ฝุ่น(Yuri)
-
เขียนโดย silent
วันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2557 เวลา 01.23 น.
5 chapter
0 วิจารณ์
9,918 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 16 เมษายน พ.ศ. 2557 04.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) อยู่บ้านท่าน อย่านิ่งดูดาย
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 2
อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย
‘สาวใช้คนใหม่’ เดินกลับเข้าที่พักด้วยท่าทางสิ้นเรี่ยวแรง มองสภาพห้องแล้วแทบจะร้องไห้ อดคิดถึงเตียงไม้สักกับที่นอนหนานุ่มที่บ้านไม่ได้ แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อโลกนี้ไม่มีที่ให้เขาอยู่อีกแล้ว...โชคดีหน่อยที่ยังมีคนให้ที่อยู่ที่พัก (แม้จะได้มาโดยวิธีโกงก็เถอะ) ทันใดนั้นเอง หญิงสาวก็นึกถึงเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
“ฉันไม่มีเสื้อผ้าเปลี่ยน!” แล้วคราวนี้จะไปตามหาได้ที่ไหนล่ะเนี่ย? แม่แอนนี่ตัวดำนั่นก็พักที่ไหนก็ไม่รู้ ในบ้านหลังนี้เขาไม่รู้จักใครสักคน ไอ้จะให้ไปเดินเคาะประตูถามเจ้าของบ้านถึงห้องนอนก็ใช่ที่
“เฮ้อ!คงต้องอยู่แบบนี้ไปก่อนสินะ” รพิชไม่รู้ทางไปห้องน้ำ เพราะห้องของเขาไม่มีห้องน้ำในตัว หญิงสาวจึงจำใจต้องนอนทั้งแบบนั้น ทั้งๆที่เหนอะตัวเองเต็มที สิ่งที่ช่วยได้ที่สุดคือการถอดเสื้อตัวนอกและกางเกงยีนส์ออก เหลือเพียงเสื้อกล้ามกับกางเกงผ้าขาสั้นบางเบา ลดความอับชื้นได้พอสมควร
หญิงสาวทิ้งตัวลงนอนบนเตียงแสนแคบ แล้วก็ต้องเบ้หน้าเมื่อมันแข็งกระด้างแทบไม่รู้สึกถึงความนุ่ม แถมยังมีกลิ่นตุๆอีกด้วย
“เอาวะ! วันนี้เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว...รอให้เติมพลังก่อนเถอะ แล้วค่อยสู้กันสักตั้ง ! ยาย...” รพิชขมวดคิ้ว...จริงสิ นอกจากแม่แอนนี่ตัวดำแล้ว เขาก็ยังไม่รู้จักชื่อ เจ้านายตัวเองเลยด้วยซ้ำ
“ยายฮิตลี่!” ในเมื่อไม่รู้ชื่อ เขาแอบตั้งให้ก่อน...คงไม่เป็นไรมั้ง!
เป๊ง ๆๆๆๆๆ
เสียงเคาะกะลังมังดังลั่นชวนให้ปวดแก้วหู รพิชนอนพลิกตัวไปมา พลางอุดหู สีหน้าทรมาน พักหนึ่งก็ดึงหมอนมาปิดหน้าไว้ แต่เพราะกลิ่นมันสุดทานทน ในที่สุดรพิชก็ทนไม่ไหวลุกขึ้นร้องแหกปากดังลั่น
“โอ๊ยยยย!! จะเคาะอะไรนักหนาวะ คนจะหลับจะนอน!!” เสียงเป๊งหยุดไปนิดหนึ่ง ก่อนจะ...
เป๊งง!!
เสียงเป๊งดังกว่าเดิม และรพิชรู้สึกว่ามันอยู่ใกล้ห่างกันนิดเดียว รพิชอุดหูแล้วหันขวับไปทางต้นเสียง ก็เห็นแม่แอนนี่ตัวดำยืนยิ้มเยาะ ในมือถือท่อน้ำพลาสติกขนาดยาวเท่าข้อแขน อีกมือถือกะละมังแสตนเลสตัวต้นเหตุ
“ทำบ้าอะไรของเธอเนี่ย!” ตัวต้นเหตุยืนบิดปาก ยักไหล่น้อยๆ ก่อนตอบ
“มาปลุก” หญิงสาวยกนาฬิกาข้อมือมาดู
“ตีห้า!!” รพิชเงยหน้ามองอีกฝ่าย
“บ้าหรือเปล่า! ตีห้า มาปลุกฉันทำไมเนี่ย!”
“เป็นคนใช้เขา หล่อนจะไปตื่นเทียบเท่าเจ้านายได้ยังไง...อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย ปั้นวัวปั้นควาย ให้ลูกท่านเล่น ...ไป! ไปทำงาน... อ๊ายยย!!” แอนนี่กรีดร้องลั่น เมื่อเห็นว่าคู่สนทนาหลับปุ๋ยไปแล้วทั้งๆที่นั่งอยู่
“ตื่น! ตื่นๆๆๆๆ!” แอนนี่ยื่นริมฝีปากไปที่ข้างหู ตะโกนใส่อย่างไม่เกรงใจ
“โอ๊ย! ยายบ้า!” รพิชสะดุ้งโหยง กระโดดลุกจากที่นอน พลางเอามือแคะขี้หู เพราะรู้สึกว่ามันเต้นสั่นระริกอยู่ในช่องแคบ
“คุณป่านฝากมาบอกว่า...ถ้าไม่เห็นเธอที่โต๊ะอาหารภายในหกโมงครึ่ง เตรียมตัวโดนเด้งได้เลย!” ว่าแล้วก็เดินสะบัดก้น นวยนาดจากไป ทิ้งให้รพิชยืนกัดฟัน จนน่ากลัวว่ามันจะหักหมดปาก
ช่วงเช้า ทั้งๆที่เขาไม่ต้องทำอะไรแท้ๆ แค่มายืนจับนั่นจับนี่ก็ไม่มีอะไรอีก แต่ก็โดนปลุกมาจนเสียอารมณ์ ฮึ่ย!
“เอ้าๆ ทำหน้าง้ำหน้างอแบบนั้น ฉันจะกินข้าวลงได้ยังไง” เสียงที่เคยคิดว่ามันหวานใส ตอนนี้มันแหลมปรี๊ดอย่างกับนกหวีดจลาจรค่อนแคะเหน็บแนม จน ‘คนหน้าง้ำ’ แยกเขี้ยวใส่หนึ่งที
หนอย ยายแสบ...
“เอาล่ะ เรามาคุยเรื่องงานกันดีกว่า” ยายแสบของรพิชวางแก้วน้ำลง ก่อนจะนั่งหลังตรง พูดด้วยท่าทีเป็นการเป็นงาน
“งาน?” เขาทวนซ้ำอย่างงุนงง
“อือฮึ!”
“อะไรของเธอเนี่ย!” รพิชโวยวายชี้ไม้ชี้มือไปทิศใดทิศหนึ่งของบ้าน
“งานของเธอไง” อีกฝ่ายก็ตอบหน้าซื่อตาใส เขารู้จากเด็กในบ้านมาว่า ‘เจ้านาย’ ตัวแสบของเขามีชื่อจริงว่า นภัสรา ชื่อเล่นคือ ป่าน
‘เชยได้อีกนะชื่อ’ รพิชคิดอย่างอคติแบบสุดๆ
“ตัดหญ้า?” ถ้ามีใครสักคนจากยุคเขามาเห็นคนแปลกใจกันเป็นแถว พิง รพิช ลูกสาวคนเดียวของ รพี ผู้เย็นชาไม่ผิดพ่อ กำลังทำหน้าเหมือนเด็กกินยาขม ทวนคำสั่งเสียงสูงปรี๊ด
“อือฮึ” นภัสราพยักหน้าให้อย่างอารมณ์ดี
“หมดนี่!” รพิชผายมือไปรอบๆ ซึ่งเป็นสนามหญ้ากว่าร้อยตารางเมตร
“ช่ายแล้ว” หญิงสาวลากเสียงอย่างกวนๆ
“จะบ้าหรือไงเธอ! สนามหญ้าบ้านเธอไม่ใช่น้อยๆนะ ตัดสามปีก็ไม่เสร็จ!”
“เว่อร์ไป สนามบ้านฉันไม่ได้เยอะขนาดนั้น”
“แต่” เสียงค้านมาได้เท่านั้น คนไม่เว่อร์ก็แทรกขึ้นมาก่อนว่า
“ถ้าไม่ตัดก็ขนของ(ที่ไม่มี)ออกจากบ้านไป ...เชิญ” มองท่าทางเป็นต่อของยายตัวแสบแล้ว รพิชก็ทำได้แค่ยืนแยกเขี้ยวแฮ่ๆ(ไม่กล้ากัดฟัน กลัวว่าแก่ตัวไปฟันจะหักหมดปาก)
ฝ่ายนภัสราเห็นอีกฝ่ายนิ่งไป(ไม่สนใจเขี้ยวขาวๆของรพิช) ก็ยักไหล่
“ถือว่าตกลง...โน่น อุปกรณ์” นภัสราพยักเพยิดไปที่มุมหนึ่งของศาลาไม้ รพิชหันมาทำตาขุ่นเขียวใส่นายจ้างสาว ก่อนจะก้าวเท้าสวบๆไปที่หมาย ไม่ได้เอะใจเลยว่าทำไมพอสั่งงานเสร็จแล้ว แม่ตัวแสบถึงยังไม่ไปไหน
พอมาถึงรพิชก็ได้แต่เหลียวขวาแลซ้าย พยายามมองหาอะไรที่ใกล้เคียงกับ “อุปกรณ์ตัดหญ้า” แต่มองเท่าไหร่ๆก็เห็นแต่..
“กรรไกรตัดหญ้า!?” เขาร้องเสียงหลง ยกเจ้ากรรไกรอันเขื่องให้หญิงสาวดู ภาวนาให้ตัวเองเข้าใจผิด
แต่ดูเหมือนฟ้าอยากจะกลั่นแกล้งเขา ถึงได้ทำให้นภัสราพยักหน้าให้ ก่อนจะเสริม
“ฉันเลือกอันที่คมที่สุดเลยนะ” รพิชมองใบหน้าที่แสดงความภาคภูมิใจนั่นด้วยความหมั่นไส้
“จะบ้าหรือไง! จะให้ฉันตัดหญ้าด้วยไอ้กรรไกรตัดหญ้านี่นะ!” โอย...หญิงสาวส่ายหัว อยากจะบ้า
“ชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่ากรรไกรตัดหญ้า...จะให้ฉันเอามืดทำครัวมาให้หรือไง” นายสาวทำเสียงจิ๊จ๊ะ แบบ...เรื่องแค่นี้ก็ไม่รู้
“รู้ว่ามันไว้ใช้ตัดหญ้า...แต่เครื่องตัดหญ้าน่ะ มีไหม?”
“มี...แต่ม่ายให้ใช้” ทำสีหน้าสีตาแบบ ไม่ให้...มีไรมะ?
“เธอ!!” เขาเดินลิ่วลงมา มือยกเจ้ากรรไกรตัวปัญหาชี้เด่ลงมาด้วย ทำเอาคนปากกล้าต้องถอยไปตั้งหลัก ก่อนจะชี้หน้าว่าเขา
“อ๊ะ อ๊ะ ไม่ทำก็ไม่ว่า แค่ไปหาที่อยู่ใหม่ เท่านั้นเอ๊ง!”
รพิชฮึดฮัด...ผู้หญิงคนนี้รู้ว่าเขาไม่มีทางเลือก เลยกดเขาใหญ่
พอเห็นอีกฝ่ายนิ่งไป(แน่นอนว่าหล่อนไม่สนสีหน้ากล้ำกลืนของอีกฝ่าย) ก็ยักไหล่น้อยๆ ก่อนจะพูดกับเขาเสียงใสว่า
“ทำงานให้เสร็จก่อนเที่ยงนะจ๊ะสุดหล่อ ฉันอยากเห็นหน้าเธอตอนยืนอยู่ข้างโต๊ะอาหาร” พูดจบก็เดินนวยนาดด้วยมาดนางพญา และมีเสียงกรีดกรายหัวเราะของเจ้าหล่อนไปตลอดทางจนเข้าบ้าน
รพิชหยุดนั่งพัก หลังจากก้มๆเงยๆตัดหญ้าไปได้แค่หนึ่งในสาม มือเรียวคล้ำสีกาแฟยกขึ้นปาดเหงื่อที่แข่งกันไหลเหมือนน้ำตกไนล์แองเกล่า
แสงแดดยามสายสาดส่องไปทั่วบริเวณ หญิงสาวนั่งมองอย่างเหม่อลอย ใจกระหวัดไปถึงสภาพเหตุการณ์พิลึกลั่นที่กำลังประสบ
กาลเวลาที่บิดเบี้ยวและโชคชะตาที่เล่นตลก ส่งเขามาที่นี่ ใจหนึ่งบอกว่าไม่รู้เพราะอะไร จึงนำพาตัวเขามาตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้...แต่อีกใจ กลับเถียงลั่นว่าตัวเขานั้น รู้ดีกว่าใคร
ห้วงเวลาที่ความเป็นความตายมาเยือน เขาปรารถนาอยู่สองอย่าง คืออยากตาย และ...อยากฆ่า!
ใจหวนนึกถึงความคิด ณ ตอนนั้น เขามุ่งหมายที่จะกลับมาแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาด อยากจะกลับมาในกาลเวลาที่เหมาะสม เพื่อจะแก้ไขอะไรบางอย่าง...บางอย่างที่เมื่อทำสำเร็จ มันจะส่งผลถึงชีวิตเขาไปตลอดกาล ชั่ววูบหนึ่งที่ลังเล...การฆ่า ...คร่า...ชีวิต คือบาปมหันต์อย่างหนึ่ง แต่เมื่อคิดถึงความปวดร้าวที่ได้รับ รพิชก็ตัดสินใจจะทำตามความคิดตั้งแต่แรกเริ่ม
ความปรารถนาของเขามันคงแรงกล้ากระมัง นรกถึงได้ส่งให้มาหล่นตุ้บเอาตรงนี้
บางครั้งหญิงสาวก็นึกกังขา ว่านี่คือเรื่องจริงหรือเปล่าหนอ เขากำลังหลับอยู่หรือเปล่าหนอ เมื่อตื่นขึ้นทุกอย่างก็จะหายไป แต่ใครจะยืนยันได้เล่า ว่าทั้งหมด คือเรื่องจริงหรือฝันไป...
“นี่ๆๆ! งานไม่เสร็จ มานั่งอู้อะไรอยู่ตรงนี้!” เสียงแหลมๆดังยืนยันขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เล่นเอาคนกำลังทำซึ้งสะดุ้งโหยง หรี่ตาฝ่าเปลวแดดมองคนที่กำลังก้าวฉับๆมาอย่างเหนื่อยใจ
นภัสรา!
“นี่เธอ...”ฝ่ายนั้นนิ่งไปนิดเหมือนกำลังครุ่นคิด ก่อนจะสะบัดหัวแล้วพูดต่อ
“งานเพิ่งได้ไม่ถึงครึ่งคิดจะอู้แล้วเรอะ!” รพิชมองปากอิ่มหยักสวยรูปกระจับที่วันๆดีแต่พ่นคำร้ายกาจอย่างเบื่อๆ
“ไม่ได้อู้! แค่ขี้เกียจ” ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ถึงได้ชอบมองหญิงสาวคนนี้ทำตาโต เม้มปากจนหยักปากบนเด่นชัดขนาดนี้
“งั้นก็เก็บของ” รพิชอยากจะขย้ำแม่คนนี้จริงๆ เอะอะขู่ เอะอะขู่!
“เออๆ เดี๋ยวจะทำให้เสร็จเดี๋ยวนี้แหล่ะค่ะ คุณนาย!” รพิชว่าเสียงกระแทก หากอีกฝ่ายทำเพียงแค่ยักไหล่
“หยุดไว้ก่อน ตอนนี้เข้าไปในห้องอาหารก่อน” สั่งเสร็จก็ตั้งท่าจะหันหลังกลับ ทว่าสะดุดกึก เหมือนจะนึกอะไรได้
“อ้อ ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ามาด้วยล่ะ ชุดนี้มัน...หยี” หญิงสาวทำท่าขนพองสยองเกล้า เมื่อเห็นสภาพของรพิช ซึ่งเนื้อตัวเต็มไปด้วยเหงื่อไคลและเศษดินเศษหญ้า เสื้อลายสก๊อตสีแดงชุ่มเหงื่อ จนตอนนี้เขาดูเหมือนคนสวนเอาจริงๆแล้ว
“ทำไม ชุดนี้มันทำไม” รพิชหรี่ตามองอย่างไม่ชอบใจ...กล้าดียังไงมาทำท่าแบบนั้นใส่เขา!
“มันสกปรก!” เจอว่าแสกหน้าเข้าให้อย่างไม่เกรงใจ ใบหน้าขาวๆของรพิชก้แดงก่ำด้วยความอับอาย ตลอดมา รพิชมักระวังในเรื่องของการแต่งตัวมาเสมอ แม้ชุดจะดูไม่หรูหรา แต่ก็เต็มไปด้วยความสะอาดและดูดี แต่เมื่อมาอยู่ในสถานะที่เปลี่ยนไป เขาก็พยายามยอมรับมัน ไม่คิดถึงความมอมแมมที่อาจได้รับทุกวัน พยายามไม่โหยหา. BVLGARIกลิ่นประจำ แต่ตอนนี้ แม่คุณตัวแสบกลับมาย้ำให้เขาเจ็บใจเล่น
“อ้อ! สกปรกใช่มั้ย” ด้วยความหมั่นไส้เต็มพิกัด เพราะแค่เดินเข้าใกล้ แม่คุณก็ทำหน้าราวกับว่าเขาเหม็นเสียเต็มประดา(อันที่จริงก็เหม็น) แต่เขาไม่ยอมรับหรอก ดังนั้นเขาจึงก้าวเข้าไปหาคนที่กำลังยืนทำหน้าบิดเบ้แล้วถอยเป็นระยะๆ
“งั้นมาเหม็นด้วยกันนี่แหล่ะ” รพิชพุ่งเข้าไป นภัสราร้องกรี๊ดๆ พยายามถอยหนี แต่ก็ไม่ทันโดนคนตัวสูงกว่าคว้าแขนหมับขยับตัวเข้าไปใกล้ๆ สะบัดเศษหญ้าเศษดินใส่อีกฝ่ายอย่างเมามัน...ถ้าฉันเหม็น เธอก็มาเหม็นด้วยกันเถอะ!!
“อิ๊ๆๆ! ออกไปนะ ออกป๊ายย!” นภัสราร้องลั่น ยื่นหน้าออกไปไกลสุดฤทธิ์ แม้กลิ่นกายเขาไม่ได้เหม็นสาบ ออกจะติดกลิ่นเย็นๆชื่นใจนิดๆ แต่เศษดินเหนียวๆเหนอะๆ เริ่มกระเด็นใส่เส้นผมสุดรักสุดหวงหล่อนมากไป และอาจจะต้องไปเข้าสปานวดผมใหม่ซึ่งเสียเวลามาก และนภัสรายอมไม่ได้!
“ทำอะไรกันน่ะ!” เสียงตะโกนดังลั่นจากชานบ้าน ทำเอาทั้งคู่หยุดชะงัก
“พี่วิน!”
“ทำอะไรกันน่ะ ป่าน” ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ มีใบหน้าหล่อเหลาและดูคุ้นตารพิชอย่างบอกไม่ถูกก้าวเข้า พลางถามเสียงเข้ม
“เอ่อ” ทั้งสองมองหน้ากัน ก่อนจะผละตัวออกราวกับแม่เหล็กขั้วเดียวกันมาเจอกัน
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะพี่วิน...ว่าแต่ ทำไมวันนี้มาเร็วจังคะ” นภัสราแอบปัดเศษดินออกจากตัว ก่อนเดินเข้าไปคล้องแขนชายหนุ่ม
“เลื่อนประชุมน่ะ ว่าแต่นี่ใคร” ชายหนุ่มร่างสูง ใบหน้าเรียวบ่งบอกเชื้อสายตะวันตกชี้มาที่รพิช
“หะ? อ๋อ...คนใช้คนใหม่ค่ะพี่” ใบหน้าขาวกระตุกยิกๆกับสถานะใหม่...ยังไงก็ทำใจไม่ซักทีสิน่า!
“เหรอ...” ชายหนุ่มลากเสียงยาว พลางกวาดตามอง ‘คนใช้’ด้วยแววตาแปลกใจ
“หน่วยก้านใช้ได้ เสียแต่ว่าอ้อนแอ้นไปหน่อย” คำพูดของชายผู้มาใหม่ทำเอาอีกสองกระพริบตาปริบๆ...หุ่นผู้หญิงมันก็อย่างนี้อยู่แล้วไม่ใช่หรือไง
วิลเลียมเดินเข้าใกล้ ก่อนจะทิ้งฝ่ามือลงบนบ่านุ่ม
“ตั้งใจทำงานนะไอ้หนุ่ม!”
กรี๊ดด! กล้าดียังไงมาเรียกฉันหนุ่ม!
“เอ่อ...พี่วินคะ” เสียงเรียกกระอักกระอ่วนจากน้องสาว ทำให้หนุ่มรูปหล่อเลิกคิ้ว หันกลับไปมอง
“เขา เอ่อ...เป็นผู้หญิง”
“อ้าว!” วิลเลียมยกมือขึ้นอย่างตกใจ
“เห็นแบนเป็นไม้กระดาน นึกว่าผู้ชาย...ถึงว่าสิ หุ่นดูกล้องแกล้งพิกล!!”
เอาล่ะ...เขาคงต้องจดไว้ในบัญชีหนังหมาเสียแล้ว ว่ากลับมาคราวนี้มีคนให้แก้แค้นกี่คน!
สุดท้ายแล้ว รพิชก็จำต้องวางมือจากงาน แล้วไปเปลี่ยนชุด ซึ่งมีคนใจดีให้ยืม แล้วอาบน้ำให้เรียบร้อย เพื่อมา ‘สัมภาษณ์งาน’ จากอาหารมื้อเที่ยงธรรมดา กลายเป็นการสัมภาษณ์คนงานใหม่เสียอย่างนั้น
“ชื่ออะไร” เสียงทุ้มของวิลเลียม ซึ่งเขามารู้ทีหลังว่าเป็นพี่ชายคลานตามกันมาของนภัสรา(ซึ่งรพิชได้แต่สงสัย ว่าทำไมคนพี่ ฝรั่งจ๋า แต่คนน้องหน้าราวกับแขกขาวแบบนั้น)กล่าวถาม
“รพิช...ค่ะ” หญิงสาวเติมค่ะ ลงไปด้วยเมื่อเห็นแอนนี่ถลึงตาจนโปนใส่
“อืม...รพิช...ชื่อแปลกดีนะ แล้วนามสกุลล่ะ” ดวงตาเหยี่ยวของรพิชเกลือกกลิ้งไปมา...เขาไม่ได้คิดเรื่องนี้ไว้เสียด้วย หากบอกนามสกุลจริงไป ก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายรู้จักหรือเปล่า หากรู้จักกันขึ้นมา หล่อนมีแต่ซวยทั้งขึ้นทั้งล่องแน่ๆ
ใช้เวลาคิดอยู่ครู่ รพิชก็เลือกนามสกุลที่ดูโหลๆขึ้นมาหนึ่งนามสกุล
“บุญสูงเนินค่ะ” น่าจะโหลที่สุดแล้วนะ
“อ้าว นามสกุลเดียวกับแอนนี่เลยนี่” เจี๊ยก!!มันจะโหลไปมั้ง!
หากเป็นยามปกติ รพิชคงขำก๊าก ยายแอนนี่ บุญสูงเนิน! แต่บัดนี้เขาหัวเราะไม่ออก เพราะเขาดันกลายเป็น รพิช บุญสูงเนินไปแล้ว!
“นามสกุลมันโหลค่ะ” หญิงสาวท้วงกลับอย่างว่องไว ไม่ยอมหันกลับไปมอง ‘คนร่วมนามสกุล’
“เหรอ...ว่าแต่ เรียนจบอะไรมาล่ะ” จบคำถาม ดวงตายาวรีก็เบิกขึ้นนิดๆ
เอาล่ะหว่า ลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปเลย ยามเขาจากมา ก็ไม่ได้คิดเตรียมใบแสดงตัวตนเอาไว้เลย แต่ถึงมีก็คงให้ดูไม่ได้ เพราะลงวันที่ไว้เป็นปีปัจจุบัน...อีกอย่างรพิชในปีนี้เพิ่งอายุได้สามขวบ คงจะไม่มีใบรับรองใดๆทั้งสิ้น
“ไม่ค่ะ...ไม่ได้เรียน” เขารู้สึกอับอายอย่างไร้สาเหตุ...เพิ่งรู้บัดนี้เองหนอ ว่าการที่ไม่มีการศึกษามารองรับมันน่าอายเพียงใด
“อืม” แต่วิลเลียมทำเพียงแต่ครางรับเบาๆ ก่อนจะถามต่อไป
“ถ้าอย่างนั้น ขอดูบัตรประชาชนเธอหน่อยซิ” ใบหน้าเรียวแกร่งซีดเผือด...จะเอาอะไรให้ดูเล่า!! มันหายไปหมดแล้วนี่!
“พี่วินคะ พอดีข้าวของเขาหายหมดเลยค่ะ เลย...เอ่อ...ไม่มีอะไรติดตัวมา” เป็นนภัสราที่เข้ามาช่วยเขาไว้จากสถานการณ์อันน่าอึดอัดนี้
“อ้าว” วิเลียมอุทานใบหน้าเหรอหรา
“หมายความว่ายังไงจ๊ะ ป่าน พี่งงไปหมดแล้ว” รพิชเห็นหญิงสาวอ้ำๆอึ้งๆ ก่อนจะป้องปากกระซิบกับพี่ชาย
แหม่...เขาก็รู้อยู่หรอกนะ ว่ายายตัวแสบกำลังแก้ต่างให้ แต่ไอ้อาการ ป้องปากกระซิบ แถมยังเหลือบมองราวกับเห็นสิ่งแปลกประหลาดแบบนี้นี่ ชวนให้เท้ากระตุกดีจริง!
รพิชกำลังสังหรณ์ใจ...ว่าสิ่งที่นภัสราพูด มันจะมีอะไรแปลกๆแฝงมาด้วย...
“อะแฮ่ม..” ในที่สุด ทั้งสองก็หันมา วิลเลียมกระแอมเล็กน้อย ก่อนจะกล่าว
“เอาล่ะ รพิช...ฉันรับเธอเข้าทำงาน”
เฮ้ย!! ง่ายอย่างนี้เชียว
หญิงสาวทำหน้าเหวอ...ยายตัวแสบไปพูดอะไรกับเขานะ
“เอาล่ะๆ หมดเรื่องแล้ว แยกย้ายๆ” นภัสราอาศัยจังหวะที่รพิชกำลังอึ้ง ตบมือแปะๆ ไล่สาวใช้สี่ห้าคนที่เช็ดโต๊ะไปด้วย เงี่ยหูฟังไปด้วย ครั้นเห็นบางคนยังอิดออด หล่อนก็ถลึงตาใส่ จนมนุษย์สี่ห้าคน สลายตัวไปอย่างว่องไว
“นี่รพิช” ชายหนุ่มยกมือขึ้นวางบนไหล่เขา ขณะที่เขากำลังลุกขึ้น
“เอิ่ม...คะ?” รพิชขมวดคิ้วแปลกใจ เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้าเห็นอกเห็นใจ พลางกระซิบกระซาบ
“ยายป่านบอกฉันหมดแล้ว...”
“ว่าเธอเป็นแรงงานพม่าที่ถูกล่อลวงมาและหนีรอดมาได้...ยายป่านบอกว่าเธอมีลูกมีสามีรออยู่ที่พม่า แถมลูกก็กำลังเป็นมะเร็งต่อมน้ำแดง สามีเธอก็เป็นลูคีเมีย ตัวเธอเองก็เป็นริดสีดวง ...โธ่เอ๋ย รพิช ชีวิตเธอช่างน่าสงสาร แต่ไม่เป็นไรนะ...ถ้าเธอทำงานดี ฉันจะช่วยค่าพยาบาลอีกแรง...” ว่าพลางตบไหล่แปะๆ สูดจมูกฟืดฟาด ทำหน้าเป็นพ่อพระเต็มแก่ ไม่ได้สนใจคนที่ ‘ได้รับความเมตตา’ เลยแม้แต่น้อย ว่าตอนนี้วิญญาณหลุดไปอยู่ดาวดวงไหนแล้ว
...อนิจจา รพิช กลายเป็นแรงงานพม่าไปแล้ว...
รพิชเดินเตะฝุ่น เตะลมเตะแล้ง ปากก็พึมพำสาปแช่งยายตัวแสบไปด้วย
“หนอย...ยายปลาร้า ได้ที ใส่ซะเป็นชุด ...พูดมาด้ายย เป็นแรงงานพม่าเรอะ! พม่าอะไรจะดูดีมีชาติตระกูลแบบนี้ ฮะ!! มีลูกมีผัวเรอะ! ฉันยังซิงเว้ย! แล้วอะไรอีกนะ อ้อ...ลูกป่วยเป็นมะเร็งต่อมน้ำแดง บ้า! มีที่ไหน ต่อมน้ำแดง! สามีป่วยเป็นลูคีเมีย แถมฉันยังเป็นริดสีดวง!!บ้าเอ็ย! ยายบ้า! ถ้าให้ฉันเป็นขนาดนั้น เอาปืนมายิงให้ตาย ง่ายกว่ามั้ย!”
“ถ้าอยากได้ เดี๋ยวสงเคราะห์ให้” เสียงใสๆ พร้อมใบหน้ายียวน โผล่ออกมาจากเงามืด จนรพิชสะดุ้ง
พูดถึงปลาร้า ยายปลาร้าก็มา!
“ว่าไง” รพิชมองใบหน้ายียวนนั่นอย่างแค้นใจ
“ถ้าเอามา ฉันนี่แหล่ะ จะยิงกรอกปากเธอก่อนเลย! ยายแสบ !! เธอไปบอกอะไรพี่ชายเธอ ฮะ! แรงงานพม่า!...” ร่างสูงขยับเข้าใกล้อีกนิด ใบหน้าถมึงทึง ดวงตาปูดโปนแลคล้ายคนใกล้จะตาย
“มีลูกมีผัว!...” เสียงก็ตะคอกไป เท้าก็สาวเข้าใกล้ จนอีกฝ่ายคลายมือที่กอดรัดอกไว้ และค่อยๆถอยออกมาทีละก้าว
“ลูกเป็นมะเร็งต่อมน้ำแดง!” ยิ่งพูด ใบหน้าหญิงสาวก็ยิ่งบิดเบี้ยว
“ผัวเป็นลูคีเมีย!...” มือเรียว เอื้อมคว้าไหล่คนตัวเล็กไว้
“แล้วฉันเป็นริดสีดวงเนี่ยนะ!!” รพิชอยากจะขย้ำแม่ตัวน้อยให้ตายคามือ ...มีอย่างที่ไหน ไหงมีเขาคนเดียวที่เป้นโรคบ้าๆนี่
“เก๋ดีออก” คนต้นคิด ลอยหน้าลอยตาตอบ
“เออดี! ถ้าเก๋นัก ฉันจะป่าวประกาศให้ทั่วว่าเธอก็เป็น!! เจ้าข้าเอ๊ย!...” นภัสราตาเหลือก เมื่อเห็นอีกฝ่าย ทำท่าป้องปากตะโกนเสียงดังลั่น หญิงสาวกระโดดเอามือปิดหน้า ปิดตา ปิดปาก ปิดจมูก ปิดทุกอย่างอย่างรวดเร็ว จนใบหน้าของรพิชบิดเบี้ยวเปลี่ยนรูปไปอย่างน่าขบขัน
“หุบปากเลย หุบๆ!” ด้วยหญิงสาวตัวเตี้ยกว่ารพิช หล่อนเลยแก้ด้วยวิธี รัดคอโน้มลงมาแบบที่รพิชสามารถโชว์กายกรรมตัวอ่อนได้เลยทีเดียว ขณะที่ฝ่ามือ...เรียกว่าท่อนแขนดีกว่า กำลังกอดรัดใบหน้าของหญิงสาวอีกคนเอาไว้อย่างแน่นหนา ไม่สนใจเสียงกระอักๆ ของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย
“แอะ...แอะ” เขาพยายามส่งเสียง
“หุบปากนะ!” อีกฝ่ายก็ตะคอก
“โอ๊ะ อุ๊ อิ๊ แอ๊ะ!” เขาพยายามส่งเสียงอีก มือก็แกะหนวดปลาหมึกนี่ออกไปด้วย
“บอกให้หุบปากไง! อยากตายเหรอ!” นภัสราทำหน้าโหดใส่
“แอ๊ะ แอ่ก!” ในที่สุดก็ทนไม่ไหว รพิชพยายามดิ้นให้หลุดจากวงแขนคนตัวเล็ก...แต่เห็นเล็กๆแบบนี้ ไม่รู้เอาเรี่ยวแรงมาจากไหนนักหนา
“บอกให้หุบปากไง เดี๋ยวก็ฆ่าทิ้งซะเลย เย้ยย!” นภัสราร้องเสียงหลง เมื่อ หมู...เอ้ย! รพิชสะบัดตัวเร่าๆแบบไม่แยแสความปลอดภัยของเธอเลย แถมยังพยายามเอาหลังกระแทกกำแพงอีกด้วย
“โอ๊ยย!” ในที่สุด ร่างจำลองปลาหมึกก็หลุดร่วงลงไปกองอยู่กับพื้น ด้วยสีหน้าสุดเจ็บปวด
“นี่ ยายพม่า! ทำบ้าอะไรฮะ! ถ้าฉันคอหักตายไปจะว่าไง!”
“ก่อนเธอจะคอหักตาย ฉันคงได้ขาดอากาศหายใจก่อนสิ ยายเพี้ยน!” เขาว่า หูตาแดงก่ำไปหมด แถมใบหน้ายังเป็นรอยแดงๆพาดผ่านอีกต่างหาก ไม่ต้องเดาว่ามันจะเด่นขึ้นอีกขนาดไหน
“โธ่เอ๊ย เรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่” ว่าพลางลุกขึ้นมาปัดไม้ปัดมือให้วุ่นวาย
“เรื่องแค่นี้เหรอ ดูซิ!” เขาชี้มาที่ใบหน้าขาว ซึ่งบัดนี้เต็มไปด้วยรอยแดง พาดทับน่าขัน
“แขนเธอใหญ่หยังกะท่อนซุง รัดเข้ามาได้!”
“กรี๊ด! ว่าใครยะ ฮะ!”
“ว่าเธอน่ะสิ เพี้ยนจริงๆ!” เขาว่า พลางส่ายหน้าเดินหนี เริ่มรู้สึกปวดหัวตงิดๆกับเสียงแหลมปรี๊ดของนภัสรา
“อะ...อะ ไอ้บ้า! ไอ้พม่า! ไอ้แรงงานต่างด้าว!!”
‘
“พี่จ๋า พี่” เสียงใสๆของสาวน้อยเรียกรพิชอย่างขัดเขิน
“หือ” หญิงสาวครางรับ ทั้งๆที่ปากยังเคี้ยวข้าวหยับๆ มองใบหน้าสาวน้อยวัยกระเตาะด้วยความงุนงง
“คือ...พี่ชื่ออะไรจ้ะ?” พูดจบก็หัวเราะคิกคัก บิดไปบิดมาจนน่ากลัวว่า หล่อนจะหมุนตัวกลับมาไม่ได้เหมือนเดิม
“พิง” เขาตอบเสียงอู้อี้ ทั้งข้าวทั้งปลาทูอยู่เต็มปาก รพิชรีบกลืนลงคอ ก่อนจะตักคำใหม่เข้าปาก...นานมากแล้วที่ไม่ได้กินข้าวอร่อยแบบนี้ เมื่อก่อนจะกินทีก็ต้องรอให้บิดาเป็นประธานเปิดงาน กินทีก็ต้องมีระเบียบเรียบร้อย ทุกอย่างต้องพอดี ห้ามขาดห้ามเกิน ขืนบิดามาเห็นเขานั่งเคี้ยวหยับๆ พูดไปเคี้ยวไป ข้าวเต็มปาก มีหวังถูกวาจาเชือดเฉือนจนกินข้าวไม่ลงไปสามวันเจ็ดวันแหงๆ
“พิง?” สาวน้อยเอียงคอ คิ้วขมวดสงสัย
“ไหนว่าเป็นพม่า ชื่อไม่เห็นเหมือนพม่าเลย”
แค่ก! แค่กๆ
“อ้าว พี่ ใจเย็นๆ” สาวน้อยส่งแก้วน้ำให้อย่างตกใจเมื่อเห็นเขาสำลัก จนข้าวเลอะเทอะ
“ขอบใจ” เขาว่า หลังจากกลืนทุกอย่างลงคอหมดแล้ว
“พี่นี่ น่ารักจัง” ว่าแล้วก็หัวเราะคิกๆ
รพิชถอนหายใจเฮือก ลืมไปซะสนิท ว่าสองสามวันก่อน ยายป่านตัวแสบทำอะไรไว้บ้าง
มือนุ่มนิ่มเลื่อนมาที่ข้างแก้ม สัมผัสนั้นทำเอาเขาตกใจ จนเผลือปัดมือนั้นทิ้งไป
“ข้าวติดหน้าพี่แน่ะ...” เธอว่า ก่อนจะยื่นมือมาอีกครั้ง ค่อยๆหยิบเม็ดข้าวสวยออกจากข้างแก้มทีละเม็ดๆ
สาวน้อยจ้องมองผิวใส กับดวงตาสีเข้มจัดด้วยหัวใจเต้นระรัว
รพิชไม่ได้มีดวงหน้างดงามจนน่าตะลึงเหมือนคุณป่าน หรือ คุณวิลเลียม เขาเพียงแค่มีดวงตาเรียวสองชั้นยาวรีกับลูกนัยน์ตาสีเข้มจัด จมูกโด่งเรียว กับริมฝีปากหยักเต็มอิ่ม ทั้งหมดเป็นเครื่องหน้าที่ธรรมดา ใครๆก็มี เพียงแต่เมื่อนำมารวมกัน บวกกับบุคลิกคล่องแคล่ว ทว่าท่าทางเนิบนาบแลคล้ายจำพวกแมว ทำให้เขาดูแปลกไปจากคนงานทุกคน...เขาช่างมีเสน่ห์
สาวน้อยนามเพียงออ ได้ยินแค่ว่าคนตรงหน้าเป็นแรงงานมาจากพม่า ไม่ได้รู้ลึกถึงเรื่องที่นภัสราสร้างไว้ว่ามีลูกและสามีรออยู่ที่บ้านเกิด เธอจึงส่งสายตาได้เต็มที่
...ใช่ว่าหล่อนไม่รู้เสียเมื่อไหร่ว่ารพิชเป็นผู้หญิง
แล้วอย่างไรล่ะ หล่อนชอบของหล่อนเสียอย่าง ใครจะทำไม?
“อะแฮ่ม” เสียงกระแอมทำให้ทั้งคู่สะดุ้ง มองไปทางต้นเสียง
“คะ...คุณป่าน!” เพียงออครางชื่อนายสาวอย่างตกใจ รีบลดมือจากแก้มนุ่ม ทั้งๆที่เสียดาย
“ไม่ทราบว่า คุณป่านต้องการอะไรหรือคะ?” เด็กสาวลุกขึ้นยืน มือกุมกันไว้พร้อมกับค้อมตัวน้อยๆอย่างให้เกียรติ ต่างกับอีกคนที่นั่งกินข้าวต่ออย่างไม่รู้ทุกข์รู้ร้อน
“กับเธอ ฉันไม่มี ออกไปก่อนไป” หญิงสาวไล่ ทั้งๆที่ยังไม่ละสายตาไปจากหน้าของรพิช
“เอ่อ...ค่ะ” สาวน้อยส่งสายตาขอโทษรพิชเงียบๆ เข้าใจว่าสาวหล่อขวัญใจเธอคงจะโดนตำหนิ เรื่องที่มานั่งทานข้าวอยู่ที่นี่ ทั้งๆที่ไม่ใช่เวลา ทั้งยังกระด้างกระเดื่องใส่คุณป่านอีกต่างหาก
“เสน่ห์แรงเหลือเกินนะยะ แม่สาวพม่า” มองจนแน่ใจแล้ว ว่าเด็กเพียงออ เดินพ้นครัวจนไม่ได้ยินสิ่งที่จะพูดคุย นภัสราก็เริ่มเปิดฉากใส่อย่างหมั่นไส้
“มีอะไร” รพิชถามเสียงห้วน ยังเคืองไม่หายกับสถานภาพที่อีกฝ่ายตั้งให้แบบไม่ถามความสมัครใจ
“นี่ยังไม่เที่ยง ทำไมหลบมากินข้าวก่อนล่ะ” รพิชยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม
“เรื่องของฉัน ว่าแต่เธอเถอะ...หวังว่าคงไม่ได้มาหาเรื่องไร้สาระกับฉันอย่างเดียวใช่ไหม?” คิ้วหน้ารูปใบดาบเลิกขึ้นอย่างยียวน
นภัสราทำเสียงในลำคออย่างหนึ่ง ก่อนจะเหลือบมอง พูดอย่างไม่ใคร่เต็มใจ
“คอมฯฉันเสีย” รพิชเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ
สมัยนี้มีคอมฯแล้วเหรอวะ?...
“แล้ว?” สุดท้ายก็ไม่เข้าใจว่าเกี่ยวกับเขาตรงไหน
“ฮื่อ! ซ่อมให้หน่อย” หล่อนพ่นลมหายใจพรืด ราวกับว่าการขอร้องเขาเป็นเรื่องที่น่าลำบากใจเหลือเกิน
“ทำไมไม่ตามช่าง?” น้ำเสียงไร้อารมณ์
“วันนี้มันวันหยุด ร้านไหนเขาจะเปิด” หล่อนว่า เสียงเหมือนกับ...เขานี่ช่างไม่รู้อะไรเลย
รพิชขมวดคิ้ว...ในยุคสมัยของเขา ต่อให้กลางเมืองโดนระเบิดลง ก็ไม่แน่ว่าพวกร้านรวงอะไรนี่จะปิดตัว
เขาก้มหน้า เก็บจานชามไปไว้ที่ซิงค์ ก่อนจะเดินไปที่ประตูครัว หยุดนิดนึงเพื่อหันกลับมามองร่างระหงที่ยืนกอดอกเชิดหน้าอยู่ที่เดิม
“เอ้า! จะให้ซ่อมก็นำซิ! มายืนเชิดเป็นนางผีเสื้อสมุทรอยู่ได้!”
“กรี๊ด! ไอ้บ้า!” นภัสราส่งเสียงกรี๊ดในลำคอ ก่อนจะกัดฟันพูดใส่หน้าอีกฝ่ายอย่างหมั่นใส้
“กรี๊ด! ไอ้บ้า!น่ารักตาย!” เขาส่งเสียงในลำคอ พลางทำท่าเลียนแบบหญิงสาวเมื่อเจ้าตัวเดินกระแทกเท้าจากไป ก่อนจะพูดเบาๆกระแทกใส่คนที่เดินไปไกลแล้ว
รพิชเดินตามร่างระหงเข้ามาในห้องของฝั่งตึกซ้าย พลางมองไปรอบๆอย่างสนใจ...เขาไม่ค่อยได้เดินมาที่ฝั่งนี้มากเท่าไหร่
“อุ้ย!” เขาร้องอุทานเมื่อรู้สึกว่ากระแทกกับอะไรบางอย่าง
“อุ๊ย! นี่!เดินดีๆสิ!” หญิงสาวแหวเสียงเขียว เมื่อตัวเองเกือบหน้าทิ่มเพราะแรงกระแทกจากคนตัวสูง
“ก็หยุดแล้วไม่บอกเองนี่” รพิชว่าต่ออย่างไม่ยอมแพ้
“เอ๊ะ! นี่”
“เอาล่ะๆ ช่างเถอะ ฉันไม่เอาเรื่องเธอก็ได้ ไหนล่ะของที่จะให้ซ่อม” หญิงสาวโบกมือไปมาคล้ายกับ ตัวเองเป็นฝ่ายถูกและเหนื่อยใจกับเด็กไม่รู้จักโตคนนี้เต็มทน
นภัสรามุ่ยหน้าจนยับยู่ยี่ แต่โดนอีกฝ่ายดึงความสนใจไปที่คอมพิวเตอร์จนหมด
“นี่ไง” หล่อนชี้ไปที่เครื่องจักรยักษ์ที่อยู่ติดริมฝาผนัง
ตายห่า...รพิชอุทานในใจ
นี่มันคอมพิวเตอร์หรือขีปนาวุธเวียดนามวะเนี่ย??
เขามองดูคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่าน หน้าจอหนาเท่าวงแขนเขาทีเดียว
“โชคดีที่มีเคสคล้ายๆกับสมัยเราอยู่พอสมควร แค่ใหญ่กว่าเท่านั้น” รพิชยืนพินิจพิเคราะห์ คอมพิวเตอร์ที่ไม่ค่อยคุ้นเท่าไหร่
“บ่นอะไรงึมงำๆ จะซ่อมให้มั้ยเนี่ย”
“รู้แล้วน่า” หญิงสาวเดินตรงเข้าไปหาโต๊ะคอม สีของมันเป็นขาวล้วน เขาก้มมองเคสแบบ Destop ซึ่งต้องเอียงนอนและเอาจอไว้ด้านบนเพื่อประหยัดเนื้อที่ ครู่เดียวเขาเผลอถามตัวเองว่าช่องCD/DVD Rom Drive อยู่ตรงไหน...แล้วก็นึกได้ ว่าสมัยนี้ยังใช้แผ่นดิสก์อยู่เลยมีแค่ช่อง Floppy Disk Drive
เคสแบบนี้ มีแค่ปุ่มเปิด/ปิด และรีเซ็ตเท่านั้น ปุ่มเปิดยิ่งแล้วใหญ่ ทำใหญ่เท่าลูกพุทรา ไม่ต้องเสียเวลาหาให้ยาก
เขาจัดการเปิดเครื่องเพื่อเช็คอาการ
“เครื่องเป็นอะไรหรือเธอ?” เขาส่งเสียงถาม ทว่าอีกฝ่ายแค่อ้าปาก เขาก็ตอบเองเสร็จสรรพ
“ไม่ต้องตอบแล้ว เครื่องเปิดไม่ติด” คำพูดตัดบททำเอาหญิงสาวพ่นลมหายใจอย่างฉุนเฉียว
“อืม” ร่างสูงโปร่งส่งเสียงฮึมฮัม ขณะยกจอลง และจัดการถอดน๊อตที่ยึดฝาเครื่องไว้ ภายในของมันก็ไม่ได้ต่างจากปัจจุบันเท่าไหร่ แค่เนื้อที่ของดีวีดีรอมโดนเจ้าฮาร์ดดิสก์ อันเขื่องกินพื้นที่ไปเท่านั้นเอง
รพิชถอดแรมออกมา เช็ดๆถูๆ และเอ่ยปากขอยืมยางลบจากหญิงสาว ซึ่งนภัสราไม่เข้าใจว่าจะเอายางลบไปทำอะไร
รพิชเพียงแค่ยิ้มๆและเอายางลบถูกด้านทองแดงของแรมเท่านั้น
เขาครางอู้ ขณะอ่านป้ายกำกับของแรม หญิงสาวใส่แรมกลับเข้าที่เดิม ก่อนจะเปิดเครื่องอีกครั้ง พัดลมเครื่องเร่งตัวดังขึ้น ไฟตรงเคสเดสทอปกระพริบถี่ๆ ก่อนจะติดค้างนาน
หน้าจอเด้งเข้าสู่หน้ารอโหลดเข้าระบบปฏิบัติการวินโดวส์
“โอ๊ะโห...” รพิชครางอย่างเหวอๆ
“Windows 2.11 รุ่นล่าสุดเชียวนะ” นภัสราตอบด้วยความภาคภูมิใจ ขณะที่รพิชหรี่ตามองอย่างขำๆ
“บ้านฉันเริ่มใช้ Windows 8 คู่ กับ All In One ไปแล้ว...”
“ห๊ะ? อะไร แปดๆ วันๆ นะ?” รพิชเหล่ตามอง ...ไม่นึกว่าจะหูดีขนาดนี้...
“เปล่า...แค่บอกว่าบ้านคุณนี่ ทันสมัยดีนะ” เขาปดหน้าตาเฉย แต่อีกฝ่ายดันเชื่อสนิทใจ
“แหงซิ ใครๆเขาก็รู้ ว่าบ้านฉันเนี่ย ตามสมัยอยู่แล้ว”
“เหอะๆ”
“ตกลงว่ามันเป็นอะไร” หญิงสาวเอามือลงจากท่า ‘แผ่กิ่งก้าน’ของตัวเอง ก่อนจะถามกลับ เล่นเอารพิชสะดุ้งกับท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
“ก็...” เขาพ่นลมหายใจ พลางยกจอกลับเข้าที่เดิม
“แรมสกปรก ท่าทางว่าตั้งแต่ซื้อมา คงไม่เคยเอาไปเช็คสภาพเลยสินะ” นภัสราเสมองพื้น ไม่สนใจสายตาตำหนิของเขา
“ตกลงว่าเสร็จหรือยังล่ะ” เขาพยักหน้าแกนๆก่อนเสริม
“ซื้อมา อย่าสักแต่ใช้นะคุณ ดูแลมันบ้าง ทำความสะอาด คอยเช็คมันบ่อยๆ..”
“ฉันก็มีเด็กขึ้นมาปัดมันทุกวันแหล่ะ” หญิงสาวเอ่ยขัด ทำท่าไม่พอใจ เข้าใจว่าเขาด่าเธอว่าสกปรก
“ไม่ใช่ข้างนอก ฉันหมายถึงข้างใน ฝุ่นจับเอามากๆ Power Supply ระเบิดพอดี ฉันเห็นมาเยอะแล้ว ไอ้พวกปล่อยปะละเลย จิ้งจกวางไข่ซะเครื่องพัง...”
“เฮ้ย! จิ้งจกมันวางไข่ในนั้นได้ด้วยเหรอ” หญิงสาวถามด้วยสายตาไม่เชื่อถือ
“เออสิ บางทีมันก็ตกไปตาย เน่าอยู่ในนั้น ฉันถึงบอกให้คุณคอยดูตลอดไง หัดเอาไปให้ช่างดูด้วย เผื่อไวรัสมันเข้า”
“เธอนี่...ท่าทางคล่องเรื่องนี้จังเลยนะ” รพิชชะงักกึก เขาหันกลับไปก็พบกับสายตาแป๋วแหวว ไม่ได้มีท่าทีระแวงอะไรก็ถอนหายใจ
“ครูพักลักจำน่ะ...ว่าแต่คุณเหอะ ที่เรียกมามีแค่นี้ใช่ไหม” รพิชเปลี่ยนเรื่องคล้ายกับไม่อยากพูดถึงมากนัก
“เออสิ ไม่งั้นฉันจะเรียกเธอขึ้นมาทำไม” ดวงตาเรียวของรพิชหรี่ลงอย่างขี้เล่น
“จะไปรู้เหรอ เผื่อคุณเรียกฉันขึ้นมาลวนลาม...ดูอย่างเด็กในบ้านคุณสิเผลอไม่ได้ จับนั่นจับนี่ตลอด” เขายกตัวอย่างเด็กเพียงออขึ้นมา
“บ้า! ฉันไม่ใช่พวกวิปริตนะ!”
“ว่าได้เหรอคุณ...เห็นหน้าตาดีๆ เป็นเลส เป็นเกย์ก็เยอะไป” เขาว่า ราวกับเห็นเป็นเรื่องธรรมดา เพราะในปัจจุบันสังคมเปิดกว้างเรื่องนี้มากขึ้น แต่เขาคงลืมไป ว่ายุคสมัยนี้ การรักร่วมเพศ ยังไม่ใช่อะไรที่ยอมรับกันได้ง่ายๆ
“บ้า! อย่าได้พูดแบบนี้เชียวนะ” หญิงสาวโมโหจนหน้าดำหน้าแดง
“เอ้า ก็พูดเรื่องจริง...” เขายื่นหน้าไปใกล้เป็นการยียวน ขณะที่นภัสราเบี่ยงตัวหนี
“นี่ๆ! ออกไปห่างๆนะ” หยิงสาวหวีดร้อง พยายามผลักหน้าเขาออกไป
“ทำไมล่ะคุณ กลัวอดใจไม่ไหวหรือไง” รพิชหัวเราะเอิ้กอ้ากชอบใจ ที่ทำให้หล่อนวิ่งหนีดุกๆไปได้ เขาตามเอาตัวเข้าไปใกล้อย่างชอบใจ
“กรี๊ด! บ้า! ไอ้บ้า! ออกไปนะ!”นภัสราร้องเมื่อรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆรดศีรษะ
“แหม...ทำอย่างกับโดนข่มขืน” เขาว่าอย่างชอบใจ จับตัวหล่อนหันมาประจันหน้า
“นี่ มองหน้าซิ มีอะไรน่ากลัวนักหนา มอง!” รพิชพูดเมื่อเห็นว่าหญิงสาวยังหลับตาปี๋
“ไม่!” หญิงสาวร้องค้านอย่างไม่ยอม
“เออๆ ไม่ยอมก็ไม่ยอม” รพิชปล่อยแขนกลมกลึงอย่างว่าง่าย เสียงรองเท้าตึกๆ ทำให้นภัสราวางใจ ยอมเปิดเปลือกตาขึ้น
“ว้าย!” อันที่จริงแล้ว รพิชไม่ได้ไปไหน แค่ทำเสียงหลอกหญิงสาว จริงๆเขายังยื่นหน้าเข้าไปใกล้หล่อนเหมือนเดิม พอนภัสราลืมตาเห็นหน้ายิ้มๆนั่นในระยะประชิดก็ตกใจร้องจนเสียหลักล้ม
“เฮ้ย! คุณ!” รพิชคว้าเอวหล่อนไว้ ขณะที่เจ้าตัวโอบรัดรพิชไว้ด้วยสัญชาติญาณ
“ว้าย!” สุดท้ายทั้งสองเสียหลักล้มลง โดยรพิชพยายามเบี่ยงตัวเข้ากับเตียงนอนเพื่อรองรับร่างบาง...
...มันน่าจะเป็นเหมือนในละคร...
ทั้งสองล้มตัวลงบนเตียงนุ่ม...
มองดวงตาซึ่งกันและกัน...
ดวงตาโตหวานของหญิงสาวเอียงหลบดวงตาคมด้วยความสะเทิ้นอาย...
เจ้าของดวงหน้าคมก้มลงชิดใบหน้าหวาน...
จมูกแตะกัน...
...
แต่ก็แค่ ‘น่าจะเป็น’ เหมือนในละคร
เพราะในความเป็นจริง...
“โอ๊ย!”
“อุ้ย!”
เสียงแรกเป็นของหญิงสาวผู้โชคร้าย ส่วนเสียงที่สองเป็นของหญิงสาวร่างสูงซึ่งอยู่ด้านบน
ใช่แล้ว...รพิชพยายามเบี่ยงตัวเข้าหาเตียงเพื่อให้ความนุ่มของฟูกรองรับร่างบางไว้
...แต่มันไม่ทัน...
ดังนั้นหัวทุยสวยของหญิงสาวเจ้าของห้อง จึงกระแทกเข้ากับขอบเตียงเข้าเต็มเปา
รพิชอุทานด้วยความเจ็บแทน
“ทำบ้าอะไรของเธอ ห๊ะ!!” นภัสราตวาดแว้ด
“แหะๆ”
“ไม่ต้องมาแหะ!” บางทีถ้ารพิชปล่อยให้หล่อนล้มลงไป หล่อนอาจไม่เจ็บขนาดนี้ก้ได้...จริงๆนะเนี่ย!!
หญิงสาวอยากจะเอามือเกาหัวแก้เก้อ เพียงแต่มือทั้งสองยังโอบประคองคนใต้ร่างไว้ จึงทำอย่างใจคิดไม่ได้
“ลุกสิ! จะนอนทับฉันทำไมเล่า!” อีกฝ่ายตะคอกฟ่อๆ ทำให้เขาค่อยๆปล่อยมือลุกออกมา
“ยายป่าน! ยายป่านเป็นอะไร!” เสียงทุ้มๆของวิลเลียมดังขึ้นหน้าห้อง พร้อมเสียงเคาะปึงปังอย่างร้อนรน
“เฮ้ย!” รพิชสะดุ้งเฮือก ลุกพรวด จนลืมไปว่า ฝ่ามือเขายังไม่ปล่อยจากตัวนภัสราทั้งหมด ทำให้ร่างบอบบางของหญิงสาวผู้น่าสงสาร พลิกม้วนจนหน้ากระแทกพื้นไปอีกรอบ
“โอ๊ย!” นภัสราร้องลั่น เพราะจมูกโด่งของตัวเองกระแทกพื้นเต็มๆ
“เฮ้ย! ยายป่าน เป็นอะไรหรือเปล่า! นี่ไขเร็วๆซิ เดี๋ยวน้องฉันก็เป็นอะไรไปพอดี” เสียงท้ายประโยคกับเสียงไขกุญแจทำให้รพิชร้อนรน
“ซ่อน! ซ่อนไหน! ซ่อนไหนดี!” นภัสรามองอีกร่างวิ่งวุ่นในห้องด้วยความงงงัน
“ซ่อนไหนๆๆ ซ่อนไหน!!!” สุดท้ายรพิชกันมาเขย่าตัวเจ้าของห้องด้วยความตื่นตระหนก จนหญิงสาวคิดอะไรไม่ทัน
“ซ่อน?”
“เออ ซ่อน!”
“เอ่อๆ ใต้เตียง”
“ไม่ได้! แคบไป”
“ห้องน้ำ!”
“ไม่ได้! ส่วนใหญ่เขาจะหาในนั้นกันก่อน”
“ระเบียง”
“ไม่เอา! ตกลงไปตายทำไง!”
“ป่าน! เป็นอะไรหรือแปล่า! รอแป๊บนะ พี่จะเข้าไปแล้ว”
“ชิบ-หาย” รพิชคราง ก่อนจะกระโดดตุ้บลงเตียงนอน ม้วนผ้าห่มกลิ้งขึ้นไปหัวเตียง จนดูเหมือนข้าวห่อสาหร่ายขนาดยักษ์สีชมพู
แกร๊ก!
“ป่าน!” ร่างสูงใหญ่ของวิลเลียมพุ่งพรวดเข้ามา จับตัวน้องสาวหมุนซ้ายหมุนขวาด้วยความห่วงใย
“เป็นอะไรหรือเปล่า” นภัสราทำหน้าเอ๋อๆ ยังคงปรับอารมณ์ไม่ได้เพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“เปล่าค่ะ”
“แต่พี่ได้ยินเสียงร้อง...แล้วนี่ จมูกกับขมับไปโดนอะไรมา” นภัสราเผลอจับตามที่วิลเลียมพูด ความรู้สึกเจ็บจี๊ดแล่นพล่าน
“อ๋อ ป่าน เอ่อ...ป่านสะดุดขาตัวเองหกล้ม หัวกระแทกขอบเตียงแล้วทิ่มลงพื้นต่ออ่ะค่ะ” วิลเลียมมองน้องสาวนิ่ง...นิ่งจนรพิชใจหาย
“เหรอ...ซุ่มซ่ามจริงเรา”ชายหนุ่มจับสราะที่ปกคลุมด้วยผมสีดำอย่างรักใคร่ ..หญิงสาว...สองคนถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“เฮ้อ...เล่นซะพี่ตกอกตกใจไปหมด”เขาว่า พลางเดินไปที่เตียงนอนของน้องสาว และทิ้งตัวพิงพนักไว้...
“เฮ้ย ! เอ่อ” นภัสราซึ่งรู้ว่าในม้วนผ้าห่มมีอะไรอยู่ก็ได้แต่ร้องคราง
“อะไร? มีอะไร”
“เอ้อ ...เปล่าค่ะ” นภัสรายิ้มแหยๆ
“อืม! แปลกจริงเรา” ว่าพลางทิ้งตัวลงไปอีก
“เฮ้อ...เออ นุ่มดีจังป่าน หมอนเราเนี่ย” วิลเลียมเอี้ยวตัวมองอย่างสนใจ
“อ้อ นุ่มสิพี่ สั่งทำพิเศษเลยนะ เอาแบบใยสังเคราะห์นุ่มสุดๆ”
“เหรอะ! เออ ดีๆ เฮ้ย! นุ่มอ่ะ!” ร่างใหญ่ทิ้งตัวลงเด้งไปมาอย่างชอบใจ
“แอ่ก!”
“เฮ้ย! เสียงอะไรวะ?” วิลเลียมเอี้ยวตัวมองหาต้นตอเสียง
“เอ่อ...อ๋อ...หมอนข้างนี่แหล่ะ พี่...เขาทำพิเศษแบบ ระบบสุญญากาศ กระแทกตัวหนักๆแล้วมีลมพ่นออกมาอ่ะ” ว่าพลางสาธิตให้ดูเป็นตัวอย่าง
“แอ่ก! แอ่ก!” เสียงลมตีขึ้นอกสองที รพิชรู้สึกจุกเสียดไปทั่วท้อง ทั้งเจ็บ ทั้งแค้น ได้แต่คาดโทษหญิงสาวต้นเหตุไว้ในใจ
“เออ เฮ้ย! ดีว่ะ หนุกดี” วิลเลียมนึกสนุก กระแทกตัวขึ้นลงกับเขาด้วย
“แอ่ก! แอ่ก! แอ่ก!”
“เอ่อ...ป่านว่า มันไม่มีอะไรแล้ว พี่วิน...ไม่ไปทำงานเหรอคะ” นภัสรามองใต้ผ่าห่มอย่างจุกแทน
“เออว่ะ! ลืมไป ทำงานค้างไว้...งั้นพี่ไปก่อนแล้วกัน นะ” รพิชยิ้มด้วยสีหน้าดีใจ ก่อนจะใบหน้าจะแดงเถือกไปทั้งหน้า
“ก่อนไป ขอทิ้งทวนก่อนเถอะวะ!!”
“ตุ้บ! แอ้ก!!!”
‘หยึย!’
“ไปละ ป่าน” วิลเลียมลุกขึ้นอย่างสบายอารมณ์ บอกลาน้องสาวแล้วเดินออกจากห้องไป
“เฮือก!”
“ว้าย! อุ้บส์!” นภัสราเอามือปิดปากเมือ่รู้ตัวว่าส่งเสียงดังไป
เพราะรพิชโผล่พรวดขณะที่นภัสรายังไม่ทันลุกไปไหน
“โอย! เกือบตาย!”
รพิชครางหงิงอย่างปวดทั้งตัวปวดทั้งใจ...เจ็บใจชะมัด! โดนยายป่านแกล้งเอาอีกแล้ว
“นี่ จะลุกทำไมไม่บอกก่อน” หญิงสาวหันมาต่อว่า แต่รพิชกลับจ้องเขม็งใส่!
“ไม่ต้องมาว่าฉันเลย เธอนั่นแหล่ะ...ทิ้งตัวลงมาทำไม เจ็บแทบตาย” ว่าพลางจับหลังตัวเองอย่างปวดระบม
“เอาน่า อุตส่าช่วย...”
“ช่วยบ้าอะไร! เกือบถูกจับได้!”
“เออ ว่าจะถาม...” นภัสราผุดลุกขึ้นมายืนจ้องหน้ารพิช
“ทำไมต้องซ่อนด้วยอ่ะ?” หญิงสาวกอดอกถามอย่างรอคอยคำตอบ
“อืม..” รพิชเกาหัว
“ไม่รู้ว่ะ!”
ขอคำติชมด้วยนะคะ เพื่อเป็นหนทางในการขัดเกลาฝีมือต่อไป ^^
ตัวหนังสือเข้มหรือดูยากไปไหมคะ? บอกกันได้นะคะ จะได้ปรับเปลี่ยนให้เหมาะสม
อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย
‘สาวใช้คนใหม่’ เดินกลับเข้าที่พักด้วยท่าทางสิ้นเรี่ยวแรง มองสภาพห้องแล้วแทบจะร้องไห้ อดคิดถึงเตียงไม้สักกับที่นอนหนานุ่มที่บ้านไม่ได้ แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อโลกนี้ไม่มีที่ให้เขาอยู่อีกแล้ว...โชคดีหน่อยที่ยังมีคนให้ที่อยู่ที่พัก (แม้จะได้มาโดยวิธีโกงก็เถอะ) ทันใดนั้นเอง หญิงสาวก็นึกถึงเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
“ฉันไม่มีเสื้อผ้าเปลี่ยน!” แล้วคราวนี้จะไปตามหาได้ที่ไหนล่ะเนี่ย? แม่แอนนี่ตัวดำนั่นก็พักที่ไหนก็ไม่รู้ ในบ้านหลังนี้เขาไม่รู้จักใครสักคน ไอ้จะให้ไปเดินเคาะประตูถามเจ้าของบ้านถึงห้องนอนก็ใช่ที่
“เฮ้อ!คงต้องอยู่แบบนี้ไปก่อนสินะ” รพิชไม่รู้ทางไปห้องน้ำ เพราะห้องของเขาไม่มีห้องน้ำในตัว หญิงสาวจึงจำใจต้องนอนทั้งแบบนั้น ทั้งๆที่เหนอะตัวเองเต็มที สิ่งที่ช่วยได้ที่สุดคือการถอดเสื้อตัวนอกและกางเกงยีนส์ออก เหลือเพียงเสื้อกล้ามกับกางเกงผ้าขาสั้นบางเบา ลดความอับชื้นได้พอสมควร
หญิงสาวทิ้งตัวลงนอนบนเตียงแสนแคบ แล้วก็ต้องเบ้หน้าเมื่อมันแข็งกระด้างแทบไม่รู้สึกถึงความนุ่ม แถมยังมีกลิ่นตุๆอีกด้วย
“เอาวะ! วันนี้เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว...รอให้เติมพลังก่อนเถอะ แล้วค่อยสู้กันสักตั้ง ! ยาย...” รพิชขมวดคิ้ว...จริงสิ นอกจากแม่แอนนี่ตัวดำแล้ว เขาก็ยังไม่รู้จักชื่อ เจ้านายตัวเองเลยด้วยซ้ำ
“ยายฮิตลี่!” ในเมื่อไม่รู้ชื่อ เขาแอบตั้งให้ก่อน...คงไม่เป็นไรมั้ง!
เป๊ง ๆๆๆๆๆ
เสียงเคาะกะลังมังดังลั่นชวนให้ปวดแก้วหู รพิชนอนพลิกตัวไปมา พลางอุดหู สีหน้าทรมาน พักหนึ่งก็ดึงหมอนมาปิดหน้าไว้ แต่เพราะกลิ่นมันสุดทานทน ในที่สุดรพิชก็ทนไม่ไหวลุกขึ้นร้องแหกปากดังลั่น
“โอ๊ยยยย!! จะเคาะอะไรนักหนาวะ คนจะหลับจะนอน!!” เสียงเป๊งหยุดไปนิดหนึ่ง ก่อนจะ...
เป๊งง!!
เสียงเป๊งดังกว่าเดิม และรพิชรู้สึกว่ามันอยู่ใกล้ห่างกันนิดเดียว รพิชอุดหูแล้วหันขวับไปทางต้นเสียง ก็เห็นแม่แอนนี่ตัวดำยืนยิ้มเยาะ ในมือถือท่อน้ำพลาสติกขนาดยาวเท่าข้อแขน อีกมือถือกะละมังแสตนเลสตัวต้นเหตุ
“ทำบ้าอะไรของเธอเนี่ย!” ตัวต้นเหตุยืนบิดปาก ยักไหล่น้อยๆ ก่อนตอบ
“มาปลุก” หญิงสาวยกนาฬิกาข้อมือมาดู
“ตีห้า!!” รพิชเงยหน้ามองอีกฝ่าย
“บ้าหรือเปล่า! ตีห้า มาปลุกฉันทำไมเนี่ย!”
“เป็นคนใช้เขา หล่อนจะไปตื่นเทียบเท่าเจ้านายได้ยังไง...อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย ปั้นวัวปั้นควาย ให้ลูกท่านเล่น ...ไป! ไปทำงาน... อ๊ายยย!!” แอนนี่กรีดร้องลั่น เมื่อเห็นว่าคู่สนทนาหลับปุ๋ยไปแล้วทั้งๆที่นั่งอยู่
“ตื่น! ตื่นๆๆๆๆ!” แอนนี่ยื่นริมฝีปากไปที่ข้างหู ตะโกนใส่อย่างไม่เกรงใจ
“โอ๊ย! ยายบ้า!” รพิชสะดุ้งโหยง กระโดดลุกจากที่นอน พลางเอามือแคะขี้หู เพราะรู้สึกว่ามันเต้นสั่นระริกอยู่ในช่องแคบ
“คุณป่านฝากมาบอกว่า...ถ้าไม่เห็นเธอที่โต๊ะอาหารภายในหกโมงครึ่ง เตรียมตัวโดนเด้งได้เลย!” ว่าแล้วก็เดินสะบัดก้น นวยนาดจากไป ทิ้งให้รพิชยืนกัดฟัน จนน่ากลัวว่ามันจะหักหมดปาก
ช่วงเช้า ทั้งๆที่เขาไม่ต้องทำอะไรแท้ๆ แค่มายืนจับนั่นจับนี่ก็ไม่มีอะไรอีก แต่ก็โดนปลุกมาจนเสียอารมณ์ ฮึ่ย!
“เอ้าๆ ทำหน้าง้ำหน้างอแบบนั้น ฉันจะกินข้าวลงได้ยังไง” เสียงที่เคยคิดว่ามันหวานใส ตอนนี้มันแหลมปรี๊ดอย่างกับนกหวีดจลาจรค่อนแคะเหน็บแนม จน ‘คนหน้าง้ำ’ แยกเขี้ยวใส่หนึ่งที
หนอย ยายแสบ...
“เอาล่ะ เรามาคุยเรื่องงานกันดีกว่า” ยายแสบของรพิชวางแก้วน้ำลง ก่อนจะนั่งหลังตรง พูดด้วยท่าทีเป็นการเป็นงาน
“งาน?” เขาทวนซ้ำอย่างงุนงง
“อือฮึ!”
“อะไรของเธอเนี่ย!” รพิชโวยวายชี้ไม้ชี้มือไปทิศใดทิศหนึ่งของบ้าน
“งานของเธอไง” อีกฝ่ายก็ตอบหน้าซื่อตาใส เขารู้จากเด็กในบ้านมาว่า ‘เจ้านาย’ ตัวแสบของเขามีชื่อจริงว่า นภัสรา ชื่อเล่นคือ ป่าน
‘เชยได้อีกนะชื่อ’ รพิชคิดอย่างอคติแบบสุดๆ
“ตัดหญ้า?” ถ้ามีใครสักคนจากยุคเขามาเห็นคนแปลกใจกันเป็นแถว พิง รพิช ลูกสาวคนเดียวของ รพี ผู้เย็นชาไม่ผิดพ่อ กำลังทำหน้าเหมือนเด็กกินยาขม ทวนคำสั่งเสียงสูงปรี๊ด
“อือฮึ” นภัสราพยักหน้าให้อย่างอารมณ์ดี
“หมดนี่!” รพิชผายมือไปรอบๆ ซึ่งเป็นสนามหญ้ากว่าร้อยตารางเมตร
“ช่ายแล้ว” หญิงสาวลากเสียงอย่างกวนๆ
“จะบ้าหรือไงเธอ! สนามหญ้าบ้านเธอไม่ใช่น้อยๆนะ ตัดสามปีก็ไม่เสร็จ!”
“เว่อร์ไป สนามบ้านฉันไม่ได้เยอะขนาดนั้น”
“แต่” เสียงค้านมาได้เท่านั้น คนไม่เว่อร์ก็แทรกขึ้นมาก่อนว่า
“ถ้าไม่ตัดก็ขนของ(ที่ไม่มี)ออกจากบ้านไป ...เชิญ” มองท่าทางเป็นต่อของยายตัวแสบแล้ว รพิชก็ทำได้แค่ยืนแยกเขี้ยวแฮ่ๆ(ไม่กล้ากัดฟัน กลัวว่าแก่ตัวไปฟันจะหักหมดปาก)
ฝ่ายนภัสราเห็นอีกฝ่ายนิ่งไป(ไม่สนใจเขี้ยวขาวๆของรพิช) ก็ยักไหล่
“ถือว่าตกลง...โน่น อุปกรณ์” นภัสราพยักเพยิดไปที่มุมหนึ่งของศาลาไม้ รพิชหันมาทำตาขุ่นเขียวใส่นายจ้างสาว ก่อนจะก้าวเท้าสวบๆไปที่หมาย ไม่ได้เอะใจเลยว่าทำไมพอสั่งงานเสร็จแล้ว แม่ตัวแสบถึงยังไม่ไปไหน
พอมาถึงรพิชก็ได้แต่เหลียวขวาแลซ้าย พยายามมองหาอะไรที่ใกล้เคียงกับ “อุปกรณ์ตัดหญ้า” แต่มองเท่าไหร่ๆก็เห็นแต่..
“กรรไกรตัดหญ้า!?” เขาร้องเสียงหลง ยกเจ้ากรรไกรอันเขื่องให้หญิงสาวดู ภาวนาให้ตัวเองเข้าใจผิด
แต่ดูเหมือนฟ้าอยากจะกลั่นแกล้งเขา ถึงได้ทำให้นภัสราพยักหน้าให้ ก่อนจะเสริม
“ฉันเลือกอันที่คมที่สุดเลยนะ” รพิชมองใบหน้าที่แสดงความภาคภูมิใจนั่นด้วยความหมั่นไส้
“จะบ้าหรือไง! จะให้ฉันตัดหญ้าด้วยไอ้กรรไกรตัดหญ้านี่นะ!” โอย...หญิงสาวส่ายหัว อยากจะบ้า
“ชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่ากรรไกรตัดหญ้า...จะให้ฉันเอามืดทำครัวมาให้หรือไง” นายสาวทำเสียงจิ๊จ๊ะ แบบ...เรื่องแค่นี้ก็ไม่รู้
“รู้ว่ามันไว้ใช้ตัดหญ้า...แต่เครื่องตัดหญ้าน่ะ มีไหม?”
“มี...แต่ม่ายให้ใช้” ทำสีหน้าสีตาแบบ ไม่ให้...มีไรมะ?
“เธอ!!” เขาเดินลิ่วลงมา มือยกเจ้ากรรไกรตัวปัญหาชี้เด่ลงมาด้วย ทำเอาคนปากกล้าต้องถอยไปตั้งหลัก ก่อนจะชี้หน้าว่าเขา
“อ๊ะ อ๊ะ ไม่ทำก็ไม่ว่า แค่ไปหาที่อยู่ใหม่ เท่านั้นเอ๊ง!”
รพิชฮึดฮัด...ผู้หญิงคนนี้รู้ว่าเขาไม่มีทางเลือก เลยกดเขาใหญ่
พอเห็นอีกฝ่ายนิ่งไป(แน่นอนว่าหล่อนไม่สนสีหน้ากล้ำกลืนของอีกฝ่าย) ก็ยักไหล่น้อยๆ ก่อนจะพูดกับเขาเสียงใสว่า
“ทำงานให้เสร็จก่อนเที่ยงนะจ๊ะสุดหล่อ ฉันอยากเห็นหน้าเธอตอนยืนอยู่ข้างโต๊ะอาหาร” พูดจบก็เดินนวยนาดด้วยมาดนางพญา และมีเสียงกรีดกรายหัวเราะของเจ้าหล่อนไปตลอดทางจนเข้าบ้าน
รพิชหยุดนั่งพัก หลังจากก้มๆเงยๆตัดหญ้าไปได้แค่หนึ่งในสาม มือเรียวคล้ำสีกาแฟยกขึ้นปาดเหงื่อที่แข่งกันไหลเหมือนน้ำตกไนล์แองเกล่า
แสงแดดยามสายสาดส่องไปทั่วบริเวณ หญิงสาวนั่งมองอย่างเหม่อลอย ใจกระหวัดไปถึงสภาพเหตุการณ์พิลึกลั่นที่กำลังประสบ
กาลเวลาที่บิดเบี้ยวและโชคชะตาที่เล่นตลก ส่งเขามาที่นี่ ใจหนึ่งบอกว่าไม่รู้เพราะอะไร จึงนำพาตัวเขามาตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้...แต่อีกใจ กลับเถียงลั่นว่าตัวเขานั้น รู้ดีกว่าใคร
ห้วงเวลาที่ความเป็นความตายมาเยือน เขาปรารถนาอยู่สองอย่าง คืออยากตาย และ...อยากฆ่า!
ใจหวนนึกถึงความคิด ณ ตอนนั้น เขามุ่งหมายที่จะกลับมาแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาด อยากจะกลับมาในกาลเวลาที่เหมาะสม เพื่อจะแก้ไขอะไรบางอย่าง...บางอย่างที่เมื่อทำสำเร็จ มันจะส่งผลถึงชีวิตเขาไปตลอดกาล ชั่ววูบหนึ่งที่ลังเล...การฆ่า ...คร่า...ชีวิต คือบาปมหันต์อย่างหนึ่ง แต่เมื่อคิดถึงความปวดร้าวที่ได้รับ รพิชก็ตัดสินใจจะทำตามความคิดตั้งแต่แรกเริ่ม
ความปรารถนาของเขามันคงแรงกล้ากระมัง นรกถึงได้ส่งให้มาหล่นตุ้บเอาตรงนี้
บางครั้งหญิงสาวก็นึกกังขา ว่านี่คือเรื่องจริงหรือเปล่าหนอ เขากำลังหลับอยู่หรือเปล่าหนอ เมื่อตื่นขึ้นทุกอย่างก็จะหายไป แต่ใครจะยืนยันได้เล่า ว่าทั้งหมด คือเรื่องจริงหรือฝันไป...
“นี่ๆๆ! งานไม่เสร็จ มานั่งอู้อะไรอยู่ตรงนี้!” เสียงแหลมๆดังยืนยันขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เล่นเอาคนกำลังทำซึ้งสะดุ้งโหยง หรี่ตาฝ่าเปลวแดดมองคนที่กำลังก้าวฉับๆมาอย่างเหนื่อยใจ
นภัสรา!
“นี่เธอ...”ฝ่ายนั้นนิ่งไปนิดเหมือนกำลังครุ่นคิด ก่อนจะสะบัดหัวแล้วพูดต่อ
“งานเพิ่งได้ไม่ถึงครึ่งคิดจะอู้แล้วเรอะ!” รพิชมองปากอิ่มหยักสวยรูปกระจับที่วันๆดีแต่พ่นคำร้ายกาจอย่างเบื่อๆ
“ไม่ได้อู้! แค่ขี้เกียจ” ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ถึงได้ชอบมองหญิงสาวคนนี้ทำตาโต เม้มปากจนหยักปากบนเด่นชัดขนาดนี้
“งั้นก็เก็บของ” รพิชอยากจะขย้ำแม่คนนี้จริงๆ เอะอะขู่ เอะอะขู่!
“เออๆ เดี๋ยวจะทำให้เสร็จเดี๋ยวนี้แหล่ะค่ะ คุณนาย!” รพิชว่าเสียงกระแทก หากอีกฝ่ายทำเพียงแค่ยักไหล่
“หยุดไว้ก่อน ตอนนี้เข้าไปในห้องอาหารก่อน” สั่งเสร็จก็ตั้งท่าจะหันหลังกลับ ทว่าสะดุดกึก เหมือนจะนึกอะไรได้
“อ้อ ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ามาด้วยล่ะ ชุดนี้มัน...หยี” หญิงสาวทำท่าขนพองสยองเกล้า เมื่อเห็นสภาพของรพิช ซึ่งเนื้อตัวเต็มไปด้วยเหงื่อไคลและเศษดินเศษหญ้า เสื้อลายสก๊อตสีแดงชุ่มเหงื่อ จนตอนนี้เขาดูเหมือนคนสวนเอาจริงๆแล้ว
“ทำไม ชุดนี้มันทำไม” รพิชหรี่ตามองอย่างไม่ชอบใจ...กล้าดียังไงมาทำท่าแบบนั้นใส่เขา!
“มันสกปรก!” เจอว่าแสกหน้าเข้าให้อย่างไม่เกรงใจ ใบหน้าขาวๆของรพิชก้แดงก่ำด้วยความอับอาย ตลอดมา รพิชมักระวังในเรื่องของการแต่งตัวมาเสมอ แม้ชุดจะดูไม่หรูหรา แต่ก็เต็มไปด้วยความสะอาดและดูดี แต่เมื่อมาอยู่ในสถานะที่เปลี่ยนไป เขาก็พยายามยอมรับมัน ไม่คิดถึงความมอมแมมที่อาจได้รับทุกวัน พยายามไม่โหยหา. BVLGARIกลิ่นประจำ แต่ตอนนี้ แม่คุณตัวแสบกลับมาย้ำให้เขาเจ็บใจเล่น
“อ้อ! สกปรกใช่มั้ย” ด้วยความหมั่นไส้เต็มพิกัด เพราะแค่เดินเข้าใกล้ แม่คุณก็ทำหน้าราวกับว่าเขาเหม็นเสียเต็มประดา(อันที่จริงก็เหม็น) แต่เขาไม่ยอมรับหรอก ดังนั้นเขาจึงก้าวเข้าไปหาคนที่กำลังยืนทำหน้าบิดเบ้แล้วถอยเป็นระยะๆ
“งั้นมาเหม็นด้วยกันนี่แหล่ะ” รพิชพุ่งเข้าไป นภัสราร้องกรี๊ดๆ พยายามถอยหนี แต่ก็ไม่ทันโดนคนตัวสูงกว่าคว้าแขนหมับขยับตัวเข้าไปใกล้ๆ สะบัดเศษหญ้าเศษดินใส่อีกฝ่ายอย่างเมามัน...ถ้าฉันเหม็น เธอก็มาเหม็นด้วยกันเถอะ!!
“อิ๊ๆๆ! ออกไปนะ ออกป๊ายย!” นภัสราร้องลั่น ยื่นหน้าออกไปไกลสุดฤทธิ์ แม้กลิ่นกายเขาไม่ได้เหม็นสาบ ออกจะติดกลิ่นเย็นๆชื่นใจนิดๆ แต่เศษดินเหนียวๆเหนอะๆ เริ่มกระเด็นใส่เส้นผมสุดรักสุดหวงหล่อนมากไป และอาจจะต้องไปเข้าสปานวดผมใหม่ซึ่งเสียเวลามาก และนภัสรายอมไม่ได้!
“ทำอะไรกันน่ะ!” เสียงตะโกนดังลั่นจากชานบ้าน ทำเอาทั้งคู่หยุดชะงัก
“พี่วิน!”
“ทำอะไรกันน่ะ ป่าน” ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ มีใบหน้าหล่อเหลาและดูคุ้นตารพิชอย่างบอกไม่ถูกก้าวเข้า พลางถามเสียงเข้ม
“เอ่อ” ทั้งสองมองหน้ากัน ก่อนจะผละตัวออกราวกับแม่เหล็กขั้วเดียวกันมาเจอกัน
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะพี่วิน...ว่าแต่ ทำไมวันนี้มาเร็วจังคะ” นภัสราแอบปัดเศษดินออกจากตัว ก่อนเดินเข้าไปคล้องแขนชายหนุ่ม
“เลื่อนประชุมน่ะ ว่าแต่นี่ใคร” ชายหนุ่มร่างสูง ใบหน้าเรียวบ่งบอกเชื้อสายตะวันตกชี้มาที่รพิช
“หะ? อ๋อ...คนใช้คนใหม่ค่ะพี่” ใบหน้าขาวกระตุกยิกๆกับสถานะใหม่...ยังไงก็ทำใจไม่ซักทีสิน่า!
“เหรอ...” ชายหนุ่มลากเสียงยาว พลางกวาดตามอง ‘คนใช้’ด้วยแววตาแปลกใจ
“หน่วยก้านใช้ได้ เสียแต่ว่าอ้อนแอ้นไปหน่อย” คำพูดของชายผู้มาใหม่ทำเอาอีกสองกระพริบตาปริบๆ...หุ่นผู้หญิงมันก็อย่างนี้อยู่แล้วไม่ใช่หรือไง
วิลเลียมเดินเข้าใกล้ ก่อนจะทิ้งฝ่ามือลงบนบ่านุ่ม
“ตั้งใจทำงานนะไอ้หนุ่ม!”
กรี๊ดด! กล้าดียังไงมาเรียกฉันหนุ่ม!
“เอ่อ...พี่วินคะ” เสียงเรียกกระอักกระอ่วนจากน้องสาว ทำให้หนุ่มรูปหล่อเลิกคิ้ว หันกลับไปมอง
“เขา เอ่อ...เป็นผู้หญิง”
“อ้าว!” วิลเลียมยกมือขึ้นอย่างตกใจ
“เห็นแบนเป็นไม้กระดาน นึกว่าผู้ชาย...ถึงว่าสิ หุ่นดูกล้องแกล้งพิกล!!”
เอาล่ะ...เขาคงต้องจดไว้ในบัญชีหนังหมาเสียแล้ว ว่ากลับมาคราวนี้มีคนให้แก้แค้นกี่คน!
สุดท้ายแล้ว รพิชก็จำต้องวางมือจากงาน แล้วไปเปลี่ยนชุด ซึ่งมีคนใจดีให้ยืม แล้วอาบน้ำให้เรียบร้อย เพื่อมา ‘สัมภาษณ์งาน’ จากอาหารมื้อเที่ยงธรรมดา กลายเป็นการสัมภาษณ์คนงานใหม่เสียอย่างนั้น
“ชื่ออะไร” เสียงทุ้มของวิลเลียม ซึ่งเขามารู้ทีหลังว่าเป็นพี่ชายคลานตามกันมาของนภัสรา(ซึ่งรพิชได้แต่สงสัย ว่าทำไมคนพี่ ฝรั่งจ๋า แต่คนน้องหน้าราวกับแขกขาวแบบนั้น)กล่าวถาม
“รพิช...ค่ะ” หญิงสาวเติมค่ะ ลงไปด้วยเมื่อเห็นแอนนี่ถลึงตาจนโปนใส่
“อืม...รพิช...ชื่อแปลกดีนะ แล้วนามสกุลล่ะ” ดวงตาเหยี่ยวของรพิชเกลือกกลิ้งไปมา...เขาไม่ได้คิดเรื่องนี้ไว้เสียด้วย หากบอกนามสกุลจริงไป ก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายรู้จักหรือเปล่า หากรู้จักกันขึ้นมา หล่อนมีแต่ซวยทั้งขึ้นทั้งล่องแน่ๆ
ใช้เวลาคิดอยู่ครู่ รพิชก็เลือกนามสกุลที่ดูโหลๆขึ้นมาหนึ่งนามสกุล
“บุญสูงเนินค่ะ” น่าจะโหลที่สุดแล้วนะ
“อ้าว นามสกุลเดียวกับแอนนี่เลยนี่” เจี๊ยก!!มันจะโหลไปมั้ง!
หากเป็นยามปกติ รพิชคงขำก๊าก ยายแอนนี่ บุญสูงเนิน! แต่บัดนี้เขาหัวเราะไม่ออก เพราะเขาดันกลายเป็น รพิช บุญสูงเนินไปแล้ว!
“นามสกุลมันโหลค่ะ” หญิงสาวท้วงกลับอย่างว่องไว ไม่ยอมหันกลับไปมอง ‘คนร่วมนามสกุล’
“เหรอ...ว่าแต่ เรียนจบอะไรมาล่ะ” จบคำถาม ดวงตายาวรีก็เบิกขึ้นนิดๆ
เอาล่ะหว่า ลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปเลย ยามเขาจากมา ก็ไม่ได้คิดเตรียมใบแสดงตัวตนเอาไว้เลย แต่ถึงมีก็คงให้ดูไม่ได้ เพราะลงวันที่ไว้เป็นปีปัจจุบัน...อีกอย่างรพิชในปีนี้เพิ่งอายุได้สามขวบ คงจะไม่มีใบรับรองใดๆทั้งสิ้น
“ไม่ค่ะ...ไม่ได้เรียน” เขารู้สึกอับอายอย่างไร้สาเหตุ...เพิ่งรู้บัดนี้เองหนอ ว่าการที่ไม่มีการศึกษามารองรับมันน่าอายเพียงใด
“อืม” แต่วิลเลียมทำเพียงแต่ครางรับเบาๆ ก่อนจะถามต่อไป
“ถ้าอย่างนั้น ขอดูบัตรประชาชนเธอหน่อยซิ” ใบหน้าเรียวแกร่งซีดเผือด...จะเอาอะไรให้ดูเล่า!! มันหายไปหมดแล้วนี่!
“พี่วินคะ พอดีข้าวของเขาหายหมดเลยค่ะ เลย...เอ่อ...ไม่มีอะไรติดตัวมา” เป็นนภัสราที่เข้ามาช่วยเขาไว้จากสถานการณ์อันน่าอึดอัดนี้
“อ้าว” วิเลียมอุทานใบหน้าเหรอหรา
“หมายความว่ายังไงจ๊ะ ป่าน พี่งงไปหมดแล้ว” รพิชเห็นหญิงสาวอ้ำๆอึ้งๆ ก่อนจะป้องปากกระซิบกับพี่ชาย
แหม่...เขาก็รู้อยู่หรอกนะ ว่ายายตัวแสบกำลังแก้ต่างให้ แต่ไอ้อาการ ป้องปากกระซิบ แถมยังเหลือบมองราวกับเห็นสิ่งแปลกประหลาดแบบนี้นี่ ชวนให้เท้ากระตุกดีจริง!
รพิชกำลังสังหรณ์ใจ...ว่าสิ่งที่นภัสราพูด มันจะมีอะไรแปลกๆแฝงมาด้วย...
“อะแฮ่ม..” ในที่สุด ทั้งสองก็หันมา วิลเลียมกระแอมเล็กน้อย ก่อนจะกล่าว
“เอาล่ะ รพิช...ฉันรับเธอเข้าทำงาน”
เฮ้ย!! ง่ายอย่างนี้เชียว
หญิงสาวทำหน้าเหวอ...ยายตัวแสบไปพูดอะไรกับเขานะ
“เอาล่ะๆ หมดเรื่องแล้ว แยกย้ายๆ” นภัสราอาศัยจังหวะที่รพิชกำลังอึ้ง ตบมือแปะๆ ไล่สาวใช้สี่ห้าคนที่เช็ดโต๊ะไปด้วย เงี่ยหูฟังไปด้วย ครั้นเห็นบางคนยังอิดออด หล่อนก็ถลึงตาใส่ จนมนุษย์สี่ห้าคน สลายตัวไปอย่างว่องไว
“นี่รพิช” ชายหนุ่มยกมือขึ้นวางบนไหล่เขา ขณะที่เขากำลังลุกขึ้น
“เอิ่ม...คะ?” รพิชขมวดคิ้วแปลกใจ เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้าเห็นอกเห็นใจ พลางกระซิบกระซาบ
“ยายป่านบอกฉันหมดแล้ว...”
“ว่าเธอเป็นแรงงานพม่าที่ถูกล่อลวงมาและหนีรอดมาได้...ยายป่านบอกว่าเธอมีลูกมีสามีรออยู่ที่พม่า แถมลูกก็กำลังเป็นมะเร็งต่อมน้ำแดง สามีเธอก็เป็นลูคีเมีย ตัวเธอเองก็เป็นริดสีดวง ...โธ่เอ๋ย รพิช ชีวิตเธอช่างน่าสงสาร แต่ไม่เป็นไรนะ...ถ้าเธอทำงานดี ฉันจะช่วยค่าพยาบาลอีกแรง...” ว่าพลางตบไหล่แปะๆ สูดจมูกฟืดฟาด ทำหน้าเป็นพ่อพระเต็มแก่ ไม่ได้สนใจคนที่ ‘ได้รับความเมตตา’ เลยแม้แต่น้อย ว่าตอนนี้วิญญาณหลุดไปอยู่ดาวดวงไหนแล้ว
...อนิจจา รพิช กลายเป็นแรงงานพม่าไปแล้ว...
รพิชเดินเตะฝุ่น เตะลมเตะแล้ง ปากก็พึมพำสาปแช่งยายตัวแสบไปด้วย
“หนอย...ยายปลาร้า ได้ที ใส่ซะเป็นชุด ...พูดมาด้ายย เป็นแรงงานพม่าเรอะ! พม่าอะไรจะดูดีมีชาติตระกูลแบบนี้ ฮะ!! มีลูกมีผัวเรอะ! ฉันยังซิงเว้ย! แล้วอะไรอีกนะ อ้อ...ลูกป่วยเป็นมะเร็งต่อมน้ำแดง บ้า! มีที่ไหน ต่อมน้ำแดง! สามีป่วยเป็นลูคีเมีย แถมฉันยังเป็นริดสีดวง!!บ้าเอ็ย! ยายบ้า! ถ้าให้ฉันเป็นขนาดนั้น เอาปืนมายิงให้ตาย ง่ายกว่ามั้ย!”
“ถ้าอยากได้ เดี๋ยวสงเคราะห์ให้” เสียงใสๆ พร้อมใบหน้ายียวน โผล่ออกมาจากเงามืด จนรพิชสะดุ้ง
พูดถึงปลาร้า ยายปลาร้าก็มา!
“ว่าไง” รพิชมองใบหน้ายียวนนั่นอย่างแค้นใจ
“ถ้าเอามา ฉันนี่แหล่ะ จะยิงกรอกปากเธอก่อนเลย! ยายแสบ !! เธอไปบอกอะไรพี่ชายเธอ ฮะ! แรงงานพม่า!...” ร่างสูงขยับเข้าใกล้อีกนิด ใบหน้าถมึงทึง ดวงตาปูดโปนแลคล้ายคนใกล้จะตาย
“มีลูกมีผัว!...” เสียงก็ตะคอกไป เท้าก็สาวเข้าใกล้ จนอีกฝ่ายคลายมือที่กอดรัดอกไว้ และค่อยๆถอยออกมาทีละก้าว
“ลูกเป็นมะเร็งต่อมน้ำแดง!” ยิ่งพูด ใบหน้าหญิงสาวก็ยิ่งบิดเบี้ยว
“ผัวเป็นลูคีเมีย!...” มือเรียว เอื้อมคว้าไหล่คนตัวเล็กไว้
“แล้วฉันเป็นริดสีดวงเนี่ยนะ!!” รพิชอยากจะขย้ำแม่ตัวน้อยให้ตายคามือ ...มีอย่างที่ไหน ไหงมีเขาคนเดียวที่เป้นโรคบ้าๆนี่
“เก๋ดีออก” คนต้นคิด ลอยหน้าลอยตาตอบ
“เออดี! ถ้าเก๋นัก ฉันจะป่าวประกาศให้ทั่วว่าเธอก็เป็น!! เจ้าข้าเอ๊ย!...” นภัสราตาเหลือก เมื่อเห็นอีกฝ่าย ทำท่าป้องปากตะโกนเสียงดังลั่น หญิงสาวกระโดดเอามือปิดหน้า ปิดตา ปิดปาก ปิดจมูก ปิดทุกอย่างอย่างรวดเร็ว จนใบหน้าของรพิชบิดเบี้ยวเปลี่ยนรูปไปอย่างน่าขบขัน
“หุบปากเลย หุบๆ!” ด้วยหญิงสาวตัวเตี้ยกว่ารพิช หล่อนเลยแก้ด้วยวิธี รัดคอโน้มลงมาแบบที่รพิชสามารถโชว์กายกรรมตัวอ่อนได้เลยทีเดียว ขณะที่ฝ่ามือ...เรียกว่าท่อนแขนดีกว่า กำลังกอดรัดใบหน้าของหญิงสาวอีกคนเอาไว้อย่างแน่นหนา ไม่สนใจเสียงกระอักๆ ของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย
“แอะ...แอะ” เขาพยายามส่งเสียง
“หุบปากนะ!” อีกฝ่ายก็ตะคอก
“โอ๊ะ อุ๊ อิ๊ แอ๊ะ!” เขาพยายามส่งเสียงอีก มือก็แกะหนวดปลาหมึกนี่ออกไปด้วย
“บอกให้หุบปากไง! อยากตายเหรอ!” นภัสราทำหน้าโหดใส่
“แอ๊ะ แอ่ก!” ในที่สุดก็ทนไม่ไหว รพิชพยายามดิ้นให้หลุดจากวงแขนคนตัวเล็ก...แต่เห็นเล็กๆแบบนี้ ไม่รู้เอาเรี่ยวแรงมาจากไหนนักหนา
“บอกให้หุบปากไง เดี๋ยวก็ฆ่าทิ้งซะเลย เย้ยย!” นภัสราร้องเสียงหลง เมื่อ หมู...เอ้ย! รพิชสะบัดตัวเร่าๆแบบไม่แยแสความปลอดภัยของเธอเลย แถมยังพยายามเอาหลังกระแทกกำแพงอีกด้วย
“โอ๊ยย!” ในที่สุด ร่างจำลองปลาหมึกก็หลุดร่วงลงไปกองอยู่กับพื้น ด้วยสีหน้าสุดเจ็บปวด
“นี่ ยายพม่า! ทำบ้าอะไรฮะ! ถ้าฉันคอหักตายไปจะว่าไง!”
“ก่อนเธอจะคอหักตาย ฉันคงได้ขาดอากาศหายใจก่อนสิ ยายเพี้ยน!” เขาว่า หูตาแดงก่ำไปหมด แถมใบหน้ายังเป็นรอยแดงๆพาดผ่านอีกต่างหาก ไม่ต้องเดาว่ามันจะเด่นขึ้นอีกขนาดไหน
“โธ่เอ๊ย เรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่” ว่าพลางลุกขึ้นมาปัดไม้ปัดมือให้วุ่นวาย
“เรื่องแค่นี้เหรอ ดูซิ!” เขาชี้มาที่ใบหน้าขาว ซึ่งบัดนี้เต็มไปด้วยรอยแดง พาดทับน่าขัน
“แขนเธอใหญ่หยังกะท่อนซุง รัดเข้ามาได้!”
“กรี๊ด! ว่าใครยะ ฮะ!”
“ว่าเธอน่ะสิ เพี้ยนจริงๆ!” เขาว่า พลางส่ายหน้าเดินหนี เริ่มรู้สึกปวดหัวตงิดๆกับเสียงแหลมปรี๊ดของนภัสรา
“อะ...อะ ไอ้บ้า! ไอ้พม่า! ไอ้แรงงานต่างด้าว!!”
‘
“พี่จ๋า พี่” เสียงใสๆของสาวน้อยเรียกรพิชอย่างขัดเขิน
“หือ” หญิงสาวครางรับ ทั้งๆที่ปากยังเคี้ยวข้าวหยับๆ มองใบหน้าสาวน้อยวัยกระเตาะด้วยความงุนงง
“คือ...พี่ชื่ออะไรจ้ะ?” พูดจบก็หัวเราะคิกคัก บิดไปบิดมาจนน่ากลัวว่า หล่อนจะหมุนตัวกลับมาไม่ได้เหมือนเดิม
“พิง” เขาตอบเสียงอู้อี้ ทั้งข้าวทั้งปลาทูอยู่เต็มปาก รพิชรีบกลืนลงคอ ก่อนจะตักคำใหม่เข้าปาก...นานมากแล้วที่ไม่ได้กินข้าวอร่อยแบบนี้ เมื่อก่อนจะกินทีก็ต้องรอให้บิดาเป็นประธานเปิดงาน กินทีก็ต้องมีระเบียบเรียบร้อย ทุกอย่างต้องพอดี ห้ามขาดห้ามเกิน ขืนบิดามาเห็นเขานั่งเคี้ยวหยับๆ พูดไปเคี้ยวไป ข้าวเต็มปาก มีหวังถูกวาจาเชือดเฉือนจนกินข้าวไม่ลงไปสามวันเจ็ดวันแหงๆ
“พิง?” สาวน้อยเอียงคอ คิ้วขมวดสงสัย
“ไหนว่าเป็นพม่า ชื่อไม่เห็นเหมือนพม่าเลย”
แค่ก! แค่กๆ
“อ้าว พี่ ใจเย็นๆ” สาวน้อยส่งแก้วน้ำให้อย่างตกใจเมื่อเห็นเขาสำลัก จนข้าวเลอะเทอะ
“ขอบใจ” เขาว่า หลังจากกลืนทุกอย่างลงคอหมดแล้ว
“พี่นี่ น่ารักจัง” ว่าแล้วก็หัวเราะคิกๆ
รพิชถอนหายใจเฮือก ลืมไปซะสนิท ว่าสองสามวันก่อน ยายป่านตัวแสบทำอะไรไว้บ้าง
มือนุ่มนิ่มเลื่อนมาที่ข้างแก้ม สัมผัสนั้นทำเอาเขาตกใจ จนเผลือปัดมือนั้นทิ้งไป
“ข้าวติดหน้าพี่แน่ะ...” เธอว่า ก่อนจะยื่นมือมาอีกครั้ง ค่อยๆหยิบเม็ดข้าวสวยออกจากข้างแก้มทีละเม็ดๆ
สาวน้อยจ้องมองผิวใส กับดวงตาสีเข้มจัดด้วยหัวใจเต้นระรัว
รพิชไม่ได้มีดวงหน้างดงามจนน่าตะลึงเหมือนคุณป่าน หรือ คุณวิลเลียม เขาเพียงแค่มีดวงตาเรียวสองชั้นยาวรีกับลูกนัยน์ตาสีเข้มจัด จมูกโด่งเรียว กับริมฝีปากหยักเต็มอิ่ม ทั้งหมดเป็นเครื่องหน้าที่ธรรมดา ใครๆก็มี เพียงแต่เมื่อนำมารวมกัน บวกกับบุคลิกคล่องแคล่ว ทว่าท่าทางเนิบนาบแลคล้ายจำพวกแมว ทำให้เขาดูแปลกไปจากคนงานทุกคน...เขาช่างมีเสน่ห์
สาวน้อยนามเพียงออ ได้ยินแค่ว่าคนตรงหน้าเป็นแรงงานมาจากพม่า ไม่ได้รู้ลึกถึงเรื่องที่นภัสราสร้างไว้ว่ามีลูกและสามีรออยู่ที่บ้านเกิด เธอจึงส่งสายตาได้เต็มที่
...ใช่ว่าหล่อนไม่รู้เสียเมื่อไหร่ว่ารพิชเป็นผู้หญิง
แล้วอย่างไรล่ะ หล่อนชอบของหล่อนเสียอย่าง ใครจะทำไม?
“อะแฮ่ม” เสียงกระแอมทำให้ทั้งคู่สะดุ้ง มองไปทางต้นเสียง
“คะ...คุณป่าน!” เพียงออครางชื่อนายสาวอย่างตกใจ รีบลดมือจากแก้มนุ่ม ทั้งๆที่เสียดาย
“ไม่ทราบว่า คุณป่านต้องการอะไรหรือคะ?” เด็กสาวลุกขึ้นยืน มือกุมกันไว้พร้อมกับค้อมตัวน้อยๆอย่างให้เกียรติ ต่างกับอีกคนที่นั่งกินข้าวต่ออย่างไม่รู้ทุกข์รู้ร้อน
“กับเธอ ฉันไม่มี ออกไปก่อนไป” หญิงสาวไล่ ทั้งๆที่ยังไม่ละสายตาไปจากหน้าของรพิช
“เอ่อ...ค่ะ” สาวน้อยส่งสายตาขอโทษรพิชเงียบๆ เข้าใจว่าสาวหล่อขวัญใจเธอคงจะโดนตำหนิ เรื่องที่มานั่งทานข้าวอยู่ที่นี่ ทั้งๆที่ไม่ใช่เวลา ทั้งยังกระด้างกระเดื่องใส่คุณป่านอีกต่างหาก
“เสน่ห์แรงเหลือเกินนะยะ แม่สาวพม่า” มองจนแน่ใจแล้ว ว่าเด็กเพียงออ เดินพ้นครัวจนไม่ได้ยินสิ่งที่จะพูดคุย นภัสราก็เริ่มเปิดฉากใส่อย่างหมั่นไส้
“มีอะไร” รพิชถามเสียงห้วน ยังเคืองไม่หายกับสถานภาพที่อีกฝ่ายตั้งให้แบบไม่ถามความสมัครใจ
“นี่ยังไม่เที่ยง ทำไมหลบมากินข้าวก่อนล่ะ” รพิชยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม
“เรื่องของฉัน ว่าแต่เธอเถอะ...หวังว่าคงไม่ได้มาหาเรื่องไร้สาระกับฉันอย่างเดียวใช่ไหม?” คิ้วหน้ารูปใบดาบเลิกขึ้นอย่างยียวน
นภัสราทำเสียงในลำคออย่างหนึ่ง ก่อนจะเหลือบมอง พูดอย่างไม่ใคร่เต็มใจ
“คอมฯฉันเสีย” รพิชเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ
สมัยนี้มีคอมฯแล้วเหรอวะ?...
“แล้ว?” สุดท้ายก็ไม่เข้าใจว่าเกี่ยวกับเขาตรงไหน
“ฮื่อ! ซ่อมให้หน่อย” หล่อนพ่นลมหายใจพรืด ราวกับว่าการขอร้องเขาเป็นเรื่องที่น่าลำบากใจเหลือเกิน
“ทำไมไม่ตามช่าง?” น้ำเสียงไร้อารมณ์
“วันนี้มันวันหยุด ร้านไหนเขาจะเปิด” หล่อนว่า เสียงเหมือนกับ...เขานี่ช่างไม่รู้อะไรเลย
รพิชขมวดคิ้ว...ในยุคสมัยของเขา ต่อให้กลางเมืองโดนระเบิดลง ก็ไม่แน่ว่าพวกร้านรวงอะไรนี่จะปิดตัว
เขาก้มหน้า เก็บจานชามไปไว้ที่ซิงค์ ก่อนจะเดินไปที่ประตูครัว หยุดนิดนึงเพื่อหันกลับมามองร่างระหงที่ยืนกอดอกเชิดหน้าอยู่ที่เดิม
“เอ้า! จะให้ซ่อมก็นำซิ! มายืนเชิดเป็นนางผีเสื้อสมุทรอยู่ได้!”
“กรี๊ด! ไอ้บ้า!” นภัสราส่งเสียงกรี๊ดในลำคอ ก่อนจะกัดฟันพูดใส่หน้าอีกฝ่ายอย่างหมั่นใส้
“กรี๊ด! ไอ้บ้า!น่ารักตาย!” เขาส่งเสียงในลำคอ พลางทำท่าเลียนแบบหญิงสาวเมื่อเจ้าตัวเดินกระแทกเท้าจากไป ก่อนจะพูดเบาๆกระแทกใส่คนที่เดินไปไกลแล้ว
รพิชเดินตามร่างระหงเข้ามาในห้องของฝั่งตึกซ้าย พลางมองไปรอบๆอย่างสนใจ...เขาไม่ค่อยได้เดินมาที่ฝั่งนี้มากเท่าไหร่
“อุ้ย!” เขาร้องอุทานเมื่อรู้สึกว่ากระแทกกับอะไรบางอย่าง
“อุ๊ย! นี่!เดินดีๆสิ!” หญิงสาวแหวเสียงเขียว เมื่อตัวเองเกือบหน้าทิ่มเพราะแรงกระแทกจากคนตัวสูง
“ก็หยุดแล้วไม่บอกเองนี่” รพิชว่าต่ออย่างไม่ยอมแพ้
“เอ๊ะ! นี่”
“เอาล่ะๆ ช่างเถอะ ฉันไม่เอาเรื่องเธอก็ได้ ไหนล่ะของที่จะให้ซ่อม” หญิงสาวโบกมือไปมาคล้ายกับ ตัวเองเป็นฝ่ายถูกและเหนื่อยใจกับเด็กไม่รู้จักโตคนนี้เต็มทน
นภัสรามุ่ยหน้าจนยับยู่ยี่ แต่โดนอีกฝ่ายดึงความสนใจไปที่คอมพิวเตอร์จนหมด
“นี่ไง” หล่อนชี้ไปที่เครื่องจักรยักษ์ที่อยู่ติดริมฝาผนัง
ตายห่า...รพิชอุทานในใจ
นี่มันคอมพิวเตอร์หรือขีปนาวุธเวียดนามวะเนี่ย??
เขามองดูคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่าน หน้าจอหนาเท่าวงแขนเขาทีเดียว
“โชคดีที่มีเคสคล้ายๆกับสมัยเราอยู่พอสมควร แค่ใหญ่กว่าเท่านั้น” รพิชยืนพินิจพิเคราะห์ คอมพิวเตอร์ที่ไม่ค่อยคุ้นเท่าไหร่
“บ่นอะไรงึมงำๆ จะซ่อมให้มั้ยเนี่ย”
“รู้แล้วน่า” หญิงสาวเดินตรงเข้าไปหาโต๊ะคอม สีของมันเป็นขาวล้วน เขาก้มมองเคสแบบ Destop ซึ่งต้องเอียงนอนและเอาจอไว้ด้านบนเพื่อประหยัดเนื้อที่ ครู่เดียวเขาเผลอถามตัวเองว่าช่องCD/DVD Rom Drive อยู่ตรงไหน...แล้วก็นึกได้ ว่าสมัยนี้ยังใช้แผ่นดิสก์อยู่เลยมีแค่ช่อง Floppy Disk Drive
เคสแบบนี้ มีแค่ปุ่มเปิด/ปิด และรีเซ็ตเท่านั้น ปุ่มเปิดยิ่งแล้วใหญ่ ทำใหญ่เท่าลูกพุทรา ไม่ต้องเสียเวลาหาให้ยาก
เขาจัดการเปิดเครื่องเพื่อเช็คอาการ
“เครื่องเป็นอะไรหรือเธอ?” เขาส่งเสียงถาม ทว่าอีกฝ่ายแค่อ้าปาก เขาก็ตอบเองเสร็จสรรพ
“ไม่ต้องตอบแล้ว เครื่องเปิดไม่ติด” คำพูดตัดบททำเอาหญิงสาวพ่นลมหายใจอย่างฉุนเฉียว
“อืม” ร่างสูงโปร่งส่งเสียงฮึมฮัม ขณะยกจอลง และจัดการถอดน๊อตที่ยึดฝาเครื่องไว้ ภายในของมันก็ไม่ได้ต่างจากปัจจุบันเท่าไหร่ แค่เนื้อที่ของดีวีดีรอมโดนเจ้าฮาร์ดดิสก์ อันเขื่องกินพื้นที่ไปเท่านั้นเอง
รพิชถอดแรมออกมา เช็ดๆถูๆ และเอ่ยปากขอยืมยางลบจากหญิงสาว ซึ่งนภัสราไม่เข้าใจว่าจะเอายางลบไปทำอะไร
รพิชเพียงแค่ยิ้มๆและเอายางลบถูกด้านทองแดงของแรมเท่านั้น
เขาครางอู้ ขณะอ่านป้ายกำกับของแรม หญิงสาวใส่แรมกลับเข้าที่เดิม ก่อนจะเปิดเครื่องอีกครั้ง พัดลมเครื่องเร่งตัวดังขึ้น ไฟตรงเคสเดสทอปกระพริบถี่ๆ ก่อนจะติดค้างนาน
หน้าจอเด้งเข้าสู่หน้ารอโหลดเข้าระบบปฏิบัติการวินโดวส์
“โอ๊ะโห...” รพิชครางอย่างเหวอๆ
“Windows 2.11 รุ่นล่าสุดเชียวนะ” นภัสราตอบด้วยความภาคภูมิใจ ขณะที่รพิชหรี่ตามองอย่างขำๆ
“บ้านฉันเริ่มใช้ Windows 8 คู่ กับ All In One ไปแล้ว...”
“ห๊ะ? อะไร แปดๆ วันๆ นะ?” รพิชเหล่ตามอง ...ไม่นึกว่าจะหูดีขนาดนี้...
“เปล่า...แค่บอกว่าบ้านคุณนี่ ทันสมัยดีนะ” เขาปดหน้าตาเฉย แต่อีกฝ่ายดันเชื่อสนิทใจ
“แหงซิ ใครๆเขาก็รู้ ว่าบ้านฉันเนี่ย ตามสมัยอยู่แล้ว”
“เหอะๆ”
“ตกลงว่ามันเป็นอะไร” หญิงสาวเอามือลงจากท่า ‘แผ่กิ่งก้าน’ของตัวเอง ก่อนจะถามกลับ เล่นเอารพิชสะดุ้งกับท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
“ก็...” เขาพ่นลมหายใจ พลางยกจอกลับเข้าที่เดิม
“แรมสกปรก ท่าทางว่าตั้งแต่ซื้อมา คงไม่เคยเอาไปเช็คสภาพเลยสินะ” นภัสราเสมองพื้น ไม่สนใจสายตาตำหนิของเขา
“ตกลงว่าเสร็จหรือยังล่ะ” เขาพยักหน้าแกนๆก่อนเสริม
“ซื้อมา อย่าสักแต่ใช้นะคุณ ดูแลมันบ้าง ทำความสะอาด คอยเช็คมันบ่อยๆ..”
“ฉันก็มีเด็กขึ้นมาปัดมันทุกวันแหล่ะ” หญิงสาวเอ่ยขัด ทำท่าไม่พอใจ เข้าใจว่าเขาด่าเธอว่าสกปรก
“ไม่ใช่ข้างนอก ฉันหมายถึงข้างใน ฝุ่นจับเอามากๆ Power Supply ระเบิดพอดี ฉันเห็นมาเยอะแล้ว ไอ้พวกปล่อยปะละเลย จิ้งจกวางไข่ซะเครื่องพัง...”
“เฮ้ย! จิ้งจกมันวางไข่ในนั้นได้ด้วยเหรอ” หญิงสาวถามด้วยสายตาไม่เชื่อถือ
“เออสิ บางทีมันก็ตกไปตาย เน่าอยู่ในนั้น ฉันถึงบอกให้คุณคอยดูตลอดไง หัดเอาไปให้ช่างดูด้วย เผื่อไวรัสมันเข้า”
“เธอนี่...ท่าทางคล่องเรื่องนี้จังเลยนะ” รพิชชะงักกึก เขาหันกลับไปก็พบกับสายตาแป๋วแหวว ไม่ได้มีท่าทีระแวงอะไรก็ถอนหายใจ
“ครูพักลักจำน่ะ...ว่าแต่คุณเหอะ ที่เรียกมามีแค่นี้ใช่ไหม” รพิชเปลี่ยนเรื่องคล้ายกับไม่อยากพูดถึงมากนัก
“เออสิ ไม่งั้นฉันจะเรียกเธอขึ้นมาทำไม” ดวงตาเรียวของรพิชหรี่ลงอย่างขี้เล่น
“จะไปรู้เหรอ เผื่อคุณเรียกฉันขึ้นมาลวนลาม...ดูอย่างเด็กในบ้านคุณสิเผลอไม่ได้ จับนั่นจับนี่ตลอด” เขายกตัวอย่างเด็กเพียงออขึ้นมา
“บ้า! ฉันไม่ใช่พวกวิปริตนะ!”
“ว่าได้เหรอคุณ...เห็นหน้าตาดีๆ เป็นเลส เป็นเกย์ก็เยอะไป” เขาว่า ราวกับเห็นเป็นเรื่องธรรมดา เพราะในปัจจุบันสังคมเปิดกว้างเรื่องนี้มากขึ้น แต่เขาคงลืมไป ว่ายุคสมัยนี้ การรักร่วมเพศ ยังไม่ใช่อะไรที่ยอมรับกันได้ง่ายๆ
“บ้า! อย่าได้พูดแบบนี้เชียวนะ” หญิงสาวโมโหจนหน้าดำหน้าแดง
“เอ้า ก็พูดเรื่องจริง...” เขายื่นหน้าไปใกล้เป็นการยียวน ขณะที่นภัสราเบี่ยงตัวหนี
“นี่ๆ! ออกไปห่างๆนะ” หยิงสาวหวีดร้อง พยายามผลักหน้าเขาออกไป
“ทำไมล่ะคุณ กลัวอดใจไม่ไหวหรือไง” รพิชหัวเราะเอิ้กอ้ากชอบใจ ที่ทำให้หล่อนวิ่งหนีดุกๆไปได้ เขาตามเอาตัวเข้าไปใกล้อย่างชอบใจ
“กรี๊ด! บ้า! ไอ้บ้า! ออกไปนะ!”นภัสราร้องเมื่อรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆรดศีรษะ
“แหม...ทำอย่างกับโดนข่มขืน” เขาว่าอย่างชอบใจ จับตัวหล่อนหันมาประจันหน้า
“นี่ มองหน้าซิ มีอะไรน่ากลัวนักหนา มอง!” รพิชพูดเมื่อเห็นว่าหญิงสาวยังหลับตาปี๋
“ไม่!” หญิงสาวร้องค้านอย่างไม่ยอม
“เออๆ ไม่ยอมก็ไม่ยอม” รพิชปล่อยแขนกลมกลึงอย่างว่าง่าย เสียงรองเท้าตึกๆ ทำให้นภัสราวางใจ ยอมเปิดเปลือกตาขึ้น
“ว้าย!” อันที่จริงแล้ว รพิชไม่ได้ไปไหน แค่ทำเสียงหลอกหญิงสาว จริงๆเขายังยื่นหน้าเข้าไปใกล้หล่อนเหมือนเดิม พอนภัสราลืมตาเห็นหน้ายิ้มๆนั่นในระยะประชิดก็ตกใจร้องจนเสียหลักล้ม
“เฮ้ย! คุณ!” รพิชคว้าเอวหล่อนไว้ ขณะที่เจ้าตัวโอบรัดรพิชไว้ด้วยสัญชาติญาณ
“ว้าย!” สุดท้ายทั้งสองเสียหลักล้มลง โดยรพิชพยายามเบี่ยงตัวเข้ากับเตียงนอนเพื่อรองรับร่างบาง...
...มันน่าจะเป็นเหมือนในละคร...
ทั้งสองล้มตัวลงบนเตียงนุ่ม...
มองดวงตาซึ่งกันและกัน...
ดวงตาโตหวานของหญิงสาวเอียงหลบดวงตาคมด้วยความสะเทิ้นอาย...
เจ้าของดวงหน้าคมก้มลงชิดใบหน้าหวาน...
จมูกแตะกัน...
...
แต่ก็แค่ ‘น่าจะเป็น’ เหมือนในละคร
เพราะในความเป็นจริง...
“โอ๊ย!”
“อุ้ย!”
เสียงแรกเป็นของหญิงสาวผู้โชคร้าย ส่วนเสียงที่สองเป็นของหญิงสาวร่างสูงซึ่งอยู่ด้านบน
ใช่แล้ว...รพิชพยายามเบี่ยงตัวเข้าหาเตียงเพื่อให้ความนุ่มของฟูกรองรับร่างบางไว้
...แต่มันไม่ทัน...
ดังนั้นหัวทุยสวยของหญิงสาวเจ้าของห้อง จึงกระแทกเข้ากับขอบเตียงเข้าเต็มเปา
รพิชอุทานด้วยความเจ็บแทน
“ทำบ้าอะไรของเธอ ห๊ะ!!” นภัสราตวาดแว้ด
“แหะๆ”
“ไม่ต้องมาแหะ!” บางทีถ้ารพิชปล่อยให้หล่อนล้มลงไป หล่อนอาจไม่เจ็บขนาดนี้ก้ได้...จริงๆนะเนี่ย!!
หญิงสาวอยากจะเอามือเกาหัวแก้เก้อ เพียงแต่มือทั้งสองยังโอบประคองคนใต้ร่างไว้ จึงทำอย่างใจคิดไม่ได้
“ลุกสิ! จะนอนทับฉันทำไมเล่า!” อีกฝ่ายตะคอกฟ่อๆ ทำให้เขาค่อยๆปล่อยมือลุกออกมา
“ยายป่าน! ยายป่านเป็นอะไร!” เสียงทุ้มๆของวิลเลียมดังขึ้นหน้าห้อง พร้อมเสียงเคาะปึงปังอย่างร้อนรน
“เฮ้ย!” รพิชสะดุ้งเฮือก ลุกพรวด จนลืมไปว่า ฝ่ามือเขายังไม่ปล่อยจากตัวนภัสราทั้งหมด ทำให้ร่างบอบบางของหญิงสาวผู้น่าสงสาร พลิกม้วนจนหน้ากระแทกพื้นไปอีกรอบ
“โอ๊ย!” นภัสราร้องลั่น เพราะจมูกโด่งของตัวเองกระแทกพื้นเต็มๆ
“เฮ้ย! ยายป่าน เป็นอะไรหรือเปล่า! นี่ไขเร็วๆซิ เดี๋ยวน้องฉันก็เป็นอะไรไปพอดี” เสียงท้ายประโยคกับเสียงไขกุญแจทำให้รพิชร้อนรน
“ซ่อน! ซ่อนไหน! ซ่อนไหนดี!” นภัสรามองอีกร่างวิ่งวุ่นในห้องด้วยความงงงัน
“ซ่อนไหนๆๆ ซ่อนไหน!!!” สุดท้ายรพิชกันมาเขย่าตัวเจ้าของห้องด้วยความตื่นตระหนก จนหญิงสาวคิดอะไรไม่ทัน
“ซ่อน?”
“เออ ซ่อน!”
“เอ่อๆ ใต้เตียง”
“ไม่ได้! แคบไป”
“ห้องน้ำ!”
“ไม่ได้! ส่วนใหญ่เขาจะหาในนั้นกันก่อน”
“ระเบียง”
“ไม่เอา! ตกลงไปตายทำไง!”
“ป่าน! เป็นอะไรหรือแปล่า! รอแป๊บนะ พี่จะเข้าไปแล้ว”
“ชิบ-หาย” รพิชคราง ก่อนจะกระโดดตุ้บลงเตียงนอน ม้วนผ้าห่มกลิ้งขึ้นไปหัวเตียง จนดูเหมือนข้าวห่อสาหร่ายขนาดยักษ์สีชมพู
แกร๊ก!
“ป่าน!” ร่างสูงใหญ่ของวิลเลียมพุ่งพรวดเข้ามา จับตัวน้องสาวหมุนซ้ายหมุนขวาด้วยความห่วงใย
“เป็นอะไรหรือเปล่า” นภัสราทำหน้าเอ๋อๆ ยังคงปรับอารมณ์ไม่ได้เพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“เปล่าค่ะ”
“แต่พี่ได้ยินเสียงร้อง...แล้วนี่ จมูกกับขมับไปโดนอะไรมา” นภัสราเผลอจับตามที่วิลเลียมพูด ความรู้สึกเจ็บจี๊ดแล่นพล่าน
“อ๋อ ป่าน เอ่อ...ป่านสะดุดขาตัวเองหกล้ม หัวกระแทกขอบเตียงแล้วทิ่มลงพื้นต่ออ่ะค่ะ” วิลเลียมมองน้องสาวนิ่ง...นิ่งจนรพิชใจหาย
“เหรอ...ซุ่มซ่ามจริงเรา”ชายหนุ่มจับสราะที่ปกคลุมด้วยผมสีดำอย่างรักใคร่ ..หญิงสาว...สองคนถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“เฮ้อ...เล่นซะพี่ตกอกตกใจไปหมด”เขาว่า พลางเดินไปที่เตียงนอนของน้องสาว และทิ้งตัวพิงพนักไว้...
“เฮ้ย ! เอ่อ” นภัสราซึ่งรู้ว่าในม้วนผ้าห่มมีอะไรอยู่ก็ได้แต่ร้องคราง
“อะไร? มีอะไร”
“เอ้อ ...เปล่าค่ะ” นภัสรายิ้มแหยๆ
“อืม! แปลกจริงเรา” ว่าพลางทิ้งตัวลงไปอีก
“เฮ้อ...เออ นุ่มดีจังป่าน หมอนเราเนี่ย” วิลเลียมเอี้ยวตัวมองอย่างสนใจ
“อ้อ นุ่มสิพี่ สั่งทำพิเศษเลยนะ เอาแบบใยสังเคราะห์นุ่มสุดๆ”
“เหรอะ! เออ ดีๆ เฮ้ย! นุ่มอ่ะ!” ร่างใหญ่ทิ้งตัวลงเด้งไปมาอย่างชอบใจ
“แอ่ก!”
“เฮ้ย! เสียงอะไรวะ?” วิลเลียมเอี้ยวตัวมองหาต้นตอเสียง
“เอ่อ...อ๋อ...หมอนข้างนี่แหล่ะ พี่...เขาทำพิเศษแบบ ระบบสุญญากาศ กระแทกตัวหนักๆแล้วมีลมพ่นออกมาอ่ะ” ว่าพลางสาธิตให้ดูเป็นตัวอย่าง
“แอ่ก! แอ่ก!” เสียงลมตีขึ้นอกสองที รพิชรู้สึกจุกเสียดไปทั่วท้อง ทั้งเจ็บ ทั้งแค้น ได้แต่คาดโทษหญิงสาวต้นเหตุไว้ในใจ
“เออ เฮ้ย! ดีว่ะ หนุกดี” วิลเลียมนึกสนุก กระแทกตัวขึ้นลงกับเขาด้วย
“แอ่ก! แอ่ก! แอ่ก!”
“เอ่อ...ป่านว่า มันไม่มีอะไรแล้ว พี่วิน...ไม่ไปทำงานเหรอคะ” นภัสรามองใต้ผ่าห่มอย่างจุกแทน
“เออว่ะ! ลืมไป ทำงานค้างไว้...งั้นพี่ไปก่อนแล้วกัน นะ” รพิชยิ้มด้วยสีหน้าดีใจ ก่อนจะใบหน้าจะแดงเถือกไปทั้งหน้า
“ก่อนไป ขอทิ้งทวนก่อนเถอะวะ!!”
“ตุ้บ! แอ้ก!!!”
‘หยึย!’
“ไปละ ป่าน” วิลเลียมลุกขึ้นอย่างสบายอารมณ์ บอกลาน้องสาวแล้วเดินออกจากห้องไป
“เฮือก!”
“ว้าย! อุ้บส์!” นภัสราเอามือปิดปากเมือ่รู้ตัวว่าส่งเสียงดังไป
เพราะรพิชโผล่พรวดขณะที่นภัสรายังไม่ทันลุกไปไหน
“โอย! เกือบตาย!”
รพิชครางหงิงอย่างปวดทั้งตัวปวดทั้งใจ...เจ็บใจชะมัด! โดนยายป่านแกล้งเอาอีกแล้ว
“นี่ จะลุกทำไมไม่บอกก่อน” หญิงสาวหันมาต่อว่า แต่รพิชกลับจ้องเขม็งใส่!
“ไม่ต้องมาว่าฉันเลย เธอนั่นแหล่ะ...ทิ้งตัวลงมาทำไม เจ็บแทบตาย” ว่าพลางจับหลังตัวเองอย่างปวดระบม
“เอาน่า อุตส่าช่วย...”
“ช่วยบ้าอะไร! เกือบถูกจับได้!”
“เออ ว่าจะถาม...” นภัสราผุดลุกขึ้นมายืนจ้องหน้ารพิช
“ทำไมต้องซ่อนด้วยอ่ะ?” หญิงสาวกอดอกถามอย่างรอคอยคำตอบ
“อืม..” รพิชเกาหัว
“ไม่รู้ว่ะ!”
ขอคำติชมด้วยนะคะ เพื่อเป็นหนทางในการขัดเกลาฝีมือต่อไป ^^
ตัวหนังสือเข้มหรือดูยากไปไหมคะ? บอกกันได้นะคะ จะได้ปรับเปลี่ยนให้เหมาะสม
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ