ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
108) บทที่ ๑๐๗ : ขาดเพียงหนึ่งก็มลายไปทั้งหมด
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๑๐๗
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
ขาดเพียงหนึ่งก็มลายไปทั้งหมด
อสุราไม่ได้ตามศรีกับพงสณะไปด้วย หากยามปรกติเธอจะต้องไล่ตามให้น้องสาวอยู่ไม่เกินสายตาตนเอง แต่ตอนนี้อารมณ์หม่นหมองและความคิดมาก ทำให้เธอไม่มีกะจิตกะใจจะตามไป
วันนั้นต้องมาถึงแน่ๆ การแต่งงานของศรีกับพงสณะ หากเราสารภาพรักไปเรื่องจะเป็นยังไงต่อนะ?
ระหว่างที่เดินพลางมองพื้นอย่างเหม่อลอยโดยไม่เกรงชนใครเข้า เสียงจากโทรศัพท์ก็ดังขึ้น อสุราได้สติก็หยิบมันขึ้นมาแล้วทำท่าจะกดตัดสาย แต่พอเหลือบเห็นว่าใครติดต่อมาเธอก็กดรับก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ
“สวัสดีค่ะ ที่โทรฯ มาคงไม่ใช่จะมากวนหรอกใช่ไหมคะ?”
“[เป็นครอบครัวเดียวกันแท้ๆ แต่กล่าวเช่นนี้มันห่างเหินนัก เอาเถิด เจ้าคงเจออะไรมาหลายอย่างเลยมิมีกะจิตกะใจสินะ]” อสุรามีสีหน้าเคร่งขรึม ใจเคว้งคว้างเมื่อนึกถึงความอบอุ่นในครอบครัวที่แท้จริงซึ่งตนเองไม่เคยสัมผัส
“ท่านคงไม่คิดหรอกใช่ไหม ว่าการไม่ได้อยู่กับครอบครัวจริงๆ ของตนเองจะมีความสุขน่ะ?”
“[ข้ามิเคยคิด เจ้าก็เหมือนกับข้านั่นแล แทนที่จะได้แต่งกับคนที่ตนเองรักจริงๆ แต่ต้องมาแต่งกับคนที่มิได้รักเพราะปัญหาของตระกูล เช่นนั้นก็มิมีความสุข …เฮ้อ เรื่องนี้ก็นานมากแล้ว ขุดคุ้ยอีกก็มีแต่จะทำให้คิดมาก จะว่าไปตอนนี้เจ้ากับศรีทำอันใดอยู่ล่ะ?]”
คำถามนั้นเสมือนมีดเฉือนหัวใจ เพราะสิ่งที่น้องสาวตนเองทำอยู่คือการเดินชมและซื้อของกับคู่หมั้นตนเอง ปลายสายรู้สึกว่าอีกฝ่ายเงียบนานจนผิดปรกติเลยเดาออกว่าอสุรารู้สึกเช่นไร และเหตุที่ทำให้เจ้าตัวเป็นเช่นนั้นเป็นเพราะอันใด เมื่อทราบด้วยตนเองเช่นนั้นจึงไม่ซักถามให้เสียความรู้สึกมากกว่าเดิม เขาเปลี่ยนเรื่อง
“[มิคิดจะสารภาพฤ? ถึงรักอาจจะมิสมหวัง แต่อย่างน้อยเราก็ทำในสิ่งที่ดีที่สุดแล้วนี่? หากกลัวว่าศรีจะรังเกียจเรื่องนั้นเจ้าวางใจได้เลย]” น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความมั่นใจ ดวงตาสีดำของอสุราที่หม่นหมองแปรเปลี่ยนเป็นแวววาว ความหวังที่ริบหรี่ดุจไฟนั้นกลับมาโชติช่วงอีกครั้ง
“ฟังดูมั่นใจจังเลยนะคะ อะไรเป็นสิ่งยืนยันว่าศรีจะยอมรับหนูเหรอคะ?”
“[เจ้าทบทวนสิ่งที่ตนเองทำ และความเป็นไปได้ถึงอุปนิสัยของเจ้าตัวสิ แล้วจะรู้ว่าทำไมข้าถึงมั่นใจ]” อสุราฟังอีกฝ่ายไปพลางเดิน หลังจากที่หยุดจนขวางผู้อื่นมาสักพักแล้ว เธอยิ้มบางๆ ก่อนจะกล่าว
“ไม่นึกเลยว่าท่านจะหวังดีต่อหนูด้วย”
“[หลานทั้งคน ถ้ามิคิดทำอะไรที่ดีต่อกันก็คงจะไร้เยื่อใยเกินไป …ข้าขอตัวก่อนล่ะ มิมีอันใดจะคุยแล้วน่ะ]” กล่าวจบก็ตัดสายไป อสุราหงุดหงิดเล็กน้อยที่อีกฝ่ายทำเช่นนั้น นึกอยากจะมาก็มา นึกอยากจะไปก็ไป
…แต่เอาเถิด อย่างน้อยก็มีเรื่องดีๆ ที่น่าจะเกิดขึ้นล่ะนะ
“สุดท้ายแล้วนางก็ทำมิสำเร็จสินะ?” ผู้อาวุโสแห่งภาคใต้กล่าวอย่างเบื่อหน่าย ตอนนี้นางกับผู้อาวุโสคนอื่นกำลังนั่งอยู่กับโต๊ะเตี้ยที่ทำจากไม้แกะสลัก ผู้อาวุโสแห่งพยักหน้าก่อนจะกล่าว
“ใช้มิได้จริงๆ ด้วย คดีต่อไปที่กำลังเกิดขึ้นนี้ก็คือราชินีหิมะ หวังว่าจะมิทำให้ผิดหวังล่ะ”
“ข้าก็หวังเช่นนั้น” ผู้อาวุโสแห่งภาคใต้กล่าว ดวงตาสีดำเหลือบมองหญิงสาวสวมหน้ากากคล้ายหุ่นกระบอกไทย ซึ่งกำลังเหม่อมองไปยังท้องฟ้า ก่อนจะหรี่ตาอย่างพินิจ
“จะว่าไปแล้วศรีล่ะ? เมื่อใดเจ้าจะนำดวงตามาให้พวกข้า?” หญิงสาวสวมหน้ากากแบบหุ่นกระบอกหันมาอย่างช้าๆ นางเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตอบ “ไฉนถึงต้องนำมาให้พวกเจ้าล่ะ แล้วอีกอย่าง… ข้าจะได้สิ่งใดตอบแทน?”
“เจ้าได้อยู่แล้ว เพียงแต่มิให้ความร่วมมือเท่านั้นเอง อย่าลืมสิว่าเป้าหมายของพวกเราคืออันใด?” ผู้อาวุโสแห่งภาคอีสานกล่าวขึ้นมาหลังจากที่ฟังอยู่พักหนึ่ง หญิงสาวสวมหน้ากากหันไปมองก่อนจะเอ่ย
“เป้าหมายหาได้สำคัญเท่าศรีไม่ หากทำเช่นนั้นมิเท่ากับข้าทำร้ายดวงใจตนเองฤๅอย่างไร?” ทุกคนเงียบไป เวลาผ่านไปพักหนึ่งในที่สุดผู้อาวุโสแห่งภาคเหนือก็กล่าวขึ้นเบาๆ
“ความรัก… เจ้าให้ความสำคัญกับมันมากไป ---อย่าลืมสิว่าสุดท้ายแล้วมันก็มิยั่งยืนเท่ากับสิ่งที่เรากำลังจะได้มันมาดอก” น้ำเสียงนั้นแฝงความรู้สึกบางอย่างที่สั่นคลอน …คนอื่นๆ ในห้องต่างเพิกเฉยต่อความรู้สึกนั้น
…พวกนางเป็นเพียงผู้ร่วมงาน
…ความรู้สึกของอีกฝ่ายจะเป็นอย่างไรก็ช่าง
…ขอเพียงอีกฝ่ายไม่ทำอะไรให้ตนเองเดือดร้อน
…จะเป็นอย่างไรก็ช่างอีกนั่นแหละ
“เสียงเจ้าสั่นนะ เมื่อครู่น่ะ”
เสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่น่าแปลกนักที่ทุกคนกลับได้ยินชัดเจน ระหว่างนั้นเจ้าของวาจาก็เดินเข้ามาในห้อง เป็นหญิงสาวผมสีขาวเหลือบปลายสีชาดยาวเกือบถึงเอว เป็นลอนเกลียวใหญ่ทั้งๆ ที่ไม่ได้ดัด ใส่สร้อยคล้ายรูปพระจันทร์เสี้ยวกลับด้านสีเงิน ผ้าสีชมพูอ่อนแก่มีสีขาวพาดเป็นลายเส้นๆ พันรอบอกและปล่อยชายซึ่งมีลายหางสะเปามาด้านหน้า แขนเสื้อที่เหมือนตัดมาจากชุดเสมือนปลอกแขน แบ่งเป็นชั้นสีได้แก่ สีเขียว สีเหลือง สีเขียว สีส้มและสีแดงที่มีลายไทย นุ่งโจงกระเบนสีดำเลยเข่ามาเล็กน้อย ทับด้วยผ้าคลุมที่ไม่ยาวนักเสมือนกระโปรงลายไทยแบบอีสาน ซึ่งชายผ้าเป็นเกลียวลดหลั่นจากที่ข้างหน้าสั้นไปข้างหลังที่ยาวจนถึงหัวเข่า ข้อเท้าข้างซ้ายใส่กำไลสีเงิน
ดาบไทยที่มีสองด้ามในอันเดียวกันสอดใต้ที่คาดเอวซึ่งเป็นแผ่นสีเงินกลมๆ ตามด้วยห่วงสีเงินที่มีขนาดเล็กเรียงซ้อนกันสามชั้น ใบหน้าซีกขวาถูกบดบังด้วยหน้ากากผีตาโขนสีไข่ซึ่งสานจากไม้ไผ่ ตาที่ใหญ่เรียว ปากและจมูกที่ยาวโค้งสีน้ำตาลมีลายไทยด้วย เว้นเสียแต่ฟันและเขี้ยวเป็นสีขาวจากการทาสี ที่คาดหน้าผากซึ่งมีห่วงสีเงินเล็กๆ เรียงนั้นแทนเชือกสำหรับสวมใส่หน้ากาก
ดวงตาสีม่วงที่มีรูม่านตาสีแดงนั้นมองไปรอบๆ ยังทุกคน ความเยือกเย็นฉายผ่านแววตา จับจ้องไปยังผู้อาวุโสประจำทิศทั้งสาม ก่อนที่ริมฝีปากสีซีดจะขยับเอ่ยเบาๆ
“เพราะเป้าหมายของพวกท่าน จึงทำให้ท่านแม่ของข้าต้องเสียชีพ เมื่อใดถึงจะพอเสียที?”
“เจ้า… เข้ามาได้อย่างไร อาคมนั้นมิน่าผ่านเข้ามาได้นี่” ผู้อาวุโสแห่งภาคใต้กล่าวเสียงเรียบ ในใจหวาดหวั่นบางสิ่งบางอย่างในกายหญิงสาวผมสีขาวเหลือบปลายสีชาด ซึ่งก็ไม่อาจทราบว่าคืออะไร คนอื่นเองก็เช่นกัน เจ้าตัวแย้มริมฝีปากบางๆ ทว่าแฝงไปด้วยยาพิษ
“อาคมในการซ่อนและบังมิให้ใครเข้ามาของพวกท่านน่ะ กระจอกมาก ข้าล่ะยังมิหายคาใจเลยว่าทำไมท่านแม่ถึงปราชัย”
น้ำเสียงเยือกเย็นสั่นไหวเล็กน้อย มือขาวซีดเอื้อมไปด้านหลังคลำๆ ดาบสองด้ามในอันเดียวกัน ระหว่างที่จะชักออกมาก็ถูกแท่งเหล็กของด้ามถือร่มบ่อสร้างตีก่อน ทุกคนรวมทั้งเจ้าตัวหันไปมอง พบว่าเป็นพินทุที่ยืนยิ้มอยู่ด้านหลัง สีหน้าที่มักจะฉายความเจ้าเล่ห์ ลับลมคมในและสนุกนั้นยากที่จะคาดว่านางคิด หรือรู้สึกอะไรอยู่
“ใจเย็นก่อนสิ เรื่องยังมิถึงบทสรุปเลยนะ”
“บทสรุป? ท่านหมายถึงอันใด” ริมฝีปากยังคงแย้มอยู่ คราวนี้นางเป็นฝ่ายหวั่นใจบ้าง เพราะด้วยความที่ทราบดีว่าพินทุมักจะทราบในสิ่งที่ผู้อื่นไม่รู้มากกว่าใครๆ
…เท่ากับว่าพินทุเป็นผู้กุมทุกสิ่ง
“รอให้เรื่องบางอย่างคลี่คลายก่อน แล้วต่อสู้กันเลยทีเดียวมิดีกว่าฤ? …หว่านเลือด”
หญิงสาวผมสีขาวเหลือบปลายสีชาดเจ้าของนาม หว่านเลือด หรืออีกนามที่ผู้อื่นมักจะเรียกว่า สแบง มองพินทุอย่างฉงน เจ้าตัวเองก็ไม่อธิบายอะไร เดินไปหาคนอื่นที่นั่งล้อมโต๊ะไม้เตี้ยซึ่งมองตนเองอย่างระแวดระวังและไม่พอใจ
“เจ้านี่สอดเรื่องคนอื่นจริง” ผู้อาวุโสแห่งภาคเหนือกล่าวพลางหรี่ตามองพินิจ “สอดอันใดกันเล่า ข้าเป็นผู้อ่านต่างหาก …โลกที่ผู้สร้างสร้างขึ้นมาน่าเบื่อเสียจริง ว่าไหม?” กล่าวไปก็เดินวนไปรอบๆ แม้บางคนที่นั่งอยู่จะไม่พอใจด้วยความที่พินทุเสียมารยาทและค้ำศีรษะ แต่สิ่งที่ทำให้รู้สึกมากกว่านั้นคือท่าทียียวนกับความมีลับลมคมในของเจ้าตัวต่างหาก
“ผู้สร้าง… ดูเหมือนเจ้าจะรู้นะว่าผู้สร้างอยู่ที่ใด” อีกฝ่ายเลิกคิ้วก่อนจะถามกลับ “ทำไมจึงคิดว่าข้ารู้ล่ะ?”
“เจ้ามักจะมีความลับเสมอ รู้ทุกเรื่องในสิ่งที่มิมีใครรู้”
“แล้วทำไมถึงถามเหมือนกับว่าผู้สร้างยังอยู่ในโลกใบนี้ล่ะ?” พินทุยังคงถามต่อ พอผู้อาวุโสไม่กล่าวอะไรไปพักหนึ่งเลยทำให้ทั้งห้องเงียบเป็นเป่าสาก
“…เดี๋ยวนี้ก็เริ่มรู้กันแล้ว โดยเฉพาะเหล่ายมทูต เรื่องที่ผู้สร้างการออกจากที่คุมขังในขุมนรกชั้นที่ลึกที่สุด เหล่าผู้คุม ยมทูตและผู้ที่เกี่ยวข้องต่างตามหา แต่จนแล้วจนรอดก็มิเจอจนเวลาล่วงเลยมากว่าหลายพันปี กระนั้นก็ยังมีการสืบหาอยู่ ฉะนั้นแล้วผู้อาวุโสถึงยังคงอยู่ในโลกใบนี้” พินทุเลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับริมฝีปากที่แย้มมากกว่าเดิม ก่อนจะกล่าวติดตลกซึ่งคนอื่นไม่ขำด้วย
“บางทีอาจจะอยู่ในอวกาศก็ได้นะ”
“เจ้านี่มันน่าจับไปขังแทนผู้สร้างจริงๆ” เสียความรู้สึกอย่างบอกไม่ถูก จากคราแรกที่ยังจริงจังก็กลายเป็นสบายๆ เมื่ออีกฝ่ายส่งมุกให้ ส่วนหว่านเลือดพอเพิ่งรู้สึกตัวว่าโดนเมินก็เลยกล่าวแทรกขึ้น
“เช่นนั้นแล้วข้าขอตัวก่อนแล้วกัน ไว้เรื่องจบเมื่อใดจะมาสะสางล่ะ” จบคำหว่านเลือดก็เดินออกจากห้องไป คนอื่นๆ ในห้องมองตาม ก่อนที่พินทุจะกล่าวเรียกความสนใจใหหันกลับมา
“พวกเจ้าก็ระวังเถิด ยึดติดกับอดีตมากไปก็มิดีนะ”
“พูดไป ลึกๆ แล้วเจ้าชอบล่ะสิกับความรู้สึกนี้” ผู้อาวุโสแห่งภาคใต้กล่าว “หากมันทำให้ข้าหายเบื่อก็ชอบล่ะนะ” พินทุตอบในขณะที่ดวงตาเหลือบไปเห็นหญิงสาวสวมหน้ากาก นางนึกอะไรได้จึงกล่าว
“ว่าแต่เจ้าล่ะ มิคิดจะกลับไปหาฤ?” ถึงแม้จะไม่ได้ถามว่ากลับไปหาใครหญิงสาวสวมหน้ากากก็ทราบดี มือเกือบกุมหน้าอกเพราะปวดใจ ทว่านางยั้งไว้เพราะไม่อยากแสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น พยายามเอ่ยเสียงเรียบโดยไม่มองหน้าอีกฝ่าย
“ถึงคิดก็ยังมิกลับไปดอก”
“อ้อ มิกล้าสู้หน้าและรู้สึกผิดล่ะสิ? ระวังเถิด บางสิ่งที่คิดว่าดีอาจจะมิดีต่อเจ้าตัวก็ได้นะ …ที่มาวันนี้ก็เพราะเห็นหว่านเลือดเข้ามาเลยสนใจน่ะ …ข้าขอตัวก่อนล่ะ”
พินทุกล่าวจบก็เดินจากไป ปล่อยให้ทุกคนในห้องอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง
ศรี… หวังว่าจะให้อภัยนะ
หญิงสวมหน้ากากภาวนาในใจแล้วออกจากห้องไปโดยไม่กล่าวลา
นานเพียงใดแล้วนะที่เจ้ามิได้กลับมา …นี่น่ะฤครอบครัวที่เจ้าบอกว่าจะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
เด็กชายพันผ้าพันแผลปิดตาข้างขวาถามในใจ ในมือถือสมุดเก็บภาพซึ่งเป็นรูปถ่ายเด็กหญิงวัยแรกเกิดและช่วงอนุบาล …น้ำตาของเขาไหลจากขอบตาโดยปราศจากเสียงสะอื้นไห้ ระหว่างนั้นคิมหันต์กับเหมันต์ก็เดินเข้ามาพอดี ทั้งสองมองหน้ากันหลังจากที่เห็นภาพอันน่าเวทนาของไพรสัณฑ์ ก่อนจะเดินเข้าไปหา
“เจ้าก็ยังมีท่านหญิงศรีกับอสุรานี่ ไยถึงมิไปหาล่ะ มัวแต่รอคนที่มิให้ความสนใจตนเองแล้วก็มิมีความสุขดอก” คิมหันต์เอ่ยเบาๆ ทว่าฝังรากลึกลงไปในจิตใจได้อย่างดี ไพรสัณฑ์หันไปมองอีกฝ่ายก่อนจะตอบ
“ครอบครัวที่สมบูรณ์ …นั่นคือความสุขเพียงหนึ่งเดียวของข้า”
“ถ้าเจ้ากล่าวเช่นนี้ข้าก็มิรู้จะอธิบายอย่างไรดีแล้วล่ะ” คิมหันต์ถอนหายใจเช่นเดียวกับเหมันต์ ก่อนจะเดินจากมาทิ้งให้ไพรสัณฑ์รำลึกถึงความหลังในวันวาน
ไว้กลับมาเมื่อใดเราจะอยู่ด้วยกันนะ…
.
.
.
“ท่านพี่… เราบอกเรื่องนี้ให้ท่านหญิงศรีเลยดีไหม?” เหมันต์ถามระหว่างที่เดินเข้าไปในบ้าน ซึ่งทั้งสองคน ไพรสัณฑ์และอสุเรนทร์อาศัยอยู่ร่วมกัน คิมหันต์ถอนหายใจก่อนจะตอบ
“พี่เองก็อยากบอกดอกนะ แต่จะให้ทำเช่นไรได้ล่ะในเมื่อเป็นความต้องการของไพรสัณฑ์”
“นั่นก็ส่วนความต้องการของเขา แล้วลองนึกถึงความรู้สึกของท่านหญิงสิ? มิว่าจะชาติไหนท่านก็ได้รับความทุกข์ระทมมาตลอด หากชาตินี้จะมีความสุขสักครั้งมันผิดฤๅ?” คำกล่าวนั้นสร้างความลำบากใจให้ผู้เป็นพี่มิใช่น้อย เขาเงียบไปพักหนึ่งโดยที่ผู้เป็นน้องจ้องด้วยความหวัง
“มันมิผิดดอก …แต่… มันอย่างไรนะ ไว้รอเรื่องเริ่มคลี่คลายค่อยบอกก็คงทัน”
“ข้าจะบอกท่านหญิงเอง”
เหมันต์เอ่ยเบาๆ แล้วหันหลังเตรียมจะเดินแยกจากเพราะไม่อยากกล่าวให้มากความอีก ทว่าถูกคิมหันต์จับข้อมือรั้งไว้ก่อน
“เหมันต์ อย่าขัดคำพี่!” คิมหันต์กล่าวเสียงแข็ง แต่เหมันต์หาได้กลัวไม่ เขาสะบัดมือออกก่อนจะเอ่ยเสียงดัง “แล้วท่านพี่จะให้ท่านหญิงเป็นเช่นนี้ต่อไปฤ? สิ่งที่เราควรทำคือการมอบความสุขและความปลอดภัยให้ท่านหญิงนะ ลืมไปแล้วฤๅอย่างไร?!”
“พี่มิได้ลืมและตระหนักได้ทุกขณะจิต เพราะอยากให้ท่านหญิงมีความสุขอย่างไรเล่าถึงมิบอก”
“ความสุข… มิใช่เสียหน่อย ท่านพี่ทำไมถึงกลายเป็นคนมิมีเหตุผลแล้วล่ะ?” เหมันต์แสดงสีหน้าฉงน จ้องคิมหันต์อย่างจับผิดว่าทำไมเจ้าตัวถึงเปลี่ยนไป
“…พี่มิมีเหตุผลก็จริงอยู่ แต่พอเรื่องคลี่คลายเมื่อใดเจ้าจะเข้าใจเอง” พอจบคำทั้งสองก็เงียบไป เหมันต์ไม่เอ่ยอะไรอีก เขาเดินจากไปทั้งอย่างนั้นโดยมีสายตาของผู้เป็นพี่มองตาม
“…หวังว่าจะมีวันนั้น ที่เจ้าจะเข้าใจจริงๆ”
คิมหันต์พึมพำเบาๆ ก่อนจะเดินจากตรงนี้ไป
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ