักทายตามประสาคนรู้จัก ระหว่างที่สนทนาอยู่นั้นพงสณะก็เขยิบมานั่งใกล้ศรีอย่างเนียนๆ เธอสลับที่นั่งให้อสุรามาคั่นกลางแทน พงสณะเห็นดังนั้นก็ไม่กล้าย้ายไปนั่งตาม ยิ่งแววตาเยือกเย็นที่มองมาจากอสุราทำให้เขาแทบจะนิ่งยิ่งกว่ารูปปั้น
“ว่าแต่เอวัณกับปาราวีหายไปไหนเหรอจ๊ะ?”
“ไปทำงานน่ะค่ะ”
อสุราตอบด้วยน้ำเสียงเรียบผิดกับทีแรกที่สดใส รอยยิ้มเริ่มจางหาย ศรีและพงสณะที่สังเกตถึงความผิดปรกติจึงมองหน้ากันครู่หนึ่งด้วยแววตาฉงน ก่อนจะหันกลับไปดังเดิม ระหว่างนั้นการสนทนาระหว่างอสุราและพ่อแม่ของพงสณะก็ดำเนินต่อไปโดยที่สีหน้าของอสุราเริ่มกลับมาเป็นปรกติ
“จริงด้วย ป้าว่าจะชวนหนูกับน้องไปเที่ยวน่ะจ้ะ”
“ไปเที่ยวเหรอคะ? ขอบคุณจริงๆ ค่ะ แต่ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ไม่สามารถไปได้ นี่ก็จะเปิดเทอมแล้วเลยต้องเตรียมตัวน่ะค่ะ”
“อย่าใส่ใจมากนักเลย พักบ้างก็ดีนะจ๊ะ” อสุรายิ้มบางๆ ก่อนจะกล่าว “ขอบคุณค่ะ ว่าแต่จะไปที่ไหนเหรอคะ?” แม่ของพงสณะเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะมองผู้เป็นลูกแล้วถาม
“ลูกจะพาพี่อสุรากับหนูศรีไปไหนเหรอจ๊ะ เห็นว่าคุยกันทางจดหมายแล้วนี่” อสุราค่อยๆ หุบยิ้มอีกครั้ง ศรีที่เห็นดังนั้นก็มีท่าทางร้อนรนเล็กน้อย กังวลที่ทำให้อสุราไม่สบายใจจนนึกอยากจะฉีกจดหมายนั่น แต่ก็ไม่ทันเสียแล้วเพราะถูกเปิดโปงโดยแม่ของพงสณะ ต่อจากนี้เธออาจจะไม่ได้ออกจากบ้านไปหย่อนจดหมายใส่ตู้ไปรษณีย์แล้วแน่ๆ เลย
“คือ…” อสุราหยุดไว้เท่านั้นเพราะไม่ทราบว่าศรีกับพงสณะจะไปไหน ดวงตาสีดำเหลือบมองผู้เป็นน้องสาวอย่างจับผิดแต่ก็แฝงไปด้วยความเป็นห่วง เจ้าตัวก้มหน้างุดๆ เพราะไม่กล้าสบแววตา ใจเต้นแรงมากกว่าเดิม ภาวนาไปด้วยว่าสถานการณ์ตอนนี้จะราบรื่น พงสณะเห็นเธอมีท่าทีไม่ดีตั้งแต่ที่แม่ของตนเองกล่าวจบก็ตอบแทน
“ไปตลาดน้ำกับทุ่งดอกบัวน่ะครับ”
“เลือกได้ดีนี่จ๊ะ ถ้าอย่างนั้นตกลงตามนี่นะคุณ” แม่ของพงสณะหันไปกล่าวกับสามีของตนเอง หลังจากนั้นก็สนทนากันต่อโดยที่อสุราแทบจะไม่ได้ฟังสิ่งที่อีกฝ่ายกล่าวเลย
ปล่อยไว้ไม่ได้แล้ว…
.
.
.
ผ่านไปไม่นานนักอสุราก็ขอตัวมาสนทนากับศรีเป็นการส่วนตัว โดยให้ครอบครัวอีกฝ่ายทานขนมพลางดูโทรทัศน์ไปก่อน เมื่อเดินมาถึงหลังบ้านซึ่งมีชิงชังไม้อยู่ทั้งสองก็นั่งลงก่อนผู้เป็นพี่สาวจะกล่าว
“คุยผ่านจดหมายมานานเท่าไหร่แล้ว?” ไม่มีการเกริ่นอะไรทั้งสิ้น ศรีกลืนน้ำลายอึกหนึ่งแล้วตอบ
“ประมาณสามหรือสี่ปีนี่แหละค่ะ”
เอ่ยจบก็ก้มหน้ามองตักตนเองแทนพี่สาว อสุรามองผู้เป็นน้องนิ่งๆ พลางพยายามสงบสติอารมณ์ไม่ให้เผลอเอ่ยทำร้ายจิตใจมากไป ตอนนี้ศรีก็เริ่มขึ้นมัธยมแล้วซึ่งนั่นก็หมายความว่าเจ้าตัวไม่ใช่เด็กอีกต่อไป …แต่ก็นั่นแหละนะ โตแต่ตัวแต่ใช่ว่าความคิดจะโตตามไปด้วย แม้อสุราทราบดีว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนเช่นนั้น ด้วยความที่ศรีมีความคิดละเอียดอ่อนและไม่วู่วามเหมือนเด็กคนอื่นๆ กระนั้นก็ต้องระมัดระวังไว้ก่อนอยู่ดี อสุราถอนหายใจก่อนจะกล่าว
“ถ้าเป็นไปได้พี่ก็อยากให้หนูเลิกคุยกับเขา ไม่ว่าจะทางจดหมายหรือโทรศัพท์ก็ตาม” ศรีใจหายวาบอย่างน่าแปลกใจ ผิดหวังขึ้นมาด้วยเหตุอันใดก็ไม่อาจทราบ ความคิดไม่ดีอย่างหนึ่งผุดขึ้นมาว่าตนเองมีใจให้พงสณะบ้างแล้ว แต่ก็ปฏิเสธมันไปเพราะไม่อยากให้ความรู้สึกมาบงการตนเอง
“ค่ะ…” ตอบรับเสียงแผ่วเบา อสุรารู้สึกผิดเล็กน้อยที่ไปกีดกันน้องสาวกับชายผู้ที่รักเจ้าตัว แต่เพราะอยากให้ศรีมีชีวิตที่ดี… กล่าวเช่นนี้คงเกินไปแต่ใครรู้ล่ะว่าการสร้างความผูกพันนั้น พอถึงปลายทางแล้วมันจะถูกทำลายซึ่งเป็นการทารุณจิตใจอย่างยิ่ง ฉะนั้นแล้วเธอต้องหยุดเสียแต่ตอนนี้
…กันไว้ดีกว่าแก้…
.
.
.
หลังจากที่สนทนากันเสร็จก็ไปนั่งรถแล่นออกไปโดยที่ขออนุญาตผู้ปกครองแล้ว อสุรากับศรีก็แทบจะไม่ได้เอ่ยอะไรกันอีกเลย ไม่ใช่ว่าทั้งสองคนโกรธแต่มองหน้าไม่ติดต่างหาก ยังไงนะ เหมือนกับไม่มีหน้าสนทนาด้วยกันเพราะอะไรก็ไม่รู้ พงสณะจึงเป็นฝ่ายชวนศรีมาพูดคุยแทนโดยไม่สนใจผู้เป็นพี่เลย ถึงแม้จะรู้สึกว่าอสุราจ้องมาเป็นระยะแต่ก็ทำเป็นไม่รู้สึกรู้สาอะไร
ดวงตาสีดำสองคู่จ้องกันครู่หนึ่งก่อนจะเบนความสนใจไปทางอื่นโดยที่ศรีไม่รู้ตัว
…ตามจริงแล้วก่อนหน้าและช่วงนี้ที่อสุรากล่าวตักเตือนศรีก็เพราะเป็นห่วง… ทว่านั่นเป็นเพียงเปลือกนอกเพราะแท้จริงแล้วเธอตกหลุมรักน้องสาวสายเลือดเดียวกันต่างหาก ยิ่งเจ้าตัวขึ้นมัธยมแล้วความรู้สึกจากเพื่อนก็จะค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความรัก แล้วด้วยความที่เธอเป็นพี่สาวการแสดงความรักและความเป็นห่วงทำให้ศรีไม่รู้ตัวจนว่าพี่สาวรักตนเองในเชิงชู้สาว …นั่นแหละที่อสุรากังวลจริงๆ เพราะเป็นพี่สาวสายเลือดเดียวกันอย่างไรเล่าถึงไม่กล้าบอกความรู้สึกให้น้องสาวตนเองรับรู้
…ไม่รับรักนี่ก็เจ็บแล้ว หากเกลียดขึ้นมาจริงๆ ความสัมพันธ์จะไม่ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่หรือ?
อสุราหลุบตาลง ไม่ได้จดจ่อกับสิ่งใด ดวงตาเหม่อลอยระหว่างที่ปล่อยความรู้สึกให้ไปไกล …ภาวนาในใจว่าหากศรีโตพอจะรับรู้เมื่อไหร่จนอสุราสารภาพรัก ก็ขอให้น้องสาวตนเองยอมรับ
…แม้จะไม่ได้หัวใจดวงนั้นมาครองก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย…
ณ ชานเรือนไทยซึ่งเคยเป็นที่สอนและเรียนแทนอาคารนั้นมีเด็กชายผมสีน้ำตาลไหม้ สวมชุดนักเรียนประถมและนุ่งโจงกระเบน กำลังเลื่อนดูภาพใบโพธิ์ในโทรศัพท์ด้วยแววตาอาลัยอาวรณ์ …ยิ่งมองใจก็ยิ่งร่ำหา แม้จะไม่สามารถบอกได้แน่ชัดว่าใบโพธิ์เป็นผู้นำทางแห่งวายชนม์จริง แต่ใบหน้าอันคุ้นเคยนั้นเหมือนกับคนที่เขารักไม่มีผิด …จะใครเสียอีกก็ผู้นำทางแห่งวายชนม์อย่างไรเล่า น้อยคนนักที่จะรู้ว่าเขารักอีกฝ่ายมากเพียงใด เจ้าตัวเองก็มีความรู้สึกเช่นนี้ไม่แพ้กัน ทว่าด้วยความที่อีกฝ่ายเป็นผู้มีชื่อเสียงของโรงเรียนทำให้ไม่อาจเปิดเผยความสัมพันธ์นี้ได้ กระนั้นเด็กชายผมสีน้ำตาลไหม้ก็ไม่น้อยใจ ขอเพียงได้อยู่ใกล้ชิดกับผู้นำทางแห่งวายชนม์ก็พอแล้ว
แต่แล้วความสุขก็มลายเมื่อผู้นำทางแห่งวายชนม์หายตัวไป หลังจากทราบเรื่องนี้เด็กชายผมสีน้ำตาลไหม้พร้อมกับนักเรียนและนักศึกษาคนอื่นๆ ก็ออกตามหาจนแทบทุกภาค …ไม่ได้ตาฝาดไปหรอก เกือบทุกภาคจริงๆ ถ้าสงสัยว่าทำไมถึงต้องตามหาจนจะเป็นจะตายก็คงต้องตอบว่า ผู้ที่เปรียบเสมือนยมทูตแต่ละโรงเรียนนั้นจะต้องผ่านพิธีกรรมและมีพลังในสิ่งที่ผู้อื่นไม่มี …ไม่สิ พลังที่ว่านั่นต้องทนกับบางสิ่งบางอย่างได้ ซึ่งตัวเขาเองและคนอื่นๆ ก็ไม่รู้ว่าคืออะไร
เด็กชายผมสีน้ำตาลไหม้เก็บโทรศัพท์ก่อนจะนั่งนิ่งๆ …เหม่อมองท้องฟ้าสีหม่นที่มีหิมะโปรยลงมาพลางภาวนาในใจว่าใบโพธิ์จะเป็นผู้นำทางแห่งวายชนม์จริงๆ
ใจร่ำร้องและทรมานเหลือแสน ในโลกนี้มีไม่กี่อย่างที่เขากลัว …หนึ่งในนั้นก็คือการพรากจากผู้ที่ตนเองรัก
หวังว่าพวกโรงเรียนดอกคูนจะมีทำการใดกับเจ้าดอกนะ…
.
.
.
ในขณะนั้นก็มีผู้ที่ภาวนาให้คนรักตนเองไม่เป็นอะไรและปลอดภัยเช่นกัน เด็กชายผมสีดำเกล้ามวยผมปล่อยส่วนที่เหลือลงมาเล็กน้อย ประดับด้วยปิ่นปักผมกับพู่กัน …นามของเด็กชายคนนี้คือ เบญจราชพฤกษ์ (นามสกุลไม่เปิดเผย) เขานึกถึงคนรักของตนที่เป็นเปรียบเสมือนกับยมทูตเช่นเดียวกับผู้นำทางแห่งวายชนม์ ที่ถูกจับเป็นตัวประกัน
หัวใจสองดวงเรียกหา โดยที่เจ้าตัวของคนหนึ่งรู้ตัว ส่วนเจ้าตัวของอีกคนไม่รู้ตัวเพราะสูญเสียความทรงจำ…
ราชพฤกษ์ หรืออีกชื่อหนึ่งว่า คูน ไล่ความคิดฟุ้งซ่านก่อนจะลากปลายขนพู่กันที่แต้มสีหม่น ภาพบนผ้าใบนั้นเป็นรูปเด็กชายที่ผู้วาดคิดถึง โทนสีและอารมณ์นั้นมืดมนเช่นเดียวกับผู้ถูกเป็นแบบและผู้วาด
ระหว่างนั้นเองก็มีเด็กหญิงผมสีควายเผือกเกล้าเป็นมวยหย่อมๆ หย่อนลงมา ประดับด้วยพู่กันตั้งแต่ขนาดเล็กสุดไปจนถึงใหญ่สุด สวมชุดนักเรียนของชั้นประถม สะพายทับด้วยกระเป๋าใบค่อนข้างใหญ่ซึ่งใส่สมุดวาดรูป เธอเข้ามาในห้องเงียบๆ เพราะทราบดีว่าผู้ที่มาในห้องศิลปะสำหรับนักเรียน ม.๑ ของอาคารศิลป์ (ซึ่งเป็นเรือนไทยหลายชั้น) ที่ชั้น ๔ บ่อยแล้วอยู่เป็นคนสุดท้ายคือใคร และกำลังอยู่ในอารมณ์ใดจึงไม่กล้าส่งเสียง เธอเดินมานั่งที่ประจำของตนเองซึ่งอยู่ไม่ไกลกับเด็กชายผมสีดำมากนัก
หลังจากเข้ามาแล้วก็ตามด้วยเด็กสาวในชุดมัธยมต้นปกกะลาสีเรือคอกว้าง ผูกคอซองสีน้ำเงินใต้ปก ผมสีเหลืองรงค์หยักศกช่วงปลายยาวเกือบถึงกลางหลัง มัดเป็นจุกต่ำหลวมๆ ดวงตากลมโตเรียวเล็กน้อยนั้นหยาดเยิ้มพิกลยามมองเด็กหญิงผมสีควายเผือกทำให้เจ้าตัวขนลุกขึ้นมา รอยยิ้มหวานหยดย้อยแย้มบนใบหน้าที่ออกเรียบเฉย แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ อีกฝ่าย โดยไม่สนใจสายตาที่ฉายแววอิจฉาจากเด็กชายผมสีดำที่ถูกพรากจากคนรักของตนเอง เขาทำเป็นมองไม่เห็นและพยายามไม่สนใจ วาดรูปไปเรื่อยๆ ระหว่างนั้นก็มีเสียงพูดคุยดังเจื้อยแจ้วเบาๆ จากคนสองคนในห้อง
น่าอิจฉาเสียจริง
คูนเก็บอุปกรณ์พร้อมกับผ้าใบวาดก่อนจะออกจากห้องเพราะทนไม่ไหว เหมือนถูกเย้ยอย่างไรไม่รู้ แม้ทราบแก่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้ทำเช่นนั้นก็ตามที แต่ขืนทนต่อไปน้ำตาได้ไหลแน่…
.
.
.
พอออกไปแล้วพร้อมกับน้ำตาที่คลอตามขอบตา เด็กหญิงผมสีควายเผือกก็มองไปด้วยความเห็นใจ ถึงจะไม่เข้าใจอีกฝ่าย แต่สีหน้าที่หมองเศร้านั้นทำให้เธอเข้าใจความรู้สึกดี เด็กสาวผมสีเหลืองรงค์เหลือบมองด้วยแววตาเห็นใจครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับเป็นสดใสและหยาดเยิ้มดังเดิม
“น้องก็วาดรูปเหมือนคนจริงได้นี่ทำไมถึงไม่วาดล่ะจ๊ะ? ถ้าเกรงใจวาดพี่ก็ได้นะ เผือก”
พอผู้อื่นไม่อยู่เด็กสาวก็ปลดกระดุมเหล็ก ถอดคอซองออกก่อนจะเขยิบกายและเก้าอี้ให้ใกล้เด็กหญิงเจ้าของนาม เผือก ซึ่งเป็นชื่อเล่นที่ปิดบังผู้อื่นเพราะฟังแล้วไม่ไพเราะนั้นมีนามจริงว่า สิปปวิชญ์จรูญ สิรภาสโสภณา หรือในนามที่ให้ผู้อื่นเรียกว่า สิปโปทัย
เผือกเอนร่างห่างเล็กน้อยเพราะหวาดหวั่น ถึงจะโดนเด็กสาวนาม โกสุมสุขุมฉวี (นามสกุลไม่เปิดเผย) ทำเช่นนี้มาตั้งแต่อยู่ ป.๕ ก็ยังไม่ชินเสียที นับวันยิ่งเข้าใกล้มากกว่าเดิมแถมทำท่าจะพาขึ้นเตียงเกือบทุกที
“วาดน่ะวาดได้ค่ะ แต่ที่เสนอตัวพี่เป็นแบบ หนูว่าคงไม่ใช่การวาดภาพเหมือนหรอกค่ะ”
“รู้ได้ไงจ๊ะ?” เผือกมองโกสุมอย่างเหนื่อยหน่าย แต่ก่อนก็จะพาขึ้นเตียงมากกว่าวาดรูปหลายรอบ ถ้าไม่เอะใจว่าให้วาดภาพเปลือยกายก็คงซื่อไปกระมัง
“ก็…” เผือกเว้นไว้ก่อนจะกล่าวต่อ “ไม่บอกค่ะ ที่ผ่านมาพี่แสดงออกขนาดนั้นถ้าหนูดูไม่ออกก็คงเขลาไปกระมังคะ”
“แหม พี่หวังดีนะ วาดภาพเปลือยๆ จะได้ฝึกอนาโตมี่[1]ไปในตัวไงจ๊ะ”
มือขาวผ่องไล้ลากผ่านร่องอกที่เผยให้เห็นแวบๆ แวมๆ เด็กหญิงผมสีควายเผือกหายใจอย่างยากลำบาก รู้สึกถึงความอุ่นร้อนในจมูกที่มีกลิ่นคาวๆ เธอลนลานจนเผลอหยิบผ้าที่ไว้เช็ดอุปกรณ์วาดรูปมาเช็ดเลือดกำเดาที่ไหลมาเล็กน้อยแล้ว ก่อนจะหันหน้าไปทางอื่นแล้วเอ่ย
“ฝึกอนาโตมี่ที่ไหน วาดภาพนู้ด[2]ล่ะสิไม่ว่า” ได้ฟังดังนั้นโกสุมก็หัวเราะคิกคักด้วยความเอ็นดู เพราะน้ำเสียงที่ออกจะงอนๆ และใบหน้าแดงระเรื่อของเผือก
“วาดเถอะนะ ถือว่าเป็นของขวัญให้พี่ละกัน”
“ภาพตัวเองเนี่ยนะเหรอคะที่เป็นของขวัญ?” เผือกกล่าวไปแล้วเริ่มผสมสีน้ำในจานใส่สี โกสุมเงียบไปพักหนึ่งจนอีกฝ่ายเกือบจะกล่าว “ขอเป็นเพียงภาพที่หนูวาด จะวาดอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละจ้ะ…”
น้ำเสียงนั้นเศร้าสร้อย หากไม่ฟังดีๆ จะไม่รู้สึกเลย เผือกวางพู่กันลงแล้วหันไปมองอีกฝ่ายที่มีสีหน้าเรียบเฉยอย่างแปลกใจ …ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นล่ะ? ทุกทีถึงจะมีสีหน้าเช่นนั้นแต่ก็ไม่เคยฉายความเศร้าออกมานี่
“พี่หมายความว่ายังไงคะ?” เผือกเข้าใจที่โกสุมกล่าว แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ความรู้สึกบอกว่าวาจาของอีกฝ่ายมีความนัยอื่นแฝงอยู่ โกสุมเพิ่งรู้สึกตัวว่าตนเองเป็นอันใดไปจึงแสร้งยิ้มหวาน
“ก็อย่างที่พูดไงจ๊ะ คนวาดรูปเก่งๆ อย่างหนูถ้าวาดให้ก็เป็นบุญอย่างเหลือล้นเลยล่ะจ้ะ” ฟังก็รู้ว่าแสร้ง แต่กลับมาเกือบเป็นเช่นเดิมแล้วก็ไม่อยากซักถามให้มากความ เพราะหากกล่าวไปเกรงว่าจะไปกระตุ้นบางอย่างที่ไม่ควรเข้า
“ชมเกินไปแล้ว มีศิลปินแนวหน้าของประเทศที่หากวาดรูปให้จะเป็นบุญมากกว่านะคะ หนูยังไม่ถึงครึ่งเลยค่ะ”
“ถ่อมตัวไป”
โกสุมเอ่ยเบาๆ พลางยิ้ม อีกฝ่ายเห็นว่าเถียงไปก็เปล่าประโยชน์เลยละความสนใจไปวาดรูปแทน ภาพเด็กหญิงผมสีควายเผือกที่กำลังสรรสร้างผลงานอยู่ในสายตาตลอด นัยน์สีขาวกระบังฉายความรู้สึกบางอย่างที่ยากจะคาดเดา หรี่ลงอย่างพินิจพร้อมกับใจที่ร่ำหา
ท่านนี่แหละ จิตรกรชั้นแนวหน้า…
จังหวัดชลบุรี (มิติสามัญ)
พอมาถึงทุกคนก็ลงจากรถยนต์แล้วเดินเข้าไปในตลาดนั้นที่มีผู้คนเดินกันขวักไขว่ อากาศเริ่มร้อนเพราะใกล้ยามทิวากาลแล้ว ศรีกับพงสณะเดินนำหน้าไปก่อนโดยไม่กลัวหลงทาง แต่ฝ่ายที่นำจริงๆ คือเด็กหญิงต่างหาก เจอบรรยากาศแบบสมัยก่อนอย่างตลาดน้ำกับสินค้าแบบไทยๆ ทำให้อดใจไม่ไหวจนต้องซื้อมา ตามจริงเธอไม่ใช่คนแบบนี้แต่เห็นอย่างที่กล่าวมาก็ต้องใช้เงินมากกว่าทุกที ทั้งๆ ที่อย่างอื่นไม่สนใจและซื้อน้อยมาก เรื่องนี้พงสณะทราบดีแต่ก็ไม่กลัวว่าเงินจะหมด …ก็นะ ผู้ที่มีเงินมากไม่ใส่ใจงบก็ไม่แปลก
ร้านนี้ก็เช่นกัน ไม่ว่าจะร้านไหนศรีก็ต้องหยุดมองด้วยแววตาเป็นประกายระยิบระยับ ถึงพงสณะจะไม่ใส่ใจเรื่องงบก็เถิดแต่ขนาดนี้ก็ไม่ไหวนะ เขามองถุงที่ถืออยู่เต็มมือและแขนทั้งสองข้างอย่างหวาดหวั่น …เชื่อหรือไม่ว่าทุกถุงเป็นของศรี ตามจริงเธอไม่ใช่คนที่ให้คนอื่นถือของ แต่วันนี้เจอของถูกใจหลายอย่างจนไม่สนเลยฝากพงสณะไว้ก่อน
…นี่ก็เป็นหนึ่งอีกความน่ากลัวของศรี เจอของอย่างอื่นไม่สน แต่พวกแนวไทยสมัยก่อนนี่เป็นต้องควักเงินจ่ายเพื่อให้ได้มาครอบครอง (ถึงส่วนใหญ่เขาจะเป็นคนจ่ายก็ตามที)
“ศรี… แวะกินอะไรหน่อยไหม ฉันเริ่มหิวแล้ว” ใช้แรงมากจะหิวก็ไม่แปลก ศรีหันมามองครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “อื้ม หิวอยู่พอดีเลย ทานที่ร้านนั้นนะ” พงสณะมองตามว่าเป็นร้านอะไรแล้วพบว่าเป็นร้านขายก๋วยเตี๋ยวเรือ เขาพยักหน้าก่อนจะเดินต่อพร้อมกับศรี
ถึงจะเหนื่อยแล้วเงินลดหายไปมากก็เถอะ แต่วันนี้ศรียิ้มสวยจริงๆ เมื่อกี้เสียงก็หวานกว่าเดิมด้วย
จากความเหนื่อยแปรเปลี่ยนเป็นสดชื่นแทน ถึงที่ทำไปเพื่ออีกฝ่ายจะมาก แต่สิ่งตอบแทนเล็กๆ นั้นมีค่าสำหรับเขายิ่งกว่าอัญมณี ภาพเด็กหญิงที่เดินนำหน้าแล้วหันมาคุยเป็นพักๆ ซึ่งมีแสงอาทิตย์ส่องลงมาจนพร่าเลือนนั้นงดงามมาก…
…มากเสียจนไม่มีอัญมณีหรือบุปผาใดๆ มาเทียบได้…
[1] Anatomy (อ่านว่า อแนท’โทมี่) แปลว่า กายวิภาคศาสตร์ คือ วิชาที่กล่าวถึงส่วนต่างๆ ซึ่งประกอบขึ้นเป็นรูปร่างลักษณะร่างกายมนุษย์หรือสัตว์
[2] Nude (อ่านว่า นู้ด) แปลว่า เปลือยกาย
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
สิ่งตอบแทนเล็กๆ ที่มีค่า
วันอาทิตย์ที่ ๑๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๘
เช้า
ตามที่บอกไว้ เมื่อเปิดประตูรั้วรับแขกระหว่างทานอาหารเช้าก็พบว่า พงสณะกับครอบครัวของเขามายืนรออยู่หน้าเรือนพร้อมของฝากแล้ว รถยนต์ที่โดยสารมานั้นจอดริมรั้ว ศรีและอสุรายกมือไหว้แล้วกล่าวเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายเข้าไป ทักทายตามประสาคนรู้จัก ระหว่างที่สนทนาอยู่นั้นพงสณะก็เขยิบมานั่งใกล้ศรีอย่างเนียนๆ เธอสลับที่นั่งให้อสุรามาคั่นกลางแทน พงสณะเห็นดังนั้นก็ไม่กล้าย้ายไปนั่งตาม ยิ่งแววตาเยือกเย็นที่มองมาจากอสุราทำให้เขาแทบจะนิ่งยิ่งกว่ารูปปั้น
“ว่าแต่เอวัณกับปาราวีหายไปไหนเหรอจ๊ะ?”
“ไปทำงานน่ะค่ะ”
อสุราตอบด้วยน้ำเสียงเรียบผิดกับทีแรกที่สดใส รอยยิ้มเริ่มจางหาย ศรีและพงสณะที่สังเกตถึงความผิดปรกติจึงมองหน้ากันครู่หนึ่งด้วยแววตาฉงน ก่อนจะหันกลับไปดังเดิม ระหว่างนั้นการสนทนาระหว่างอสุราและพ่อแม่ของพงสณะก็ดำเนินต่อไปโดยที่สีหน้าของอสุราเริ่มกลับมาเป็นปรกติ
“จริงด้วย ป้าว่าจะชวนหนูกับน้องไปเที่ยวน่ะจ้ะ”
“ไปเที่ยวเหรอคะ? ขอบคุณจริงๆ ค่ะ แต่ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ไม่สามารถไปได้ นี่ก็จะเปิดเทอมแล้วเลยต้องเตรียมตัวน่ะค่ะ”
“อย่าใส่ใจมากนักเลย พักบ้างก็ดีนะจ๊ะ” อสุรายิ้มบางๆ ก่อนจะกล่าว “ขอบคุณค่ะ ว่าแต่จะไปที่ไหนเหรอคะ?” แม่ของพงสณะเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะมองผู้เป็นลูกแล้วถาม
“ลูกจะพาพี่อสุรากับหนูศรีไปไหนเหรอจ๊ะ เห็นว่าคุยกันทางจดหมายแล้วนี่” อสุราค่อยๆ หุบยิ้มอีกครั้ง ศรีที่เห็นดังนั้นก็มีท่าทางร้อนรนเล็กน้อย กังวลที่ทำให้อสุราไม่สบายใจจนนึกอยากจะฉีกจดหมายนั่น แต่ก็ไม่ทันเสียแล้วเพราะถูกเปิดโปงโดยแม่ของพงสณะ ต่อจากนี้เธออาจจะไม่ได้ออกจากบ้านไปหย่อนจดหมายใส่ตู้ไปรษณีย์แล้วแน่ๆ เลย
“คือ…” อสุราหยุดไว้เท่านั้นเพราะไม่ทราบว่าศรีกับพงสณะจะไปไหน ดวงตาสีดำเหลือบมองผู้เป็นน้องสาวอย่างจับผิดแต่ก็แฝงไปด้วยความเป็นห่วง เจ้าตัวก้มหน้างุดๆ เพราะไม่กล้าสบแววตา ใจเต้นแรงมากกว่าเดิม ภาวนาไปด้วยว่าสถานการณ์ตอนนี้จะราบรื่น พงสณะเห็นเธอมีท่าทีไม่ดีตั้งแต่ที่แม่ของตนเองกล่าวจบก็ตอบแทน
“ไปตลาดน้ำกับทุ่งดอกบัวน่ะครับ”
“เลือกได้ดีนี่จ๊ะ ถ้าอย่างนั้นตกลงตามนี่นะคุณ” แม่ของพงสณะหันไปกล่าวกับสามีของตนเอง หลังจากนั้นก็สนทนากันต่อโดยที่อสุราแทบจะไม่ได้ฟังสิ่งที่อีกฝ่ายกล่าวเลย
ปล่อยไว้ไม่ได้แล้ว…
.
.
.
ผ่านไปไม่นานนักอสุราก็ขอตัวมาสนทนากับศรีเป็นการส่วนตัว โดยให้ครอบครัวอีกฝ่ายทานขนมพลางดูโทรทัศน์ไปก่อน เมื่อเดินมาถึงหลังบ้านซึ่งมีชิงชังไม้อยู่ทั้งสองก็นั่งลงก่อนผู้เป็นพี่สาวจะกล่าว
“คุยผ่านจดหมายมานานเท่าไหร่แล้ว?” ไม่มีการเกริ่นอะไรทั้งสิ้น ศรีกลืนน้ำลายอึกหนึ่งแล้วตอบ
“ประมาณสามหรือสี่ปีนี่แหละค่ะ”
เอ่ยจบก็ก้มหน้ามองตักตนเองแทนพี่สาว อสุรามองผู้เป็นน้องนิ่งๆ พลางพยายามสงบสติอารมณ์ไม่ให้เผลอเอ่ยทำร้ายจิตใจมากไป ตอนนี้ศรีก็เริ่มขึ้นมัธยมแล้วซึ่งนั่นก็หมายความว่าเจ้าตัวไม่ใช่เด็กอีกต่อไป …แต่ก็นั่นแหละนะ โตแต่ตัวแต่ใช่ว่าความคิดจะโตตามไปด้วย แม้อสุราทราบดีว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนเช่นนั้น ด้วยความที่ศรีมีความคิดละเอียดอ่อนและไม่วู่วามเหมือนเด็กคนอื่นๆ กระนั้นก็ต้องระมัดระวังไว้ก่อนอยู่ดี อสุราถอนหายใจก่อนจะกล่าว
“ถ้าเป็นไปได้พี่ก็อยากให้หนูเลิกคุยกับเขา ไม่ว่าจะทางจดหมายหรือโทรศัพท์ก็ตาม” ศรีใจหายวาบอย่างน่าแปลกใจ ผิดหวังขึ้นมาด้วยเหตุอันใดก็ไม่อาจทราบ ความคิดไม่ดีอย่างหนึ่งผุดขึ้นมาว่าตนเองมีใจให้พงสณะบ้างแล้ว แต่ก็ปฏิเสธมันไปเพราะไม่อยากให้ความรู้สึกมาบงการตนเอง
“ค่ะ…” ตอบรับเสียงแผ่วเบา อสุรารู้สึกผิดเล็กน้อยที่ไปกีดกันน้องสาวกับชายผู้ที่รักเจ้าตัว แต่เพราะอยากให้ศรีมีชีวิตที่ดี… กล่าวเช่นนี้คงเกินไปแต่ใครรู้ล่ะว่าการสร้างความผูกพันนั้น พอถึงปลายทางแล้วมันจะถูกทำลายซึ่งเป็นการทารุณจิตใจอย่างยิ่ง ฉะนั้นแล้วเธอต้องหยุดเสียแต่ตอนนี้
…กันไว้ดีกว่าแก้…
.
.
.
หลังจากที่สนทนากันเสร็จก็ไปนั่งรถแล่นออกไปโดยที่ขออนุญาตผู้ปกครองแล้ว อสุรากับศรีก็แทบจะไม่ได้เอ่ยอะไรกันอีกเลย ไม่ใช่ว่าทั้งสองคนโกรธแต่มองหน้าไม่ติดต่างหาก ยังไงนะ เหมือนกับไม่มีหน้าสนทนาด้วยกันเพราะอะไรก็ไม่รู้ พงสณะจึงเป็นฝ่ายชวนศรีมาพูดคุยแทนโดยไม่สนใจผู้เป็นพี่เลย ถึงแม้จะรู้สึกว่าอสุราจ้องมาเป็นระยะแต่ก็ทำเป็นไม่รู้สึกรู้สาอะไร
ดวงตาสีดำสองคู่จ้องกันครู่หนึ่งก่อนจะเบนความสนใจไปทางอื่นโดยที่ศรีไม่รู้ตัว
…ตามจริงแล้วก่อนหน้าและช่วงนี้ที่อสุรากล่าวตักเตือนศรีก็เพราะเป็นห่วง… ทว่านั่นเป็นเพียงเปลือกนอกเพราะแท้จริงแล้วเธอตกหลุมรักน้องสาวสายเลือดเดียวกันต่างหาก ยิ่งเจ้าตัวขึ้นมัธยมแล้วความรู้สึกจากเพื่อนก็จะค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความรัก แล้วด้วยความที่เธอเป็นพี่สาวการแสดงความรักและความเป็นห่วงทำให้ศรีไม่รู้ตัวจนว่าพี่สาวรักตนเองในเชิงชู้สาว …นั่นแหละที่อสุรากังวลจริงๆ เพราะเป็นพี่สาวสายเลือดเดียวกันอย่างไรเล่าถึงไม่กล้าบอกความรู้สึกให้น้องสาวตนเองรับรู้
…ไม่รับรักนี่ก็เจ็บแล้ว หากเกลียดขึ้นมาจริงๆ ความสัมพันธ์จะไม่ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่หรือ?
อสุราหลุบตาลง ไม่ได้จดจ่อกับสิ่งใด ดวงตาเหม่อลอยระหว่างที่ปล่อยความรู้สึกให้ไปไกล …ภาวนาในใจว่าหากศรีโตพอจะรับรู้เมื่อไหร่จนอสุราสารภาพรัก ก็ขอให้น้องสาวตนเองยอมรับ
…แม้จะไม่ได้หัวใจดวงนั้นมาครองก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย…
ณ ชานเรือนไทยซึ่งเคยเป็นที่สอนและเรียนแทนอาคารนั้นมีเด็กชายผมสีน้ำตาลไหม้ สวมชุดนักเรียนประถมและนุ่งโจงกระเบน กำลังเลื่อนดูภาพใบโพธิ์ในโทรศัพท์ด้วยแววตาอาลัยอาวรณ์ …ยิ่งมองใจก็ยิ่งร่ำหา แม้จะไม่สามารถบอกได้แน่ชัดว่าใบโพธิ์เป็นผู้นำทางแห่งวายชนม์จริง แต่ใบหน้าอันคุ้นเคยนั้นเหมือนกับคนที่เขารักไม่มีผิด …จะใครเสียอีกก็ผู้นำทางแห่งวายชนม์อย่างไรเล่า น้อยคนนักที่จะรู้ว่าเขารักอีกฝ่ายมากเพียงใด เจ้าตัวเองก็มีความรู้สึกเช่นนี้ไม่แพ้กัน ทว่าด้วยความที่อีกฝ่ายเป็นผู้มีชื่อเสียงของโรงเรียนทำให้ไม่อาจเปิดเผยความสัมพันธ์นี้ได้ กระนั้นเด็กชายผมสีน้ำตาลไหม้ก็ไม่น้อยใจ ขอเพียงได้อยู่ใกล้ชิดกับผู้นำทางแห่งวายชนม์ก็พอแล้ว
แต่แล้วความสุขก็มลายเมื่อผู้นำทางแห่งวายชนม์หายตัวไป หลังจากทราบเรื่องนี้เด็กชายผมสีน้ำตาลไหม้พร้อมกับนักเรียนและนักศึกษาคนอื่นๆ ก็ออกตามหาจนแทบทุกภาค …ไม่ได้ตาฝาดไปหรอก เกือบทุกภาคจริงๆ ถ้าสงสัยว่าทำไมถึงต้องตามหาจนจะเป็นจะตายก็คงต้องตอบว่า ผู้ที่เปรียบเสมือนยมทูตแต่ละโรงเรียนนั้นจะต้องผ่านพิธีกรรมและมีพลังในสิ่งที่ผู้อื่นไม่มี …ไม่สิ พลังที่ว่านั่นต้องทนกับบางสิ่งบางอย่างได้ ซึ่งตัวเขาเองและคนอื่นๆ ก็ไม่รู้ว่าคืออะไร
เด็กชายผมสีน้ำตาลไหม้เก็บโทรศัพท์ก่อนจะนั่งนิ่งๆ …เหม่อมองท้องฟ้าสีหม่นที่มีหิมะโปรยลงมาพลางภาวนาในใจว่าใบโพธิ์จะเป็นผู้นำทางแห่งวายชนม์จริงๆ
ใจร่ำร้องและทรมานเหลือแสน ในโลกนี้มีไม่กี่อย่างที่เขากลัว …หนึ่งในนั้นก็คือการพรากจากผู้ที่ตนเองรัก
หวังว่าพวกโรงเรียนดอกคูนจะมีทำการใดกับเจ้าดอกนะ…
.
.
.
ในขณะนั้นก็มีผู้ที่ภาวนาให้คนรักตนเองไม่เป็นอะไรและปลอดภัยเช่นกัน เด็กชายผมสีดำเกล้ามวยผมปล่อยส่วนที่เหลือลงมาเล็กน้อย ประดับด้วยปิ่นปักผมกับพู่กัน …นามของเด็กชายคนนี้คือ เบญจราชพฤกษ์ (นามสกุลไม่เปิดเผย) เขานึกถึงคนรักของตนที่เป็นเปรียบเสมือนกับยมทูตเช่นเดียวกับผู้นำทางแห่งวายชนม์ ที่ถูกจับเป็นตัวประกัน
หัวใจสองดวงเรียกหา โดยที่เจ้าตัวของคนหนึ่งรู้ตัว ส่วนเจ้าตัวของอีกคนไม่รู้ตัวเพราะสูญเสียความทรงจำ…
ราชพฤกษ์ หรืออีกชื่อหนึ่งว่า คูน ไล่ความคิดฟุ้งซ่านก่อนจะลากปลายขนพู่กันที่แต้มสีหม่น ภาพบนผ้าใบนั้นเป็นรูปเด็กชายที่ผู้วาดคิดถึง โทนสีและอารมณ์นั้นมืดมนเช่นเดียวกับผู้ถูกเป็นแบบและผู้วาด
ระหว่างนั้นเองก็มีเด็กหญิงผมสีควายเผือกเกล้าเป็นมวยหย่อมๆ หย่อนลงมา ประดับด้วยพู่กันตั้งแต่ขนาดเล็กสุดไปจนถึงใหญ่สุด สวมชุดนักเรียนของชั้นประถม สะพายทับด้วยกระเป๋าใบค่อนข้างใหญ่ซึ่งใส่สมุดวาดรูป เธอเข้ามาในห้องเงียบๆ เพราะทราบดีว่าผู้ที่มาในห้องศิลปะสำหรับนักเรียน ม.๑ ของอาคารศิลป์ (ซึ่งเป็นเรือนไทยหลายชั้น) ที่ชั้น ๔ บ่อยแล้วอยู่เป็นคนสุดท้ายคือใคร และกำลังอยู่ในอารมณ์ใดจึงไม่กล้าส่งเสียง เธอเดินมานั่งที่ประจำของตนเองซึ่งอยู่ไม่ไกลกับเด็กชายผมสีดำมากนัก
หลังจากเข้ามาแล้วก็ตามด้วยเด็กสาวในชุดมัธยมต้นปกกะลาสีเรือคอกว้าง ผูกคอซองสีน้ำเงินใต้ปก ผมสีเหลืองรงค์หยักศกช่วงปลายยาวเกือบถึงกลางหลัง มัดเป็นจุกต่ำหลวมๆ ดวงตากลมโตเรียวเล็กน้อยนั้นหยาดเยิ้มพิกลยามมองเด็กหญิงผมสีควายเผือกทำให้เจ้าตัวขนลุกขึ้นมา รอยยิ้มหวานหยดย้อยแย้มบนใบหน้าที่ออกเรียบเฉย แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ อีกฝ่าย โดยไม่สนใจสายตาที่ฉายแววอิจฉาจากเด็กชายผมสีดำที่ถูกพรากจากคนรักของตนเอง เขาทำเป็นมองไม่เห็นและพยายามไม่สนใจ วาดรูปไปเรื่อยๆ ระหว่างนั้นก็มีเสียงพูดคุยดังเจื้อยแจ้วเบาๆ จากคนสองคนในห้อง
น่าอิจฉาเสียจริง
คูนเก็บอุปกรณ์พร้อมกับผ้าใบวาดก่อนจะออกจากห้องเพราะทนไม่ไหว เหมือนถูกเย้ยอย่างไรไม่รู้ แม้ทราบแก่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้ทำเช่นนั้นก็ตามที แต่ขืนทนต่อไปน้ำตาได้ไหลแน่…
.
.
.
พอออกไปแล้วพร้อมกับน้ำตาที่คลอตามขอบตา เด็กหญิงผมสีควายเผือกก็มองไปด้วยความเห็นใจ ถึงจะไม่เข้าใจอีกฝ่าย แต่สีหน้าที่หมองเศร้านั้นทำให้เธอเข้าใจความรู้สึกดี เด็กสาวผมสีเหลืองรงค์เหลือบมองด้วยแววตาเห็นใจครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับเป็นสดใสและหยาดเยิ้มดังเดิม
“น้องก็วาดรูปเหมือนคนจริงได้นี่ทำไมถึงไม่วาดล่ะจ๊ะ? ถ้าเกรงใจวาดพี่ก็ได้นะ เผือก”
พอผู้อื่นไม่อยู่เด็กสาวก็ปลดกระดุมเหล็ก ถอดคอซองออกก่อนจะเขยิบกายและเก้าอี้ให้ใกล้เด็กหญิงเจ้าของนาม เผือก ซึ่งเป็นชื่อเล่นที่ปิดบังผู้อื่นเพราะฟังแล้วไม่ไพเราะนั้นมีนามจริงว่า สิปปวิชญ์จรูญ สิรภาสโสภณา หรือในนามที่ให้ผู้อื่นเรียกว่า สิปโปทัย
เผือกเอนร่างห่างเล็กน้อยเพราะหวาดหวั่น ถึงจะโดนเด็กสาวนาม โกสุมสุขุมฉวี (นามสกุลไม่เปิดเผย) ทำเช่นนี้มาตั้งแต่อยู่ ป.๕ ก็ยังไม่ชินเสียที นับวันยิ่งเข้าใกล้มากกว่าเดิมแถมทำท่าจะพาขึ้นเตียงเกือบทุกที
“วาดน่ะวาดได้ค่ะ แต่ที่เสนอตัวพี่เป็นแบบ หนูว่าคงไม่ใช่การวาดภาพเหมือนหรอกค่ะ”
“รู้ได้ไงจ๊ะ?” เผือกมองโกสุมอย่างเหนื่อยหน่าย แต่ก่อนก็จะพาขึ้นเตียงมากกว่าวาดรูปหลายรอบ ถ้าไม่เอะใจว่าให้วาดภาพเปลือยกายก็คงซื่อไปกระมัง
“ก็…” เผือกเว้นไว้ก่อนจะกล่าวต่อ “ไม่บอกค่ะ ที่ผ่านมาพี่แสดงออกขนาดนั้นถ้าหนูดูไม่ออกก็คงเขลาไปกระมังคะ”
“แหม พี่หวังดีนะ วาดภาพเปลือยๆ จะได้ฝึกอนาโตมี่[1]ไปในตัวไงจ๊ะ”
มือขาวผ่องไล้ลากผ่านร่องอกที่เผยให้เห็นแวบๆ แวมๆ เด็กหญิงผมสีควายเผือกหายใจอย่างยากลำบาก รู้สึกถึงความอุ่นร้อนในจมูกที่มีกลิ่นคาวๆ เธอลนลานจนเผลอหยิบผ้าที่ไว้เช็ดอุปกรณ์วาดรูปมาเช็ดเลือดกำเดาที่ไหลมาเล็กน้อยแล้ว ก่อนจะหันหน้าไปทางอื่นแล้วเอ่ย
“ฝึกอนาโตมี่ที่ไหน วาดภาพนู้ด[2]ล่ะสิไม่ว่า” ได้ฟังดังนั้นโกสุมก็หัวเราะคิกคักด้วยความเอ็นดู เพราะน้ำเสียงที่ออกจะงอนๆ และใบหน้าแดงระเรื่อของเผือก
“วาดเถอะนะ ถือว่าเป็นของขวัญให้พี่ละกัน”
“ภาพตัวเองเนี่ยนะเหรอคะที่เป็นของขวัญ?” เผือกกล่าวไปแล้วเริ่มผสมสีน้ำในจานใส่สี โกสุมเงียบไปพักหนึ่งจนอีกฝ่ายเกือบจะกล่าว “ขอเป็นเพียงภาพที่หนูวาด จะวาดอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละจ้ะ…”
น้ำเสียงนั้นเศร้าสร้อย หากไม่ฟังดีๆ จะไม่รู้สึกเลย เผือกวางพู่กันลงแล้วหันไปมองอีกฝ่ายที่มีสีหน้าเรียบเฉยอย่างแปลกใจ …ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นล่ะ? ทุกทีถึงจะมีสีหน้าเช่นนั้นแต่ก็ไม่เคยฉายความเศร้าออกมานี่
“พี่หมายความว่ายังไงคะ?” เผือกเข้าใจที่โกสุมกล่าว แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ความรู้สึกบอกว่าวาจาของอีกฝ่ายมีความนัยอื่นแฝงอยู่ โกสุมเพิ่งรู้สึกตัวว่าตนเองเป็นอันใดไปจึงแสร้งยิ้มหวาน
“ก็อย่างที่พูดไงจ๊ะ คนวาดรูปเก่งๆ อย่างหนูถ้าวาดให้ก็เป็นบุญอย่างเหลือล้นเลยล่ะจ้ะ” ฟังก็รู้ว่าแสร้ง แต่กลับมาเกือบเป็นเช่นเดิมแล้วก็ไม่อยากซักถามให้มากความ เพราะหากกล่าวไปเกรงว่าจะไปกระตุ้นบางอย่างที่ไม่ควรเข้า
“ชมเกินไปแล้ว มีศิลปินแนวหน้าของประเทศที่หากวาดรูปให้จะเป็นบุญมากกว่านะคะ หนูยังไม่ถึงครึ่งเลยค่ะ”
“ถ่อมตัวไป”
โกสุมเอ่ยเบาๆ พลางยิ้ม อีกฝ่ายเห็นว่าเถียงไปก็เปล่าประโยชน์เลยละความสนใจไปวาดรูปแทน ภาพเด็กหญิงผมสีควายเผือกที่กำลังสรรสร้างผลงานอยู่ในสายตาตลอด นัยน์สีขาวกระบังฉายความรู้สึกบางอย่างที่ยากจะคาดเดา หรี่ลงอย่างพินิจพร้อมกับใจที่ร่ำหา
ท่านนี่แหละ จิตรกรชั้นแนวหน้า…
จังหวัดชลบุรี (มิติสามัญ)
พอมาถึงทุกคนก็ลงจากรถยนต์แล้วเดินเข้าไปในตลาดนั้นที่มีผู้คนเดินกันขวักไขว่ อากาศเริ่มร้อนเพราะใกล้ยามทิวากาลแล้ว ศรีกับพงสณะเดินนำหน้าไปก่อนโดยไม่กลัวหลงทาง แต่ฝ่ายที่นำจริงๆ คือเด็กหญิงต่างหาก เจอบรรยากาศแบบสมัยก่อนอย่างตลาดน้ำกับสินค้าแบบไทยๆ ทำให้อดใจไม่ไหวจนต้องซื้อมา ตามจริงเธอไม่ใช่คนแบบนี้แต่เห็นอย่างที่กล่าวมาก็ต้องใช้เงินมากกว่าทุกที ทั้งๆ ที่อย่างอื่นไม่สนใจและซื้อน้อยมาก เรื่องนี้พงสณะทราบดีแต่ก็ไม่กลัวว่าเงินจะหมด …ก็นะ ผู้ที่มีเงินมากไม่ใส่ใจงบก็ไม่แปลก
ร้านนี้ก็เช่นกัน ไม่ว่าจะร้านไหนศรีก็ต้องหยุดมองด้วยแววตาเป็นประกายระยิบระยับ ถึงพงสณะจะไม่ใส่ใจเรื่องงบก็เถิดแต่ขนาดนี้ก็ไม่ไหวนะ เขามองถุงที่ถืออยู่เต็มมือและแขนทั้งสองข้างอย่างหวาดหวั่น …เชื่อหรือไม่ว่าทุกถุงเป็นของศรี ตามจริงเธอไม่ใช่คนที่ให้คนอื่นถือของ แต่วันนี้เจอของถูกใจหลายอย่างจนไม่สนเลยฝากพงสณะไว้ก่อน
…นี่ก็เป็นหนึ่งอีกความน่ากลัวของศรี เจอของอย่างอื่นไม่สน แต่พวกแนวไทยสมัยก่อนนี่เป็นต้องควักเงินจ่ายเพื่อให้ได้มาครอบครอง (ถึงส่วนใหญ่เขาจะเป็นคนจ่ายก็ตามที)
“ศรี… แวะกินอะไรหน่อยไหม ฉันเริ่มหิวแล้ว” ใช้แรงมากจะหิวก็ไม่แปลก ศรีหันมามองครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “อื้ม หิวอยู่พอดีเลย ทานที่ร้านนั้นนะ” พงสณะมองตามว่าเป็นร้านอะไรแล้วพบว่าเป็นร้านขายก๋วยเตี๋ยวเรือ เขาพยักหน้าก่อนจะเดินต่อพร้อมกับศรี
ถึงจะเหนื่อยแล้วเงินลดหายไปมากก็เถอะ แต่วันนี้ศรียิ้มสวยจริงๆ เมื่อกี้เสียงก็หวานกว่าเดิมด้วย
จากความเหนื่อยแปรเปลี่ยนเป็นสดชื่นแทน ถึงที่ทำไปเพื่ออีกฝ่ายจะมาก แต่สิ่งตอบแทนเล็กๆ นั้นมีค่าสำหรับเขายิ่งกว่าอัญมณี ภาพเด็กหญิงที่เดินนำหน้าแล้วหันมาคุยเป็นพักๆ ซึ่งมีแสงอาทิตย์ส่องลงมาจนพร่าเลือนนั้นงดงามมาก…
…มากเสียจนไม่มีอัญมณีหรือบุปผาใดๆ มาเทียบได้…
[1] Anatomy (อ่านว่า อแนท’โทมี่) แปลว่า กายวิภาคศาสตร์ คือ วิชาที่กล่าวถึงส่วนต่างๆ ซึ่งประกอบขึ้นเป็นรูปร่างลักษณะร่างกายมนุษย์หรือสัตว์
[2] Nude (อ่านว่า นู้ด) แปลว่า เปลือยกาย
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ