ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
107) บทที่ ๑๐๖ : สิ่งตอบแทนเล็กๆ ที่มีค่า
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๑๐๖
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
สิ่งตอบแทนเล็กๆ ที่มีค่า
วันอาทิตย์ที่ ๑๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๘
เช้า
ตามที่บอกไว้ เมื่อเปิดประตูรั้วรับแขกระหว่างทานอาหารเช้าก็พบว่า พงสณะกับครอบครัวของเขามายืนรออยู่หน้าเรือนพร้อมของฝากแล้ว รถยนต์ที่โดยสารมานั้นจอดริมรั้ว ศรีและอสุรายกมือไหว้แล้วกล่าวเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายเข้าไป ทักทายตามประสาคนรู้จัก ระหว่างที่สนทนาอยู่นั้นพงสณะก็เขยิบมานั่งใกล้ศรีอย่างเนียนๆ เธอสลับที่นั่งให้อสุรามาคั่นกลางแทน พงสณะเห็นดังนั้นก็ไม่กล้าย้ายไปนั่งตาม ยิ่งแววตาเยือกเย็นที่มองมาจากอสุราทำให้เขาแทบจะนิ่งยิ่งกว่ารูปปั้น
“ว่าแต่เอวัณกับปาราวีหายไปไหนเหรอจ๊ะ?”
“ไปทำงานน่ะค่ะ”
อสุราตอบด้วยน้ำเสียงเรียบผิดกับทีแรกที่สดใส รอยยิ้มเริ่มจางหาย ศรีและพงสณะที่สังเกตถึงความผิดปรกติจึงมองหน้ากันครู่หนึ่งด้วยแววตาฉงน ก่อนจะหันกลับไปดังเดิม ระหว่างนั้นการสนทนาระหว่างอสุราและพ่อแม่ของพงสณะก็ดำเนินต่อไปโดยที่สีหน้าของอสุราเริ่มกลับมาเป็นปรกติ
“จริงด้วย ป้าว่าจะชวนหนูกับน้องไปเที่ยวน่ะจ้ะ”
“ไปเที่ยวเหรอคะ? ขอบคุณจริงๆ ค่ะ แต่ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ไม่สามารถไปได้ นี่ก็จะเปิดเทอมแล้วเลยต้องเตรียมตัวน่ะค่ะ”
“อย่าใส่ใจมากนักเลย พักบ้างก็ดีนะจ๊ะ” อสุรายิ้มบางๆ ก่อนจะกล่าว “ขอบคุณค่ะ ว่าแต่จะไปที่ไหนเหรอคะ?” แม่ของพงสณะเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะมองผู้เป็นลูกแล้วถาม
“ลูกจะพาพี่อสุรากับหนูศรีไปไหนเหรอจ๊ะ เห็นว่าคุยกันทางจดหมายแล้วนี่” อสุราค่อยๆ หุบยิ้มอีกครั้ง ศรีที่เห็นดังนั้นก็มีท่าทางร้อนรนเล็กน้อย กังวลที่ทำให้อสุราไม่สบายใจจนนึกอยากจะฉีกจดหมายนั่น แต่ก็ไม่ทันเสียแล้วเพราะถูกเปิดโปงโดยแม่ของพงสณะ ต่อจากนี้เธออาจจะไม่ได้ออกจากบ้านไปหย่อนจดหมายใส่ตู้ไปรษณีย์แล้วแน่ๆ เลย
“คือ…” อสุราหยุดไว้เท่านั้นเพราะไม่ทราบว่าศรีกับพงสณะจะไปไหน ดวงตาสีดำเหลือบมองผู้เป็นน้องสาวอย่างจับผิดแต่ก็แฝงไปด้วยความเป็นห่วง เจ้าตัวก้มหน้างุดๆ เพราะไม่กล้าสบแววตา ใจเต้นแรงมากกว่าเดิม ภาวนาไปด้วยว่าสถานการณ์ตอนนี้จะราบรื่น พงสณะเห็นเธอมีท่าทีไม่ดีตั้งแต่ที่แม่ของตนเองกล่าวจบก็ตอบแทน
“ไปตลาดน้ำกับทุ่งดอกบัวน่ะครับ”
“เลือกได้ดีนี่จ๊ะ ถ้าอย่างนั้นตกลงตามนี่นะคุณ” แม่ของพงสณะหันไปกล่าวกับสามีของตนเอง หลังจากนั้นก็สนทนากันต่อโดยที่อสุราแทบจะไม่ได้ฟังสิ่งที่อีกฝ่ายกล่าวเลย
ปล่อยไว้ไม่ได้แล้ว…
.
.
.
ผ่านไปไม่นานนักอสุราก็ขอตัวมาสนทนากับศรีเป็นการส่วนตัว โดยให้ครอบครัวอีกฝ่ายทานขนมพลางดูโทรทัศน์ไปก่อน เมื่อเดินมาถึงหลังบ้านซึ่งมีชิงชังไม้อยู่ทั้งสองก็นั่งลงก่อนผู้เป็นพี่สาวจะกล่าว
“คุยผ่านจดหมายมานานเท่าไหร่แล้ว?” ไม่มีการเกริ่นอะไรทั้งสิ้น ศรีกลืนน้ำลายอึกหนึ่งแล้วตอบ
“ประมาณสามหรือสี่ปีนี่แหละค่ะ”
เอ่ยจบก็ก้มหน้ามองตักตนเองแทนพี่สาว อสุรามองผู้เป็นน้องนิ่งๆ พลางพยายามสงบสติอารมณ์ไม่ให้เผลอเอ่ยทำร้ายจิตใจมากไป ตอนนี้ศรีก็เริ่มขึ้นมัธยมแล้วซึ่งนั่นก็หมายความว่าเจ้าตัวไม่ใช่เด็กอีกต่อไป …แต่ก็นั่นแหละนะ โตแต่ตัวแต่ใช่ว่าความคิดจะโตตามไปด้วย แม้อสุราทราบดีว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนเช่นนั้น ด้วยความที่ศรีมีความคิดละเอียดอ่อนและไม่วู่วามเหมือนเด็กคนอื่นๆ กระนั้นก็ต้องระมัดระวังไว้ก่อนอยู่ดี อสุราถอนหายใจก่อนจะกล่าว
“ถ้าเป็นไปได้พี่ก็อยากให้หนูเลิกคุยกับเขา ไม่ว่าจะทางจดหมายหรือโทรศัพท์ก็ตาม” ศรีใจหายวาบอย่างน่าแปลกใจ ผิดหวังขึ้นมาด้วยเหตุอันใดก็ไม่อาจทราบ ความคิดไม่ดีอย่างหนึ่งผุดขึ้นมาว่าตนเองมีใจให้พงสณะบ้างแล้ว แต่ก็ปฏิเสธมันไปเพราะไม่อยากให้ความรู้สึกมาบงการตนเอง
“ค่ะ…” ตอบรับเสียงแผ่วเบา อสุรารู้สึกผิดเล็กน้อยที่ไปกีดกันน้องสาวกับชายผู้ที่รักเจ้าตัว แต่เพราะอยากให้ศรีมีชีวิตที่ดี… กล่าวเช่นนี้คงเกินไปแต่ใครรู้ล่ะว่าการสร้างความผูกพันนั้น พอถึงปลายทางแล้วมันจะถูกทำลายซึ่งเป็นการทารุณจิตใจอย่างยิ่ง ฉะนั้นแล้วเธอต้องหยุดเสียแต่ตอนนี้
…กันไว้ดีกว่าแก้…
.
.
.
หลังจากที่สนทนากันเสร็จก็ไปนั่งรถแล่นออกไปโดยที่ขออนุญาตผู้ปกครองแล้ว อสุรากับศรีก็แทบจะไม่ได้เอ่ยอะไรกันอีกเลย ไม่ใช่ว่าทั้งสองคนโกรธแต่มองหน้าไม่ติดต่างหาก ยังไงนะ เหมือนกับไม่มีหน้าสนทนาด้วยกันเพราะอะไรก็ไม่รู้ พงสณะจึงเป็นฝ่ายชวนศรีมาพูดคุยแทนโดยไม่สนใจผู้เป็นพี่เลย ถึงแม้จะรู้สึกว่าอสุราจ้องมาเป็นระยะแต่ก็ทำเป็นไม่รู้สึกรู้สาอะไร
ดวงตาสีดำสองคู่จ้องกันครู่หนึ่งก่อนจะเบนความสนใจไปทางอื่นโดยที่ศรีไม่รู้ตัว
…ตามจริงแล้วก่อนหน้าและช่วงนี้ที่อสุรากล่าวตักเตือนศรีก็เพราะเป็นห่วง… ทว่านั่นเป็นเพียงเปลือกนอกเพราะแท้จริงแล้วเธอตกหลุมรักน้องสาวสายเลือดเดียวกันต่างหาก ยิ่งเจ้าตัวขึ้นมัธยมแล้วความรู้สึกจากเพื่อนก็จะค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความรัก แล้วด้วยความที่เธอเป็นพี่สาวการแสดงความรักและความเป็นห่วงทำให้ศรีไม่รู้ตัวจนว่าพี่สาวรักตนเองในเชิงชู้สาว …นั่นแหละที่อสุรากังวลจริงๆ เพราะเป็นพี่สาวสายเลือดเดียวกันอย่างไรเล่าถึงไม่กล้าบอกความรู้สึกให้น้องสาวตนเองรับรู้
…ไม่รับรักนี่ก็เจ็บแล้ว หากเกลียดขึ้นมาจริงๆ ความสัมพันธ์จะไม่ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่หรือ?
อสุราหลุบตาลง ไม่ได้จดจ่อกับสิ่งใด ดวงตาเหม่อลอยระหว่างที่ปล่อยความรู้สึกให้ไปไกล …ภาวนาในใจว่าหากศรีโตพอจะรับรู้เมื่อไหร่จนอสุราสารภาพรัก ก็ขอให้น้องสาวตนเองยอมรับ
…แม้จะไม่ได้หัวใจดวงนั้นมาครองก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย…
ณ ชานเรือนไทยซึ่งเคยเป็นที่สอนและเรียนแทนอาคารนั้นมีเด็กชายผมสีน้ำตาลไหม้ สวมชุดนักเรียนประถมและนุ่งโจงกระเบน กำลังเลื่อนดูภาพใบโพธิ์ในโทรศัพท์ด้วยแววตาอาลัยอาวรณ์ …ยิ่งมองใจก็ยิ่งร่ำหา แม้จะไม่สามารถบอกได้แน่ชัดว่าใบโพธิ์เป็นผู้นำทางแห่งวายชนม์จริง แต่ใบหน้าอันคุ้นเคยนั้นเหมือนกับคนที่เขารักไม่มีผิด …จะใครเสียอีกก็ผู้นำทางแห่งวายชนม์อย่างไรเล่า น้อยคนนักที่จะรู้ว่าเขารักอีกฝ่ายมากเพียงใด เจ้าตัวเองก็มีความรู้สึกเช่นนี้ไม่แพ้กัน ทว่าด้วยความที่อีกฝ่ายเป็นผู้มีชื่อเสียงของโรงเรียนทำให้ไม่อาจเปิดเผยความสัมพันธ์นี้ได้ กระนั้นเด็กชายผมสีน้ำตาลไหม้ก็ไม่น้อยใจ ขอเพียงได้อยู่ใกล้ชิดกับผู้นำทางแห่งวายชนม์ก็พอแล้ว
แต่แล้วความสุขก็มลายเมื่อผู้นำทางแห่งวายชนม์หายตัวไป หลังจากทราบเรื่องนี้เด็กชายผมสีน้ำตาลไหม้พร้อมกับนักเรียนและนักศึกษาคนอื่นๆ ก็ออกตามหาจนแทบทุกภาค …ไม่ได้ตาฝาดไปหรอก เกือบทุกภาคจริงๆ ถ้าสงสัยว่าทำไมถึงต้องตามหาจนจะเป็นจะตายก็คงต้องตอบว่า ผู้ที่เปรียบเสมือนยมทูตแต่ละโรงเรียนนั้นจะต้องผ่านพิธีกรรมและมีพลังในสิ่งที่ผู้อื่นไม่มี …ไม่สิ พลังที่ว่านั่นต้องทนกับบางสิ่งบางอย่างได้ ซึ่งตัวเขาเองและคนอื่นๆ ก็ไม่รู้ว่าคืออะไร
เด็กชายผมสีน้ำตาลไหม้เก็บโทรศัพท์ก่อนจะนั่งนิ่งๆ …เหม่อมองท้องฟ้าสีหม่นที่มีหิมะโปรยลงมาพลางภาวนาในใจว่าใบโพธิ์จะเป็นผู้นำทางแห่งวายชนม์จริงๆ
ใจร่ำร้องและทรมานเหลือแสน ในโลกนี้มีไม่กี่อย่างที่เขากลัว …หนึ่งในนั้นก็คือการพรากจากผู้ที่ตนเองรัก
หวังว่าพวกโรงเรียนดอกคูนจะมีทำการใดกับเจ้าดอกนะ…
.
.
.
ในขณะนั้นก็มีผู้ที่ภาวนาให้คนรักตนเองไม่เป็นอะไรและปลอดภัยเช่นกัน เด็กชายผมสีดำเกล้ามวยผมปล่อยส่วนที่เหลือลงมาเล็กน้อย ประดับด้วยปิ่นปักผมกับพู่กัน …นามของเด็กชายคนนี้คือ เบญจราชพฤกษ์ (นามสกุลไม่เปิดเผย) เขานึกถึงคนรักของตนที่เป็นเปรียบเสมือนกับยมทูตเช่นเดียวกับผู้นำทางแห่งวายชนม์ ที่ถูกจับเป็นตัวประกัน
หัวใจสองดวงเรียกหา โดยที่เจ้าตัวของคนหนึ่งรู้ตัว ส่วนเจ้าตัวของอีกคนไม่รู้ตัวเพราะสูญเสียความทรงจำ…
ราชพฤกษ์ หรืออีกชื่อหนึ่งว่า คูน ไล่ความคิดฟุ้งซ่านก่อนจะลากปลายขนพู่กันที่แต้มสีหม่น ภาพบนผ้าใบนั้นเป็นรูปเด็กชายที่ผู้วาดคิดถึง โทนสีและอารมณ์นั้นมืดมนเช่นเดียวกับผู้ถูกเป็นแบบและผู้วาด
ระหว่างนั้นเองก็มีเด็กหญิงผมสีควายเผือกเกล้าเป็นมวยหย่อมๆ หย่อนลงมา ประดับด้วยพู่กันตั้งแต่ขนาดเล็กสุดไปจนถึงใหญ่สุด สวมชุดนักเรียนของชั้นประถม สะพายทับด้วยกระเป๋าใบค่อนข้างใหญ่ซึ่งใส่สมุดวาดรูป เธอเข้ามาในห้องเงียบๆ เพราะทราบดีว่าผู้ที่มาในห้องศิลปะสำหรับนักเรียน ม.๑ ของอาคารศิลป์ (ซึ่งเป็นเรือนไทยหลายชั้น) ที่ชั้น ๔ บ่อยแล้วอยู่เป็นคนสุดท้ายคือใคร และกำลังอยู่ในอารมณ์ใดจึงไม่กล้าส่งเสียง เธอเดินมานั่งที่ประจำของตนเองซึ่งอยู่ไม่ไกลกับเด็กชายผมสีดำมากนัก
หลังจากเข้ามาแล้วก็ตามด้วยเด็กสาวในชุดมัธยมต้นปกกะลาสีเรือคอกว้าง ผูกคอซองสีน้ำเงินใต้ปก ผมสีเหลืองรงค์หยักศกช่วงปลายยาวเกือบถึงกลางหลัง มัดเป็นจุกต่ำหลวมๆ ดวงตากลมโตเรียวเล็กน้อยนั้นหยาดเยิ้มพิกลยามมองเด็กหญิงผมสีควายเผือกทำให้เจ้าตัวขนลุกขึ้นมา รอยยิ้มหวานหยดย้อยแย้มบนใบหน้าที่ออกเรียบเฉย แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ อีกฝ่าย โดยไม่สนใจสายตาที่ฉายแววอิจฉาจากเด็กชายผมสีดำที่ถูกพรากจากคนรักของตนเอง เขาทำเป็นมองไม่เห็นและพยายามไม่สนใจ วาดรูปไปเรื่อยๆ ระหว่างนั้นก็มีเสียงพูดคุยดังเจื้อยแจ้วเบาๆ จากคนสองคนในห้อง
น่าอิจฉาเสียจริง
คูนเก็บอุปกรณ์พร้อมกับผ้าใบวาดก่อนจะออกจากห้องเพราะทนไม่ไหว เหมือนถูกเย้ยอย่างไรไม่รู้ แม้ทราบแก่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้ทำเช่นนั้นก็ตามที แต่ขืนทนต่อไปน้ำตาได้ไหลแน่…
.
.
.
พอออกไปแล้วพร้อมกับน้ำตาที่คลอตามขอบตา เด็กหญิงผมสีควายเผือกก็มองไปด้วยความเห็นใจ ถึงจะไม่เข้าใจอีกฝ่าย แต่สีหน้าที่หมองเศร้านั้นทำให้เธอเข้าใจความรู้สึกดี เด็กสาวผมสีเหลืองรงค์เหลือบมองด้วยแววตาเห็นใจครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับเป็นสดใสและหยาดเยิ้มดังเดิม
“น้องก็วาดรูปเหมือนคนจริงได้นี่ทำไมถึงไม่วาดล่ะจ๊ะ? ถ้าเกรงใจวาดพี่ก็ได้นะ เผือก”
พอผู้อื่นไม่อยู่เด็กสาวก็ปลดกระดุมเหล็ก ถอดคอซองออกก่อนจะเขยิบกายและเก้าอี้ให้ใกล้เด็กหญิงเจ้าของนาม เผือก ซึ่งเป็นชื่อเล่นที่ปิดบังผู้อื่นเพราะฟังแล้วไม่ไพเราะนั้นมีนามจริงว่า สิปปวิชญ์จรูญ สิรภาสโสภณา หรือในนามที่ให้ผู้อื่นเรียกว่า สิปโปทัย
เผือกเอนร่างห่างเล็กน้อยเพราะหวาดหวั่น ถึงจะโดนเด็กสาวนาม โกสุมสุขุมฉวี (นามสกุลไม่เปิดเผย) ทำเช่นนี้มาตั้งแต่อยู่ ป.๕ ก็ยังไม่ชินเสียที นับวันยิ่งเข้าใกล้มากกว่าเดิมแถมทำท่าจะพาขึ้นเตียงเกือบทุกที
“วาดน่ะวาดได้ค่ะ แต่ที่เสนอตัวพี่เป็นแบบ หนูว่าคงไม่ใช่การวาดภาพเหมือนหรอกค่ะ”
“รู้ได้ไงจ๊ะ?” เผือกมองโกสุมอย่างเหนื่อยหน่าย แต่ก่อนก็จะพาขึ้นเตียงมากกว่าวาดรูปหลายรอบ ถ้าไม่เอะใจว่าให้วาดภาพเปลือยกายก็คงซื่อไปกระมัง
“ก็…” เผือกเว้นไว้ก่อนจะกล่าวต่อ “ไม่บอกค่ะ ที่ผ่านมาพี่แสดงออกขนาดนั้นถ้าหนูดูไม่ออกก็คงเขลาไปกระมังคะ”
“แหม พี่หวังดีนะ วาดภาพเปลือยๆ จะได้ฝึกอนาโตมี่[1]ไปในตัวไงจ๊ะ”
มือขาวผ่องไล้ลากผ่านร่องอกที่เผยให้เห็นแวบๆ แวมๆ เด็กหญิงผมสีควายเผือกหายใจอย่างยากลำบาก รู้สึกถึงความอุ่นร้อนในจมูกที่มีกลิ่นคาวๆ เธอลนลานจนเผลอหยิบผ้าที่ไว้เช็ดอุปกรณ์วาดรูปมาเช็ดเลือดกำเดาที่ไหลมาเล็กน้อยแล้ว ก่อนจะหันหน้าไปทางอื่นแล้วเอ่ย
“ฝึกอนาโตมี่ที่ไหน วาดภาพนู้ด[2]ล่ะสิไม่ว่า” ได้ฟังดังนั้นโกสุมก็หัวเราะคิกคักด้วยความเอ็นดู เพราะน้ำเสียงที่ออกจะงอนๆ และใบหน้าแดงระเรื่อของเผือก
“วาดเถอะนะ ถือว่าเป็นของขวัญให้พี่ละกัน”
“ภาพตัวเองเนี่ยนะเหรอคะที่เป็นของขวัญ?” เผือกกล่าวไปแล้วเริ่มผสมสีน้ำในจานใส่สี โกสุมเงียบไปพักหนึ่งจนอีกฝ่ายเกือบจะกล่าว “ขอเป็นเพียงภาพที่หนูวาด จะวาดอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละจ้ะ…”
น้ำเสียงนั้นเศร้าสร้อย หากไม่ฟังดีๆ จะไม่รู้สึกเลย เผือกวางพู่กันลงแล้วหันไปมองอีกฝ่ายที่มีสีหน้าเรียบเฉยอย่างแปลกใจ …ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นล่ะ? ทุกทีถึงจะมีสีหน้าเช่นนั้นแต่ก็ไม่เคยฉายความเศร้าออกมานี่
“พี่หมายความว่ายังไงคะ?” เผือกเข้าใจที่โกสุมกล่าว แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ความรู้สึกบอกว่าวาจาของอีกฝ่ายมีความนัยอื่นแฝงอยู่ โกสุมเพิ่งรู้สึกตัวว่าตนเองเป็นอันใดไปจึงแสร้งยิ้มหวาน
“ก็อย่างที่พูดไงจ๊ะ คนวาดรูปเก่งๆ อย่างหนูถ้าวาดให้ก็เป็นบุญอย่างเหลือล้นเลยล่ะจ้ะ” ฟังก็รู้ว่าแสร้ง แต่กลับมาเกือบเป็นเช่นเดิมแล้วก็ไม่อยากซักถามให้มากความ เพราะหากกล่าวไปเกรงว่าจะไปกระตุ้นบางอย่างที่ไม่ควรเข้า
“ชมเกินไปแล้ว มีศิลปินแนวหน้าของประเทศที่หากวาดรูปให้จะเป็นบุญมากกว่านะคะ หนูยังไม่ถึงครึ่งเลยค่ะ”
“ถ่อมตัวไป”
โกสุมเอ่ยเบาๆ พลางยิ้ม อีกฝ่ายเห็นว่าเถียงไปก็เปล่าประโยชน์เลยละความสนใจไปวาดรูปแทน ภาพเด็กหญิงผมสีควายเผือกที่กำลังสรรสร้างผลงานอยู่ในสายตาตลอด นัยน์สีขาวกระบังฉายความรู้สึกบางอย่างที่ยากจะคาดเดา หรี่ลงอย่างพินิจพร้อมกับใจที่ร่ำหา
ท่านนี่แหละ จิตรกรชั้นแนวหน้า…
จังหวัดชลบุรี (มิติสามัญ)
พอมาถึงทุกคนก็ลงจากรถยนต์แล้วเดินเข้าไปในตลาดนั้นที่มีผู้คนเดินกันขวักไขว่ อากาศเริ่มร้อนเพราะใกล้ยามทิวากาลแล้ว ศรีกับพงสณะเดินนำหน้าไปก่อนโดยไม่กลัวหลงทาง แต่ฝ่ายที่นำจริงๆ คือเด็กหญิงต่างหาก เจอบรรยากาศแบบสมัยก่อนอย่างตลาดน้ำกับสินค้าแบบไทยๆ ทำให้อดใจไม่ไหวจนต้องซื้อมา ตามจริงเธอไม่ใช่คนแบบนี้แต่เห็นอย่างที่กล่าวมาก็ต้องใช้เงินมากกว่าทุกที ทั้งๆ ที่อย่างอื่นไม่สนใจและซื้อน้อยมาก เรื่องนี้พงสณะทราบดีแต่ก็ไม่กลัวว่าเงินจะหมด …ก็นะ ผู้ที่มีเงินมากไม่ใส่ใจงบก็ไม่แปลก
ร้านนี้ก็เช่นกัน ไม่ว่าจะร้านไหนศรีก็ต้องหยุดมองด้วยแววตาเป็นประกายระยิบระยับ ถึงพงสณะจะไม่ใส่ใจเรื่องงบก็เถิดแต่ขนาดนี้ก็ไม่ไหวนะ เขามองถุงที่ถืออยู่เต็มมือและแขนทั้งสองข้างอย่างหวาดหวั่น …เชื่อหรือไม่ว่าทุกถุงเป็นของศรี ตามจริงเธอไม่ใช่คนที่ให้คนอื่นถือของ แต่วันนี้เจอของถูกใจหลายอย่างจนไม่สนเลยฝากพงสณะไว้ก่อน
…นี่ก็เป็นหนึ่งอีกความน่ากลัวของศรี เจอของอย่างอื่นไม่สน แต่พวกแนวไทยสมัยก่อนนี่เป็นต้องควักเงินจ่ายเพื่อให้ได้มาครอบครอง (ถึงส่วนใหญ่เขาจะเป็นคนจ่ายก็ตามที)
“ศรี… แวะกินอะไรหน่อยไหม ฉันเริ่มหิวแล้ว” ใช้แรงมากจะหิวก็ไม่แปลก ศรีหันมามองครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “อื้ม หิวอยู่พอดีเลย ทานที่ร้านนั้นนะ” พงสณะมองตามว่าเป็นร้านอะไรแล้วพบว่าเป็นร้านขายก๋วยเตี๋ยวเรือ เขาพยักหน้าก่อนจะเดินต่อพร้อมกับศรี
ถึงจะเหนื่อยแล้วเงินลดหายไปมากก็เถอะ แต่วันนี้ศรียิ้มสวยจริงๆ เมื่อกี้เสียงก็หวานกว่าเดิมด้วย
จากความเหนื่อยแปรเปลี่ยนเป็นสดชื่นแทน ถึงที่ทำไปเพื่ออีกฝ่ายจะมาก แต่สิ่งตอบแทนเล็กๆ นั้นมีค่าสำหรับเขายิ่งกว่าอัญมณี ภาพเด็กหญิงที่เดินนำหน้าแล้วหันมาคุยเป็นพักๆ ซึ่งมีแสงอาทิตย์ส่องลงมาจนพร่าเลือนนั้นงดงามมาก…
…มากเสียจนไม่มีอัญมณีหรือบุปผาใดๆ มาเทียบได้…
[1] Anatomy (อ่านว่า อแนท’โทมี่) แปลว่า กายวิภาคศาสตร์ คือ วิชาที่กล่าวถึงส่วนต่างๆ ซึ่งประกอบขึ้นเป็นรูปร่างลักษณะร่างกายมนุษย์หรือสัตว์
[2] Nude (อ่านว่า นู้ด) แปลว่า เปลือยกาย
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ