เพียงเธอ
เขียนโดย ชนามล
วันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 23.50 น.
แก้ไขเมื่อ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2557 17.43 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) ความหลัง ความทรงจำ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ-- 2 --
ปารีส ฝรั่งเศส... 7 ปีก่อน
กรุงปารีสยามค่ำคืนช่างเต็มไปด้วยแสงสีงดงามอลังการ สถานที่ท่องเที่ยวดังๆ และท้องถนนเกือบทุกหนแห่งเต็มไปด้วยไฟประดับประดางดงาม ถ้าเกิดไม่ได้ถ่ายรูปสวยๆ เก็บไว้นี่คงต้องนึกเสียดายไปอีกนานแน่
เพียงแต่ว่านี่มันไม่ใช่เวลามาถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกน่ะสิ
ถ้าเป็นปกติศวิตาคงตื่นเต้นดี๊ด๊ากับสิ่งต่างๆ รอบตัวในตอนนี้อย่างแน่นอน แต่ว่านี่มันไม่ใช่เวลาปกติสักเท่าไหร่ เพราะว่าเธอกำลังหลงทางเข้าเต็มเปา
หญิงสาวรู้สึกหงุดหงิดตัวเองอยู่ในใจ ออกมาเที่ยววันแรกก็หลงเสียแล้ว หลงในแปลกที่แปลกถิ่นก็ว่าแย่แล้วนะ แต่ที่แย่ไปมากกว่านั้นก็คือเธอไม่มีอะไรติดตัวเลยสักอย่าง แถมภาษาฝรั่งเศสก็ไม่กระดิกเลยสักนิด
ถ้าไม่มัวแต่ดูนั่นดูนี่เพลินจนลืมมองทางก็ดีหรอก รู้ตัวอีกทีหลงไปแล้ว แถมยังขึ้นเมโทรผิดสายอีกจนมาโผล่อยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ด้วย
ศวิตายืนหันรีหันขวางอยู่นาน ถึงจะมีคนเดินผ่านไปผ่านมาเยอะแยะ แต่ก็เป็นฝรั่งหัวทองตาน้ำข้าวทั้งนั้น แล้วก็ไม่มีวี่แววว่าจะมีใครเข้ามาช่วยเธอเลยสักคนเดียว ร่างเล็กถอนหายใจออกมาบางๆ เธอชักจะไม่ประทับใจแล้วสิ
ในเมื่อพึ่งใครไม่ได้ก็คงต้องพึ่งตัวเองสถานเดียวแล้ว ลมหายใจถูกสูดเข้าลึกๆ ก่อนจะระบายออกมา ไปตายเอาดาบหน้าก็แล้วกัน ยังไงมันก็คงไม่หลงไปมากกว่านี้หรอก
ศวิตาเดินถอยหลังไปสองสามก้าว กะเหมือนประมาณว่าจะถอยมาตั้งหลัก แต่ก็พาลจะเสียหลักเอาเพราะดันถอยไปชนเข้ากับใครก็ไม่รู้แถมยังเหยียบเท้าแถมเข้าให้อย่างจังอีกต่างหาก
“โอ๊ะ! ขอโท... เอ๊ย! ต้องพูดว่าอะไรนะ แม็ก ซิ...”
“เดินมาเหยียบเท้าชาวบ้านเค้าแล้วยังจะอุตส่าห์ขอบคุณอีกนะ”
คนถอยหลังไปชนรีบหันขวับกลับไปมองทันที เธอเห็นสีหน้าเรียบเฉยนิ่งสนิทอยู่ห่างจากหน้าเธอแค่นิดเดียวเท่านั้น ร่างเล็กสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อพบว่าใบหน้าของเธอเกือบจะชนกับผู้ชายแปลกหน้าอยู่แล้ว จึงดีดตัวออกห่างอย่างรวดเร็ว แต่ถึงจะหารอยยิ้มบนใบหน้าของอีกฝ่ายไม่เจอเลยสักนิด ศวิตาก็ฉีกยิ้มกว้างก่อนจะร้องออกมาอย่างลืมตัว
“คนไทยนี่!”
“ฝรั่งมั้ง”
รอยยิ้มกว้างหุบลงทันที คำพูดยียวนกวนประสาทจากคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักมักคุ้นกันมาก่อนนั่นทำให้เธออึ้งไป ก่อนจะรู้สึกเซ็งอารมณ์แบบสุดๆ อุตส่าห์ดีใจที่ได้เจอคนไทยเหมือนกันแท้ๆ แต่กลับเจอคนแบบนี้เข้าให้อีกจนได้ โชคร้ายเป็นบ้าเลย
“แล้วนี่เหยียบเท้ากันเนี่ยไม่คิดจะขอโทษเลยใช่ไหม” คนที่ยืนหน้าตายอยู่ตรงหน้าถามเสียงเรียบๆ
“ก็เมื่อกี้พูดไปแล้วไง” หญิงสาวว่าเสียงบูดๆ
“แม็ก ซิ (Merci) นั่นมันขอบคุณ”
“ก็ฉันไม่รู้ภาษาฝรั่งเศสนี่!”
“ได้ข่าวว่าที่ยืนอยู่นี่น่ะคนไทย”
ศวิตาตีหน้ายักษ์ใส่ร่างสูงตรงหน้า คนอะไรกวนประสาทเป็นบ้า จะพูดจะจาอะไรให้ดีหน่อยไม่ได้หรือไง
“ขอโทษ!”
“ก็แค่นั้น” คนๆ นั้นเอ่ยง่ายๆ โดยไม่สนใจน้ำเสียงกระแทกกระทั้น เขากวาดสายตามองไปรอบๆ อย่างรวดเร็วก่อนจะถามต่อ “แล้วนี่มาทำอะไรตรงนี้คนเดียวเนี่ย”
“หลง” หญิงสาวบอกก่อนจะแถมค้อนให้อีกวงหนึ่ง
ริมฝีปากหยักกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มนิดนึงก่อนจะหัวเราะหึออกมา ศวิตาไม่รู้ว่าคนตรงหน้ากำลังคิดอะไรแต่สำหรับเธอแล้วมันช่างเหมือนเป็นการเยาะเย้ยเสียจริงๆ
“ขำอะไร” เธอว่าเสียงห้วน “ไม่เคยเจอคนหลงทางหรือไง”
“เปล่านี่” ชายหนุ่มปฏิเสธ “หลงมาจากไหนล่ะ”
“ฌ็องเซลิเซ่ แถวๆ ประตูชัย2”
“มาไกลนะเนี่ย”
“ก็ขึ้นเมโทรมาผิดสาย ฉันหลงกับเพื่อนเลยว่าจะกลับไปรอที่โรงแรม แต่ดันมาโผล่ตรงส่วนไหนของโลกก็ไม่รู้” ศวิตาโอดครวญอย่างอดไม่ได้
“ก็ยังอยู่ในปารีสเนี่ยแหละ แค่นี้ทำเป็นตื่นเต้น” คนแปลกหน้าเอ่ยหน้าตาย
“ลองมาวันแรกแล้วหลงดูบ้างไหมเล่า!” ร่างเล็กแว้ดอย่างเหลืออด “เงินก็ไม่มี อะไรก็ไม่มี พูดอะไรก็ไม่ได้สักคำ แล้วฉันสมควรเครียดไหมล่ะ!”
“เออ จริง” คนตรงหน้าหัวเราะออกมานิดนึง “แล้วเงินไปไหนหมดล่ะ โดนจี้ไปหมดแล้วหรือไง”
“เปล่า...” ศวิตาลากเสียงตอบเบาๆ ก่อนจะอ้อมแอ้มพูดต่อ “ฉันฝากกระเป๋าแล้วก็ของทุกอย่างไว้ที่เพื่อนหมดเลย”
คราวนี้รอยยิ้มหายไปจนหมดและกลายเป็นคิ้วที่ขมวดมุ่นเข้าหากันแทน สายตาดุๆ ถูกส่งมาจากดวงตาคมจนหญิงสาวรู้สึกกลัวคนแปลกหน้าคนนี้ขึ้นมาแวบหนึ่ง เขาเอามือล้วงกระเป๋าก่อนจะมองด้วยสายตาจริงจังจนคนที่ตัวเล็กอยู่แล้วยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเล็กลงไปอีก
“กระเป๋าใบเดียวยังถือไว้กับตัวไม่ได้ สมควรแล้วล่ะ”
ดวงหน้าหวานบึ้งตึงด้วยความไม่พอใจขึ้นมาทันที ดวงตากลมโตจ้องคนตรงหน้าเขม็ง คิดว่าตัวเองเป็นใคร กล้าดียังไงถึงได้เที่ยวมาคอยสั่งสอนคนอื่นแบบนี้ รู้จักกันหรือก็เปล่า
“ไม่ได้มีสมองไว้รู้จักคิดเลยเหรอไง”
“นี่! มันจะมากเกินไปแล้วนะ” ศวิตาร้อง รู้สึกว่าโทสะแล่นริ้วๆ ขึ้นมาตามใบหน้า “ถ้าไม่คิดจะช่วยก็เลิกกวนประสาทฉันได้แล้ว ฉันจะกลับ!”
ร่างเล็กหมุนตัวกลับทำท่าจะเดินจากไปทั้งๆ ที่ในใจก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้องไปไหนกันแน่ แต่ด้วยทิฐิที่มีอยู่สูงเลยทำให้เธอเลือกที่จะเดินหนีออกมาแทนที่จะเป็นฝ่ายอ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากคนปากไม่ดีคนนี้
“กลับถูกหรือไง แล้วเงินน่ะ มีสักแดงหนึ่งไหม”
เสียงร้องที่ไล่หลังมาก็ทำให้ขาที่กำลังก้าวหยุดชะงักได้ทันที มือบางกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ เธอหันกลับมาเผชิญหน้ากับคนตัวสูง มือยกขึ้นเหมือนจะชี้หน้าด่าแต่แล้วก็ต้องค้างอยู่แบบนั้นเมื่อได้ยินคำพูดห้วนๆ จากเขาคนนั้น
“ตามมา เดี๋ยวจะพาไปส่งให้”
ถึงจะเป็นคำพูดห้วนๆ เหมือนไม่ใส่ใจ แต่ก็ทำให้ศวิตายิ้มกว้างออกมาได้ในทันที อารมณ์โกรธเมื่อครู่นี้พลันอันตรธานหายไปอย่างรวดเร็ว
“จริงนะ!”
“โกหกมั้ง”
หญิงสาวหุบยิ้มกลายเป็นหน้าง้ำทันที ให้ตายสิ คนบ้าอะไรกวนประสาทจริงๆ
“โรงแรมอยู่แถวไหนล่ะ” ชายหนุ่มถามเรียบๆ
“ใกล้ๆ หอไอเฟลเลย” ร่างเล็กบอกเสียงใส “จากเมโทรเดินไปแปบเดียวก็ถึงแล้ว”
“โอเค งั้นตามมา” เขาบอก ก่อนจะเสริมต่ออย่างรวดเร็ว “แล้วก็ตามให้ทันด้วยล่ะ หลงอีกไม่ไปตามแล้วนะ”
“รู้แล้วน่า” ศวิตาว่าเสียงบูดๆ
คนขาสั้นกว่ารีบก้าวขายาวๆ เดินตามคนตัวสูงไปอย่างรวดเร็ว ถึงจะดูเหมือนนิสัยไม่ดีแต่จริงๆ แล้วก็เป็นคนดีเหมือนกันแหะ
“ฉันยังไม่รู้จักชื่อนายเลยนะ” ศวิตาถามระหว่างที่จ้ำเดินให้ทันอีกคนหนึ่ง “ชื่ออะไรเหรอ ฉันชื่อมุกนะ”
“ส่วนใหญ่เรียกชวินทร์ แต่เรียกฉันว่าพอร์ชก็แล้วกัน”
คิ้วเรียวเลิกขึ้นเล็กน้อยอย่างแปลกใจที่คนตรงหน้าแนะนำตัวเต็มยศทั้งชื่อเล่นและชื่อจริงแต่ก็ไม่ได้ถามไถ่อะไรต่อ ทั้งคู่เดินไปจนถึงสถานีเมโทรอย่างเงียบๆ และในระหว่างที่ยืนอยู่ในเมโทรแล้วนั่นเอง เจ้าของแววตาซุกซนจึงได้มีโอกาสลอบสำรวจคนตรงหน้าอย่างลับๆ
ชวินทร์เป็นผู้ชายร่างผอมสูง ผิวสีออกแทนๆ แต่ก็ยังจะย้อมผมฟูๆ ตั้งๆ นั่นให้เป็นสีน้ำตาลอ่อน คิ้วหนาเป็นเส้นตรง ดวงตาสีดำขลับคมกริบจ้องนิ่งอย่างเหม่อลอยไปนอกหน้าต่างที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากความมืดให้มองเห็น ผ้าพันคอสีเขียวนวลพันขึ้นสูงจนซ่อนริมฝีปากหยักไว้ภายใน เขาสวมเสื้อสเวตเตอร์สีแดงเลือดหมูทับด้วยเสื้อแจ็กเก็ตสีเทาเข้ม กางเกงยีนส์เข้ารูปสีดำซีด ส่วนรองเท้าผ้าใบสีดำที่เขาสวมมีเพ้นลายสีน้ำเงินสะท้อนแสงด้วย
ช่างเป็นการแต่งกายที่ประหลาดดีจริงๆ
“จะจ้องอีกนานไหม รู้ไหมว่ามันเสียมารยาท”
น้ำเสียงห้วนเรียบของชายหนุ่มทำเอาคนที่แอบมองอยู่ถึงกับสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบแกล้งปั้นหน้าตายแล้วเปลี่ยนเรื่องทันที
“นายมาทำอะไรที่ฝรั่งเศสเหรอ มาเที่ยวใช่หรือเปล่า”
“ก็ประมาณนั้น” ชวินทร์ตอบ แต่เมื่อเห็นสีหน้างงๆ ของอีกฝ่ายเลยเสริมต่อ “มาเที่ยวแล้วก็มาทำงานพิเศษเล็กๆ น้อยๆ ตอนช่วงปิดเทอมด้วย”
“ทำงานพิเศษเนี่ยนะ” ศวิตาร้องอย่างประหลาดใจ “แค่งานพิเศษต้องมาหาไกลถึงนี่เลยเหรอ”
“พอดีมีคนรู้จักทำร้านอาหารไทยอยู่ที่นี่น่ะ เลยมาช่วยงานเขาแลกกับที่กินกับที่ซุกหัวนอน แล้วก็จะได้เที่ยวบ้างอะไรบ้างไง” ชายหนุ่มตอบง่ายๆ “แล้วนี่มากับเพื่อนเหรอ มาฝรั่งเศสครั้งแรกเลยหรือเปล่า”
“ครั้งแรก แล้วก็หลงเลย” ร่างเล็กบอกพร้อมกับหัวเราะออกมา เธอรู้สึกสบายใจขึ้นเยอะตั้งแต่เจอผู้ชายคนนี้ ถึงแม้ว่าปากเขาจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ก็เถอะ “หลงไปถึงไหนยังไม่รู้เลยเนี่ย”
“ไม่รู้จักมหาวิหารโนเตรอดาม3 หรือไง” ชวินทร์ถามห้วนๆ คิ้วหนาขยับขึ้นนิดหนึ่งอย่างซ่อนอาการแปลกใจไว้ได้ไม่หมด
“ก็รู้ แต่คนมันไม่ได้มองนี่นา” เธอว่า “นี่ฉันไปถึงโนเตรอดามแล้วเหรอเนี่ย ไม่อยากจะเชื่อเลย”
“ใหญ่ขนาดนั้นยังจะอุตส่าห์บอกว่าไม่ได้มองอีกนะ ตาบอดหรือไง”
ศวิตาทำเสียงจึกจักอย่างขัดใจ ดวงตากลมโตค้อนควักชวินทร์อย่างไม่ปิดบัง ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้ปากคอเราะร้ายแบบนี้นะ ไม่เคยคิดที่จะพูดจาดีๆ เหมือนคนอื่นเขาบ้างเลยใช่ไหม
“จะมาเที่ยวกับเขาทั้งทีเนี่ย หัดเตรียมตัวให้พร้อมบ้างสิ อย่างน้อยก็หัดพูดสวัสดี ขอบคุณ ขอโทษให้ได้ก็ยังดี” ชวินทร์พูดก่อนจะหันมามองหน้า “แล้วเงินเนี่ย พกติดตัวเอาไว้เลย ฉุกเฉินขึ้นมาจะได้มีใช้ ไม่ใช่เที่ยวเอาไปฝากใครต่อใครไว้หมด”
ศวิตารู้สึกเหมือนกำลังโดนเทศน์อยู่ไม่มีผิด ถึงเธอจะไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่แต่ในเมื่อมันเป็นเรื่องจริงอย่างที่อีกฝ่ายว่า เธอก็เลยไม่เถียงอะไรสักคำ
“แล้วอีกอย่างนะ” ชายหนุ่มเอ่ยต่อ ริมฝีปากหยักเหยียดยิ้มแบบแปลกๆ “เลิกเรียกฉันๆ นายๆ ได้แล้ว เป็นเด็กเป็นเล็กแท้ๆ”
“ฉันไม่ได้เด็กขนาดนั้นเสียหน่อย” คนถูกกล่าวหาว่าเป็นเด็กแย้งกลับทันควัน “แล้วฉันจะไปรู้ได้ยังไงล่ะว่านายอายุเท่าไหร่ เผลอๆ จะน้อยกว่าหรือไม่ก็เท่ากับฉันล่ะสิไม่ว่า”
“อายุเท่าไหร่” เขาถามสวนกลับ
“จะสิบเก้าแล้ว” ศวิตาตอบอย่างรวดเร็ว
“ฉันเพิ่งยี่สิบเอ็ดไปเมื่ออาทิตย์ก่อน” ชวินทร์บอกพร้อมกับรอยยิ้มแห่งชัยชนะ “หัดเรียกพี่เสียบ้าง มาฉันมานายอยู่ได้ ฟังแล้วรำคาญ”
“งั้นเรียกเฮียได้หรือเปล่า” คนเด็กกว่าถามด้วยน้ำเสียงยียวนเมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นฝ่ายแพ้
“ดูหน้าด้วย” ดวงตาคมหรี่มองระหว่างที่เอ่ยเสียงเรียบ “จะมาเรียกฮงเรียกเฮีย หน้าฉันนี่มันจีนตรงไหน”
“ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย ก็ที่บ้านฉันมีเชื้อสายจีนนี่นา”
เจ้าของดวงตาคมหันมามองดวงหน้าที่ห่างไกลกับคำว่ามีเชื้อจีนอยู่หลายขุมด้วยความแปลกใจ ดวงตาสีน้ำตาลสองชั้นกลมโต ปากนิด จมูกหน่อย สิ่งเดียวที่ทำให้เธอดูใกล้เคียงกับคำว่ามีเชื้อจีนคงจะเป็นผิวขาวอมชมพูเนียนละเอียดนั่นล่ะมั้ง
“เฮียพอร์ช...”
น้ำเสียงล้อเลียนปลุกชายหนุ่มกลับขึ้นมาจากภวังค์ เขาเพิ่งรู้สึกตัวว่ากำลังจ้องหน้าคนตัวเล็กกว่าตาไม่กระพริบ ดวงตากลมโตมีแววล้อเลียนเจืออยู่อย่างเห็นได้ชัด รอยยิ้มที่อวดเขี้ยวซี่เล็กๆ พร้อมกับแก้มบุ๋มทำให้ไม่อาจจะละสายตาได้อย่างที่ใจคิด ความรู้สึกร้อนวูบจู่โจมที่ใบหูจนต้องรีบเบือนหน้าหลบก่อนที่มันจะลามมายังใบหน้า ปากหยักขมุบขมิบพึมพำเป็นเชิงยอมจำนน อยากจะเรียกอะไรก็เรียกไป ก่อนจะสะกิดแขนของอีกฝ่ายเพื่อเป็นการบอกให้เตรียมตัวลงสถานีต่อไปได้แล้ว
หอไอเฟลตั้งตระหง่านปรากฏให้เห็นทันทีที่ก้าวขาออกมาจากสถานีเมโทรฌอง เดอ มาร์ (Champ de Mars) ศวิตาถึงกับร้องออกมาด้วยความดีใจอย่างลืมตัว เพราะในที่สุดเธอก็กลับมาถึงแล้ว
“อย่าออกนอกหน้าให้มันมากนัก ไว้ให้ถึงโรงแรมให้เจอหน้าเพื่อนก่อนแล้วค่อยดีใจ”
เสียงห้วนๆ ตามแบบฉบับของคนที่ยืนอยู่ข้างๆ เบรคหญิงสาวร่างเล็กเอาไว้ได้ทันที เธอหันไปมองสีหน้าเรียบเฉยนั่นอย่างค้อนๆ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าทำไมถึงเป็นคนแบบนี้
ชวินทร์เดินไปกับศวิตาจนถึงหน้าโรงแรมที่เธอพัก โชคดีที่อย่างน้อยก็จำชื่อโรงแรมแล้วก็พอจะจำทางกลับได้ล่ะนะ ไม่อย่างนั้นเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้องไปส่งเธอที่ไหน
“หนูขอบคุณเฮียมากเลยนะ” ศวิตาบอกพร้อมกับยิ้มกว้าง “ถ้าวันนี้ไม่ได้เฮียพอร์ชเค้าคงหลงอยู่ในปารีสจนตายแน่ๆ เลย”
ชวินทร์รู้สึกว่าอะไรบางอย่างในอกมันไหววูบอย่างน่าประหลาดเมื่อได้ยินสรรพนามที่เธอเรียกตัวเองว่า ‘หนู’ และเรียกเขาว่า ‘เฮีย’
“อืม แล้วหวังว่าคงจำได้นะว่าพักห้องไหน”ชายหนุ่มเอ่ยเรียบๆ พร้อมกับแอบแขวะกลบเกลื่อน “แล้วไม่ใช่เข้าไปแล้วหลงอีกล่ะ”
ร่างเล็กทำหน้าง้ำอย่างงอนๆ ที่ผู้ชายตรงหน้าไม่เคยคิดจะพูดจาดีๆ กับเธอบ้างเลยสักครั้ง ถึงจะไม่ได้รู้จักมักจี่อะไรกันมากมายก็เถอะ แต่เธอก็ไม่ชอบให้ใครมาพูดจาอะไรแบบนี้ใส่เธอ
“วันหลังนะ จะไปไหนมาไหนเอาแผนที่ติดตัวไว้ด้วย จะได้ไม่หลงอีก แล้วเงินน่ะ ก็พกติดตัวเอาไว้ ตอนขึ้นเมโทรก็ระวังตัวไว้ให้มากๆ มิจฉาชีพมันเยอะ โดนกรีดกระเป๋าแล้วจะซวยไม่รู้ตัว”
ชวินทร์พูดห้วนๆ เหมือนรำคาญแต่ฟังดูก็รู้ว่าที่พูดออกมาทั้งหมดก็เพราะหวังดีและเป็นห่วง ศวิตาแอบยืนอมยิ้มอยู่เงียบๆ สีหน้าเรียบเฉยของคนตรงหน้าทำให้เธออยากจะหัวเราะออกมาจริงๆ
ถึงหน้าจะนิ่งแค่ไหน แต่ใบหูทั้งสองข้างนั้นแดงยิ่งกว่าลูกตำลึงสุกเสียอีก
“รับทราบค่ะ ยังไงวันนี้ก็ต้องขอบคุณมากเลยนะคะที่ใจดีพามาส่ง”
ดวงตาโตกระพริบปริบๆ อย่างแกล้งอ้อน เสียงหัวเราะใสดังออกมาเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มที่ยืนทำหน้านิ่งอยู่ตรงหน้ายิ่งหูแดงหนักกว่าเก่า ชวินทร์รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะเสียท่าให้กับเธอคนนี้ จึงพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะยกมือขึ้นโบกแบบแปลกๆ ซึ่งศวิตาคิดเหมาเอาเองว่าน่าจะเป็นการโบกมือลามาให้ก่อนจะเดินปะปนหายไปกับฝูงชนอย่างรวดเร็ว
เมื่อมีครั้งแรก ก็ย่อมต้องมีครั้งที่สองตามมาเสมอ เพราะดูเหมือนว่าฟ้าจะเล่นสนุกไม่จบไม่สิ้น ทั้งคู่จึงมีโอกาสได้เจอกันอีกเมื่อกลับไทย
ศวิตาบังเอิญเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเดียวกับที่ชวินทร์เรียนอยู่ ทั้งสองคนบังเอิญเดินเจอกันในโรงอาหาร เธอจึงได้รู้ว่าชวินทร์เป็นรุ่นพี่เธออยู่สองปีแต่เรียนคนละคณะ แล้วตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาความบังเอิญที่ดูเหมือนจะจงใจก็เกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ ร่างสูงของชวินทร์จะคอยผลุบๆ โผล่ๆ มาให้ศวิตาได้เห็นอยู่ตลอดเวลา จนกลายเป็นว่าต้องเจอหน้ากันสามเวลาเช้า กลางวัน เย็นไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
เมื่อเวลาผ่านไป ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนก็ค่อยๆ พัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ ตามลำดับ ถึงชวินทร์จะดูเป็นคนที่ขี้หงุดหงิดและชอบเหวี่ยงใส่คนอื่นอยู่ตลอดเวลา แถมยังชอบพูดจาขวานผ่าซากเอามากๆ แต่ศวิตาก็รู้ดีว่าจริงๆ แล้วชายหนุ่มเป็นคนยังไงกันแน่ ถึงแม้ว่าเขาอาจจะดูแข็งๆ ไปบ้างเหมือนคนที่แสดงความรู้สึกไม่เก่ง แต่จริงๆ แล้วก็เป็นคนที่อ่อนโยนมากเลยทีเดียว
ยิ่งพอถึงวันที่เอ่ยปากขอคบเป็นแฟนยิ่งแล้วใหญ่ หาความโรแมนติกไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว วันนั้นชายหนุ่มกำลังขับรถพาศวิตากลับหอหลังจากที่ไปกินข้าวกับเพื่อนๆ มา ระหว่างที่เธอกำลังนั่งเหม่ออย่างง่วงๆ อยู่นั้น จู่ๆ ชวินทร์ก็เอ่ยขึ้นมาลอยๆ แบบไม่มีปี่มีขลุ่ยว่า
“เป็นแฟนกันนะ”
คำพูดทื่อๆ สั้นๆ ห้วนๆ เล่นเอาคนฟังถึงกับงงเป็นไก่ตาแตกไปวูบหนึ่ง ดวงตากลมโตหันไปจ้องหน้าคนที่กำลังเพ่งสมาธิอยู่กับถนนเบื้องหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถึงมันจะมืด แต่เธอก็เห็นว่าใบหูและต้นคอมันแดงก่ำขึ้นมาขนาดไหน เสียงหัวเราะคิกคักเบาๆ หลุดออกมาเพราะห้ามไม่อยู่ ถึงมันจะดูตรงๆ ทื่อๆ ไม่ได้มีคำหวานพิเศษอะไร แต่เธอกลับรู้สึกดีมาก เพราะนี่แหละคือตัวตนที่แท้จริง ไม่ต้องเสแสร้งปั้นแต่งอะไรขึ้นมาเลย
หลังจากที่ทั้งสองตกลงคบกันแล้ว ทุกอย่างก็ยังคงเป็นไปเหมือนเดิมตามปกติ แต่มันมีความลับอะไรบางอย่างที่ศวิตาไม่แม้แต่จะสะกิดใจสงสัย เป็นเรื่องที่ชวินทร์ปิดเงียบมาโดยตลอด จนเมื่อความลับมันแตก เรื่องทุกอย่างมันถึงได้จบลงแบบนั้น
เพราะเขาไม่ได้มีเธอแค่คนเดียว
ถ้าถามว่ารักไหม คำตอบคือรักมาก ถ้าถามว่าคิดจริงจังไหม ก็ต้องบอกว่าไม่เคยคิดอะไรกับใครแบบนี้มาก่อน
แต่คนเจ้าชู้ ยังไงก็คือเจ้าชู้อยู่ดี
หลายครั้งที่เพื่อนมาบอกมาเตือน แต่หญิงสาวก็ไม่เคยคิดที่จะเชื่อเลยสักนิด เพราะเธอไว้ใจ และมั่นใจในตัวชวินทร์มาโดยตลอด
“มุก ฉันเห็นพี่ชวินทร์ขับรถไปส่งใครก็ไม่รู้ ขึ้นรถไปต่อหน้าต่อตาฉันเลยนะ ฉันเห็นเต็มสองตา”
“อ้าว! วันนี้แกไม่ได้ไปช็อปเหรอ ฉันนึกว่าแกไปห้างเสียอีก เห็นพี่ชวินทร์อยู่กับใครก็ไม่รู้ ดูไกลๆ นึกว่าเป็นแก”
“ฉันไม่ได้อยากจะมายุให้แกทะเลาะกับแฟนนะ แต่ฉันเป็นห่วงแก”
“ฉันรู้ว่าแกไม่เชื่อ แต่ฉันเตือนเพราะหวังดี เผื่อใจเอาไว้บ้างก็ได้ ไม่งั้นได้เจ็บหนักแน่ๆ”
มีเพื่อนมาบอกเรื่องทำนองนี้กับเธอหลายครั้งมาก แต่ศวิตาก็ไม่เคยเชื่อเลยแม้แต่ครั้งเดียว ถึงจะมีหวั่นไหวไปบ้าง แต่ยังไงเธอก็แน่ใจว่าด้วยลักษณะนิสัยตรงๆ ทื่อๆ แบบนั้นคงทำเรื่องแบบนั้นไม่ได้แน่
จนกระทั่งวันที่เธอได้เห็นเองกับตา
วันนั้นศวิตาไปดักรออีกฝ่ายเลิกทำงานพิเศษ ปกติแล้วหญิงสาวไม่เคยมาเลยแม้แต่ครั้งเดียวเพราะว่าตัวเธอเองก็ติดงานเหมือนกัน แต่วันนั้นพอดีว่าเจ้าของร้านที่เธอทำงานให้เลิกงานเร็ว เลยกะจะไปเซอร์ไพรส์ให้ประหลาดใจเล่นๆ
แต่ใครจะไปรู้ล่ะ ว่าคนที่ต้องประหลาดใจกลับเป็นเธอเสียเอง
เมื่อได้เวลาเลิกงาน ชวินทร์ก็เดินออกมาจากร้าน ชายหนุ่มมองไม่เห็นแฟนสาวที่นั่งหลบมุมอยู่ แต่เธอมองเห็นเขาแล้วเลยลุกขึ้นยืนจะเดินเข้าไป แต่แล้วก็ต้องสะดุดกึกอยู่กับที่เมื่อเห็นชวินทร์หันหลังกลับไป มือใหญ่เอื้อมมือไปกุมมือของอีกคนที่เดินตามหลังออกมา
“กลับเลยไหม หรือว่าจะไปต่อ” ชวินทร์ถามพร้อมกับยิ้มบางๆ อย่างที่หญิงสาวไม่เคยเห็นมาก่อน เขาขยับเปลี่ยนจากการกุมมือมาเป็นโอบเอวเอาไว้หลวมๆ แทน
ศวิตาไม่ได้ยินว่าอีกฝ่ายตอบว่าอะไรเพราะตอนนั้นเหมือนว่าประสาทสัมผัสทางการรับรู้ของเธอมันด้านชาไปหมด ร่างกายมันสั่นเทิ้มด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดที่แล่นไปทั่วร่าง
ชวินทร์ยังคงมองไม่เห็นเธอ แต่เธอเห็นการกระทำทุกสิ่งทุกอย่างของอีกฝ่าย จนหญิงสาวคนที่เขากำลังโอบเอวอยู่รู้สึกเหมือนกำลังมีคนจ้องอยู่จึงหันมามอง ตอนนั้นแหละที่ชวินทร์ถึงได้หันตามมา
“มุก!”
ชายหนุ่มรีบปล่อยมือออกพร้อมกับเขยิบตัวถอยห่างออกมาทันที ใบหน้าของเขาซีดเผือดลงไปถนัดตา เขามองหญิงสาวที่ยืนจ้องมาด้วยสีหน้านิ่งสนิทอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ชวินทร์ขยับเดินเข้าไปหาศวิตาทันที
“มุก เฮีย...”
ยังไม่ทันจะได้เอ่ยแก้ตัวอะไร ใบหน้าของเขาก็สะบัดอย่างแรง ดวงตาคมเบิกกว้างด้วยความตกใจ ใบหน้าซีกซ้ายชาวาบไปทั้งแถบพร้อมกับริ้วสีแดงๆ ที่ปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“สนุกไหม” ร่างเล็กถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบที่เบาราวกับเสียงกระซิบ แต่เมื่อคนตรงหน้าไม่ยอมตอบหรือพูดอะไรเลย โทสะที่พยายามอดกลั้นมาโดยตลอดจึงได้ระเบิดออกมาในที่สุด
“ปั่นหัวคนอื่นเล่นแบบนี้น่ะมันสนุกนักหรือไง!”
น้ำตาที่ชวินทร์ไม่ได้เตรียมใจไว้ว่าจะต้องเห็นไหลออกมาช้าๆ แต่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลยแม้แต่น้อย เขาพยายามจะคว้ามือเธอมากุมไว้แต่ก็โดนสะบัดออกในทันที สีหน้ารังเกียจบนดวงหน้าหวานนั่นทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนโดนฉีกออกเป็นชิ้นๆ
“มุก...”
“หนูเชื่อใจเฮียมาตลอด แล้วทำไมถึงทำแบบนี้... ทำไม!”
“มุกฟังเฮียก่อนสิ ให้เฮียอธิบายก่อน”
“จะมาแก้ตัวอะไรอีก!” ศวิตาร้อง ความรู้สึกตอนนี้มันไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้อีกแล้ว “ก็เห็นอยู่ตำตาขนาดนี้ยังจะมีเรื่องอะไรให้พูดอีก”
“เฮีย...”
“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีเรื่องอะไรพรรค์นี้” หญิงสาวเอ่ยเสียงสั่น “ตลอดเวลาที่เราคบกัน มีคนเอาเรื่องแบบนี้มาบอกตั้งไม่รู้กี่ครั้ง แต่หนูก็ไม่เคยเชื่อ สมแล้วที่โง่โดนสนตะพายอยู่ได้ตั้งนาน”
“มุก มันไม่ใช่แบบนั้นนะ เฮียไม่เคยคิดว่าหนูโง่ เฮียขอโทษ เฮีย...”
“พอเถอะ” ศวิตาตัดบท “พอกันที”
ชวินทร์หน้าซีดเผือดลงไปหนักกว่าเดิม เขารู้ว่าผู้หญิงที่เขารักที่สุดกำลังจะบอกอะไร ร่างสูงทรุดฮวบลงคุกเข่ากับพื้น ชายหนุ่มส่ายหน้า สายตาอ่อนลงจนแทบจะเป็นการวิงวอนขอร้อง เขาไม่อยากรับรู้ ไม่อยากรับฟัง ไม่เอาเด็ดขาด
อย่าพูดคำนั้นออกมาเลยนะ...
“เราเลิกกันเถอะ”
[2] ประตูชัยฝรั่งเศส (Arc de triomphe de l'Étoile) เป็นอนุสรณ์สถานที่สำคัญในกรุงปารีส ตั้งอยู่กลางจัตุรัสชาร์ล เดอ โกล (Place Charles de Gaulle) หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม "จัตุรัสแห่งดวงดาว" (Place de l'Étoile) อยู่ทางทิศตะวันตกของฌ็องเซลิเซ่ ประตูชัยแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นการสดุดีวีรชนทหารกล้าที่ได้ร่วมรบเพื่อประเทศฝรั่งเศส โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสงครามนโปเลียน และในปัจจุบันยังเป็นสุสานของทหารนิรนามอีกด้วย
[3] มหาวิหารโนเตรอดาม (Cathédrale Notre-Dame de Paris) เป็นอาสนวิหารประจำอัครมุขมณฑลปารีส ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส คำว่า Notre Dame แปลว่า พระแม่เจ้า (Our Lady) ซึ่งเป็นคำที่ชาวคาทอลิกใช้เรียกพระนางมารีย์พรหมจารี ปัจจุบันอาสนวิหารก็ยังใช้เป็นโบสถ์โรมันคาทอลิกและเป็นที่ตั้งคาเทดราของอาร์ชบิชอปแห่งปารีส มหาวิหารน็อทร์-ดามถือกันว่าเป็นโบสถ์ที่สวยงามที่สุดในลักษณะกอทิกแบบฝรั่งเศส โบสถ์นี้ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์โดยเออแฌน วียอแล-เลอ-ดุก ผู้เป็นสถาปนิกคนสำคัญที่สุดคนหนึ่งของฝรั่งเศส
หวังว่าคงจะชอบกันนะคะ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ