ฝุ่น(Yuri)
เขียนโดย silent
วันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2557 เวลา 01.23 น.
แก้ไขเมื่อ 16 เมษายน พ.ศ. 2557 04.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) สถานะใหม่
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 1
สถานะใหม่
“ไอ้เด็กเวร! ฉันไม่น่าให้แกเกิดมาเลย! เกิดมาก็ดีแต่ทำให้เดือดร้อน ซวยจริงๆที่แกเกิดมา ซวย! ซวย! ทำไมนะ ทำไม แกถึงไม่เคยมีเรื่องดีๆให้ฉันดีใจกับเขาเลย! ...” เสียงเอ็ดตะโรดังลั่นไปทั่วบ้าน ใบหน้าถมึงทึงกำลังมองดูร่างสูงสมส่วนด้วยแววตาเกลียดชัง
“ไปเลยนะ...ไป ออกไปจากบ้านฉัน!” เด็กสาวมองใบหน้าผู้กำลังชี้หน้าเขาอยู่ ดวงตาเรียวที่ถอดกันมากำลังจ้องประสานกัน ดวงตาทั่งสองคู่มีแต่ความเคียดแค้นคล้ายๆกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ดวงตาอีกคู่หนึ่งไม่มี คือความอ่อนล้า และ เจ็บปวด
ร่างสูงลุกพรวด แล้ววิ่งผ่านหน้าชายผู้กำลังโมโหขึ้งอย่างรวดเร็ว
“พิง...หนูจะไปไหนลูก” เขาไม่หยุดมองผู้เป็นมารดา กลับก้มหน้าก้มตา วิ่งพรวดพราดออกไป
รอยแดงที่ข้างแก้มเด่นชัด หญิงสาวปาดน้ำใสๆที่คลออยู่ที่หน่วยตา...ตั้งแต่เกิดมา เขาได้ยินคำพูดทำนองนี้มานับไม่ถ้วน
“ไม่น่าเกิดหรือ ไม่น่าเกิด...” รพิชพึมพำประโยคนั้นไปมา
“ถ้าหากว่าฉัน...”
“เธอ! นี่เธอ” เสียงใสไม่คุ้นหู ดังขึ้นรอบๆกาย ภาพผู้คนและท้องถนนบิดเบี้ยวละลายหายไป เสียงนั้นยังคงก้องอยู่
“เธอ ได้ยินไหม” แสงสว่างจ้าลอดเข้ามา รพิชอยากจะหยีตา แต่ก็ทำไม่ได้ มันอ่อนล้าไปหมด
“น้ำ...” เขาจำได้ว่ากระโดดน้ำ
“อะไร้ โดดน้ำไปแล้ว ยังจะอยากกินน้ำอีกเรอะ” น้ำเสียงเย้ยหยันดังขึ้นข้างหู...มันช่างน่ารำคาญเสียจริง
รพิชฝืนใจลืมตาขึ้น เห็นใบหน้าหนึ่งลอยวนอยู่รอบ ใบหน้าดำเมี่ยม ถมึงทึงจ้องมาจนชิด
“เฮ้ย!” หญิงสาวร้องลั่นด้วยความตกใจ สมองสั่งให้ร่างกายถอยกรูด ห่างจากสิ่งน่าผวา จนได้เห็นว่าไม่ได้มีแค่คนหน้าดำและเขาเท่านั้น
“ฟื้นแล้วนี่” น้ำเสียงคุ้นหูที่เรียกเขาดังขึ้นอีกครั้ง หญิงสาวหันไปมอง ใจก็เต้นรัวขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ
“คุณ...” ดวงหน้าเรียวแบบนี้ ดวงตากลมโตแบบนี้ ริมฝีปากอวบอิ่ม และจมูกโด่งตรง ช่างคุ้นจริงๆ แต่นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน
“พวกโรคจิตแกล้งโดดน้ำเรียกความสนใจหรือเปล่าคะ คุณป่าน” ผู้หญิงหน้าดำหันไปถามผู้หญิงหน้าขาว...แสนสวย
“บ้าเหรอ พี่แอนนี่ ใครมันจะไปบ้าขนาดนั้น” เสียงนุ่มหวานเอ่ยกับผู้หญิงหน้าดำ
ชื่อแอนนี่?...แหว่ะ
“นึกยังไง ถึงได้มากระโดดน้ำเล่น” ผู้หญิงหน้าดำ...แอนนี่ เอ่ยถามด้วยสายตาหรี่ระแวง
แม้ว่ารพิชจะยังเวียนหัว แต่ก็อดจะหมั่นไส้ไม่ได้
“ร้อน!” แอนนี่สะอึก มองหน้าขาวสว่างของอีกฝ่ายด้วยสายตากินเลือดกินเนื้อ
“เอาเถอะๆ ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว...ว่าแต่บ้านคุณอยู่ไหน เดี๋ยวฉันจะไปส่ง” รพิชเงยหน้ามองหญิงสาวหน้าขาวกว่าคนข้างๆด้วยแววตาแปลกใจ...คนกรุงเทพฯหัดหยุดความรีบร้อนมามีน้ำใจช่วยเหลือคนอื่นตั้งแต่เทื่อไหร่กัน
“ไม่เป็นไรหรอก เดี่ยวฉันนั่งแท็กซี่ไปเองก็ได้...” ว่าพลางคลำหากระเป๋าตัง พลันคิ้วเข้มก็ขมวดมุ่น เมื่อคลำหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอเสียที
“กระเป๋าฉัน...” หญิงสาวสองคนมองนั่งมองรพิชค้นคลำกระเป๋าอย่างร้อนรน ก่อนที่อีกคนจะเอ่ยขึ้นว่า
“มันคงตกหายไป ระหว่างที่คุณจมน้ำน่ะ” แอนนี่พยักหน้าเป็นลูกคู่หงึกหงัก
รพิชหน้าม้าน กระเป๋าเงินก็หาย แถมยังปฏิเสธไม่ให้เขาไปส่ง...สงสัยคงต้องเดินกลับบ้านเองเสียแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นฉันก็...ขอบคุณมากนะที่ช่วยเอาไว้” รพิชเพิ่งสังเกตว่ามีคนอีกสองสามคนที่ยืนหน้าสลอนอยู่ และตัวเปียกโชก คาดว่าคงเป็นเหล่าผู้คนที่ลงไปช่วยเธอไว้
“แล้วคุณจะกลับบ้านยังไงล่ะ” หญิงสาวสวยถาม รพิชนั่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบ
“อ้อ! ฉันนั่งรถเมล์ฟรีไปก็ได้” ทันทีที่รพิชพูดจบ ผู้คนเหล่านั้นก็มองหน้ากันเหรอหรา
“รถเมล์ที่ไหนเขาฟรีกันล่ะคู๊ณ ไม่มีหรอก”ชายคนหนึ่งที่ตัวเปียก พูดขึ้น พร้อมกับมองเธออย่างแปลกใจ
“หือ ไม่มีได้ยังไง รัฐบาลยกเลิกไปแล้วเหรอ?” คราวนี้เป็นรพิชที่เหวอ...เอ เพิ่งนั่งไปเมื่อสองสามวันก่อน วันนี้มันยกเลิกไปแล้วเรอะ?
“ไม่มียกเลิก แต่มันไม่มีมาแต่แรกแล้วต่างหาก” ผู้ชายอีกคนที่ตัวเปียกพอๆกันพูด ทำเอารพิชถึงกับนั่งงง
“แล้วตกลงคุณจะกลับบ้านยังไง” ผู้หญิงหน้าขาวที่สวยๆ ยังคงถาม
“เดิน” รพิชตอบสั้นๆ
“คุณจะเดินกลับทั้งๆที่ตัวเปียกอย่างนี้น่ะเหรอ...บ้านคุณอยู่แถวนี้หรือไง”
“บ้านฉันอยู่ที่...” รพิชบอกชื่อย่านนั้นไป ทำเอาทั้งสองเบิกตากว้าง
“มันคนละมุมเมืองเลยนะคุณ ขืนเดินคงเท้าฉีกกันพอดี ให้ฉันไปส่งเถอะ”
“นั่นสิ จะเล่นตัวทำไมนักหนา” แม่แอนนี่ตัวดำเมี่ยมพูดแล้วเบ้ปาก แต่ก็ทำให้รพิชคิดได้...เขาจะเล่นตัวทำไมกันล่ะ มีคนอาสาไปส่งให้ถึงที่
“ก็ได้”
เพราะประโยคนั้นทำให้รพิชขึ้นมานั่งเด่นเป็นสง่าอยู่บนรถยนต์ของสาวสวย
“พ้นข้างหน้านี้ก็เลี้ยวเลยค่ะ” รพิชชี้ไปทางสามแยกที่กำลังจะถึง เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึก...แปลกๆ แต่บอกไม่ถูกว่าเป็นเพราะอะไร แต่มันดูแปลกตาพิกล
“หลังนี้แหล่ะ” เธอชี้ไปที่บ้านหลังใหญ่ใหม่เอี่ยม ก่อนจะเดินลงจากรถทันทีที่มันจอดสนิท
รพิชยืนกดกริ่งอยู่ครู่ก็มีคนมาเปิดให้ แต่เธอก็ต้องแปลกใจเมื่อคนที่มาเปิด คือมารดาของเธอเอง...แถมยังดูอ่อนเยาว์กว่าปกติ
“มาหาใครคะคุณ?” หญิงสาวถึงกับอึ้งเมื่อฟังคำถาม หรือว่าแสงไฟมันส่องมาไม่พอ ถึงทำให้มารดาไม่เห็นหน้าเธอชัดเจน
“แม่คะ พิงเอง” หล่อนขยับตัวไปเกาะรั้วบ้าน เพื่อให้มารดาเธอเห็นหน้าชัดๆ
“อะไรกันคุณ ใครเป็นแม่คุณคะ?” คุณนิตยาผงะออก ราวกับคนที่ยืนอยู่เป็นมิจฉาชีพอันตรายอย่างไรอย่างนั้น
“แม่ แม่พูดเรื่องอะไร หนูพิง รพิชลูกแม่ไง อย่าบอกนะว่าแม่จำหนูไม่ได้” รพิชผวาเกาะรั้วแน่น เริ่มรู้สึกใจไม่ดี สังหรณ์แปลกๆเต้นเร่าในร่างกาย...อะไรหนอที่ค้างใจเธอมาตั้งแต่ที่สะพาน...อะไรกัน
“ใช่ ฉันมีลูกชื่อ พิง รพิช แต่ว่าเขาน่ะ” หล่อนเดินไปคว้าตัวเด็กน้อยตาโตคนหนึ่งที่กำลังนั่งเล่นนั่นนี่อยู่หน้าชานบ้านไว้
“เพิ่งสามขวบ!” หญิงสาวมองใบหน้าขาวน่ารักด้วยความตื่นตะลึง...หล่อนไม่อาจปฏิเสธได้ว่านั่นไม่ใช่หล่อนสมัยเด็ก...แต่นี่มันเกิดอะไรขึ้นหนอ
“จะมาแอบอ้างอะไร หัดดูให้มันดีๆหน่อย คนสมัยนี้ เป็นกันได้ถึงขนาดนี้เลยหรือนี่” ว่าแล้วคุณนิตยาก็หอบหิ้วเด็กน้อย...หล่อนสมัยเด็กเข้าบ้านไป พลางมองหล่อนอย่างหวั่นกลัว
รพิชทิ้งตัวลงนั่งข้างรั้วอย่างหมดแรง...นี่มันเรื่องอะไรกัน
ท่ามกลางความหนาวเหน็บของอากาศและจิตใจ ซึ่งพาให้ร่างสูงสมส่วนสั่นระรัว ความอบอุ่นแผ่ซ่านอยู่ที่ไหล่ ทำให้หล่อนหันไปมอง
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ” แสงไฟสีส้มจากข้างทางสาดกระทบซีกหน้างดงาม กับรอยยิ้มอ่อนโยน มันทำให้รพิชรู้สึกดีอย่างประหลาด...อย่างน้อยหล่อนก็ไม่ได้ตัวคนเดียว
รพิชมองใบหน้าตลอดจนทั้งร่างของหญิงสาวพลันหล่อนก็ฉุกคิด พลั้งปากถามอะไรเพี้ยนๆออกไป
“ปีนี้...มันปี พ.ศ. ที่เท่าไหร่เหรอคะ?” หญิงสาวคนนั้นทำหน้าแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ยอมบอกแต่โดยดี
“ปีนี้ ก็ปี2533ไงคะ!”
ดวงตาเรียวเบิกกว้าง...
พระเจ้าช่วย!
“คุณ...ล้อฉันเล่นหรือเปล่า” คราวนี้เป็นทีของหญิงสาวแปลกหน้าที่ต้องขมวดคิ้วงุนงง
“ฉันจะล้อคุณเล่นไปทำไมคะ นี่ปี 2533...คุณพูดเหมือนกับว่า ปีนี้ไม่ใช่พ.ศ.นี้อย่างนั้นแหล่ะ”
“ไม่...ไม่จริง” รพิชพึมพำแผ่วเบา ...นี่คงเป็นเรื่องล้อเล่น
“นี่มัน...” เรื่องอะไรกัน!
“อ๊ะ! มีคนมา” หญิงสาวแปลกหน้าเอ่ยอุทาน เมื่อเห็นแสงไฟสาดส่องมาอีกทางหนึ่ง หล่อนรีบกระชากมือรพิชไปอยู่ข้างกำแพงบ้าน เพราะรถยนต์คันสีดำกำลังตรงดิ่งมาที่ที่พวกเธอคุยกันอยู่
ทันทีที่รถจอดสนิท บุคคลผู้อยู่ภายในรถก็ก้าวออกมา ซึ่งทำให้รพิชตื่นตะลึงเป็นคำรบสอง
ชายหนุ่มหล่อเหลาท่าทางภูมิฐาน ก้าวลงจากรถด้วยท่าทีเหนื่อยอ่อน แต่ยังคงความสง่างามเอาไว้ได้ทุกระเบียดนิ้ว...อย่างที่รพิชคุ้นเคยมาตลอด
“คุณพ่อ...” เสียงเบาหวิวจนไม่น่าเชื่อว่าจะส่งเสียงออกมา ดวงตาของเธอจ้องมองนิ่งไปยังร่างผู้มาใหม่
“เขา...เหมือนคุณจังเลยค่ะ ญาติคุณหรือเปล่าคะ” เสียงอีกคนหนึ่งปลุกรพิชออกจากภวังค์
...นั่นสินะ เหมือนกันมาก ท่าทางของรพิชเรียกได้ว่าถอดแบบบิดามาเกือบหมด ทั้งรูปร่างสูงสมส่วน โครงหน้าเข้มแข็ง ดวงตาเรียวรีที่ดูดุดัน ท่วงท่าอันแสนมั่นใจ และฝีปากร้ายกาจ ...แต่ทั้งหมด คือสิ่งที่รพิชเกลียด
เกลียด...ท่าทางหยิ่งยโสจนเหมือนมองไม่เห็นหัวคนอื่น
เกลียด...ดวงตาสีดำนิลที่มีแต่ความเหยียดหยามอยู่ในนั้น
เกลียด...วาจาร้ายกาจที่คอยทิ่มแทง
เกลียด...หล่อนเกลียดทุกอย่าง ที่เป็นของผู้ชายที่ชื่อ รพี ...แน่นอน หล่อนขยะแขยงตัวเองเหลือเกิน!
“นี่! ออกไปนะ ออกไป นิตยา เธอมาพามันออกไปเดี๋ยวนี้!” เสียงเอ็ดตะโรที่คุ้นเคยดังแว่วมาจากในบ้าน ทั้งสองมองผ่านจากหน้าต่างเข้าไป
“โอ้” เสียงครางในลำคอเล็กๆ ทำให้รพิชยิ้มหยัน ...นี่มันยังเบาๆ...
ภาพของผู้ชายตัวใหญ่โต คว้าเด็กหญิงตัวน้อยจากขาตัวเอง จับปกเสื้อขึ้นราวกับนั่นคือลูกสุนัขตัวหนึ่ง แล้วแทบจะโยนให้ผู้เป็นแม่ สีหน้าท่าทางฉุนเฉียว ก่อนจะเดินลิ่วๆเข้าลึกไปข้างในบ้าน
“ขอบคุณค่ะพ่อ...หนูเกือบลืมไปเลยว่าหนูมาทำไม” หญิงสาวพึมพำด้วยใบหน้ายิ้มเย้ย ราวกับตัดสินใจได้แล้วว่าจะทำอะไรต่อไป
“นี่...ฉันทะเลาะกับทางบ้าน ขอฉันไปอยู่กับเธอสักพักได้ไหม” รพิชถามหญิงสาวแปลกหน้าโดยที่ยังไม่ละสายตาไปจากสองร่าง ที่ร่างหนึ่งกำลังปลอบโยนร่างเล็กด้วยความอ่อนโยน
“หือ?” หญิงสาวผู้นั้นหันมามองรพิชราวกับเห็นตัวประหลาด
“นะ...ฉันอยู่ไม่นาน พอฉันจัดการบางอย่างเสร็จ แล้วเดี๋ยวฉันก็จะ...” หายไป
“จะไป...” ริมฝีปากอิ่มยิ้มเยื้อน ให้กับคู่สนทนา
“จู่ๆจะให้ฉันรับ...” หญิงสาวชี้ที่อกของเขา
“คนแปลกหน้าเข้าบ้าน...คุณไม่ขอเกินไปหน่อยหรือไง” รพิชนิ่งคิด...จริงสินะ จู่ๆจะให้คนที่ไม่รู้จักมักจี่เข้าไปอยู่ด้วยเลยคงเป็นไปไม่ได้
“งั้น...เรามาตัดสินวิธียุติธรรมกันดีกว่า...”
“โยนหัวก้อย...”
“เฮ้ย!”
หญิงสาวผู้นั้นร้องลั่น
“จะบ้าหรือคุณ จะให้ฉันรับใครเข้าบ้านเพราะโยนหัวก้อยแพ้เนี่ยนะ” รพิชขมวดคิ้ว...
“แปลกตรงไหนล่ะ ยุติธรรมดีออก อาศัยดวงล้วนๆ ถ้าคุณถูกฉันก็ไปตามทางของฉัน แต่ถ้าฉันถูกคุณก็ต้องให้ฉันเข้าไปอยู่ในบ้าน” ใบหน้าเขาดูภูมิอกภูมิใจกับวิธีคิดดีเหลือเกิน
“หรือว่าคุณไม่กล้า” ต้องขอบคุณดวงตาและริมฝีปากที่ช่างเย้ยหยันได้ดีจริงๆ เพราะมันปลุกวิญญาณนักสู้ผู้ไม่ยอมแพ้ของหญิงสาวคนนี้ขึ้นมา
“ได้! ฉันจะลองเสี่ยงกับคุณซักตั้ง” เพราะใบหน้าชวนเอาเท้าลูบหน้านั่นแท้ๆเชียว ถึงทำให้หล่อนยอมตกปากรับคำ
ชั่วโมงต่อมา รพิชก็ได้มายืนยิ้มกริ่มอยู่หน้าบ้านสไตล์ยุโรปหลังใหญ่
‘ฉันเอาหัว’ หญิงสาวแปลกหน้าบอกความจำนง
‘ได้ งั้นฉันเอาก้อย’ รพิชยักไหล่ราวกับไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ หญิงสาววางเหรียญไว้บนนิ้วโป้ง ก่อนจะดีดมันขึ้นไปแล้วตะครุบไว้กลางอากาศ
‘ก้อย!’ รพิชเอ่ยด้วยน้ำเสียงผู้ชนะ
‘ตามสัญญานะสาวน้อย’
เพราะแบบนี้เขาจึงได้มายืนหน้าสลอนอยู่ในบ้านคนอื่น
ถึงปากจะบอกว่าอาศัยดวง...แต่เอาเข้าจริงๆ เขาก็แอบโกง
พอรู้ความจำนงของอีกฝ่าย เขาก็เอาฝั่งที่อีกฝ่ายเลือกหงายขึ้น และดีดช้าๆให้มันเป็นจังหวะเดียวแล้วจัดการตะครุบมันไว้กลางอากาศ...แค่นี้ เหรียญนั่นก็ออกตามที่รพิชต้องการ
แหม...แต่จะบอกว่าโกงก็พูดได้ไม่เต็มปาก...ของอย่างนี้มันอาศัยดวงด้วยนั่นแหล่ะ อาศัยว่าอีกฝ่ายจะสังเกตเห็นหรือเปล่า!
รพิชมองไปรอบห้องด้วยความสนใจ นี่เองที่ติดใจเขามาตั้งแต่อยู่บนสะพาน
รถราในกรุงเทพฯดูน้อยเกินไป อาคารบ้านเรือนรูปทรงแปลกตา หากแต่มันเป็นรูปคล้ายๆกัน ทำให้พอหลอกตากันได้ แต่ที่เห็นจะไม่ได้เลยก็คือ การแต่งกาย
แหม...ปิดกันอย่างกับแม่ชีจำศีล!!
“แล้วตกลงฉันจะได้นอนห้องไหนล่ะ” รพิชถามพลางมองไปชั้นสองของบ้าน...อืม ดูโอ่โถงไม่เลว
“ห้องของหล่อน อยู่ข้างหลัง” แม่แอนนี่ตัวดำบอกอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะเดินนำไป ทิ้งให้ผู้มาใหม่แปลกใจ ว่าเหตุใดห้องรับรองแขกจึงอยู่หลังบ้าน
แต่พอมาถึงก็เข้าใจ...ไม่ใช่ห้องรับรองแขกอยู่หลังบ้าน ...แต่มันไม่ใช่ห้องรับรองแขกแต่แรกต่างหาก!!
“นี่มันห้องคนใช้!”
รพิชอุทานเมื่อเห็นสภาพห้องขนาด 3*3 เมตร เครื่องเรือนน้อยนิด มีเท่าที่จำเป็น เช่น เตียงไม้แบบที่นอนคนเดียวยังอาจกลิ้งตกลงมาได้ โต๊ะเครื่องแป้งเก่าคร่ำคร่า และที่ปวดจิตที่สุดคือสภาพตู้เสื้อผ้าที่บานปิดมันห้อยต่องแต่ง
“ใช่สิ เธอกำลังหวังอะไรไว้อยู่ล่ะ” แม่แอนนี่หรี่ตามองอย่างยิ้มเยาะ ในสายตาหล่อน เด็กคนนี้ก็ไม่เลวนักหรอก รูปร่างผิวพรรณคนโง่มันยังรู้ว่าถูกเลี้ยงมาดี ใบหน้าไม่ได้งดงามมากมายทว่าสะดุดตา ท่วงท่ามั่นใจเสริมบุคลิกให้ดีขึ้นไปอีก อะไรๆก็ดีเสียอยู่อย่างเดียว...ปากนี่อย่างกับฟาร์มหมาระดับโลกเลยเชียว!
รพิชไม่ตอบโต้ แต่หันหลังกลับเดินลิ่วๆไปยังตัวบ้านที่เพิ่งจากมา
“เอ้า! เธอ!!” แอนนี่วิ่งตาม พลางค่อนในใจ ขายาวแล้วยังไวอย่างกับลิง
“นี่มันหมายความว่ายังไง!” หญิงสาวเจ้าของบ้านยังคงนั่งรออยู่ที่ห้องรับแขก ราวกับว่ารู้ล่วงหน้าว่าจะมีคนทำหน้าถมึงทึงเดินมาหาคำตอบ
“อะไรล่ะ” รพิชมองสีหน้าไม่รู้ร้อนของหญิงสาวด้วยความหงุดหงิด
“ก็เรื่องที่ฉันต้องไปนอน...ในห้องคนรับใช้ยังไงเล่า!” หญิงสาวเหล่ตามองอย่างยียวน
“ก็ถูกต้องแล้วนี่” รพิชก้าวยาวๆมาหาคนทำหน้ายวนๆ
“ถูกต้องบ้าอะไร ทำไมฉันต้องไปอยู่ที่นั่น ห้องข้างบนไม่มีเหลือแล้วหรือไง!” หญิงสาวหันมาเผชิญหน้ากับเขา แม้ออกจะเกรงสายตาลูกไฟกับดวงตาดุๆนั่นก็ตามที
“มี...แต่ม่ายให้อยู่” พอฟังคำตอบแล้วรพิชก็แทบจะกระโดดเข้าขย้ำคอแม่สาวน้อยเสียงหวานนี่ให้รู้แล้วรู้รอด
“แต่เธอแพ้ฉันแล้วนะ!” เขาทวงคำสัญญาอันสำคัญที่คิดว่าน่าจะเป็นต่อได้
“ใช่...ฉันแพ้คุณ แล้วไง ฉันก็ยอมให้คุณเข้ามาอยู่ในบ้านแล้วไง เพียงแต่ว่าในฐานะ...คนใช้!!”
“เธอ!!” รพิชไม่คิดจริงๆว่าคนตรงหน้าจะมาไม้นี้ เอาแต่คิดตื้นๆว่าพอเข้ามาแล้วจะได้กลับมาอยู่สุขสบายดังเดิม
“นี่...คนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักแม้แต่ชื่อ ให้รับเข้ามาทำงาน เหมาะที่สุดแล้ว!” พูดจบก็เดินสะบัดหน้าจากไป ทิ้งให้ ‘คนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักแม้แต่ชื่อ’ ยืนกัดฟันกรอดๆ นึกแค้นใจแม่สาวหน้าสวยร่างสูงโปร่งนี่เหลือเกิน ไม่เคยเลยสักครั้ง ไม่เคย...ที่พิง รพิช คนนี้จะถูกผู้หญิงบอบบางแบบนั้นต้อนจนกระทั่งจนมุม!!
“เอาล่ะ ได้ยินชัดแล้วสินะ ...แม่สาวใช้คนใหม่!” แล้วสาวตัวดำก็หัวเราะเสียงแหลม เดินด้วยท่วงท่าคล้ายนายสาว
เฮอะ! ยวนเท้าพอกันทั้งนายทั้งบ่าว!
(นี่คือภาพตัวอย่างในสมัยนั้นนะคะ แต่จริงๆภาพไม่ได้ขาวดำหรอกค่ะ ตอนนั้นเค้าถ่ายสีได้แล้ว 5555 แต่หาไม่ค่อยจะได้อ่ะค่ะ แค่จะเอามาให้ดูเฉยๆ ว่าทำไมตัวเอกของเราถึงสะกิดใจ)
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ