เพียงเธอ

-

เขียนโดย ชนามล

วันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 23.50 น.

  2 chapter
  0 วิจารณ์
  4,847 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2557 17.43 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) การกลับมา

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

-- 1 --

         

 

          ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งจิบกาแฟพร้อมกับอ่านหนังสือในมือไปพลางๆ ด้วยท่าทีสบายๆ สาวๆ หลายคนที่เดินผ่านไปผ่านมาเป็นต้องเหลียวหลังชี้ชวนกันให้มองดูผู้ชายที่นั่งไขว่ห้างอ่านหนังสืออยู่หน้าร้านกาแฟอย่างไม่สนใจใคร เขาแต่งตัวด้วยเสื้อสีเทาย้วยๆ แว่นกันแดดที่เสียบไว้ที่คอเสื้อถ่วงให้คอเสื้อที่ปาดกว้างอยู่แล้วต่ำลงไปอีกจนเห็นแผงอกได้รูป ปลายขาของกางเกงยีนส์ผ้ายืดสีดำถูกยัดเข้าไปในรองเท้าบูตสีดำหุ้มข้อคู่โต

          ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่ากำลังตกเป็นเป้าสายตา แต่ชายหนุ่มไม่สนใจสายตาที่สาวๆ ส่งมาให้อย่างมีความนัยเลยแม้แต่น้อย มือหนาขยับพลิกเปลี่ยนหน้ากระดาษหนังสือก่อนจะเหลือบสายตาขึ้นมองไปยังร้านตัดผมที่อยู่เยื้องไปไม่ไกลนัก ริมฝีปากบางกระตุกยิ้มก่อนจะก้มลงอ่านหนังสือต่อ มืออีกข้างหนึ่งเอื้อมไปหยิบแก้วกาแฟที่เริ่มจะชืดจืดสนิทไปแล้วเพราะน้ำแข็งละลายจนเกือบหมดขึ้นมาจิบนิดๆ อย่างไม่ใส่ใจรสชาติเท่าไหร่ก่อนจะวางแก้วลงตามเดิม

          กาแฟเย็นแก้วนี้จิบมาไม่ต่ำกว่าชั่วโมงครึ่งแล้ว หนังสือเล่มบางๆ ที่ซื้อมาเพื่ออ่านรอฆ่าเวลาก็ผ่านไปได้กว่าครึ่งเล่ม แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าคนที่เดินหายเข้าไปในร้านตัดผมนั้นจะเดินออกมาแต่อย่างใด

          และแล้วริมฝีปากบางก็เหยียดเป็นรอยยิ้มกว้างเมื่อเขาเห็นคนที่กำลังนั่งรอส่งยิ้มสะท้อนมาให้จากกระจกเงาในร้าน คราวนี้มือหนาหยิบแก้วกาแฟที่วางอยู่ขึ้นมาจัดการรวดเดียวจนหมด จากนั้นก็เก็บหนังสือลงกระเป๋าแล้วลุกขึ้นเดินไปหาผู้ที่กำลังจะเดินออกมา

          “พี่ธีรอนานไหม”

          คำถามยิ้มๆ นั่นถูกส่งมาอย่างนั้นเองเพราะรู้อยู่แล้วว่ารอนานมาก ธีธัชหัวเราะพร้อมกับส่ายหน้าน้อยๆ ถ้าเป็นปกติเขาคงเบื่อไปแล้ว แต่สำหรับคนๆ นี้แล้ว รอนานแค่ไหนก็ไม่มีเบื่อหรอก

          “ทำผมคราวนี้เปลี่ยนลุคไปเลยนะ” ธีธัชเอ่ยยิ้มๆ “แต่พี่ชอบนะ สวยดี”

          “โดนคนหล่อชมกันซึ่งๆ หน้าแบบนี้มุกก็เขินแย่สิ”

          ศวิตาแกล้งทำเป็นเขินใส่ชายหนุ่มแล้วหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี ธีธัชมองคนตรงหน้าด้วยสายตาอ่อนโยน เขาหลงรักรอยยิ้มนี้มาตั้งแต่แรกเห็นเมื่อตอนสมัยที่เขายังเป็นนักศึกษา แม้ว่าทั้งคู่จะเรียนคณะเดียวกัน แต่ก็คนละสาขา ถึงเขาจะชอบเธอมาก แต่ก็ไม่มีโอกาสได้สนิทสนมใกล้ชิดเลยสักนิดจนกระทั่งเขาเรียนจบไปแล้ว ถึงได้มาค้นพบความจริงว่าลูกพี่ลูกน้องของเขาเป็นเพื่อนสนิทสมัยเด็กของเธอ ธีธัชเลยอาศัยเข้าทางน้องสาวอยู่เรื่อยๆ จนกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเธอในที่สุด

          “มุกขอโทษนะที่ให้รอนาน พี่ธีหิวหรือยัง ไปหาอะไรกินกันไหม”

          “ไปสิไป มุกอยากกินอะไรเลือกเลย”

 

 

          หลังจากตกลงกันไม่ได้อยู่พักใหญ่ สุดท้ายทั้งคู่เลยตกลงปลงใจเป็นร้านปิ้งย่างเจ้าประจำ ทั้งสองเลยเดินเคียงกันไปยังร้านที่เป็นเป้าหมาย ธีธัชเป็นชายหนุ่มร่างสูงสมส่วนที่ออกจะหนาไปนิดด้วยซ้ำ ดวงตาชั้นเดียวกลมโตภายใต้คิ้วหนาบ่งบอกถึงเชื้อสายจีนกว่าครึ่งในตัว จมูกโด่งรับกับริมฝีปากบางเฉียบอย่างเหมาะเจาะ ไรหนวดเขียวครึ้มที่ขึ้นอยู่รอบปากและตามแนวสันกรามช่วยดึงให้ใบหน้าไม่หวานจนเกินไปนัก ผมสีน้ำตาลเข้มตัดสั้นถูกเสยขึ้นอย่างลวกๆ สบายๆ ไม่เป็นทรงแต่กลับยิ่งทำให้เขาดูดีอย่างร้ายกาจ

          ส่วนศวิตาที่เดินอยู่ข้างๆ สูงเพียงไหล่ของเขาเท่านั้น ผมที่เคยยาวเกือบจรดกลางหลังถูกตัดเหลือแค่เคลียบ่าพร้อมกับย้อมเป็นสีน้ำตาลมะฮอกกานี ดวงตาสีน้ำตาลกลมโตเป็นประกายซุกซน ปากนิด จมูกหน่อย แต่สิ่งที่เป็นเสน่ห์ตรึงใจใครต่อหลายคนคือรอยยิ้มสดใสที่พร้อมจะอวดเขี้ยวซี่เล็กๆ และลักยิ้มที่แก้มบุ๋มตลอดเวลา ศวิตาถือว่าเป็นผู้หญิงที่ตัวเล็กกว่ามาตรฐานเล็กน้อย แต่ก็ถือว่าเล็กพริกขี้หนูเพราะถ้าเป็นเรื่องงานแล้ว เธอคือสุดยอดเวิร์คกิ้งวูแมนที่หัวหน้าและเพื่อนร่วมงานให้การยอมรับอย่างแท้จริง

          เมื่อไปถึงที่ร้าน หญิงสาวตะลุยสั่งทันทีโดยแทบไม่ต้องเปิดเมนูดูด้วยซ้ำ เห็นตัวเล็กๆ แบบนี้แต่ก็กินเก่งไม่แพ้ผู้ชายตัวโตๆ อย่างธีธัชเลยแม้แต่นิดเดียว ชายหนุ่มปล่อยให้ศวิตาสั่งไปตามใจชอบ ส่วนเขาไม่ได้สั่งอะไรให้ตัวเองเลยเว้นแต่เครื่องดื่มเท่านั้น

          หลังจากที่นั่งกินไปได้สักพักและคุยเรื่องสัพเพเหระจบไปหลายเรื่อง จู่ๆ ธีธัชก็ร้องเหมือนเพิ่งนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

          “เอ้อ! วันนี้ตอนที่นั่งรอมุกทำผมน่ะ เหมือนพี่จะเห็นเพื่อนเก่าสมัยเรียนแวบๆ ด้วยแหละ แต่ไม่แน่ใจว่าตาฝาดไปหรือเปล่า”

          “เพื่อนคนไหนเหรอ” ศวิตาถาม

          “มุกไม่รู้จักหรอก เป็นเพื่อนรุ่นน้องตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมน่ะ สนิทกันมากเลยนะ แต่รายนั้นไปเรียนเมืองนอกตั้งนานแล้ว เรายังติดต่อกันอยู่เรื่อยๆ แต่พักหลังๆ มานี่ไม่ค่อยได้ติดต่อกันเท่าไหร่แล้ว นี่ไม่คิดเลยนะว่าจะได้เจอกันอีก”

          หญิงสาวพยักหน้าช้าๆ ปากก็ยังเคี้ยวตุ้ยๆ ไม่ยอมหยุด ส่วนธีธัชเองก็คอยย่างเนื้อและคีบนั่นคีบนี่ให้อยู่ตลอดจนแทบจะล้นจานอยู่แล้ว นานๆ ทีถึงจะเป็นฝ่ายคีบใส่ปากตัวเองบ้างจนคนตัวเล็กกว่าต้องเอ่ยปากห้ามเอาไว้

          “พี่ธีกินบ้างก็ได้ มัวแต่คีบให้มุกอยู่นั่นแหละ เดี๋ยวมุกก็ตัวอ้วนกลมพอดีหรอก”

          “พี่ไม่เห็นว่ามุกจะอ้วนเป็นเหมือนคนอื่นเขาเลย” ธีเอ่ยยิ้มๆ

          “ตอนนี้ยังไม่อ้วน แต่ถ้าพี่ธียังไม่หยุดย่างเนื้อให้มุกอยู่แบบนี้ มุกว่ามุกต้องได้กลิ้งออกจากร้านแน่”

          เสียงหัวเราะห้าวระเบิดออกมาอย่างชอบอกชอบใจ ศวิตาจึงถือโอกาสที่เขาเผลอคีบเนื้อในจานตัวเองไปใส่จานของอีกฝ่ายจนเกือบหมดเพราะเริ่มจะกินไม่ไหวแล้ว

          “พี่ธีต้องกินโปรตีนเยอะๆ จะได้หล่อล่ำ”

          “พอแล้วๆ พี่ไม่อยากมีกล้ามปู” ธีธัชหัวเราะร่วนพร้อมกับโบกไม้โบกมือห้ามอย่างไม่จริงจังเท่าไหร่เพราะอีกนิดเขาก็จะเข้าข่ายผู้ชายกล้ามปูแล้ว

          ชายหนุ่มชวนคุยนั่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเสียงใสๆ เจื้อยแจ้วมากกว่าที่คอยสรรหาเรื่องตลกๆ มาเล่าให้ฟัง เล่าอย่างเดียวไม่พอ ต้องทำท่าประกอบไปด้วยจนคนตัวโตอดที่จะหัวเราะออกมาดังๆ ไม่ได้อยู่ตลอดเวลา

          “เอ๊ะ!”

          จู่ๆ ธีธัชก็จ้องออกไปนอกร้าน คิ้วหนาขมวดเข้าหากันน้อยๆ พร้อมกับเพ่งตามองไม่กระพริบ

          “เห็นสาวเหรอ” ศวิตาแซว “ดูท่าจะสวย จ้องไม่กระพริบเลยนะ”

          “บ้าสิ พี่ว่าพี่เห็นเพื่อนพี่นะ... เฮ้! ใช่จริงๆ ด้วย”

          ธีธัชรัวเคาะกระจกจนโต๊ะข้างๆ ถึงกับหันมาจ้อง แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจเพราะกำลังโบกไม้โบกมือให้ผู้หญิงคนหนึ่งที่เกือบจะเดินเลยไปแล้ว แต่ก็ต้องหยุดหันมามองด้วยความตกใจ

          “คนนี้เหรอ” ศวิตาร้องถาม “สวยนะเนี่ย”

          เจ้าหล่อนยิ้มกว้างอย่างตื่นเต้นยินดีเมื่อรู้ว่าผู้ที่เคาะกระจกเรียกคือใคร ธีธัชยิ้มร่าพร้อมกับกวักมือเรียกให้เข้ามาหาในร้าน ซึ่งก็ได้รับการพยักหน้าตอบรับเป็นอย่างดี

          “เดี๋ยวพี่จะแนะนำให้รู้จักเอง” ธีธัชหันมาพูดกับคนตรงหน้า

          ศวิตายิ้มรับ เธอเห็นเพื่อนของอีกฝ่ายเดินเข้ามาในร้านแล้วเรียบร้อย ร่างสูงโปร่งในชุดเดรสสั้นสีแดงขับให้ผิวที่ขาวจัดยิ่งดูขาวขึ้นไปอีก ผมยาวสีน้ำตาลทองดัดเป็นลอนหลวมอย่างเปรี้ยวๆ จมูกโด่งปลายเชิด ริมฝีปากอิ่มสีแดงสดฉีกออกเป็นรอยยิ้มกว้างจนดวงตาสีอำพันยิบหยีด้วยความดีใจ

          “ใช่พี่ธีจริงๆ ด้วย” หญิงสาวผู้มาใหม่ร้องอย่างดีใจ “เมื่อกี้เหมือนจะเห็นพี่แวบๆ ที่ร้านกาแฟแต่ไม่แน่ใจ”

          “พี่ก็เหมือนจะเห็นโรสแต่ก็ไม่แน่ใจ” ธีธัชเห็นด้วย แต่เมื่อเขาเห็นสายตาของคนตัวเล็กที่มองสลับหน้าเขากับผู้มาใหม่ไปมาเลยรีบพูดต่อทันที “อ๋อ นี่มุกนะโรส ส่วนคนนี้ก็ชื่อโรส เพื่อนพี่เอง”

          “สวัสดีค่ะ” ศวิตาเอ่ยพร้อมกับยิ้มน้อยๆ

          ‘รสนันท์’ หรือ ‘โรส’ เอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้มเช่นกันก่อนจะหันไปเหล่ตามองชายหนุ่มยิ้มๆ เป็นเชิงแซวอย่างเห็นได้ชัด จนอีกฝ่ายแทบจะสำลักน้ำที่กำลังดื่มอยู่

          “ไม่ใช่ๆ คนนี้เป็นรุ่นน้องที่มหา’ลัย ไม่ใช่อะไรแบบนั้น” ธีธัชรีบปฏิเสธเป็นพัลวันถึงแม้ว่าใจชองชายหนุ่มจะอยากให้เป็นมากกว่าน้องก็เถอะ

          “โรสยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะ ทำเป็นร้อนตัวไปได้” คนแซวด้วยสายตาพูดก่อนจะหัวเราะออกมาเล็กน้อย เธอหันมาพูดกับศวิตาบ้าง “ยินดีที่ได้รู้จักนะ”

          “เช่นกันค่ะ”

          “โรสกินอะไรแล้วหรือยัง กินด้วยกันไหม” ธีธัชรีบเอ่ยชวนทันที “นานๆ จะได้เจอกันแบบนี้ทั้งที มานั่งกินด้วยกันเลยสิ”

          “เอาสิ แต่เดี๋ยวโรสมานะ มีใครบางคนอยากจะแนะนำให้รู้จัก” หญิงสาวบอก “ตอนนี้รออยู่ข้างนอกน่ะ ยังไงก็ไม่ยอมเข้ามาท่าเดียวเลย”

          ผู้เป็นเพื่อนรุ่นพี่พยักหน้ารับ รสนันท์จึงเดินหายออกไปจากร้าน ศวิตามองหน้าของธีธัชที่ยังคงมีรอยยิ้มกว้างแต้มอยู่ระหว่างที่ยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม ดูท่าเขาจะดีใจมากเลยจริงๆ ที่ได้เจอเพื่อนเก่าคนนี้

          “ไม่เอา! ก็บอกแล้วไงว่าไม่อยากเข้ามา”

          “เข้ามาทำความรู้จักกับเพื่อนโรสแปบเดียวเองน่า ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย”

          “ไม่อยากรู้จักเสียหน่อย เลิกลากแขนผมได้แล้ว!”

          ศวิตารีบเงยหน้าขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงห้าวๆ ดังลั่นร้าน ดวงตากลมโตสอดส่ายสายตามองแล้วก็พบที่มาของเสียงนั่น ร่างสูงแต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนและกางเกงสีขาว ผมสีดำขลับตัดเป็นทรงอันเดอร์คัท ผิวสีออกแทนอย่างคนชอบกิจกรรมกลางแจ้ง ดวงตาคมกริบใต้คิ้วหนาส่องประกายหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากหยักบ่งบอกถึงความดื้อดึงอันเป็นนิสัยประจำตัว

          รสนันท์ลากแขนคนๆ หนึ่งที่บ่นเป็นหมีกินผึ้งเสียงดังอย่างไม่เกรงใจใครให้มาถึงที่โต๊ะจนได้ รอยยิ้มกว้างยังคงประดับอยู่บนใบหน้าสวยเด่นไม่หายไปไหน เธอคล้องแขนชายหนุ่มคนที่ลากเข้ามาด้วย เขายืนทำหน้าบอกบุญไม่รับ ไม่ยอมมองคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะทั้งสองคนเลยแม้แต่นิดเดียว

          “นี่ คนนี้พี่ธีนะ เป็นรุ่นพี่สมัยเรียนม.ปลาย” หญิงสาวรีบแนะนำทันทีโดยไม่สนใจว่าคนที่เธอพามาด้วยนั้นจะอยากรู้จักหรือเปล่า “ส่วนคนนี้ก็มุก รุ่นน้องพี่ธี”

          ใบหน้าบอกบุญไม่รับนั้นเหล่หันมามองนิดหนึ่งทันทีที่ชื่อของคนหลังกระทบโสตประสาท แล้วคิ้วขมวดยุ่งนั่นก็คลายออกอย่างรวดเร็วทันทีที่ใบหน้าของอีกฝ่ายแวบเข้ามาให้เห็นเพียงหางตา

          ฟ้าเล่นตลกอะไร คนที่ชื่อมุกมีเป็นร้อยเป็นพัน ทำไมต้องเป็นคนเดียวกันด้วย

          สายตาทั้งสองพลันสบประสานกันอย่างรวดเร็ว แล้วดวงตาของทั้งคู่ก็ต้องเบิกกว้างด้วยความตกใจพร้อมๆ กับลมหายใจที่กระตุกวูบ ทำไมต้องมาเจอกันตอนนี้ด้วย

          ทำไม... ต้องเป็นตอนนี้

          “ส่วนนี่พอร์ช...”

          มือที่ถือแก้วน้ำอยู่นั้นมันสั่นจนแทบจะคุมไม่อยู่ แถมจู่ๆ มันก็พาลจะไม่มีแรงเอาเสียดื้อๆ ศวิตาขบกรามแน่น สายตาจ้องหน้าชายผู้มาใหม่เขม็ง เช่นเดียวกับอีกฝ่ายที่จ้องกลับมาตาไม่กระพริบ ความรู้สึกประหลาดก่อตัวอยู่ภายในใจของเธออย่างช้าๆ เธอไม่แน่ใจว่าความรู้สึกนี้มันเรียกว่าอะไร แต่ที่แน่ๆ คือมันทั้งเจ็บ แล้วก็จุกเหมือนโดนของแข็งๆ อัดเข้าที่ท้องแบบไม่ยั้ง

          “...แฟนเราเอง”

          ธีธัชยิ้มทักทายแต่ดูเหมือนว่าผู้ชายคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าจะไม่ได้สนใจอะไรเขาเลยแม้แต่นิดเดียว ดวงตาคมกริบจ้องเขม็งอยู่ที่หญิงสาวร่างเล็กอย่างไม่มีปิดบัง แต่ดูเหมือนว่ารสนันท์จะไม่ทันสังเกตเพราะเธอเอ่ยแนะนำแฟนหนุ่มต่อคร่าวๆ ด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ

          “เราเจอกันที่เยอรมัน แต่เรียนกันคนละที่นะ คนละเมืองเลยด้วยซ้ำ ไม่รู้เหมือนกันว่าไปเจอกันได้ยังไง สงสัยจะเป็นโชคชะตา”

          “ว่าไปนั่น” ธีธัชร้องขำๆ

          “ล้อเล่นน่ะ เราเจอกันที่ปราสาทนอยชวานสไตน์1 โดยบังเอิญต่างหาก”

          ธีธัชพยักหน้ายิ้มๆ แต่สำหรับศวิตาแล้ว บทสนทนานั่นกลับกลายเป็นเสียงดังหึ่งๆ อื้ออึงอยู่ในหู เธอไม่ได้สบตากับร่างสูงตรงหน้าอีกต่อไปแล้ว หากแต่จ้องเขม็งไปยังหยดน้ำบนโต๊ะราวกับพยายามจะสั่งให้มันลอยขึ้นมาไม่มีผิด

          “ผมธีธัช ยินดีที่ได้รู้จัก”

          “ชวินทร์”

          ดวงตาชั้นเดียวกลมโตกระตุกวูบนิดหนึ่ง ชายหนุ่มสังเกตเห็นว่าสายตากร้าวของชวินทร์ยังคงจับจ้องไปยังร่างเล็กตรงหน้าเขาอย่างไม่มีวางตาจึงเอ่ยแนะนำตัวเพื่อหวังจะให้อีกฝ่ายเลิกทำกิริยาแบบนั้นเสียที แต่คู่สนทนากลับตอบมาสั้นๆ ห้วนๆ โดยที่ไม่ละสายตาไปจากเดิมเลยแม้แต่นิดเดียว

          “มุกขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”

          จู่ๆ ศวิตาก็เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ด้วยอารามรีบร้อนจึงเผลอปัดแก้วน้ำที่วางอยู่ใกล้มือตกแตก

          “มุก!”

          ธีธัชลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ มือหนารีบดึงแขนอีกฝ่ายที่รีบก้มลงไปเก็บเศษแก้วที่ตัวเองทำแตกให้ลุกขึ้นมาทันที

          “ไม่ต้องเก็บ เดี๋ยวแก้วบาดมือ”

          “ขะ...ขอโทษค่ะ” ศวิตาเอ่ยตะกุกตะกัก “มุกซุ่มซ่ามอีกแล้ว”

          ธีธัชเรียกให้พนักงานของร้านมาเก็บกวาดเศษแก้วออกไปให้เรียบร้อย เขาย้ายฝั่งมานั่งกับศวิตาก่อนจะเชื้อเชิญให้คนที่ยืนอยู่ทั้งสองนั่งลง

          “ผมไม่อยากกิน” ชวินทร์เอ่ยเสียงห้วน “ถ้าโรสจะกินก็กินไปคนเดียวเถอะ ผมจะกลับแล้ว”

          “อ้าว! ทำไมล่ะ นานๆ โรสจะได้เจอเพื่อนสักทีนะ ขอนั่งคุยสักแปบสิ” รสนันท์พูด

          ศวิตานั่งก้มหน้านิ่ง สองมือที่วางอยู่บนตักกำแน่นจนสั่นระริก ความรู้สึกแบบนี้ เธอนึกว่าจะหายไปแล้ว นึกว่าจะลืมไปหมดแล้ว แต่เปล่าเลย

          ทุกอย่างมันยังคงจำฝังอยู่ในใจไม่เคยลบเลือนไปเลยแม้แต่น้อย

          “มุกไปห้องน้ำก่อนนะ” ร่างเล็กเอ่ยพึมพำๆ ซ้ำอีกรอบก่อนจะรีบลุกเดินออกจากร้านไปอย่างรวดเร็ว

          ดวงตาคมเหล่มองแต่ไม่ได้หันหน้าตาม มือใหญ่กำหมัด กรามขบกันแน่นจนเป็นสันนูนอย่างเห็นได้ชัด สายตาของธีธัชที่มองตามหญิงสาวคนนั้นไปอย่างเป็นห่วงทำให้ความหงุดหงิดยิ่งเพิ่มเป็นทวีคูณ

          “โรสอยากคุยกับเพื่อนก็คุยไปนะ” ชวินทร์เอ่ยเสียงเรียบ “ผมจะออกไปเดินข้างนอก เสร็จเมื่อไหร่ก็โทรมาแล้วกัน”

          ร่างสูงหมุนตัวเดินออกจากร้านไปโดยไม่รอให้ผู้ที่มาด้วยพูดอะไรเลยสักคำ สายตาคมกร้าวหันมองไปรอบๆ ก่อนที่สองเท้าจะก้าวยาวๆ ตรงไปยังห้องน้ำที่อยู่ใกล้ที่สุดทันที

 

 

          ร่างเล็กยืนปล่อยให้น้ำจากก๊อกไหลชะมือไปเรื่อยๆ สายตาเหม่อมองดูเลือดสีแดงฉานที่ไหลออกมาจากปากแผลบนฝ่ามือไปเรื่อยๆ ด้วยท่าทีเลื่อนลอย สุดท้ายแล้วเธอก็โดนแก้วบาดมือจนได้

          แต่น่าแปลก แผลที่มือมันดันไม่เจ็บเลยแม้แต่น้อย แผลที่ใจสิเจ็บกว่าเป็นร้อยเป็นพันเท่า มันทั้งเจ็บทั้งปวดจนไม่รู้จะระบายออกมายังไงดี

          จู่ๆ ประตูห้องน้ำกระแทกเปิดออกอย่างรุนแรงพร้อมกับฝีเท้าหนักๆ ที่ก้าวเข้ามาอย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันที่ศวิตาจะได้หันหน้าไปมองว่าใครที่เข้ามา มือใหญ่ก็คว้าข้อมือผอมบางของเธอมาจับไว้แน่น

          “ทำบ้าอะไร จะยืนอยู่แบบนี้จนเลือดไหลหมดตัวเลยไหม”

          คำถามห้วนๆ ถูกส่งมาหาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย โชคดีที่ในห้องน้ำตอนนี้ไม่มีใครอยู่เลย ไม่อย่างนั้น การมาปรากฏตัวของชวินทร์คงสร้างความแตกตื่นได้ไม่น้อย ดวงตากลมโตจับจ้องไปยังไปหน้าคมสันตรงหน้าด้วยสายตานิ่งเฉย แววตาซุกซนที่เคยมีมลายหายไปจนหมดสิ้น

          เจ็บ แต่ไม่อยากจะแสดงออกมาให้รู้

          “เป็นแผลก็ห้ามเลือดสิ ยืนบื้อเอามือแช่น้ำอยู่อย่างนั้นเลือดมันคงหยุดหรอก”

          ชวินทร์ดึงข้อมือของคนตรงหน้ามาก่อนจะใช้ชายเสื้อตัวเองกดปากแผลห้ามเลือดเอาไว้ ถึงแผลจะดูเล็ก แต่คงลึกเอาการเพราะเลือดไหลออกมามากเลยทีเดียว

          “ทำอะไรไม่เคยจะระวัง ซุ่มซ่าม...”

          “กลับมาทำไม”

          เสียงนั้นเบาราวกับเสียงกระซิบ แต่ชวินทร์กลับได้ยินอย่างชัดเจน เขาละสายตาก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองหน้าอีกฝ่าย ทั้งๆ ที่ทำใจเอาไว้แล้วส่วนหนึ่งว่าจะต้องได้เห็นน้ำตาของคนตรงหน้าแน่ๆ แต่พอได้เห็นจริงๆ ข้างในใจก็เจ็บแปลบอยู่ดี

          ชายหนุ่มเกลียดน้ำตาของหญิงสาวตรงหน้าที่สุด

          “จู่ๆ ก็หายตัวไป ไม่บอกไม่กล่าว ไม่พูดอะไรเลยสักคำ” ศวิตาพูดด้วยน้ำเสียงเครือ “ไม่มีการติดต่อ ไม่ส่งข่าวคราวมาเลย เคยคิดบ้างไหมว่าฉันจะรู้สึกยังไง”

          ร่างเล็กพยายามบิดข้อมือของตนเองให้พ้นจากการจับกุมของคนตรงหน้า ชวินทร์เลยจำต้องยอมปล่อยมืออย่างไม่เต็มใจ ชายเสื้อสีฟ้าของเขามีรอยแต้มสีแดงๆ จากเลือดของอีกฝ่ายเป็นดวงใหญ่แต่เขาก็ไม่ได้สนใจอะไร

          “เฮียได้ทุน...”

          “ไปเรียนที่เยอรมัน” ศวิตาต่อประโยคให้อย่างรวดเร็ว “แต่ไม่เคยบอกกันเลยสักครั้ง นึกอยากจะไปก็ไป ถ้าฉันไม่ถามจากเพื่อนคุณ ฉันคงไม่รู้หรอกว่าคุณไปเป็นตายร้ายดีอยู่ที่ไหน”

          ดวงตากลมโตกระพริบถี่ๆ เพื่อไล่น้ำตาให้หายไป ริมฝีปากได้รูปเม้มจนเป็นเส้นตรง พอกันทีกับการเสียน้ำตาให้คนๆ นี้ เธอเสียมันมามากเกินพอแล้ว

          “ตอนแรกเฮียไม่คิดจะไป คิดจะคืนทุนแล้วด้วยซ้ำ” ชวินทร์เอ่ยเบาๆ ด้วยน้ำเสียงที่พยายามข่มความรู้สึกเจ็บปวดกับท่าที่ห่างเหินของคนตรงหน้าอย่างเห็นได้ชัด “แต่หนูเป็นคนไล่ให้เฮียไปเองนะ”

          ชวินทร์พยายามกล้ำกลืนความขมขื่นที่แล่นขึ้นมาจุกในลำคอให้หายไปอย่างยากลำบากเมื่อความทรงจำในอดีตแล่นเข้ามาจู่โจม

          “หนูเป็นฝ่าย... บอกเลิกเฮียนะ”

          ศวิตาแค่นหัวเราะ เธอส่ายหน้าช้าๆ สายตาเย็นชาจับจ้องไปยังคนตรงหน้า ไม่ละไปไหนเลยทั้งสิ้น

          “แน่ใจเหรอ” เธอถามพร้อมกับยิ้มเหยียดๆ “ลองคิดดูดีๆ สิว่ามันเป็นเพราะอะไรกันแน่”

          ชายหนุ่มนิ่งเงียบไม่ยอมตอบ ท่าทีอึกอักเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็พูดไม่ออกทำให้เธอต้องเอ่ยต่อ

          “ถึงมันจะห้าปีแล้ว แต่มันก็ไม่นานเกินลืมหรอก”

          ชวินทร์หลบตา ทำไมเขาจะจำไม่ได้ มันเป็นเพราะเขาเองที่ทำให้คนที่รักมากที่สุดต้องบอกเลิก ทุกอย่างมาจากตัวเขาเองทั้งนั้น ไม่ใช่ใครเลย

          “เฮียทนไม่ได้ ถ้าต้องเห็นหน้าหนูทุกวันแต่ไม่ได้พูดอะไรกันเลย ต้องมาทำเหมือนคนไม่รู้จักกัน” เขาเอ่ยเสียงแหบห้าว “ถ้าต้องเจออะไรแบบนั้น สู้ไม่เห็นหน้ากันเลยดีกว่า”

          ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกเลย คนที่เดินมาเข้าห้องน้ำต่างพากันตกใจที่เห็นผู้ชายอยู่ในห้องน้ำหญิง แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันคุกรุ่นจึงไม่มีใครสนใจจะเข้ามายุ่งหรือไล่ผู้ชายตัวโตออกไปเลยสักคนเดียว

          จู่ๆ เสียงโทรศัพท์ก็แผดดังขึ้นจนคนอื่นๆ สะดุ้งด้วยความตกใจเพราะมันไม่ใช่ท่วงทำนองเพลงที่คุ้นหูคนไทยเลยแม้แต่น้อย แต่ชวินทร์ก็หยิบขึ้นมากดรับโดยไม่แม้แต่ที่จะเหลือบดูเบอร์

          “จะกลับแล้วใช่ไหม อืม... งั้นจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”

          ชายหนุ่มวางสายโทรศัพท์พร้อมกับระบายลมหายใจออกมาน้อยๆ ดวงตาคมตวัดไปมองคนตรงหน้าที่จ้องหน้าเขาด้วยสายตาเย็นชา

          เห็นแล้วมันเจ็บข้างในใจจริงๆ

          “มาพูดอะไรตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์แล้วล่ะ” ศวิตาเอ่ยเสียงเย็นๆ “อะไรๆ มันก็สายเกินไปแล้ว”

          ชวินทร์ถึงกับฉุนกึกขึ้นมาทันทีที่ได้ยินคำพูดอะไรแบบนั้น ภาพของธีธัชที่มองมาด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใยอย่างออกนอกหน้านั้นแวบกลับเข้ามาในหัวอย่างรวดเร็ว

          “ใช่สิ ตอนนี้หนูมีคนอื่นแล้วนี่” ชวินทร์พูดเสียงแข็งอย่างห้ามปากตัวเองไม่อยู่

          “ใครกันแน่ที่มีคนอื่นแล้ว” ศวิตาสวนกลับอย่างรวดเร็ว “พี่ธีเป็นรุ่นพี่ตอนเรียนมหา’ลัย...”

          “เฮียไม่เชื่อ!”

          เสียงของชายหนุ่มดังจนเหมือนจะเป็นตะคอก เรียกสายตาจากคนอื่นๆ ให้หันมามองด้วยความตกใจได้อีกครั้งในทันที

          “เอางั้นก็ได้” หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงท้าทาย “ถ้าคุณจะคิดอย่างนั้นก็ตามใจ”

          ความโกรธขึงไหววูบอยู่ในดวงตาคมกร้าวจนแทบจะปิดบังไม่มิด ริมฝีปากหยักอ้ากว้างเหมือนต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่คนตัวเล็กตรงหน้ากลับสวนขึ้นมาก่อน

          “ฉันคบกับพี่ธี ส่วนคุณก็มีคนของคุณ เพราะฉะนั้น เราสองคนไม่มีอะไรข้องเกี่ยวกันอีกต่อไป” เสียงหวานห้วนตัดความสัมพันธ์อย่างไม่มีเยื่อใย ก่อนเอ่ยประโยคที่เหมือนเอาเกลือมาสาดใส่แผลสด

          “เรื่องของเรามันจบไปนานแล้ว”

 


[1] ปราสาทนอยชวานสไตน์ (Schloss Neuschwanstein) เป็นปราสาทตั้งอยู่ในเทือกเขาแอลป์แถบแคว้นบาวาเรีย ประเทศเยอรมนี สร้างในสมัยพระเจ้าลุดวิกที่ 2 แห่งบาวาเรีย ในช่วง ค.ศ. 1845-86 เป็นปราสาทที่งดงามมากที่สุดอีกแห่งหนึ่งของโลก และเป็นต้นแบบของการสร้างปราสาทในดีสนีย์แลนด์

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา