ฝุ่น(Yuri)

-

เขียนโดย silent

วันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2557 เวลา 01.23 น.

  5 chapter
  0 วิจารณ์
  10.08K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 16 เมษายน พ.ศ. 2557 04.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) คนปากดี กับ สาวขี้โมโห

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 3

คนปากดี กับ สาวขี้โมโห

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

          “ไม่รู้!” หญิงสาวร้องแว้ด

          “บ้าเปล่าเนี่ย! ไม่รู้แต่วิ่งไปแอบเนี่ยนะ” รพิชเกาคอแกรกๆ  เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องวิ่งไปแอบ รู้แต่ว่าพอได้ยินเสียงวิลเลียม แถมยังอยู่ในห้องน้องสาวเขาแล้ว รพิชก็ต้องหาที่ซ่อน

“เธอเนี่ย ปีนห้องคนอื่นบ่อยหรือไง สัญชาติญาณมันถึงได้แรงแบบเนี้ย” รพิชพ่นลมหายใจดังฟู่ มือเท้าเอวมองหน้าคนพูด

“คุณนี่ ถ้าไม่แขวะฉันซักวันคงนอนหลับไม่สบายใช่ไหม”

“ช่าย” คนตอบอย่างยียวน ขณะที่อีกคนยิ้มกริ่ม

“แหม...ไม่นึกเลยนะว่าฉันจะมีอิทธิพลขนาดนี้ คุณป่านผู้เย่อหยิ่งถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ ถ้าไม่ได้คุยกับฉัน”

“อิ๊! บ้าที่สุด ใครใช้ให้เธอมาตีความจนชวนอ้วกแบบนี้ ห๊ะ!”

“อ๊าว ก็พูดเองทำลืม” เขาหลิ่วตาให้อย่างอารมณ์ดี

“อะไร ฉันพูดอะไร”

“ก็ที่คุณบอกว่า...”

“เอ้อ ป่าน!” ร่างสูงของวิลเลียมเดินพ้นประตูเข้ามา

“พี่วิน!” นภัสราร้องลั่น หันขวับไปมองหาอีกคน แต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า

ที่แท้ รพิชเผลอกระโดดขึ้นเตียงม้วนตัวเองไว้ใต้ผ้าห่มอีกแล้ว

“ร้องทำไม แค่จะมาถาม” ชายหนุ่มพูด คิ้วเข้มขมวดแน่น

“มะ...มีอะไรคะ”

“เรื่องไอ้พิงน่ะ” จากที่คิดได้ว่าไม่ควรแอบ กำลังจะออกไปแสดงตัว  พอได้ยินชื่อตัวเอง รพิชจึงหยุดการกระทำของตัวเองลง

“พิง...อ้อ มีอะไรหรือคะ”

พี่ชายหล่อนทำหน้าที่บ่งบอกถึงความแปลกใจ

“พี่สงสัยมานานละ...ว่า...” เขาทิ้งช่วงแล้วกัดริมฝีปาก สีหน้าเคร่งเครียด

“ว่า...” หญิงสาวทั้งสองแอบขานรับไปพร้อมๆกัน และดูกังวลไม่แพ้กัน

“ว่า...ทำไมมันพูดไทยชัดจังวะ?”

“เฮ้ออ..” สองสาวถอนหายใจอย่างโล่งอก

“โธ่ นึกว่าเรื่องอะไร...ว่าแต่ เรื่องแค่นี้พี่ถึงกับวิ่งมาถามเลยเหรอ”

“มันคาใจว่ะ” นภัสรายิ้มแหยๆ หัวสมองก็ประมวลคำตอบเอาไว้ด้วย

“เก๊าะ...คนมันอยู่เมืองไทยมานาน พูดไม่ได้ก็แปลก” หล่อนว่าพลางบอกปัดๆ

“เอ๊า! ไหนบอกถูกล่อลวงมา”

รพิชกรอกตา...เอาล่ะสิ ยายแสบ โกหกไว้เยอะดีนัก

“ก็ล่อลวงมาน่ะซิ เอามาบังคับให้พูดภาษาไทย จะได้ทำงานได้...เนี่ย ดีนะ พิงใจเด็ด หนีออกมาได้ ป่านกับพี่แอนนี่ ไปเจอลอยตุ้บป่องอยู่ในแม่น้ำโน่นนนนแน่ะ...” หล่อนลากเสียงยาวเพิ่มความน่าเชื่อถือ

“หูว...ลอยอยู่ในแม่น้ำเลยเหรอ” วิลเลียมทำหน้าไม่เชื่อน้องตัวเอง

“พี่ไม่เชื่อเหรอ?” หญิงสาวเอามือเท้าเอว หาเรื่องเต็มที่

“ไอ้เชื่อน่ะ มันก็เชื่อ แต่พี่ขอหารออกสักเจ็ดสิบได้มะ?” ฟังเรื่องจากนภัสรามาทีไร เขาต้องหารเอาความเกินจริงออกสักเจ็ดส่วนตลอดถึงจะได้ความจริงออกมา

“พี่วินนี่ บ้าจริง! แล้วมาถามทำไมล่ะ” หล่อนหวีดร้องแหลมๆออกมาทีหนึ่ง ก่อนจะถามอย่างกวนอารมณ์

“ก็ไม่มีใครรู้นอกจากแกนี่ ถามยายแอนนี่ รายนั้นก็กระอึกกระอัก บอกให้มาถามมันเอง ครั้นพอจะไปถามเจ้าตัว...เฮ้อ ไม่กล้าว่ะ”

“เอ้า ไหงงั้นล่ะ ...กลัวลูกจ้างตัวเองได้ยังไง”ชายหนุ่มเชื้อตะวันตกกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงเบาคล้ายเกรงๆ

“แหม...แบบว่า ตามันดุว่ะ พี่กลัวมันโมโหแล้วฟาดคอพี่เปรี้ยงเอาน่ะซิ” พอจบประโยค แม่น้องสาวตัวดีหัวเราะคิก ก่อนว่าอย่างทะนง

“แหมพี่...เอาอะไรกับมันมาก ไอ้นี่เก่งแต่ปาก...” ส่วนคน ‘เก่งแต่ปาก’ ได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่เงียบๆ นั่งคิดทบต้นทบดอก เดี๋ยวออกไปจะจัดการซะให้เข็ด!

“เอาเหอะๆ แต่บอกตามตรง ...พี่ไม่ไว้ใจนะ มันเป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ ลำพังลมปาก มันเชื่ออะไรไม่ได้มากนักหรอกนะ ท่าทางมันดูไม่เหมือนพวกใช้แรงงานเท่าไหร่...พี่กลัวว่าไอ้อดิสรมันจะส่งมาเป็นนกต่อเอาน่ะซี่...” นภัสรานิ่งเงียบไป...จริงสินะ หล่อนไปเจอเขาตอนจมน้ำ นอกนั้นก็ไม่ได้รู้จักอะไรไปกว่า ชื่อของเขา ไม่มี อะไรมายืนยันได้เลย

“อย่าไว้ใจใครให้มากนักนะป่าน พี่ขอเตือน”

วิลเลียมออกไปแล้ว แต่หญิงสาวยังคงนิ่งเงียบ จนรพิชค่อยๆออกมาจากผ้าห่ม  ดวงตาสีสนิมเข้มมองตรงไปยังร่างที่ยืนเหม่อ  เขาไม่กล่าวโทษเธอ หากเธอจะระแวง เพราะเขาเองก็ไม่ได้พูดความจริงเลยแม้แต่อย่างเดียว

“คุณระแวงฉันใช่ไหม” หล่อนหันกลับมา ใบหน้าแฝงแววเคร่งเครียด

“เธอต้องเข้าใจนะ ว่าตอนมา เธอไม่มีอะไรมายืนยันตัวตนเลยแม้แต่อย่างเดียว ...อีกอย่าง บริษัทของพี่วินเพิ่งจะลงรูปลงรอย เขาคงไม่อยากให้มีอะไรมาทำให้มันต้องล้มลง...”

“เวลาจะพิสูจน์ทุกอย่าง...”

เขาทิ้งคำพูดไว้แค่นั้นก่อนจะเดินออกจากห้องไป  นภัสรามองร่างสูงกับกิรยาการเดินที่ดูมั่นอกมั่นใจและมีสง่า เกินกว่าจะเป็นแค่ชนใช้แรงงาน

“ฉันหวังว่าผลมันจะออกมาดี...”

ทั้งสองไม่รู้ว่าระหว่างที่รพิชเดินออกจากห้อง  มีดวงตาคู่หนึ่งเฝ้ามองอย่างไม่คลาดสายตา

 

 

 

หลังจากวันนั้น บรรยากาศระหว่างทั้งสองดูจะอึมครึม  รพิชไม่พูดหยอกล้อหล่อนอย่างที่เคย  นภัสราเองก็ไม่หาเรื่องไปแขวะเขาถึงในครัวเหมือนกัน

“พี่พิง” เพียงออตะโกนเรียกร่างสูงสง่าทิ่กำลังยืนเช็ดรถอยู่อย่างขมีขมัน

“อ้อ มีอะไรหรือ?” เขาขานรับทั้งๆที่ยังไม่หันไปดู

“วันนี้ลุงป่วนไม่สบาย คุณวิลเลียมเธอวานให้พี่ขับรถไปส่งเธอที่บริษัทหน่อย” ดวงตาเล็กยิบหยีเพราะแสงแดด แต่ปากยังตะโกนเย้วๆ  รพิชหันมามองด้วยความเอ็นดู

“ได้สิ ...คุณวิลเลียมจะไปเมื่อไหร่ล่ะ”

“เดี๋ยวก็ออกมาแล้วล่ะพี่” หล่อนว่าอย่างนั้น

ครู่เดียวร่างสูงใหญ่ของนายจ้างก็เดินลิ่วๆออกมาจากตัวตึก

ชายหนุ่มหยุดนิดหนึ่ง ก่อนจะหันมาพูดกับเขา

“ไปทางสายเอกมัยนะ เลี่ยงๆตำรวจหน่อย เธอไม่มีใบขับขี่” เขาพยักหน้ารับ ก่อนจะค่อนในใจ

ตาบ้า! รู้ว่าไม่มีใบขับขี่ยังจะใช้อีก เดี๋ยวก็ได้งามหน้ากันทั้งนายทั้งบ่าวหรอก!

 

 

รพิชรับรู้ได้ถึงสายตาคมกริบจากนายจ้างทางด้านหลัง มือเขาถือเอกสาร แต่สายตากลับจ้องมองหญิงสาวตลอดเวลา  ดวงตาคมสีน้ำทะเลครุ่นคิด

“เธออยู่เมืองไทยมานานเท่าไหร่แล้ว?” จู่ๆเขาก็ถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำเอารพิชสะดุ้ง โชคดีที่ได้ยินบทสนทนาของสองพี่น้องมาก่อน จึงตอบได้

“เกือบสองปีแล้วค่ะ” รพิชตอบ

“มิน่า ถึงพูดไทยชัด...” เสียงเขาขาดหายไป เนื่องจากชี้ทางให้หญิงสาวอยู่เมื่อสังเกตว่าหล่อดูเงอะๆงะๆกับหนทางในกรุงเทพฯ

ชายหนุ่มวางใจได้ส่วนหนึ่ง ว่ารพิชอาจไม่ใช่สายที่อดิสรส่งมา

“ทำไมถึงนามสกุลบุญสูงเนินล่ะ ไหนว่าเป็นพม่า” หายใจคล่องได้ไม่นาน เขาก็กลับมาซักต่ออีก

“คุณป่านสั่งไว้ค่ะ ใครถามก็ให้บอกว่า ชื่อรพิช บุญสูงเนิน” หล่อนโยนไปให้คนต้นคิด

“แล้วชื่อจริงๆของเธอล่ะ” นั่นป่ะไร! เขาระแวงเธอจริงๆด้วย ถึงได้ซักละเอียดยิบแบบนี้

แล้วพม่า เขามีชื่ออะไรกันบ้างวะเนี่ย?

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หล่อนก็ตอบไปอย่างระมัดระวังว่า

“จีเส่ง”ชื่อนี้เป็นชื่อที่หล่อนเคยคะยั้นคะยอให้เด็กชาวพม่าที่บ้านตนลองตั้งให้ ซึ่งก็ไม่เคยถามเสียทีว่ามันแปลว่าอะไร

“เท่านั้นน่ะหรือ?” คิ้วเข้มขมวดอย่างแปลกใจ   หล่อนเหลือบตาขึ้นแลผ่านกระจกส่องหลังหน่อยหนึ่งก่อนบอก

“คนพม่า เขาไม่มีนามสกุลกันหรอกคุณ มีแต่ชื่อตัว...” นี่ก็เป็นความรู้ที่ได้มาจากเด็กที่บ้านเช่นกัน กลับไปได้หล่อนจะสมนาคุณให้หนำ  รพิชคิดอย่างอารมณ์ดี แต่ไม่นานก็หมองลง...คงไม่มีวันนั้น ...ในเมื่อสิ่งที่ฉันจะทำมัน...

“แล้วไอ้ชื่อ มะข่งมะขิ่นอะไรนี่ล่ะ ชื่อเธอไม่เห็นพวกเขาเลย อย่างมะเมี๊ยะ...” รพิชถอนหายใจเฮือก

“ที่คุณพูดมาน่ะ พม่าที่ไหน นั่นมันกะเหรี่ยง ไทใหญ่ของพวกคุณน่ะหล่ะ” คนไทยมักเข้าใจผิดเสมอระหว่างกะเหรี่ยงกับพม่า

“เหรอ...เธอนี่รอบรู้ดีนะ...รู้เกินไปด้วย” คำเขาฟังเผินๆเหมือนหยอกเย้า แต่ไม่รู้เพราะหล่อนมีชนักติดหลังหรือแปล่าจึงดูว่ามันแฝงความนัย

“เลี้ยวซ้ายตรงหน้านี้นะ จี...จีอะไรนะ?” วิลเลียมทำหน้ายู่ ...มันเป็นอะไรที่ฟังยากและจำยากสุดๆ

“เรียงพิงเหมือนเดิมเถอะค่ะ ฉันขี้เกียจหาบัตรต่างด้าวมาโชว์”

“บัตรต่างด้าว?” สุ่มเสียงเขา งงๆ แต่รพิชก็ขี้เกียจจะใส่ใจ

“ถึงแล้วค่ะ...แล้วจะให้ฉันรอรับกลับด้วยไหมคะ?”

“ไม่ล่ะ เธอจะไปไหนก็ไปเถอะ ประเดี๋ยวเย็นๆฉันจะเรียกเอง” หล่อนพยักหน้ารับ ปล่อยวิลเลียมเดินลงไปเอง ไม่ได้กุลีกุจอลงไปเปิดให้อย่างคราวลุงป่วนทำแต่อย่างใด  ทำเอาวิลเลียมมองตาขุ่น...แต่ก็นั่นล่ะ หล่อนมันความรู้สึกช้าจะตาย จะไปรู้เรื่องอะไร

ชายหนุ่มก้าวยาวๆไปถึงหน้าตึกได้ไม่ทันไร ก็มีเสียงทักมาจากด้านหลัง

“อ้าว คุณวิลเลียม” เสียงทักคล้ายธรรมดา แต่น้ำเสียงแฝงความเย้ยหยัน ทำให้ชายหนุ่มหันไปมอง

“อดิสร” วิลเลียมกัดฟันกรอด เมื่อเจอคู่แข่งตัวฉกาจ

“มาด้วยเหมือนกันเรอะ” ชายหนุ่มรูปร่างสูง แต่เพรียวกว่าวิลเลียมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูก  อดิสรเป็นชายร่างสูงเพรียว ใบหน้าเรียวยาวได้รูป ดูเจ้าสำอางมากกว่าจะเป็นนักธุรกิจเขี้ยวลากดิน

“ผมต้องมาสิ  โครงการคราวนี้ ท่านเจ้าสัวพงษ์ตั้งใจจะยกให้บริษัทผม” ชายหนุ่มลูกครึ่งตะวันตกพูดด้วยท่าทีเป็นต่อและยียวน

“เอาอะไรมาพูด!” อีกฝ่ายกระชากสียง ขณะที่วิลเลียมเอาแต่ยิ้มซื่อ

“อ้าว คุณไม่รู้หรอกเหรอ ว่าคราวนี้เขาล็อกตัวผมไว้แล้ว แค่จัดประมูลพอเป็นพิธีเท่านั้นเอง โธ่! คุณไม่รู้จริงๆน่ะรึ คุณอดิสร” ท้ายประโยคชายหนุ่มลาดเสียงยาวเพื่อบ่งบอกความเห็นใจซึ่งแฝงไปด้วยหนามแหลม

“โกหก! ระดับท่านเจ้าสัว ไม่ทำอย่างนั้นหรอก อย่าเข้าข้างตัวเองนักเลย ไอ้ฝรั่งขี้นก!!” ดวงตาสีน้ำทะเลกรุ่นขึ้นอย่างน่ากลัว หากแต่เขาก็มีสติพอที่จะไม่ผลีผลาม

“รอดูดีกว่ามั้งครับ คุณอดิสร ผมมั่นใจ ว่าบริษัทผมได้แน่...เพราะผม ไม่ได้ทำงานชุ่ยๆให้ลูกค้าเหมือนคนบางคน!” เท่านั้นเอง สติของอดิสรเหมือนจะขาดผึง ฝ่ามือเพรียวขาวจัดจ้ากำแน่น ตั้งท่าจะถลาเข้าหาอีกฝ่าย

ทว่าก่อนที่มันจะได้ทำร้ายวิลเลียม ฝ่ามือคล้ำของใครบางคนก็มาสกัดมันไว้ก่อน

“อ๊ะ อ๊ะ” เสียงห้ามในลำคอของรพิชดังขัด แต่ยังกำข้อมือของอีกฝ่ายไว้แน่น

หล่อนนั่งจ้องตั้งแต่สองคนนี้คุยกันแล้ว และมีความรู้สึกว่า คู่สนทนาของวิลเลียมมีส่วนคล้ายจิ้งจอกชอบกล นั่นคือใบหน้าเพรียว จมูกโด่งแหลม ริมฝีปากบาง ทว่าดวงตาเรียวรี ลูกนัยน์ตาดำสนิทนั้นหลุกหลิก ดูเจ้าเล่ห์และเจ้าสำอาง แถมท่าทางของคนสองคนเหมือนมีประจุไฟฟ้าพุ่งใส่กันอยู่ตลอดเวลา

“แกเป็นใครวะ!” อดิสรกระชากเสียงถาม ไม่สนใจเรื่องภาพพจน์อีกต่อไปแล้ว

“บอดิการ์ดของผม” เสียงทุ้มของวิลเลียมดังขึ้น ทำให้อดิสรมองด้วยใบหน้ายิ้มหยัน

“เหอะ! ตกอับแล้วหรือยังไงครับ คุณวิลเลียม ถึงได้เอาเด็กผอมแห้งแบบนี้มาเป็นบอดิการ์ด”

“ถึงฉันจะแห้ง แต่ก็ทำคุณลงไปจูบพื้นได้...จะลองมั้ยล่ะ” ชายหนุ่มคล้ายจิ้งจอกในความคิดหล่อน ถลึงตาใส่อย่างเกรี้ยวกราด แต่ก็ไม่กล้าทำอะไรไปมากกว่านั้น  ประการแรก ผู้คนรอบข้างเริ่มหันมามอง แม้เขาจะแอบเชื่อว่าโครงการคราวนี้ เจ้าสัวพงษ์อาจล็อคตัวไว้แล้ว แต่เขาก็ไม่อยากมีข่าวไม่ดี ซึ่งอาจทำให้เสียลูกค้าไปได้

ประการที่สอง ชายหนุ่มพยายามขยับข้อมือจากการเกาะกุม ทว่าทำได้ยากเหลือเกิน ประหนึ่งข้อมือเขาถูกประกบแน่นหนาด้วยปลอกเหล็ก

ดูจากรูปการแล้ว เขาเสียเปรียบเห็นๆ อดิสรนึกฉุน

ไม่น่าทิ้งลูกน้องไว้ที่รถเลยเชียว!

“ฝากไว้ก่อนเถอะมึง!” รพิชถอนหายใจ ...เบื่อจริงๆคำนี้ ถ้าขอซื้อลิขสิทธิ์จะได้มั้ยนะ?

“ปล่อยซี่วะ!” อีกฝ่ายตะคอกเสียงต่ำ รพิชจึงปล่อยมือ ด้วยแรงที่ไม่เบานัก

“ถ้าคุณฉลาดพอนะอดิสร อย่าหาเรื่องผมดีกว่า...ลูกน้องผมคนนี้สามารถล้มไอ้ลูกน้องห่วยๆของคุณได้สบาย รายนี้เขาได้เหรียญทั้งมวยไทย เคนโด้ ยูโด อย่าลองจะดีกว่า..” ประโยคนั้นเป็นของวิลเลียมซึ่งต้องการข่มขวัญอดิสร ไม่ให้ทำร้ายทั้งตัวเขาและรพิชในภายหลัง

ขณะที่รพิชทั้งฉุนทั้งขำ

เออ...เข้าใจละ เป็นพี่น้องกันได้ยังไง ปั้นน้ำเป็นตัวเก่งพอกัน!

แม้กีฬาที่พูดมา เขาจะเคยลองเล่นมาทั้งหมด แต่ที่ถนัดจริงๆมีอยู่ไม่กี่อย่าง และไม่ได้เก่งถึงขั้นล้มใครจนหมอบคลาน แค่พอเอาตัวรอดได้  เพราะถึงอย่างไร ความห่างชั้นระหว่างสรีระของหญิงและชายก็ยังเป็นอุปสรรค

“เฮอะ!” เขาทำเสียงอย่างหนึ่งในลำคอ ก่อนจะเดินกระแทกเท้าเข้าตึกไป

“นั่นอดิสร” จู่ๆชายข้างตัวหล่อนก็พูดขึ้น

“คู่แข่งตัวฉกาจของฉัน...มันไม่ได้เก่งอะไรหรอก ถนัดแต่ลอบกัดมากกว่า”

“ค่ะ” หล่อนตอบรับ ไม่เข้าใจว่าเขาจะบอกทำไม

“เจอมันที่ไหน ก็เลี่ยงๆหน่อยแล้วกัน ไอ้นี่มันหมาบ้าแถมพาล ไม่รู้มันจะทำอะไรบ้าๆหรือเปล่า...”

“เธอกลับไปเถอะ เย็นๆให้ไอ้ฉิวมันมารับแทน” เขาหมายถึงเด็กหนุ่มคนสวน ซึ่งพอขับรถได้ แต่ยังไม่คล่องดีนัก

“ค่ะ” รพิชขี้เกียจโต้แย้ง ดีเหมือนกัน หล่อนก็ไม่อยากเจอะเจอไอ้หน้าปลาจวดนั่นเท่าไหร่...คนพรรคนั้น เจอครั้งเดียวก็เกินพอ

รอจนวิลเลียมเดินเข้าตึกไปแล้ว หล่อนจึงเดินกลับเข้าไปในรถ

“คุณๆ” เสียงทุ้มใหญ่แบบผู้ชายเรียกรพิชไว้ หล่อนเผลอหันด้วยสัญชาติญาณ เพิ่งมารู้ว่ามันเป็นความคิดที่ผิดมหันต์!!

“คุณทำนี่ตกไว้แน่ะ” รพิชจ้องชายหนุ่มด้วยสายตาตะลึงค้าง ก่อนจะหันกลับไปอย่างรวดเร็ว

“คุณครับ คุณทำกระเป๋าเงินตกไว้แน่ะ” หล่อนค่อยๆเอียงหน้าไปดู ก็พบว่ามันเป็นกระเป๋าหนังสีดำมันปลาบ แน่นอนว่ามันไม่ใช่ของหญิงสาว อาจจะเป็นของใครสักคน หนึ่งในชายสองคนที่ทะเลาะกันเมื่อครู่

“ขอบคุณค่ะ” หล่อนหันไปคว้ามาพลางเอ่ยขอบคุณและรีบหันกลับมาอย่างว่องไว

บุคคลที่ทำให้หล่อนหวาดกลัว ...บุคคลที่ทำให้หล่อนผวา...บุคคลที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด

รพี!

ชายผู้เป็นบิดาแท้ๆของรพิช  ซึ่งอยู่ในวัยหนุ่มกำลังจ้องมองแผ่นหลังนั้นอย่างสงสัย มันดูคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก

“ผม...คุ้นหน้าคุณจัง เราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่าครับ” แม้จะหวั่นผวา หากริมฝีปากหล่อนก็แย้มออกนิดๆอย่างชิงชัง ปนริษยา

เขาสุภาพเสมอ...กับคนอื่น!

จากหางตา บิดาหล่อนยังเหมือนเดิมแทบทุกอย่าง ยกเว้นใบหน้าที่ดูอ่อนเยาว์ เรือนร่างสูงแข็งแกร่ง ความสง่างามที่ถ่ายทอดมาทางพันธุกรรม จากคุณทวดซึ่งเป็นเจ้าพระยา หรือเรียกอีกอย่างว่าผู้ดีเก่า

ดวงตาสีน้ำตาลนั้น ไม่ได้ดูแข็งกร้าวและไว้ตัวเช่นปัจจุบันที่หล่อนประสบมา  อาจเป็นเพราะบิดาหล่อนเพิ่งก่อร่างสร้างตัว จึงทำให้ต้องอ่อนน้อมเข้าไว้

“เปล่าหรอกค่ะ...ฉันไม่คุ้นหน้าคุณเลย แม้แต่นิด” หล่อนปดคำโต ได้แต่หวังว่าเสร็จเรื่องนี้ ยมบาลจะไม่ใจร้ายส่งหล่อนไปอยู่ขุมนรกชั้นล่างสุดก็แล้วกัน

“คุณจะคุ้นหน้าผมได้ยังไง ในเมื่อคุณยืนหันหลังให้แบบนี้” เขาว่าพลางหัวเราะหึ หึ  รู้สึกคุ้นเคยกับคนตรงหน้าอย่างประหลาด

“ฉันไม่ชอบคุยกับคนแปลกหน้าน่ะค่ะ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวนะคะ” หล่อนเดินกลับขึ้นรถอย่างรวดเร็ว เกินกว่ารพีจะทักท้วง ได้แต่มองตามรถไปด้วยแววตาอ่อนโยนกว่าที่เคย

ผู้หญิงคนนั้น...เขารู้สึกผูกพันกับหล่อนแม้เห็นหน้าแค่แวบเดียว แผ่นหลังกว้างนั้น ชวนให้รู้สึกห่วงใย...มันไม่ใช่ความรู้สึกฉันชู้สาว ทว่าเป็นความรู้สึกประดุจพ่อมีต่อลูกสาว...

รพียิ้มขันให้กับตนเอง  ดูๆภายนอก ผู้หญิงคนนั้นห่างจากเขาแค่ไม่กี่ปี จะมีความรู้สึกแบบนั้นไปได้อย่างไร

สุดท้าย ชายหนุ่มก็ทำแค่ทิ้งความรู้สึกกับผู้หญิงแปลกประหลาดคนนั้นไว้ข้างนอก แล้วก้าวเดินต่อไปด้วยความมุ่งมั่น โดยยึดความรู้สึกที่มีต่อผู้หญิงสองคนที่บ้านเป็นหลักเหนี่ยว...

 

 

 

รพิชขบกรามแน่น ทันทีที่เห็นใบหน้าของคนๆนั้น ความโกรธแค้นและเศร้าโศกก็ปะทุออกมาอย่างห้ามไม่ได้

เขากำลังหลงทาง...รพิชบอกตัวเอง

จุดมุ่งหมายที่เขาเดินทางมาคืออะไร ลืมแล้วหรือ?

ไม่หรอก...ยังไม่ลืม

ต้องกำจัด!

ดวงตาเขาลุกโชนด้วยไฟโทสะ!

รถสีบรอนซ์แล่นฉิวจากอารมณ์ของคนขับ มันแล่นผ่านประตูรั้วเข้ามาอย่างรวดเร็ว

รพิชเปิดประตูออกมา พลางโยนกุญแจให้เด็กฉิวด้วยความเคยชิน

“ไอ้ฉิว ตอนเย็นๆไปรับคุณวิลเลียมด้วย” เขาพูดแค่นั้น โดยไม่หันมามองคู่สนทนาเลยด้วยซ้ำ

ฉิวมองกุญแจด้วยดวงตาฉงนฉงาย

“หยั่งกะมีเจ้านายเพิ่มเลยกู...”

 

“หน้าตาบ่จอยเลยนะพี่” เพียงออทัก หากแต่ดวงตาดุดันทำให้หล่อนเงียบลง พลางมองคนร่างสูงที่ดินลับไปอย่างสงสัย

“ไปกินรังแตนที่ไหนมาวะ”

รพิชเดินมาหยุดอยู่ที่เก๋งจีนใต้ต้นไม้ สายลมแผ่วๆพัดพาความโกรธกรุ่นออกไปจากใจได้...หากพัดพาความเศร้าที่เกาะกุมจิตใจออกไปไม่ได้

เปลือกตาบางปิดลง ภาพในอดีตก็ย้อนเข้ามา

กี่ครั้งแล้ว...ที่ผู้ชายคนนั้นมองด้วยสายตาเหยียดหยาม

หล่อนขอตอบ...นับไม่ถ้วน

กี่ครั้งแล้ว ที่มือคู่นั้นเลยผ่านหล่อนไป อย่างไม่เหลียวแล...

กี่ครั้งกัน ที่อ้อมกอดอบอุ่น หล่อนไม่เคยได้

ในใจบิดา คงมีแต่ “รพัด” ลูกชายผู้นำความรุ่งเรืองมาให้

ยามหล่อนถือกำเนิด กิจการรับเหมาก่อสร้างของบิดา ก็ประสบปัญหาถูกโกงจนเกือบหมดตัว

ยามหล่อนอายุได้หนึ่งขวบ ไซต์งานถูกไฟไหม้

ยามหล่อนอายุได้สองขวบ ลูกค้าโทร.มายกเลิกงานเป็นสิบ

ยามหล่อนอายุได้สามขวบ บริษัทถูกเหตุการณ์ระเบิดเล่นงานเอาจนไม่เหลือซาก

ทุกๆปีที่ถึงวันเกิดของเด็กหญิง รพิช  รัตนกิจรุ่งโรจน์ บริษัทของรพีจะต้องเกิดปัญหาใดไม่ก็ปัญหาหนึ่ง

จวบจนกระทั่ง รพัด น้องชายหลงท้องกว่าสิบปีเกิดตามมา บริษัทได้ลูกค้ากลับมา...

ด้วยเหตุนี้ รพิชจึงเป็นตัวซวย ในขณะที่รพัด คือผู้กอบกู้ ผู้เกิดมาเพื่อค้ำจุนครอบครัว

บิดาหล่อนเคยจะทิ้งหล่อนไว้ข้างถนนด้วยซ้ำ...

ยามหล่อนเจ็บ และโหยหาผู้เป็นพ่อ หล่อนก็ได้แค่ดวงตาสีดำสนิทที่มองดูอย่างเหยียดหมิ่น ในดวงตาเขาสาปแช่งหล่อนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

หล่อนจำวันนั้นได้ไม่ลืม

วันที่ร่างของเธอในวัยห้าขวบ ตกบันไดถึงสิบสองขั้น สองมือชูไหวๆ ร้องไห้หาบิดาที่ยืนอยู่หัวบันได...

“ใครเป็นพ่อแก”

นั่นคือประโยคที่ฝังอยู่ในใจไม่รู้ลืม ดวงตาหล่อนเบิกกว้าง ราวกับจะบันทึกใบหน้าเหยียดหยามกับคำพูดไร้หัวใจ ฝังมันไว้ในความทรงจำ...

“เก๋งจีนบ้านฉัน มันน่าเศร้าขนาดนั้นเลยหรือไง...” รพิชค่อยๆหันไปทางต้นเสียง ก็พบกับใบหน้านวลสว่าง

“ฮื่อ...เศร้ามากๆ” เขาผินหน้ากลับไป เอามือลูบเสาสีน้ำตาลเข้ม

"ไม้พวกนี้...มันจะเต็มใจถูกตัดหรือเปล่านะ? หรือว่าไม่มีใครต้องการมันแล้ว มันจึงต้องมาอยู่ในสภาพนี้...”

น้ำเสียงเขารวดร้าวจนเธอสัมผัสได้  ดวงตาสีน้ำตาลเข้มดูอ่อนแสงลงทุกขณะ คล้ายคนหมดอาลัยในชีวิต

หล่อนมองเขา ก่อนจะพูดขึ้นว่า

“ใครบอกล่ะ ไม้พวกนี้เป็นที่ต้องการมากเลยนะ ฉันมั่นใจ ว่าไม้พวกนี้จะเต็มใจถูกตัด หากร่างกายของมันสามารถสร้างประโยชน์ได้...ในโลกใบนี้ ไม่มีใครถูกทอดทิ้งหรือไม่ต้องการ...เขาก็แค่ ยังหาที่ของตัวเองไม่เจอ...เท่านั้นเอง...”

รพิชมองดวงตาของนภัสรา...มันไม่มีแววประชด แต่มันมีเพียงดวงตาที่แสดงถึงความเข้าใจ...เข้าใจแม้เขาจะไม่พูดอะไรก็ตาม...

“ในเมื่อดื่มด่ำเสร็จแล้วก็ไปกัน” จู่ๆสาวข้างตัวก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงร่าเริง

“เห...??”

“อะไรล่ะ! มายืนชมเก๋งจีนสุดแพงของฉันแล้ว ก็ได้เวลาไปทำงานได้แล้ว คนใช้!!” แก้มขาวกระตุกยิกๆ

“ยายมารร้าย...”

แต่ถึงอย่างนั้น ประกายตาสดใส ก็ทำให้เขาโกรธไม่ลงจริงๆ

 

 

 

“พี่พิงจ๋า” น้องนางบ้านนา เพียงออ เจ้าเดิมเดินแท่ดๆมาเกาะแขนรพิชไว้

“เงินเดือนออกแล้ว ไปตลาดนัดกันนะ”

“เห...?”

ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายของตลาดนัดแผงลอยแบบชั่วคราว ร่างสองร่างยืนนิ่ง

ตลาดนัดที่ว่าจะจัดทุกๆวันศุกร์ ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากบ้านเท่าไหร่ ดินแดงคละคลุ้งแต่ผู้คนก็ไม่เดือดร้อน แผงลอยที่ขายตั้งแต่เนื้อสัตว์ยันกางเกงในตั้งเรียงรายเป็นตับ...ดูวุ่นวายดีจริงๆ

“ไปทางนั้นกันเถอะพี่” ว่าแล้วสาวเจ้าก็ลากแขนเขาไปยังร้านขายเสื้อผ้า หยิบๆจับๆเสื้อยืดตัวใหญ่  ผู้คนที่นี่ ยุคสมัยนี้เขากำลังชมชอบใส่เสื้อผ้าที่ใหญ่กว่าตัวเองหนึ่งเท่า ซึ่งไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน

“ตัวนี้สวยมั้ย พี่” ถ้าถามเขา เขาก็ต้องบอกว่า

“สวยดี” แต่เอาเข้าจริงๆ เพียงออเป็นสาวตัวเล็ก ใส่เสื้อยืดตัวใหญ่แบบนั้นก็น่าหวั่นว่ามันจะไปกองอยู่ที่ข้อเท้า แต่ดูเหมือนสาวเจ้าจะไม่หวั่น พอได้รับคำยืนยันจาหนุ่ม(?)ในดวงใจ ก็ควักเงินซื้อแบบไม่เสียดายกันเลยทีเดียว

“บ้านคุณป่านถือว่าดีนะพี่ ให้เงินเดือนตั้งหนึ่งพันบาทแน่ะ แถมไม่หักอะไรด้วย เพื่อนฉันที่ทำงานที่ซอยถัดไปนะ มันบ่นประจำเรื่องเงินน้อยแถมยังถูกคุณนายเขี้ยวตันหักเงินเป็นว่าเล่น...” หล่อนว่าขณะรอเงินทอน ซึ่งเขาก็ไม่ได้ใส่ใจนัก ตอนนี้สายตาเขาไปหยุดอยู่ที่กางเกงยีนสีดำสนิทตัวหนึ่ง

รพิชหรี่ตามองมัน ก่อนจะถามคนข้างตัว

“ที่ไหน...รับเข้าขากางเกงมั่ง?”

“???”

 

หญิงสาวถือถุงใส่กางเกงยีนสามตัวและเสื้ออีกสามตัว หลังจากยืมของคนอื่นใส่มานาน เขาก็มีเป็นของตัวเองสียที

หลังจากอธิบายให้สาวน้อยฟังตั้งนานว่าการ “เข้าขากางเกง” คืออะไร ก็เล่นเอาเหงื่อตก ลืมไปว่าเป็นศัพท์เฉพาะที่บัญญัติขึ้นเพื่อความมักง่าย

ตอนที่เขานำกางเกงไปให้ที่ร้าน เจ้าของร้านทำหน้างงเล็กน้อย ตอนเขาสั่งให้บีบขากางเกงเข้าด้วยกัน

ก็นะ...มันไม่ใช่แฟชั่นยุคนี้นี่นา

กลับมาถึงห้องพักในตอนเย็นก็จัดการนำเจ้ากางเกงยี่ห้อดังซึ่งปลอมมาเสียแนบเนียน ทำเอาคนซื้อของจริงถึงกับแอบเสียดายเงินเล็กๆ

ถ้ารู้ว่าของปลอมกับของแท้แทบไม่ต่างกันแบบนี้นะ...

รพิชจัดการซักตากเสื้อผ้าที่ซื้อมาแล้วตากตากให้เรียบร้อย

หยิงสาวย่นจมูกเมื่อมองสภาพห้อง

“เงินออกคราวหน้าจะเอามาซื้อฟูก” เขาบ่นพึมพำ ปลอกหมอนกับผ้าห่มนั่น ทำเอาหมดน้ำยาปรับผ้านุ่มไปเป็นถุงกว่ามันจะหอมจนทนนอนได้

เช้าวันต่อมา รพิชตื่นตั้งแต่ตีห้าตามความเคยชิน ทำเอาแม่แอนนี่ตัวคล้ำที่เตรียมกะละมังมาปลุกถึงกับสะบัดหน้าอย่างขัดใจ

“ไม่ได้แอ้มฉันหรอกเธอ!”

หญิงสาวชูกางเกงยืนตัวใหม่ด้วยความรู้สึกคุ้นเคย เมื่อลองสวมมันเข้าไปก็พออกพอใจ มันแนบลำตัวเขาได้พอดี

“วันนี้พี่แต่งตัวแปลกจัง” สาวเพียงออ ทัก เมื่อเห็นรพิชในมาดใหม่ เสื้อ-กางเกงแนบลำตัวสูงพอดิบพอดี สำหรับคนที่เห็นคนใส่เสื้อผ้าตัวใหญ่รุ่มร่ามมาตลอด ก็ถือว่าแปลกตา “มาก”

“เทรนด์ใหม่น่ะ อ้อ” เขาตอบยิ้มๆ

“เอ้า พวกเอ็ง หยุดโม้กันได้แล้ว ...อีอ้อ! ไปปลุกคุณหนูไป” ป้าแช่ม แม่ครัวเก่าแก่ส่งเสียงมาจากหน้าเตา ก่อนจะสั่งสาวน้อย

“โหป้า...ให้คนอื่นไปไม่ได้เหรอ” สาวน้อยเพียงออ ส่งเสียงอ่อยๆ ทำหน้าหวาดกลัว

“เอ๊! อีนี่ เรื่องมาก...กูสั่งให้ไป ก็ไปซีวะ!” เสียงแหบตวาดมาอย่างไม่จริงจังนัก แต่รพิชก็แปลกใจอยู่ดี

“ปลุกทำไมเหรอป้า ปกติก็เห็น ยาย...เอ่อ คุณหนูตื่นเองได้นี่”

“บ๊ะ! เอ็งนี่ ก็วันนี้มันวันเปิดเทอม ขืนไม่ปลุก คุณหนูได้ไป หมาลัยสายพอดี”

“มหาลัยจ้ะป้า ไม่ใช่ หมา-ลัย” สาวเพียงออ แก้ให้เสียงอ่อย

“เออๆ นั่นล่ะ เหมือนกัน”

“แล้วอ้อ ทำไมไม่ปลุกล่ะ กลัวอะไรนักหนา” คราวนี้มาถึงตาเพียงออ ดูเหมือนเจ้าหล่อนจะคันปากอยากเล่าอยู่แล้ว พอเขาหันมาก็เล่าทันทีแบบไม่อิดออด

“โหยพี่! ปลุกคุณหนูเนี่ยนะ ให้หนูไปเหยียบกับระเบิดยังมีโอกาสปลอดภัยกว่าเลย...” รพิชขมวดคิ้วส่งยิ้มให้สาวน้อย

“ขนาดนั้นเชียว” เพียงออเห็นเขาทำท่าไม่เชื่อก็เต้นผาง ตบโต๊ะปึงปังจนยายแช่มตวาดว้ากจึงหยุด แต่ก็ป้องปากกระซิบว่า

“ใครๆก็รู้ ถ้าใครไปปลุกคุณหนูโดยที่เธอไม่เต็มใจตื่นล่ะก็...ระเบิดลง! เธอจะว้ากลั่น ปาข้าวของจนหนีหัวซุกหัวซุนเชียวล่ะ ขึ้นไปทีไร เสียงร้องว้ากดังลั่นบ้านทุกที ไอ้พวกที่ไปปลุกอย่างน้อยต้องได้แผลมาสองสามแผล จนตอนนี้ เอือมหน้าที่นี้กันหมด”

“มัวแต่คุย อีอ้อ! ไป ไปปลุกคุณหนู!”สาวน้อยเบ้ปาก ตอบกลับอย่างหมั่นไส้

“แล้วทำไม ป้าไม่ไปปลุกเองเล่า” ฝ่ายนั้นเงียบไปพักหนึ่งก่อนว่า

“ข้าต้องอยู่ทำครัวโว้ย!”

“ฉันก็ต้องอยู่เด็ดผักให้ป้าเหมือนกันแหล่ะ!”

“ของแบบนั้นให้ไอ้พิงมันทำแทนก็ได้” คราวนี้ป้าแช่มแย้มหน้ามา หน้าตาถมึงทึง

“เออ...” เพียงออลากเสียงยาว หันมามองเขาอย่างมาดหมาย

 

หญิงสาวยืนหน้าปั้นยากอยู่หน้าห้องนอนของนภัสรา

จริงสิ...พี่พิงทำแทนก็ได้นี่’ สาวน้อยยิ้มเย็น ชวนให้เสียวสันหลัง

เด็ดผักเหรอ? ก็ได้อยู่’ แต่ลางสังหรณ์เต้นเร่าๆว่าไม่ใช่

ไหนๆพี่ก็เพิ่งมา ...ไปโดนรับน้องหน่อยเป็นไร’

‘!!!’

“เฮ้อ...อะไรของชีวิตฉันวะเนี่ย” ปากอิ่มพึมพำอย่างจนใจ ตาก็มองประตูสีขาวที่สลักเสลาลวดลายสวยงาม ก่อนจะลงมือเคาะประตู

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เงียบ....

เขาเงี่ยหูแนบประตูเพื่อฟังเสียงความเคลื่อนไหว

ซึ่งภายในนั้นก็มีเพียงเสียงครวญของเครื่องปรับอากาศมหึมาซึ่งเขาเคยเห็นในเมื่อหลายวันก่อน

ฝ่ามือได้รูปเหลี่ยมจับลูกบิดเย็นเฉียบแล้วลองหมุน

กึก!

เขารับรู้ว่ามันไม่ได้ล็อค แต่ก็ต้องสูดลมหายใจรวบรวมความกล้าก่อนจะชะโงกหน้าเข้าไปในห้อง

สัมผัสแรกคือความหนาวเย็น

“อย่างกับห้องดับจิต” เขาบ่น

บรรยากาศ ภายในนั้นมืดทึมเพราะผ้าม่านกำมะหยี่สีแดงที่ดูหนักนั้นทิ้งตัวลงมาปิดกระจกระเบียงทั้งหมด รวมถึงเครื่องปรับอากาศที่ทำดีเกินหน้าที่ ทำให้ที่นี่ไม่ต่างอะไรกับห้องดับจิตอย่างที่เขาค่อนเมื่อครู่ทีเดียว

ร่างสูงค่อยๆย่ำไปบนพื้นพรม ทั้งๆที่ต่อให้วิ่งก็คงไม่มีเสียง  ภายใต้ความสลัวมีร่างหนึ่งนอนหงาย หลับตาพริ้มอย่างมีความสุข ไม่สำเหนียกว่ามีใครอีกคนกำลังย่องเข้ามาใกล้เตียง

รพิชยืนเท้าสะเอวมอง “คุณหนู” ด้วยใบหน้าเหนื่อยหน่าย

ไอ้การตื่นแต่เช้านั่งดูเขาถูกทารุณนี่...เพื่อความสะใจใช่ไหม??

วันแรกๆที่รพิชมาอยู่ที่นี่ สองนายบ่าวคู่นี้ปลุกเขาตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่ เรียกให้มาทำโน่นทำนี่แบบไม่เกรงใจ  สรุปว่าทั้งหมดเจ้าหล่อนแค่อยากรังแกเขาเท่านั้นเอง!

พอเวลาผ่านไป ก็กลับมานอนหลับอุตุตื่นสายเหมือนเดิม...

รพิชเอามือลง ก่อนค่อยๆยื่นมือไปเข่าไหล่นุ่มนิ่ม

“คุณ...นี่คุณ”

เงียบกริบ...

“คุณป่าน! ตื่น!” เขาเพิ่มระดับเสียงและความรุนแรงของการเขย่า แต่เจ้าหล่อนก็ยังเงียบสนิทได้อย่างน่าชมเชย

“โธ่เว้ย! ยายติงต๊อง! ตื่นนะ ตื่นซี่เธอ! “ คราวนี้เขาทิ้งตัวลงบนเตียงและเขย่าหล่อนอย่างเอาเป็นเอาตาย

“โว้ย!” เสียงเล็กๆนั้นส่งออกมาพร้อมฝ่ามือบอบบางทว่าหนักแน่น ทิ้งมันลงบนใบหน้ารพิช ก่อนที่เจ้าตัวจะหันตะแคงข้าง

“เธอ...!” หากนี่เป็นการ์ตูน เชื่อได้ว่าดวงตาเรียวสีเข้มจะต้องเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มพร้อมไฟลุกวาบๆอย่างแน่แท้ 

ร่างสูงกระโดดขึ้นคร่อมร่างบอบางนั้น แล้วเอามือเขย่าตัวหล่อนอย่างบ้าคลั่ง

“ตื่นๆๆๆๆ! ตื่นเดี๋ยวนี้นะ ตี่นนนน!!” เขายื่นหน้าไปใกล้ใบหูแล้วตะโกนใส่แบบไม่เกรงใจ

“อ๊ายยย” เสียงกรีดร้องในลำคอดังขึ้น พร้อมกับดวงตากลมโตลืมขึ้น

“เฮ้ย!/ เฮ้ย!” เฮ้ย แรก เป็นของนภัสรา เมื่อลืมตามาแล้วเห็นสิ่งแปลกปลอมคร่อมตัวเองอยู่ ส่วนเฮ้ย หลังเป็นของรพิช ที่จู่ๆร่างสูงของตัวเองก็ลอยละลิ่วตกเตียง พร้อมความเจ็บจุกหน่วงๆที่ช่วงท้อง

“โอย...ยายบ้า!” เขาสบถ เอามือนวดคลึงบริเวณที่ถูกถีบ ตาก็มองตัวต้นเหตุที่บัดนี้ลุกมานั่งยองๆมองเขา

“ยังจะมาทำหน้าแบบนั้นอีก!”

“แล้วใครใช้ให้เธอขึ้นคร่อมฉันแบบนั้น หา?” นภัสราย่นจมูกโด่งแข็งแรงจนยู่ยี่

“ฉันปลุกดีๆ เธอก็ไม่ตื่น ฮึ๊บ” หญิงสาวพยุงตัวเองลุกขึ้นมา เอามือกุมท้องไว้ พลางเดินมาหาคนที่นั่งอยู่ปลายเตียง

“ไปอาบน้ำซะ!” นภัสราทำหน้าเคร่งเมื่อเห็นหน้าของอีกคน

“อย่ามาสั่งฉันนะ!”

หมายเหตุ* คนกรุ๊ปบี เป็นพวกดันทุรัง สั่งให้ทำไอ้นั่น จะทำไอ้นี่ หรือทุ่มเทอะไรอยู่ดีๆ พอมีคนมาออกคำสั่ง จะออกอาการติสต์แตก!

“ไป- อาบ-น้ำ!!” เขาโน้มหน้าลงมา ทำหน้ายักษ์ใส่หล่อน

“ไม่!!” ฝั่งนั้นก็ยื่นหน้ามาตะคอกใส่ทำหน้ายักษ์ไม่แพ้กัน

“ไม่ใช่ไหม?”

“ยังไงก็ไม่มีทาง”

“..........”

“กรี๊ดดดด” เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นห้องมาจากร่างบางที่ถูกหิ้วขึ้นพาดบ่า

“ปล่อยช้านนน!” หล่อนหวีดร้องอีก ขณะที่รพิชเดินตรงเข้าห้องน้ำ เปิดน้ำมันทุกก๊อก แล้วโยนหญิงสาวลงไปในอ่างอาบน้ำอย่างไม่ใยดี

“อุ๊ก!” หญิงสาวร้องอุทานเมื่อรู้สึกว่าก้นกบกระแทกกับพื้นอ่าง รู้สึกได้ถึงน้ำตาที่คลออยู่ตรงหน่วยตาทันที

“ทำอะไรของทะ...อ๊ายยย!” น้ำเย็นเฉียบปล่อยออกมาจากฝักบัวกระทบร่างหล่อนในชุดนอนจนเปียกชุ่ม

“ให้เวลาสิบห้านาที อาบน้ำให้เสร็จ...ไม่อย่างนั้นฉันจะมาช่วยอาบ!” เขาสั่งเสียงเข้ม เอามือไขว้หลัง ทำหน้าดุดัน ขณะที่นภัสราตาเหลือก ทำท่าอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง

“อ้อ! อีกสิบนาทีสำหรับแต่งตัว ฉันขึ้นมาทุกอย่างต้องเรียบร้อย....ไม่อย่างนั้น” รพิชชะโงกห้นาลงมาจ้อง จนสาวหน้าหวานคอหด เกรงกับระยะที่ใกล้จนเกินพอดี

“ก็ไปทั้งๆที่แก้ผ้า!!”

ปัง!

ร่างสูงเดินออกไปแล้ว ทิ้งไว้แค่ร่างไร้วิญญาณของหญิงสาว ก่อนที่....

“กรี๊ดดดดด” นภัสราร้องโหยหวนอย่างขัดใจ ทว่า...

“กรี๊ดให้พอใจ แต่ถ้าอีกยี่สิบห้านาทีเธอไม่เสร็จ ...เธอโดนดีแน่!!”

คนบ้า!

 

 

 

 

 

รพิชเดินออกจากห้องนอนของนายจ้างสาวพลางปาดเหงื่อและหยดน้ำออกจากใบหน้า นึกในใจว่าโชคดีเหลือเกินที่             วิลเลียมมีประชุมแต่เช้า จึงออกไปเตรียมงานก่อน ไม่อย่างนั้นคงมีรายการซักถามถึงเสียงร้องกันยาว

“เฮ้ย! พี่พิง ให้ไปปลุกคุณหนู แล้วไปทำอะไรกันนี่ ถึงได้เปียกแบบนี้” เพียงออเดินเร็วๆมาหาเขา พลางจับชายเสื้อที่เปียกแฉะขึ้นดู

“นั่นสิ แล้วเสียงร้อง?” รพิชกรอกตาขึ้นนิดหนึ่ง

“ฤทธิ์เดชคุณหนู” เขาบอกไปแค่นี้ทุกคนก็ทำหน้าเข้าใจ

“เธอเลยเอาน้ำสาดพี่ใช่มั้ย? ไม่เป็นไรนะที่พี่โดนน่ะ มันเบาะๆ...”

“พี่จับเธอโยนลงอ่างอาบน้ำ” แค่ประโยคนั้น ทำเอาป้าแช่มหยุดตำน้ำพริก เพียงออหยุดทำหน้าเห็นใจ สาวใช้อีกสี่ห้าคนหยุดเด็ดผักและหั่นเนื้อ...ทุกคนหยุด..สตั้น 10 วิ.

“ฮ่าๆ เข้าใจล้อเล่นนะพี่ แหม...แค่โดนสาดน้ำไม่เห็นต้องอาย...” รพิชไม่สนใจ กลับเดินไปที่ประตูหลังแล้วตะโกนลั่น

“ไอ้ฉิว เตรียมรถเว้ย! อีกยี่สิบนาทีคุณหนูจะไปเรียน...”

ทั้งหมดมองหน้ากัน

“พี่ ยี่สิบนาทีนี่หมายความว่ายังไง นี่คุณหนูเธอตื่นอยู่แล้วหรือ?” ยิ่งฟังก็ยิ่งไม่เข้าใจ จะเป็นไปได้อย่างไรแค่ยี่สิบนาที ในเมื่อคุณหนูของพวกเธอกว่าจะอาบน้ำ ประทินผิว ดัดผม แต่งตัว ทั้งหมดก็กินเวลาไปสามชั่วโมงถ้าไม่ตื่นอยู่ก่อนและอาบน้ำเสร็จแล้ว คงไม่มีทางทันแน่นอน

“เปล่า พี่ไปปลุก”

“งั้นเป็นไปไม่ได้หรอกพี่ อย่างคุณหนู อาบน้ำแต่งตัวแค่ยี่สิบนาที” สาวน้อยว่าพลางโบกมืออย่างขำๆ

“พี่ก็ไม่ได้หวังไว้ขนาดนั้นหรอก พี่ไม่ค่อยเคร่งเรื่องนี้...พี่เพียงแต่พูดว่า ถ้าอีกยี่สิบห้านาทีพี่ขึ้นไปแล้วยังไม่เสร็จ...ก็ให้ไปทั้งๆแก้ผ้านั่นแหล่ะ!” งานนี้ทุกคน รวมถึงไอ้ฉิวที่อยู่ในระยะได้ยินก็สตั้น...รพิชไม่สนใจ เดินไปทำอย่างอื่นต่อ เพราะไม่รู้เมื่อไหร่ สิ่งมีชีวิตที่อยู่ตรงนี้จะกลับมาเคลื่อนไหว...

 

 

 

 

 

 

“คนบ้า! คนบ้าๆๆ” นภัสรากรีดร้องอย่างหงุดหงิด พอเขาออกไปแล้ว หล่อนก็กระวีกระวาดอาบน้ำแบบเร็วสุดชีวิต เฉียดฉิวสิบห้านาที แต่พออาบน้ำเสร็จจึงนึกขึ้นได้ ว่าทำไมต้องกลัวคนใช้บ้านตัวเองด้วย  หญิงสาวจึงมานั่งทาโลชั่นยี่ห้อดังจากฝรั่งเศสอย่างกระแทกกระทั้น ทั้งเนื้อทั้งตัวมีเพียงชุดชั้นใน

“คิดว่าฉันกลัวหล่อนหรือยะ? เฮอะ! ไม่มีทาง ไม่มีทางๆ” ยิ่งว่าก็ยิ่งแค้น นภัสราจึงเพิ่มดีกรีการถูให้แรงขึ้น นาฬิกาบ่งบอกเวลาที่เขาใกล้จะมา แต่เธอก็ไม่สนใจ

ปัง!

เสียงเปิดและปิดประตูทำเอาเธอสะดุ้งเฮือก เงาสีดำทะมึน พาดทับเด่นชัด

“หมดเวลา” เสียงแหบครางต่ำ หล่อนหันไปมอง

รพิชในชุดใหม่ยืนจังก้า มองหล่อนในชุดชั้นในตาวาว ก่อนจะสาวเท้ายาวๆเข้ามา

“กรี๊ดด ไอ้บ้า! ทำอะไร!” หล่อนหวีดร้องเมื่อเขาเข้ามากระชากข้อมือ

“ไปเรียน!”

“บ้าเหรอ! ฉันยังแต่งตัวไม่เสร็จเลยนะ เห็นไหม!” ไม่เห็นก็ต้องเห็น ก็หน้าอกหน้าใจแม่คุณทะลักออกอย่างนั้น รพิชส่ายหัว

“ก่อนออกไปฉันบอกว่าไง? ให้เวลายี่สิบห้านาทีอาบน้ำแต่งตัวให้เสร็จ ถ้าไม่เสร็จ ก็ไปมันทั้งอย่างนี้!” ว่าแล้วก็ออกแรงลากต่อ

“กรี๊ดดด จะบ้าเหรอ! ออกไปทั้งอย่างนี้ได้ยังไงไ?” ขืนออกไปแบบนี้ หล่อนคงไม่มีหน้าไปเจอใครที่ไหนอีก

“จะไปรู้คุณเหรอ เห็นนั่งเอ้อระเหย เลยนึกว่าเตรียมใจไว้แล้วว่าจะออกไปโดยมีแค่ชุดชั้นในแบบนี้!” เขากระชากต่อ ส่วนนภัสราเริ่มใจเสียเมื่อเห็นว่าเขาเอาจริง และตอนนี้ ตัวเธอก็จะออกมานอกห้องอยู่รอมร่อแล้ว

“โอ๊ย! ก็ได้ๆ ขอเวลาฉันแป๊บนะ ขอฉันแต่งตัว แป๊บเดียว...แป๊บเดียวจริงๆ” หล่อนขอร้องเขา ทำหน้าอ้อนวอนสุดชีวิต โดยขืนตัวไปพลางๆ

รพิชหันมาแสยะยิ้ม

“เสียใจคนสวย...หมดเวลาแล้ว”

“กรี๊ดดดด!! ม่ายยยย!”

 

 

 

 

 

หลังจากดูคนกรีดร้องจนหนำใจ รพิชก็ลากหล่อนกลับเข้ามาที่เดิม เดินไปที่ตู้เสื้อผ้า หยิบชุดนักศึกษาออกมา

“ยืนขึ้น!” นภัสราทำหน้าระแวง

“ทำไม” นาทีนี้ หล่อนไม่กล้าตะคอก เพราะรู้ว่าเขาเอาจริง

“ยืน! ฉันจะใส่เสื้อผ้าให้!

“บ้าเหรอ! ฉันใส่เองได้ เอามา!” พอหล่อนทำท่าจะคว้า เขาก็ยกชุดขึ้นสูงเป็นการหลีกหนี

“ไม่! ให้เธอแต่งเอง ชาตินี้ก็ไปไม่ทัน ลุกขึ้น ...อย่าอืดอาด ลุก!” ร่างสูงโปร่งลุกขึ้นอย่างจำใจ

“กางแขน!” เขาสั่ง เหมือนกับครูฝึกในค่ายทหาร ทำให้นภัสรากางแขนออก เจ้าตัวแทบหลั่งน้ำตา เมื่อตัวเองเสียท่าแบบหมดรูปในวันนี้

รพิชใสเสื้อผ้าให้คนตรงหน้าอย่างรวดเร็ว แต่ก็แอบสอดสายตาไปด้วย...ยอมรับอย่างจำใจ ว่านภัสรามีหุ่นแบบที่ผู้หญิงทั่วโลกอยากได้

ส่วนสูงร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตร ไม่มากไม่น้อย ไหล่ผึ่งผายแบบชาติตะวันตก ให้เขาเดา...หล่อนคงว่ายน้ำด้วย ช่วงไหล่จึงผึ่งผายเช่นนี้

ทรวงอกของหล่อนเคร่งครัดพอดีตัว ออกจะมากไปด้วยซ้ำ เอวของหล่อนคอดกิ่วแต่ไม่ผอมแห้งแบบนางแบบหรือสาวๆยุคสมัยเขา ไหนจะท่อนขาเรียวสลักเสลานั่นอีก...พระเจ้าลำเอียงเกินไป เกินไปจริงๆ...

“เสร็จ!” เขาร้องบอก พลางมองดูนาฬิกาที่ฝาผนัง

ริมฝีปากอิ่มสีชมพูจัดยิ้มน้อยๆ...เขากะเวลาไว้พอดี...เขารู้ว่าอย่างไร แม่เสือสาวก็ต้องทำฤทธิ์ จึงเผื่อเวลาปราบฤทธิ์ไว้ถม...

รพิชเดินไปหิ้วรองเท้าแล้วโยนลงตรงหน้าอย่างไร้พิธี

นภัสราเม้มปากแน่น ไม่พอใจกับกิริยาเหมือนหล่อนเป็นคนใต้อาณัติเขา

“ไม่เอาคู่นี้!” รพิชพ่นลมหายใจหนักๆ...ขนาดนี้ ยังมิวายสำแดงเดช

“อย่าเรื่องมาก! ไม่อย่างนั้นจะให้เดินเท้าเปล่า!”

เท่านั้นเอง หล่อนก็หมดพิษสงไปโดยปริยาย ใส่รองเท้าแล้วเดินตามเขาลงมาเงียบๆ แบบหน้าง้ำหน้างอ

“ไปกันแล้วหรือคะ คุณหนูรับข้าวเช้าก่อนไหมคะ” ป้าแช่มเอ่ยถาม เมื่อเห็นสองร่างเดินตามกันมา

เออเว้ย! ลงมาจริงๆด้วย!

คนถูกถามตั้งท่าจะตอบ แต่คนเผด็จการตรงหน้าหล่อน กลับตอบให้เองเสร็จสรรพ

“ไม่ละป้า สายแล้ว” เขาว่า ก่อนจะส่งสายตาให้หล่อนรีบๆเดิน

นภัสราเดินตามอย่างหมดท่า  นาทีนี้ขอคารวะ ไม่รู้ว่าเขาจะมีลูกเล่นบ้าๆอะไรมาอีกไหม เพราะฉะนั้น...หล่อนขอไร้พิษสงชั่วคราว!!

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา