The Adventure of Light&Shadow
-
เขียนโดย mariananeko
วันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 16.24 น.
7 ตอน
4 วิจารณ์
9,722 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2557 08.16 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) เจ้าหญิงดินแดนขวาน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ1
The Princess of Vania
“สบายจังเลยนะ” มิซ่าพูดกับตัวเองเบาๆพร้อมสูดรับอากาศจากป่าสวรรค์ “ได้อยู่ที่นี่ตลอดไปก็ดีสิ”
“เราอยู่กับสิ่งสวยงามไม่ได้ตลอด คุณหนู” เลมีเพื่อนสาวของเธอตอบพร้อมรอยยิ้มจางๆ
มิซ่าชำเลืองมองไปหาเลมี พร้อมสำลักเสียงหัวเราะเบาๆคำพูดนี่ช่างแสนจำเจมากเกินไปสำหรับเธอ มันได้ยินบ่อยจนเกินไปไม่ว่าจะใครก็มักจะพูดทำนองนี้ตลอด “ช่างเป็นวาเนียเสียจริงนะ” เธอพูดด้วยเสียงอมสำลักจากลำคอ
“เราอยู่กับสิ่งที่เลวร้ายไม่ได้ตลอดเช่นกัน” เธอพูดตอบออกมาจากความเหน็ดเหนื่อยในกิจภาระที่สั่งสมมาตลอดทั้งสัปดาห์นี้
“นั้นเป็นเวลาเดียวที่จะทำให้รู้ว่า สิ่งใดคือสิ่งสวยงาม คุณหนู” ลูม่า เพื่อนรักอีกคนของเธอกล่าวตอบมา
เพื่อนทั้งสองคนนี้ล้วนแต่เป็นลูกสาวของเพื่อนรักของพ่อของเธอ เมลเรียส หนึ่งในผู้รวบรวมดินแดนวาเนียให้เป็นหนึ่งเดียว และแน่นอนบุรุษอีกสองสหายรักร่วมรบ พ่อของเพื่อนรักทั้งสองของมิซ่า
ถึงแม้ดินแดนวาเนียที่พ่อและลุงอีกสองคนปกครองอยู่จะขึ้นชื่อเรื่องอำนาจในทางที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก แต่ท่ามกลางผืนป่า น้ำตก แม่น้ำลำธาร ดอกไม้ป่า และต้นไม้หลากสีต่างๆ ที่ทวยเทพทรงบันดาลให้ที่แห่งนี้ ก็คงเป็นสิ่งที่แก้ต่างให้แก่ดินแดนขวานไขว้แห่งนี้ได้
กริ๊ง กริ๊ง!
เสียงกระจกเงาโทรจิตดังขึ้นท่ามกลางเสียงหัวเราะรื่นเริงของสามสาวในป่าสวรรค์ มิซ่าอดสงสัยไม่ได้ว่าใครกันที่โทรมาในวันหยุดสุดสัปดาห์นี้ พลางหยิบกระจกเงาออกมาจากแขนเสื้อ
“มิซ่า” เสียงเคร่งขรึมน่ากลัวดังขึ้นมาจากกระจก “เจ้าต้องกลับมาที่ปราสาทโชวารอสเดี๋ยวนี้ มีเหตุสำคัญ”เป็น เสียงพี่ชายของเธอ มิโน่ ที่ลอยออกมา
“มีเหตุกิจอันใดในวันหยุดเล่าพี่ข้า” เสียงเบื่อหน่ายของเธอทำให้ มิโน่ เงียบไปพักหนึ่ง
“มีแขกจากดินแดนโยโลเกียจะมาเยือนแดนเราเร็วนี้!” มิโน่ตอบด้วยเสียงเชิงลุ้น “ขอให้เจ้ามาเตรียมตัวโดยเร็ว”
มิซ่าและเพื่อนของเธอต่างตกตะลึงและเงียบไปพักหนึ่ง“ไยข้าเพิ่งได้รู้ครู่นี้ พี่ข้า มีพวกเจ้าต้นไม้มา ไยข้าเพิ่งได้รู้”
ดินแดนวาเนียกับโยโลเกียนั้นเป็นสองมหาอำนาจแถบทวีปนี้แม้ทั้งสองต่างเคยมีสงครามผ่านฤดูทั้งสี่มาเนิ่นนาน แต่ปัจจุบันผ่านมากว่าสองศตวรรษแล้วที่ทั่วหล้าอาณาจักรยังคงสงบสุข แม้ดินแดนทั้งสองยังคงมีสงครามเย็นเล็กๆกันอยู่ จากการที่ทะเลทรายเฮมัสที่กั้นระหว่างดินแดนทั้งสองพบเหมืองแร่ทองคำขนาดใหญ่ จึงมีเรื่องพิพาทกันอยู่บ้างบางครั้งก็ตาม แต่ด้วยการที่ทั่วทั้งดินแดนทั้งเหนือและใต้ต่างมีใจฝักใฝ่ความสงบไม่ต้องการสงคราม จึงขับดันให้เกิดความร่มเย็นสงบเงียบตลอดมา
“กษัตริย์ต้นไม้เพิ่งสงสาสน์มาเมื่อครู่นี้” มิโน่ตอบ “อีกวันหรือสองวันคงถึง ท่านพ่อบอกข้าว่าเป็นเรื่องใหญ่แก่ดินแดนทั้งสอง เจ้าจงกลับมาปราสาทก่อนเถิดน้องข้า ข้าจะเล่าให้เจ้าฟังเท่าที่ข้ารู้”
“ขอให้ได้เห็นขวานเถอะ” มิซ่าสบถออกมาก่อนจะวางสายกระจกโทรจิตไป
เป็นคำพูดเย้อหยิ่งที่มีต่อชาวโยโลเกียอาณาจักรที่เป็นคู่แข่งกันมาตั้งแต่ปฐมกาล ดินแดนของเธออาวุธคือขวานหลอมรวมด้วยเหล็กกล้า ชาววาเนียเติบโตมากับขวานตายไปพร้อมขวาน ธงสัญลักษณ์คือขวานไขว้รองพื้นด้วยสีดำ เมื่อธงนี้ตระหง่านเหนือกองทัพเมื่อใด ทั่วหล้านี้ต่างเกรงกลัวหลีกนี้ เว้นเสียแต่พวกโยโลเกียที่ไม่เคยหวั่นเกรง เป็นที่รำคาญ และดื้อรั้นต่อสายตาชาวเมืองขวานตลอดมา ไม่มีทางที่จะมีกษัตริย์จากเมืองที่เป็นปรปักษ์จะมาเยือนเหยียบดินแดนแห่งนี้
“น้องสาวท่านจะพร้อมกับเรื่องนี้แล้วหรือ มิโน่” ไมตาล ทหารการ์ดคนสนิทของมิโน่พูดหลังจากการสนทนาของสองพี่น้องจบลง
“นางจะต้องพร้อม”มิโน่บอก “นี่เป็นคำสั่งของท่านพ่อ ข้ามิอาจขัด”
“นางเป็นคนดื้อดึงท่านและข้าต่างรู้แม้แต่พ่อของท่าน นางก็ยังไม่เว้น ถ้าเกิดนางดื้อดึงกับผู้ที่จะมาเยือนที่ดินแดนของเราแล้ว คงจะลำบากไม่น้อยทีจะมีกงการ ไมตรีมิตร” ไมตาลเอ่ยพลางเอามือจับขวานที่ข้างเอวของเขาไว้
“เมื่อถึงเวลานางจะต้องเข้าใจ”เขาตอบเสียงเน้นหนัก“แม้นางจะเอาแต่ใจ แต่นางก็ไม่มีวันไม่รักดินแดนแห่งนี้ และข้าเชื่อว่านางฉลาดพอที่จะเข้าใจเรื่องนี้”
ไมตาลยืนนิ่งเงียบราวกับรูปปั้นกำลังครุ่นคิดเขามิอาจถามอะไรได้ต่อไป
“เมื่อถึงวันนั้น” มิโน่เอ่ยขึ้น “เราจะครองอาณาจักรนี้และโยโลเกียและเหนือสุดที่ วิดาคารู และแม้แต่อาณาจักรสามกษัตริย์เทียทารอสก็ไม่ได้ไม่ไกลแค่เอื้อม ใช่ เมื่อลูกของนางเกิด วาเนียและโยโลเกียจะรวมกันและมีอำนาจที่สุดในทวีปนี้”
ไมตาลฟังสงบนิ่งอยู่ เขารู้ว่าไม่ควรต่อเถียงกับคำที่มิโน่กล่าวออกมานี้ ถึงแม้จะเป็นคำเตือนแต่ก็ไม่ใช้กิจกงการที่เขาต้องมาดูแลในส่วนนี้ แต่เขายังเป็นเพื่อน เขารู้จักกันตั้งแต่ยังเด็ก เขารู้จักมิโน่ดี “ท่านพ่อของท่านเบื่อหน่ายกับสงครามมามากแล้ว และเราไม่ควรมีสงคราม เราเข้ายุคใหม่แล้วนายท่าน สงครามเป็นสิ่งที่โง่เขลาที่จะทำให้อาณาจักรอื่นรวมตัวกันกำจัดเรา…”
“ข้าไม่ได้พูดถึงสงคราม” มิโน่ตัดบท “ข้าพูดถึงอำนาจ อีกไม่นานนักมันจะเป็นอย่างนั้น ใช่! มันควรจะเป็นเช่นนั้นขอแค่ให้เราอายุยืนเถอะ”
“ข้าว่าหน้าตาอย่างพี่ข้า คงดื้อดึงจนอายุเป็นหมื่นปีเชียวล่ะ” เสียงมิซ่าก็ลอยออกมาจากด้านหลังหนุ่มทั้งสองที่มองออกไปนอกหน้าต่างห้องของปราสาท
สองหนุ่มตื่นขึ้นจากบทสนทนา ก่อนหันหลังไปมองเสียงที่พวกเขาจะต้องสนทนาอีกครั้ง
“หวังว่า ม้าบินที่ท่านพ่อให้เจ้าไปจะยังไม่โดนขวานของเจ้าปักกลางหลังนะ มิซ่า” มิโน่ทักทายกลบเกลื่อนการสนทนาก่อนหน้านี้
“มันเร็วกว่าขวานของท่านเสียอีก พี่ข้า จากป่าสวรรค์ข้ามาถึงนี่เพียงชั่วครู่ จะมีอันใดเร็วกว่าสิ่งที่ทวยเทพสร้างให้นี้อีก” เธอยังเร่งเร้าแกล้งพี่ชายแสนรักของเธอ
“ว่ากันว่า ที่อาณาจักรเอนทากอนมีเรือบินที่บินได้รอบดินแดนทวีปนี้เป็นเวลาแค่เจ็ดวัน เร็วกว่าขวานของท่านเสียอีกคุณหนู” ไมตาลตอบแทนมิโน่
มิซ่ามองไปยังหน้าไมตาลอย่างเคร่งขรึม ใบหน้าเรียวยาว ตาสีฟ้า เหมือนกับลูม่าน้องสาวของเขา ไมตาลลูกชายคนที่สองของ สแตนส์ ลาคูลน์ สหายรักของพ่อเธอที่ดูแลทางใต้ของวาเนีย เขาเข้าเมืองมาทำหน้าที่องครักษ์เพราะรู้ดีว่าเมื่อพ่อของเขาสิ้นไป พี่ชายคนแรกของเขาก็จะได้รับการสืบทอดครองดินแดนทางใต้ต่อและลูกๆของพี่เขาก็สืบทอดไปเรื่อยๆ ไม่มีอะไรให้เขาที่แถบใต้ อยู่เมืองหลวงเป็นองครักษ์รัชทายาท เวลาสืบไปอาจได้เป็นแม่ทัพใหญ่เมื่อเวลามาถึง
“ฮ่าฮ่าฮ่า” เสียงหัวเราะพี่ชายของเธอดังอยู่ในลำคอ “เมื่อเจ้ามาแล้วรีบไปหาท่านพ่อเสีย ท่านให้เจ้ารีบไปหาท่าน”
“มีเหตุอันใดที่เรียกเพียงข้าไป ท่านไม่เห็นพี่ข้าเป็นลูกเสียแล้วรึ” มิซ่ายังพูดกวนวาจาอยู่
“ท่านพ่อให้ข้าเตรียมทหารไปรับลุงทั้งสองและออกไปรับขบวนเสด็จของกษัตริย์ต้นไม้ที่นอกเมืองมายังปราสาทโชวารอสนี้”มิโน่ตอบ “ไปได้แล้วเจ้าน้องตัวแสบอย่าให้ท่านพ่อต้องโกรธเจ้า”
หลังจากที่มิซ่าจากไปห้องนั้นก็เงียบลง ชายทั้งสองหันหลังกลับมองออกไปนอกหน้าต่างปราสาท
“พอข้าออกปราสาทไป”มิโน่กล่าวขึ้น “ขอให้เจ้าอยู่ที่นี่เพื่อนข้า คอยดูแลนางอย่างที่เจ้าดูแลน้องสาวของเจ้า” “ข้าจะบอกพ่อของเจ้า ลุงของข้าเองว่าเจ้าติดงานภารกิจที่ข้าสั่ง”
“ข้าควรทำอย่างไร”ไมตาลถามกลับอย่างรวดเร็ว “ถ้านาง…” “นางคงไม่พอใจเมื่อท่านพ่อท่านบอกว่า นางจะต้องแต่งงานกับเจ้าชายแดนต้นไม้นั่น” ไมตาลเปลี่ยนคำถามใหม่ราวกับรู้ว่ามันจะเกิดขึ้น
“ข้ารู้ เจ้าไม่ต้องทำอะไรเพียงดูนาง อย่าให้นางทำอะไรโง่ๆ” มิโน่ตอบพร้อมถอนหายใจพร้อมกับหันออกจากหน้าต่างมามองหน้าไมตาล “เจ้ารู้ใช่ไหมว่าอะไรที่ทำแล้วจะดูโง่คืออะไร” เขาถาม
ไมตาลพยักหน้า “ใช่ ข้ารู้”
มิโน่พยักหน้าตอบและตบไหล่ไมตาลเบาๆ และเดินออกจากห้อง ปล่อยไมตาลทิ้งไว้อยู่ที่ที่ทั้งสองสนทนากัน
เขาเดินไปถึงซุ้มประตูทางออกของห้อง“นางรู้ข้อนี้ดี” มิโน่หันหลังกลับมาพูด“เราอยู่กับสิ่งสวยงามไม่ได้ตลอด”
The Princess of Vania
“สบายจังเลยนะ” มิซ่าพูดกับตัวเองเบาๆพร้อมสูดรับอากาศจากป่าสวรรค์ “ได้อยู่ที่นี่ตลอดไปก็ดีสิ”
“เราอยู่กับสิ่งสวยงามไม่ได้ตลอด คุณหนู” เลมีเพื่อนสาวของเธอตอบพร้อมรอยยิ้มจางๆ
มิซ่าชำเลืองมองไปหาเลมี พร้อมสำลักเสียงหัวเราะเบาๆคำพูดนี่ช่างแสนจำเจมากเกินไปสำหรับเธอ มันได้ยินบ่อยจนเกินไปไม่ว่าจะใครก็มักจะพูดทำนองนี้ตลอด “ช่างเป็นวาเนียเสียจริงนะ” เธอพูดด้วยเสียงอมสำลักจากลำคอ
“เราอยู่กับสิ่งที่เลวร้ายไม่ได้ตลอดเช่นกัน” เธอพูดตอบออกมาจากความเหน็ดเหนื่อยในกิจภาระที่สั่งสมมาตลอดทั้งสัปดาห์นี้
“นั้นเป็นเวลาเดียวที่จะทำให้รู้ว่า สิ่งใดคือสิ่งสวยงาม คุณหนู” ลูม่า เพื่อนรักอีกคนของเธอกล่าวตอบมา
เพื่อนทั้งสองคนนี้ล้วนแต่เป็นลูกสาวของเพื่อนรักของพ่อของเธอ เมลเรียส หนึ่งในผู้รวบรวมดินแดนวาเนียให้เป็นหนึ่งเดียว และแน่นอนบุรุษอีกสองสหายรักร่วมรบ พ่อของเพื่อนรักทั้งสองของมิซ่า
ถึงแม้ดินแดนวาเนียที่พ่อและลุงอีกสองคนปกครองอยู่จะขึ้นชื่อเรื่องอำนาจในทางที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก แต่ท่ามกลางผืนป่า น้ำตก แม่น้ำลำธาร ดอกไม้ป่า และต้นไม้หลากสีต่างๆ ที่ทวยเทพทรงบันดาลให้ที่แห่งนี้ ก็คงเป็นสิ่งที่แก้ต่างให้แก่ดินแดนขวานไขว้แห่งนี้ได้
กริ๊ง กริ๊ง!
เสียงกระจกเงาโทรจิตดังขึ้นท่ามกลางเสียงหัวเราะรื่นเริงของสามสาวในป่าสวรรค์ มิซ่าอดสงสัยไม่ได้ว่าใครกันที่โทรมาในวันหยุดสุดสัปดาห์นี้ พลางหยิบกระจกเงาออกมาจากแขนเสื้อ
“มิซ่า” เสียงเคร่งขรึมน่ากลัวดังขึ้นมาจากกระจก “เจ้าต้องกลับมาที่ปราสาทโชวารอสเดี๋ยวนี้ มีเหตุสำคัญ”เป็น เสียงพี่ชายของเธอ มิโน่ ที่ลอยออกมา
“มีเหตุกิจอันใดในวันหยุดเล่าพี่ข้า” เสียงเบื่อหน่ายของเธอทำให้ มิโน่ เงียบไปพักหนึ่ง
“มีแขกจากดินแดนโยโลเกียจะมาเยือนแดนเราเร็วนี้!” มิโน่ตอบด้วยเสียงเชิงลุ้น “ขอให้เจ้ามาเตรียมตัวโดยเร็ว”
มิซ่าและเพื่อนของเธอต่างตกตะลึงและเงียบไปพักหนึ่ง“ไยข้าเพิ่งได้รู้ครู่นี้ พี่ข้า มีพวกเจ้าต้นไม้มา ไยข้าเพิ่งได้รู้”
ดินแดนวาเนียกับโยโลเกียนั้นเป็นสองมหาอำนาจแถบทวีปนี้แม้ทั้งสองต่างเคยมีสงครามผ่านฤดูทั้งสี่มาเนิ่นนาน แต่ปัจจุบันผ่านมากว่าสองศตวรรษแล้วที่ทั่วหล้าอาณาจักรยังคงสงบสุข แม้ดินแดนทั้งสองยังคงมีสงครามเย็นเล็กๆกันอยู่ จากการที่ทะเลทรายเฮมัสที่กั้นระหว่างดินแดนทั้งสองพบเหมืองแร่ทองคำขนาดใหญ่ จึงมีเรื่องพิพาทกันอยู่บ้างบางครั้งก็ตาม แต่ด้วยการที่ทั่วทั้งดินแดนทั้งเหนือและใต้ต่างมีใจฝักใฝ่ความสงบไม่ต้องการสงคราม จึงขับดันให้เกิดความร่มเย็นสงบเงียบตลอดมา
“กษัตริย์ต้นไม้เพิ่งสงสาสน์มาเมื่อครู่นี้” มิโน่ตอบ “อีกวันหรือสองวันคงถึง ท่านพ่อบอกข้าว่าเป็นเรื่องใหญ่แก่ดินแดนทั้งสอง เจ้าจงกลับมาปราสาทก่อนเถิดน้องข้า ข้าจะเล่าให้เจ้าฟังเท่าที่ข้ารู้”
“ขอให้ได้เห็นขวานเถอะ” มิซ่าสบถออกมาก่อนจะวางสายกระจกโทรจิตไป
เป็นคำพูดเย้อหยิ่งที่มีต่อชาวโยโลเกียอาณาจักรที่เป็นคู่แข่งกันมาตั้งแต่ปฐมกาล ดินแดนของเธออาวุธคือขวานหลอมรวมด้วยเหล็กกล้า ชาววาเนียเติบโตมากับขวานตายไปพร้อมขวาน ธงสัญลักษณ์คือขวานไขว้รองพื้นด้วยสีดำ เมื่อธงนี้ตระหง่านเหนือกองทัพเมื่อใด ทั่วหล้านี้ต่างเกรงกลัวหลีกนี้ เว้นเสียแต่พวกโยโลเกียที่ไม่เคยหวั่นเกรง เป็นที่รำคาญ และดื้อรั้นต่อสายตาชาวเมืองขวานตลอดมา ไม่มีทางที่จะมีกษัตริย์จากเมืองที่เป็นปรปักษ์จะมาเยือนเหยียบดินแดนแห่งนี้
“น้องสาวท่านจะพร้อมกับเรื่องนี้แล้วหรือ มิโน่” ไมตาล ทหารการ์ดคนสนิทของมิโน่พูดหลังจากการสนทนาของสองพี่น้องจบลง
“นางจะต้องพร้อม”มิโน่บอก “นี่เป็นคำสั่งของท่านพ่อ ข้ามิอาจขัด”
“นางเป็นคนดื้อดึงท่านและข้าต่างรู้แม้แต่พ่อของท่าน นางก็ยังไม่เว้น ถ้าเกิดนางดื้อดึงกับผู้ที่จะมาเยือนที่ดินแดนของเราแล้ว คงจะลำบากไม่น้อยทีจะมีกงการ ไมตรีมิตร” ไมตาลเอ่ยพลางเอามือจับขวานที่ข้างเอวของเขาไว้
“เมื่อถึงเวลานางจะต้องเข้าใจ”เขาตอบเสียงเน้นหนัก“แม้นางจะเอาแต่ใจ แต่นางก็ไม่มีวันไม่รักดินแดนแห่งนี้ และข้าเชื่อว่านางฉลาดพอที่จะเข้าใจเรื่องนี้”
ไมตาลยืนนิ่งเงียบราวกับรูปปั้นกำลังครุ่นคิดเขามิอาจถามอะไรได้ต่อไป
“เมื่อถึงวันนั้น” มิโน่เอ่ยขึ้น “เราจะครองอาณาจักรนี้และโยโลเกียและเหนือสุดที่ วิดาคารู และแม้แต่อาณาจักรสามกษัตริย์เทียทารอสก็ไม่ได้ไม่ไกลแค่เอื้อม ใช่ เมื่อลูกของนางเกิด วาเนียและโยโลเกียจะรวมกันและมีอำนาจที่สุดในทวีปนี้”
ไมตาลฟังสงบนิ่งอยู่ เขารู้ว่าไม่ควรต่อเถียงกับคำที่มิโน่กล่าวออกมานี้ ถึงแม้จะเป็นคำเตือนแต่ก็ไม่ใช้กิจกงการที่เขาต้องมาดูแลในส่วนนี้ แต่เขายังเป็นเพื่อน เขารู้จักกันตั้งแต่ยังเด็ก เขารู้จักมิโน่ดี “ท่านพ่อของท่านเบื่อหน่ายกับสงครามมามากแล้ว และเราไม่ควรมีสงคราม เราเข้ายุคใหม่แล้วนายท่าน สงครามเป็นสิ่งที่โง่เขลาที่จะทำให้อาณาจักรอื่นรวมตัวกันกำจัดเรา…”
“ข้าไม่ได้พูดถึงสงคราม” มิโน่ตัดบท “ข้าพูดถึงอำนาจ อีกไม่นานนักมันจะเป็นอย่างนั้น ใช่! มันควรจะเป็นเช่นนั้นขอแค่ให้เราอายุยืนเถอะ”
“ข้าว่าหน้าตาอย่างพี่ข้า คงดื้อดึงจนอายุเป็นหมื่นปีเชียวล่ะ” เสียงมิซ่าก็ลอยออกมาจากด้านหลังหนุ่มทั้งสองที่มองออกไปนอกหน้าต่างห้องของปราสาท
สองหนุ่มตื่นขึ้นจากบทสนทนา ก่อนหันหลังไปมองเสียงที่พวกเขาจะต้องสนทนาอีกครั้ง
“หวังว่า ม้าบินที่ท่านพ่อให้เจ้าไปจะยังไม่โดนขวานของเจ้าปักกลางหลังนะ มิซ่า” มิโน่ทักทายกลบเกลื่อนการสนทนาก่อนหน้านี้
“มันเร็วกว่าขวานของท่านเสียอีก พี่ข้า จากป่าสวรรค์ข้ามาถึงนี่เพียงชั่วครู่ จะมีอันใดเร็วกว่าสิ่งที่ทวยเทพสร้างให้นี้อีก” เธอยังเร่งเร้าแกล้งพี่ชายแสนรักของเธอ
“ว่ากันว่า ที่อาณาจักรเอนทากอนมีเรือบินที่บินได้รอบดินแดนทวีปนี้เป็นเวลาแค่เจ็ดวัน เร็วกว่าขวานของท่านเสียอีกคุณหนู” ไมตาลตอบแทนมิโน่
มิซ่ามองไปยังหน้าไมตาลอย่างเคร่งขรึม ใบหน้าเรียวยาว ตาสีฟ้า เหมือนกับลูม่าน้องสาวของเขา ไมตาลลูกชายคนที่สองของ สแตนส์ ลาคูลน์ สหายรักของพ่อเธอที่ดูแลทางใต้ของวาเนีย เขาเข้าเมืองมาทำหน้าที่องครักษ์เพราะรู้ดีว่าเมื่อพ่อของเขาสิ้นไป พี่ชายคนแรกของเขาก็จะได้รับการสืบทอดครองดินแดนทางใต้ต่อและลูกๆของพี่เขาก็สืบทอดไปเรื่อยๆ ไม่มีอะไรให้เขาที่แถบใต้ อยู่เมืองหลวงเป็นองครักษ์รัชทายาท เวลาสืบไปอาจได้เป็นแม่ทัพใหญ่เมื่อเวลามาถึง
“ฮ่าฮ่าฮ่า” เสียงหัวเราะพี่ชายของเธอดังอยู่ในลำคอ “เมื่อเจ้ามาแล้วรีบไปหาท่านพ่อเสีย ท่านให้เจ้ารีบไปหาท่าน”
“มีเหตุอันใดที่เรียกเพียงข้าไป ท่านไม่เห็นพี่ข้าเป็นลูกเสียแล้วรึ” มิซ่ายังพูดกวนวาจาอยู่
“ท่านพ่อให้ข้าเตรียมทหารไปรับลุงทั้งสองและออกไปรับขบวนเสด็จของกษัตริย์ต้นไม้ที่นอกเมืองมายังปราสาทโชวารอสนี้”มิโน่ตอบ “ไปได้แล้วเจ้าน้องตัวแสบอย่าให้ท่านพ่อต้องโกรธเจ้า”
หลังจากที่มิซ่าจากไปห้องนั้นก็เงียบลง ชายทั้งสองหันหลังกลับมองออกไปนอกหน้าต่างปราสาท
“พอข้าออกปราสาทไป”มิโน่กล่าวขึ้น “ขอให้เจ้าอยู่ที่นี่เพื่อนข้า คอยดูแลนางอย่างที่เจ้าดูแลน้องสาวของเจ้า” “ข้าจะบอกพ่อของเจ้า ลุงของข้าเองว่าเจ้าติดงานภารกิจที่ข้าสั่ง”
“ข้าควรทำอย่างไร”ไมตาลถามกลับอย่างรวดเร็ว “ถ้านาง…” “นางคงไม่พอใจเมื่อท่านพ่อท่านบอกว่า นางจะต้องแต่งงานกับเจ้าชายแดนต้นไม้นั่น” ไมตาลเปลี่ยนคำถามใหม่ราวกับรู้ว่ามันจะเกิดขึ้น
“ข้ารู้ เจ้าไม่ต้องทำอะไรเพียงดูนาง อย่าให้นางทำอะไรโง่ๆ” มิโน่ตอบพร้อมถอนหายใจพร้อมกับหันออกจากหน้าต่างมามองหน้าไมตาล “เจ้ารู้ใช่ไหมว่าอะไรที่ทำแล้วจะดูโง่คืออะไร” เขาถาม
ไมตาลพยักหน้า “ใช่ ข้ารู้”
มิโน่พยักหน้าตอบและตบไหล่ไมตาลเบาๆ และเดินออกจากห้อง ปล่อยไมตาลทิ้งไว้อยู่ที่ที่ทั้งสองสนทนากัน
เขาเดินไปถึงซุ้มประตูทางออกของห้อง“นางรู้ข้อนี้ดี” มิโน่หันหลังกลับมาพูด“เราอยู่กับสิ่งสวยงามไม่ได้ตลอด”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ