Castlevania - The Rancor's Funeral

10.0

เขียนโดย xanxussama1010

วันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 เวลา 14.22 น.

  13 ตอน
  4 วิจารณ์
  16.44K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 14.27 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) บทที่ 2 - ผู้สืบทอดตำนาน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

            “ย้าก~~~~~!!!!!!!!!!”

            ฉัวะ!!! ฉับ~~~!!! ฉูด~~~!!!!

            เสียงเหล่านี้ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุด ร่างของซอมบี้จำนวนมากค่อยๆ ร่วงลงสู่พื้นและสลายหายไปทีละตัวๆ ด้วยฝีมือของเด็กหนุ่ม ม.ปลายที่มีมีดทำครัวอยู่ในมือเพียงคนเดียวเท่านั้น

            ถ้าหากว่ามีใครบังเอิญมาเห็นภาพนี้เข้าแล้วล่ะก็ คงจะไม่มีใครอยากจะเชื่อแน่นอน ว่าคนที่กำลังสู้กับฝูงซอมบี้นั้น เป็นเพียงเด็กหนุ่ม ม.ปลายธรรมดาๆ เท่านั้น เพราะไม่ว่าจะด้วยทักษะทางด้านร่างกายที่สามารถเคลื่อนที่ประชิดตัวและฟาดฟันซอมบี้ได้อย่างคล่องแคล่วและรวดเร็ว ปฏิกิริยาตอบสนองอันว่องไวที่คอยหลบการจู่โจมของซอมบี้เป็นฝูงๆ ได้โดยที่ไม่บาดเจ็บสาหัส หรือแม้แต่การควบคุมสติสัมปชัญญะของตัวเองให้รับมือกับฝูงซอมบี้ที่อยู่ตรงหน้าก็ตาม

            แต่กระนั้น….ทุกอย่างก็ย่อมมีขีดจำกัดของมันอยู่....

 

            “แฮ่ก...แฮ่ก...แฮ่ก...แฮ่ก...แฮ่ก...แฮ่ก...”

            ความเหนื่อยล้าที่เกิดจากการต่อสู้เริ่มแสดงอาการออกมาอย่างเห็นได้ชัด การหายใจถี่มากจนเกือบถึงขั้นหนึ่งครั้งต่อหนึ่งวินาที การเต้นของหัวใจที่เร็วจนเกือบถึงสองร้อยครั้งต่อนาที ร่างกายสั่นไปทั้งตัวจนแทบจะยืนไม่ไหว เป็นความเหนื่อยล้าที่การเดินขึ้นบันได้สองร้อยกว่าขั้นนั้นไม่อาจเทียบได้เลยแม้แต่น้อย นับจากตอนที่เริ่มเข้าปะทะกับฝูงซอมบี้พวกนี้จนถึงตอนนี้นั้นมันผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ แถมยังต้องมาเจอกับฝูงซอมบี้ที่ไม่ว่าจะกำจัดไปได้กี่ตัวๆ ก็จะมีตัวใหม่โผล่มาจากพื้นดินใหม่อย่างไม่หยุดบวกกับอาการบาดเจ็บที่โดนเตะเข้าอย่างจังครั้งแรก กับบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้จากการปะทะกับพวกซอมบี้ ยิ่งทำให้ร่างกายแย่ลงไปอีก เรียกได้ว่า เป็นสถานการณ์ที่วิกฤตสุดๆ จนโอกาสรอดแทบจะเป็นศูนย์เลยทีเดียว

 

            “หึๆๆ เป็นไงล่ะ~? หมดปัญญาแล้วสินะไอ้มนุษย์” หญิงสาวหัวเราะเยาะอย่างพอใจ “รีบๆ ถอยไปซะ ข้าเสียเวลามามากพอแล้ว!!”

            “หุบ...ปาก...ซะ!!” ไวเวิร์นรวบรวมพลังตอบกลับทั้งที่ยังเหนื่อยหอบอยู่ สายตาคมกริบของเขายังคงแสดงออกถึงการไม่ยอมแพ้ “บอกแล้วไง...ชั้น...ไม่ให้แก...แตะต้อง...ซากุระ...แม้แต่...ปลายก้อย...”

            “ชิ...พอกันที...ข้าหมดความอดทนแล้ว!!” หญิงสาวที่ใบหน้าบิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธตะโกนลั่นจากนั้น....

            ครืน~~~~!!!

            เกิดแผ่นดินไหวขึ้นอีกครั้ง แต่ในคราวนี้นั้น ไม่ได้มีซอมบี้โผล่มาจากพื้น แต่กลับมีสิ่งที่ร้ายกาจกว่าฝูงซอมบี้พวกนั้นโผล่มาถึง 2 ตน ร่างหนึ่งนั้นเป็นค้างคาวสีดำทมิฬ ขนาดตัวใหญ่ประมาณ 7 เมตร นัยน์ตาสีแดงก่ำสะท้อนแสง ใบหน้าที่แสดงออกถึงความดุร้ายของมันนั้นหันมาที่ไวเวิร์นอย่างสัตว์ร้ายที่พร้อมจะขย้ำเหยื่อ ส่วนอีกตนหนึ่งนั้น เป็นร่างกระดูกมนุษย์ ที่มีความใหญ่ประมาณ 10 เมตร ร่างกายที่มีแต่กระดูกนั้นหันมาทางเดียวกับเจ้าค้างคาวเพื่อมองเหยื่อที่มันจะต้องกำจัด

           

            “อึ้ก...” ไวเวิร์นกัดฟันแล้วมองไปยังศัตรูใหม่ที่มาเพิ่มอีกสองตน ความหวังที่เขาจะรอดไปจากที่นี่ได้นั้นริบหรี่ลงไปอีกซะแล้ว

           

            ร่างกระดูกนั้นเป็นฝ่ายบุกเข้ามาก่อน มันเดินเข้ามาหาไวเวิร์นแล้วเหวี่ยงแขนขวาทุบลงที่พื้นหมายจะบี้เหยื่อตรงหน้าให้เละ แต่โชคยังดีที่ไวเวิร์นยังรวบรวมแรงและกระโดดหลบการโจมตีนั้นได้อย่างฉิวเฉียด

            “ย้าก~~~~!!!” ไวเวิร์นไม่ปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดมือ เขารีบลุกขึ้นมาจากพื้น แล้วรวบรวมแรงพุ่งเข้าไปหาแขนขวากระดูกนั้น แล้วตวัดมือขวาเต็มแรงโดยมีเป้าหมายในการทำลายแขนกระดูกนั้น แต่ทว่า....

 

            เคร้ง!!!

            เดิมที ความแข็งของกระดูกมนุษย์นั้นก็แข็งอย่างไม่ธรรมดาอยู่แล้ว แล้วนี่ยิ่งเป็นกระดูกของปีศาจขนาด 10 เมตรอีกต่างหาก แน่นอนว่ามีดทำครัวธรรมดาๆ ย่อมที่จะทำอะไรไม่ได้และหักออกเป็นเสี่ยงๆ อย่างไม่ต้องสงสัย

            “ธ...โธ่เว้ย...” ไวเวิร์นสบถออกมาหลังจากที่สูญเสียอาวุธเพียงชิ้นเดียวที่มีอยู่ ถึงแม้ว่าเขาจะคาดการณ์ไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ แต่พอไร้ซึ่งอาวุธ แรงกดดันว่าตัวเองจะไม่มีทางรอดก็เพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว

            ร่างกระดูกยกมือของตัวเองขึ้นอีกครั้ง มันยกแขนขึ้นเหนือหัวอยู่ในลักษณะพร้อมที่จะเหวี่ยงแขน หนุ่มผมดำมองตามแขนนั้นเพื่อที่จะได้หาจังหวะหลบการโจมตี แต่แล้ว...

 

            “กี๊~~!!!”

            “อ้าก~~~~~!!!!”

            จู่ๆ ค้างคาวยักษ์ก็กระพือปีกบินเข้ามาพร้อมปล่อยคลื่นเสียงความถี่สูงที่เป็นอันตรายต่อหูมนุษย์ออกมาไวเวิร์นร้องลั่นแล้วรีบเอามือทั้งสองข้างปิดหูทันที ซึ่งการกระทำนั้น ก็เป็นการเปิดช่องว่างให้ศัตรูเข้าโจมตีได้เสียแล้ว

            พลั่ก!!! “อ้อก!!” โครม!!!

            กระดูกยักษ์เหวี่ยงมือขวาฟาดไปที่หนุ่มผมดำเข้าอย่างจัง ร่างของเขากระเด็นไปกระแทกต้นไม้ใหญ่เข้าอย่างแรงราวกับรถยนต์ที่วิ่งเข้าชนเสาไฟฟ้าโดยที่ไม่เหยียบเบรก จนทำให้ร่างของชายหนุ่มร่วงไปนอนคว่ำหน้ากับพื้นในทันที

            “บ...บัด...ซบ....” ไวเวิร์นพยายามดันตัวเองให้ลุกขึ้นมาอีกครั้ง แต่ไม่สำเร็จ สภาพร่างกายของเขาดูเหมือนจะเกินขีดจำกัดมากเกินไปเสียแล้ว เลือดไหลออกจากหัวที่แตกอย่างไม่หยุด แขนขาที่แทบจะขยับไม่ไหว อวัยวะภายในเสียหายไปหลายส่วน กระดูกหลายท่อนในร่างกายแตกหัก อยู่ในสภาวะที่พร้อมจะหัวใจหยุดเต้นได้ทุกเมื่อ

 

            “จบกันซะทีนะ ไอ้มนุษย์” หญิงสาวพูดอย่างพอใจเมื่อเห็นร่างที่นอนอยู่กับพื้น พลางชี้นิ้วสั่งให้ฝูงซอมบี้ไปจัดการร่างนั้นซะ

            “นี่ชั้น...กำลัง…จะตาย..สินะ...” ไวเวิร์นที่รู้ถึงชะตากรรมของตัวเองพูดออกมาอย่างถอดใจก่อนที่จะค่อยๆ หลับตาลงยอมรับชะตากรรมของตัวเอง

            “ขอโทษนะ...ซากุระ...ชั้น...ปกป้อง...เธอ...เอาไว้...ไม่...ได้...”

            ฝูงซอมบี้เข้าถาโถมมาหาร่างของเขา หมายจะฉีกร่างนั้นเป็นชิ้นๆ วินาทีนั้น ไม่ว่าใครก็คงคิดว่าหนุ่มผมดำคงไม่รอดอย่างแน่นอน....

            แต่แล้ว....

 

            เพล้ง!!! พรึ่บ!!! ฟู่ว!!!

            จู่ๆ ก็เกิดเสียงเหมือนกับแก้วแตกดังขึ้น หลังจากนั้น ก็ปรากฏเปลวไฟสีฟ้าขาวขึ้นมาแผดเผาฝูงซอมบี้รอบๆ ตัวหนุ่มผมดำจนมอดไหม้ไปหมดสิ้น

            “อ...อะไรกันน่ะ!?” หญิงสาวร้องอย่างประหลาดใจกับภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ไม่ได้มีแต่เธอเท่านั้นที่ประหลาดใจ

            “นี่มัน...อะไร...” ไวเวิร์นค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาดูเพื่อมองว่าเกิดอะไรขึ้น

            “ยังเร็วเกินไปที่คุณจะมายอมรับความตายตอนนี้นะครับ” เสียงลึกลับเสียงหนึ่งพูดขึ้น “เวลาของคุณน่ะ ยังไม่หมดซะหน่อยนะครับ”

            “ใคร...กัน...” ไวเวิร์นถามหาเจ้าของเสียงซึ่งเขาก็ได้คำตอบในทันที เบื้องหน้านั้น ปรากฏร่างของชายปริศนาในชุดผ้าคลุมสีดำที่ปิดบังตัวตนเอาไว้ เดินผ่านเปลวไฟสีฟ้าขาวเข้ามาหาเขา

            “สาหัสเลยนะครับเนี่ย...” ชายปริศนามองไปยังร่างใกล้ตายตรงหน้า ก่อนที่จะนั่งยองๆ แล้งเอามือแตะที่กลางหลังร่างนั้น “ทนหน่อยนะครับ”

            ไวเวิร์นพยายามเงยหน้าขึ้นมองชายที่โผล่มาตรงหน้า ชายคนนั้นทำปากขมุบขมิบซึ่งดูเหมือนว่ากำลังพูดอะไรซักอย่าง แต่ยังไม่ทันที่เขาจะจับใจความอะไรได้นั้น….

            “!! อั๊ก!! อึ้ก!!”

            ร่างกายของชายหนุ่มก็เริ่มเปล่งแสงออกมาจากทั้งร่าง ชายหนุ่มดินไปมาพร้อมกับกัดฟันแน่นอยู่ในท่ากุมขมับตัวเอง ทั่วร่างกายของเขาเกิดอาการร้อนวาบขึ้นมาทั้งตัวราวกับว่ากำลังโดนไฟนรกแผดเผา ความเจ็บปวดแผ่ซ่านอย่างต่อเนื่องไม่มีหยุด จนกระทั่งหลายวินาทีต่อมา….

            “เอาล่ะ อย่ามัวนอนอยู่เลย ลุกขึ้นมาได้แล้วครับ” ชายปริศนากล่าวขึ้นพร้อมกับลุกขึ้นยืน

            “ลุกขึ้น…งั้นเหรอ…”

            ไวเวิร์นพูดเสียงอ่อยหลังจากได้ยินคำนั้น ในตอนนี้ แสงที่เปล่งออกมาพร้อมๆ กับความร้อนที่สร้างความทรมานให้นั้นหายไปแล้ว ไม่ใช่เพียงแค่นั้น บาดแผลตามร่างกายที่สาหัสจนถึงเมื่อครู่ก็หายไปด้วย กระดูกที่หักก็ดูเหมือนจะกลับเป็นเหมือนเดิม ร่างกายที่ไร้พลังที่จะเคลื่อนไหวก็กลับมามีพลังอีกครั้ง ไวเวิร์นค่อยๆ ลุกขึ้นมาด้วยความประหลาดใจในสิ่งที่เกิดขึ้น

            “นี่มัน...อะไรกัน...?” ไวเวิร์นถามอย่างสับสน ในตอนนี้เขามีคำถามที่ไม่รู้คำตอบเพิ่มขึ้นมาอีกแล้ว

            “นั่นสินะครับ...ถ้าจะให้อธิบายก็คงเริ่มจาก....”

            “มัวทำอะไรอยู่!? เข้าไปจัดการพวกมันเซ่!!”

            ยังไม่ทันที่ชายปริศนาจะได้พูดอะไร หญิงสาวที่ดูเหมือนจะตั้งสติได้แล้วก็สั่งการค้างคาวยักษ์กับกระดูกยักษ์ให้เข้าไปเล่นงานทั้งสองคน

            “มารบกวนตอนกำลังคุยธุระสำคัญแบบนี้ เสียมารยาทจังเลยนะครับ” ชายปริศนาพูดอย่างเรียบๆ แล้วคว้าแขนไวเวิร์นหลบการโจมตีจากการพุ่งเข้าใส่ของค้างคาวยักษ์

            “หนวกหู!! พวกแกรีบๆ จัดการมันซะ!!” หญิงสาวตะโกนดังลั่นหญิงด้วยท่าทีลนลานและตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก เธอนั้นไม่รู้หรอกว่าชายปริศนาคนนั้นเป็นใครกันแน่ แต่ที่เธอรู้ก็คือ ชายคนนี้ไม่ธรรมดา และถ้าปล่อยไว้ต้องเป็นปัญหาใหญ่ในภายหลังอย่างแน่นอน

            “ดูเหมือนว่าถ้าไม่กำจัดตัวเกะกะซะก่อน เราคงคุยกันไม่ได้สินะครับ” ชายปริศนาหลบการโจมตีของโครงกระดูกพลางหยิบนาฬิกาขึ้นมาดู “เวลาเหลือไม่มากซะแล้ว งั้นผมจะช่วยกำจัดตัวเกะกะให้ตัวนึงล่ะกันช่วยหลบไปก่อนนะครับ”

            “อ...อืม...”

            ไวเวิร์นรีบไปหลบอยู่หลังต้นไม่ใหญ่อย่างงงๆ เนื่องจากตามสถานการไม่ทัน ชายปริศนาเก็บนาฬิกาเข้าไปในเสื้อคลุม จากนั้นจึงหันไปมองค้างคาวยักษ์ที่กำลังพุ่งเข้ามาหาตัวเอง

            “แค่สามขวดก็น่าจะพอนะครับ”

            แว้บ!! วิ้ง!!

            เพียงแค่พริบตาเดียว ชายปริศนาก็ได้เคลื่อนที่จากที่ยืนอยู่บนพื้น ไปปรากฏอยู่เหนือค้างคาวยักษ์อยู่สองสามเมตรซะแล้ว ทั้งหญิงสาวและไวเวิร์นต่างก็มองอย่างประหลาดใจกับการเคลื่อนที่ที่ดูเหมือนการเทเลพอร์ตของเขา ชายปริศนาล้วงมือเข้าไปในชุดคลุมแล้วหยิบขวดบรรจุของเหลวสีฟ้าขาวออกมาสามขวด

            “เวลาของคุณ หมดลงแล้วครับ”

 

            เพล้ง!!! พรึ่บ!! ฟู่ว~~~!!!

            “กี๊ๆๆๆๆๆๆ!!!!!”

            ไฟสีฟ้าลุกท่วมตัวเจ้าค้างคาวทันทีที่ร่างของมันสัมผัสถูกของเหลวนั้น มันร้องลั่นแล้วพยายามดิ้นพล่านอย่างทุรนทุรายก่อนที่จะโดนเผาจนมอดไหม้ไม่เหลือซาก

            “ส...สุดยอด...” ไวเวิร์นพูดออกมาด้วยความตะลึงกับภาพที่เห็นตรงหน้า

            “เรื่องเอ่ยปากชมน่ะ ไว้ทีหลังเถอะครับ” ชายปริศนาเดินกลับมาหาไวเวิร์น “ถึงตาคุณที่จะต้องจัดการอีกตัวที่เหลือนะครับ” เขาพูดพลางชี้ไปที่กระดูกยักษ์

            “ชั้นน่ะเหรอ!?” ไวเวิร์นพูดอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “ต...แต่ว่า...” เขาพยายามพูดออกมาอย่างตะกุกตะกัก ไม่ใช่ว่าเขากลัวที่จะต้องต่อสู้ แต่ว่าหลังจากที่เขาได้สัมผัสประสบการณ์เกือบตายมาเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา ก็ทำให้รู้ว่าเขาไม่สามารถต่อกรกับมันได้เลย

            “ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกครับ” ชายปริศนากล่าวขึ้นราวกับรู้สิ่งที่เขาคิดอยู่ในใจ “คุณน่ะมีพลังที่สามารถต่อกรกับพวกนั้นได้อยู่นะครับ และสิ่งที่จะดึงพลังของคุณออกมา มันก็อยู่ตรงนี้แล้วครับ”

            ชายปริศนาล้วงมือเข้าไปในชุดคลุมอีกครั้ง แล้วควักสิ่งหนึ่งออกมาต่อหน้าเขา

            “น...นี่คือ...!?”

            “ใช่แล้วครับ พลังของคุณไงล่ะครับ”

 

            ที่อยู่ตรงหน้าของทั้งสองนั้นคือแส้สีดำที่มีความยาวประมาณ 5 เมตร เท่าที่ดูจากภายนอกแล้ว ไม่ว่าจะมองยังไง มันก็เป็นแค่แส้ธรรมดาที่ไม่มีอะไรพิเศษเลย

            “นี่น่ะเหรอ…พลังของผม…” ไวเวิร์นมองแส้นั้นอย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อ

            “ไม่ผิดหรอกครับ นี่น่ะ....!!”

 

            ยังไม่ทันที่การสนทนาจะสิ้นสุดลง ร่างกระดูกขนาดยักษ์ก็พุ่งเข้ามาแล้วเหวี่ยงแขนเข้าโจมตีทั้งสอง แต่ชายปริศนานั้นไหวตัวทันและตัดสินใจผลักไวเวิร์นเต็มแรงแล้วตัวเองก็กระโดดหลบไปไปอีกทางได้อย่างทันท่วงที

            “ส่งไอ้นั่นมาซะ!!!” หญิงสาวรีบพุ่งเข้าไปหาชายปริศนาอย่างร้อนรนโดยหมายจะแย่งของในมือ เธอเองก็ไม่แน่ใจว่าเจ้าสิ่งนั้นมันจะเป็นสิ่งเดียวกับที่เธอคิดหรือไม่ แต่ถ้าหากว่ามันเป็น “ไอ้นั่น” ขึ้นมาล่ะก็ต้องรีบทำลายมันทิ้งซะ

            “จู่โจมแบบวู่วามแบบนี้ ทำอะไรผมไม่ได้หรอกครับ”

            ชายปริศนาใช้มือที่ว่างอยู่รับหมัดที่พุ่งเข้ามาของหญิงสาวเอาไว้ แล้วออกแรงผลักร่างนั้นจนกระเด็นกลับไป ร่างที่ถูกผลักนั้นรีบพลิกตัวเองเพื่อป้องกันการล้มลงพื้นจนมาอยู่ในท่าคุกเข่าแทน

            “รับไปครับ!!” ชายในชุดคลุมฉวยโอกาสนี้รีบหันกลับไปแล้วโยนแส้ให้ไวเวิร์นอย่างรวดเร็ว

            “ว...หวา!?” ไวเวิร์นสะดุ้งอย่างตั้งตัวไม่ทันชั่วครู่ก่อนที่จะรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งไปคว้าแส้นั้นเอาไว้

           

            “ส...เสร็จกัน!!”

            “เปิดช่องว่างเต็มๆ เลยนะครับ”

            “อั้ก!!”

            หญิงสาวที่มัวแต่มองตามแส้นั้น ไม่ทันได้สังเกตถึงชายปริศนาที่พุ่งเข้ามาโจมตี เธอเลยถูกจับทุ่มลงไปกับพื้นในสภาพคว่ำหน้าอย่างง่ายดาย

            “ผมไม่ให้คุณไปไหนทั้งนั้นแหละครับ” ชายปริศนาพูดพลางจับแขนทั้งสองข้างล็อกเอาไว้เพื่อกันหนี

            “กรอด!! ข้าไม่รู้หรอกนะว่าแกไปเอามันมาจากไหน!? แต่แกตัดสินใจพลาดแล้วล่ะ คนธรรมดาน่ะ ไม่มีทางใช้สิ่งนั้นได้หรอก” หญิงสาวหัวเราะเยาะ“แกน่ะ!! รีบไปจัดการแล้วเอาแส้นั่นซะ!!”

            กระดูกยักษ์ที่ได้ยินคำสั่งของผู้เป็นนายพุ่งเข้าหาไวเวิร์นอีกครั้ง พร้อมกับยกมือเตรียมเหวี่ยงใส่อย่างเต็มแรง หญิงสาวยิ้มอย่างมีชัยว่าเจ้าหนุ่มผมดำนั่นจะต้องเละแน่ แต่แล้ว….

 

            เปรี้ยง!!!

            “บ…บ้าน่า!!”

            สีหน้าของหล่อนก็ต้องเปลี่ยนเป็นสีหน้าประหลาดใจอีกครั้ง เมื่อเห็นแขนขวาของเจ้ากระดูกถูกทำลายจนหล่นลงพื้นด้วยการตวัดแส้เพียงครั้งเดียว

            “น…นี่มัน…” ไวเวิร์นมองเจ้ากระดูกทำท่าร้องโหยหวนราวกับคนที่ถูกตัดแขนขวาไปอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง เค้าเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำเรื่องแบบเมื่อกี้ไปได้ยังไง แต่ว่า…หลังจากที่ได้สัมผัสสิ่งที่อยู่ในมือ เขาก็รู้สึกได้ถึงพลังที่เอ่อล้นออกมา แล้วเขาก็รู้สึกว่าเคยชินกับพลังนั้นราวกับว่าเป็นแขนขาของเขาเอง ไวเวิร์นมองแส้ในมือด้วยสีหน้าประหลาดใจซักพักก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นสีหน้ายิ้มออกมาอย่างมั่นใจ ใช่แล้ว ถ้าเป็นเขาในตอนนี้ ต้องจัดการมันได้แน่ และเขาก็รู้แล้วด้วยว่าควรต้องทำยังไง!!!

 

            “นี่!! ขอยืมไอ้ไฟเมื่อกี้หน่อยสิ!!”

            ไวเวิร์นตะโกนหาชายปริศนา ชายในชุดคลุมเผยรอยยิ้มออกมาทางมุมปากก่อนที่จะล้วงมือไปหยิบขวดบรรจุของเหลวสีฟ้าขาวออกมาแล้วโยนไปทางผู้ใช้แส้

            ควับ!! เพล้ง!!

            ไวเวิร์นตวัดแส้ใส่ขวดที่อยู่กลางอากาศจนแตกเป็นเสี่ยงๆ ของเหลวข้างในแตกกระจายออกมาโดนแส้สีดำจนเปียกชุ่ม ไวเวิร์นหันกลับไปทางเจ้ากระดูกซึ่งกำลังโกรธแค้นจากการสูญเสียแขนขวาไป มันค่อยๆ อ้าปากขึ้นแล้วรวบรวมพลังเตรียมพ่นลูกไฟออกมาหมายจะเผาผู้ใช้แส้ให้เป็นจุล แต่ทว่า…

            เปรี้ยง!! ตึง!!

            ผู้ใช้แส้นั้นไวกว่ามาก เขารีบพุ่งเข้าไปใกล้แล้วใช้แส้ฟาดเข้าไปที่คางของมันอย่างเต็มๆ จนร่างกระดูกนั้นหงายหลังลงไปนอนกับพื้น มันพยายามใช้แขนที่เหลือข้างเดียวดันตัวเองลุกขึ้นมา แต่ในขณะที่มันยังไม่ทันได้ลุกขึ้นนั้น…

            ควับ!!เปรี้ยง!!

            แส้สีดำก็พุ่งเข้ามาโจมตีแขนซ้ายจนแตกเป็นเสี่ยงๆ มันลงไปดิ้นอย่างเจ็บปวดกับพื้นอีกครั้ง แต่ผู้ใช้แส้ก็ไม่ได้มีความเห็นใจต่ออาการเจ็บปวดของมัน เขาเดินเข้ามาใกล้ๆ พร้อมกับถือแส้ในท่าที่พร้อมปิดฉากการต่อสู้

            “จงลุกไหม้…”

            พรึ่บ!!

            แส้สีดำในมือเกิดเปลวไฟสีฟ้าขาวลุกไหม้ไปทั่ว ไวเวิร์นยกแส้ขึ้นในท่าเตรียมฟาดอย่างเต็มแรง

            “Holy Fire!!!”

            ควับ!! ฟู่ววว!!

            แส้ที่ลุกไปด้วยเปลวไฟตวัดเข้าที่ลำตัวของกระดูกยักษ์จนเข้าอย่างจัง ร่างของมันค่อยๆ ลุกไหม้ไปด้วยไฟสีฟ้าขาวที่ลามไปทั่วจนกระทั่งเผากระดูกทุกส่วนจนมอดไหม้ไม่เหลือซาก

 

            “ทั้งที่เป็นครั้งแรก แต่กลับใช้ได้อย่างคล่องแคล่ว แถมยังสามารถดึงพลังจากน้ำมนต์เปลวเพลิงมาเป็นพลังของตัวเองได้อีก ไม่ผิดแน่ เขานี่แหละ ผู้สืบทอดตำนาน” ชายปริศนาที่มองภาพการต่อสู้มาตั้งแต่ต้นจนจบพูดออกมาอย่างพึงพอใจ แต่ด้วยการที่เขาเอาแต่สนใจไวเวิร์น ก็เลย….

            พลั่ก!! อ้อก!!

            ทำให้หญิงสาวที่ถูกจับตัวอยู่เห็นช่องว่างแล้วเหวี่ยงเท้าเตะหน้าเข้าอย่างจังจนลงไปนอนหงายกับพื้น

            “บ้าเอ้ย…ไม่นึกเลยว่าจะมีเรื่องไม่คาดคิดแบบนี้ด้วย…” เธอลุกขึ้นยืนแล้วตวัดมือไปมากลางอากาศ จากนั้น ก็มีฝูงค้างคาวนับร้อยตัวบินลงมารุมล้อมบังร่างของเธอจนมิด

            “คราวนี้จะยอมถอยก่อน แต่คราวหน้าจะขอชิงตัวซากุระ คุรุสุมาให้ได้เลย!!”

            สิ้นสุดคำพูดนั้น ค้างคาวนับร้อยก็แตกฝูงแล้วบินกลับขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับร่างของหญิงสาวที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย

            “ดูเหมือนว่าเวลาจะยังไม่ต้องการให้ผมจัดการเธอในตอนนี้สินะครับ…แย่จังเลยนะครับ…” ชายปริศนาลุกขึ้นจากพื้นพลางบ่นอย่างไม่ค่อยพอใจนัก

 

            “ไวเวิร์นนน!!” ซากุระร้องแล้วรีบวิ่งออกมาโผกอดชายตรงหน้าหลังจากที่เขาเปิดประตูเพื่อที่จะเข้าไปหาเธอ “เป็นอะไรมากมั้ย!? บาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า!? แล้วพวกนั้นล่ะ!? แล้ว…”

            “ใจเย็นๆ หน่อย ซากุระ” ไวเวิร์นพูดตัดบทสาวน้อยที่รัวคำถามอย่างกังวล “ไม่ต้องห่วงแล้วล่ะ ทั้งเธอทั้งชั้นปลอดภัยดีอย่างที่เห็นนี่แหละ”

            “ด…ดีจังเลย…” ซากุระพูดแล้วปล่อยน้ำตาไหลออกมา “ฉันน่ะ…กลัวมากเลยล่ะ…กลัวพวกซากศพพวกนั้น…กลัวว่าไวเวิร์นจะตาย…กลัวว่า…”

            “ไม่เป็นไรแล้วล่ะ ตอนนี้ปลอดภัยดีแล้ว ไม่มีอะไรที่ต้องกลัวแล้วล่ะ” ไวเวิร์นพูดปลอบใจอย่างอ่อนโยน ซากุระซบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาเข้าที่อกของเขาพร้อมปล่อยโฮอย่างไม่หยุด ส่วนไวเวิร์นก็ปล่อยให้เธอซบอยู่อย่างนั้นแล้วคอยลูบหัวปลอบใจอยู่อย่างนั้น

 

             “เอาล่ะ”

            หลังจากที่ซากุระหยุดร้องไห้แล้ว ไวเวิร์นกับสาวน้อยก็เดินเข้ามาหาชายปริศนา ที่ตอนนี้นั่งอยู่ที่โซฟาในห้องรับแขก

            “ช่วยอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นมาหน่อยได้มั้ย?”

            ใช่แล้ว เรื่องราวในวันนี้นั้นชวนให้มีแต่เรื่องให้สับสนทั้งนั้น ทั้งเรื่องคนที่ต้องการลักพาตัวซากุระ สิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ที่เขาเพิ่งต่อกรไปไหนจะสิ่งที่เพิ่งได้รับมาอีก ในหัวของเขามีแต่คำถามเต็มไปหมด แล้วเขาก็ต้องการคนที่จะให้คำตอบเขาได้

            “นั่นสินะครับ ผมเองก็มีเรื่องที่อยากอธิบายคุณอยู่มากมาย…แต่ว่า…” ชายปริศนาหยิบนาฬิกาพกขึ้นมาดู “ขอโทษด้วยนะครับ…เวลายังไม่ต้องการให้คุณรู้เรื่องนั้นในตอนนี้ครับ”

            “ม…หมายความ….”

            ยังไม่ทันที่ไวเวิร์นจะได้พูดอะไรต่อ ร่างของเขาก็ค่อยๆ ร่วงลงไปกับพื้นราวกับคนที่เป็นลมล้มลงกลางทาง

            “ไวเวิร์น!? เป็นอะไรไป!? ไวเวิร์น!?” ซากุระคุกเข่าลงไปดูอาการอย่างร้อนรน

            “ไม่ต้องห่วงครับ แค่ผลข้างเคียงจากการฟื้นสภาพอย่างฉับพลันเพิ่งจะออกฤทธิ์น่ะครับ” ชายปริศนาพูดถึงตอนที่เขาช่วยไวเวิร์นที่ใกล้ตายในตอนแรกนั่นเอง “หลังจากที่ร่างกายฟื้นสภาพมาแล้ว 1 ชั่วโมง จะเกิดอาการนอนหลับขึ้นมากะทันหัน และจะไม่ตื่นจนกว่าเวลาจะผ่านไป 72 ชั่วโมงน่ะครับ”

            ชายปริศนาลุกขึ้นจากโซฟาแล้วล้วงมือเข้าไปในเสื้อคลุม

            “หลังจากที่เขาตื่นแล้ว ช่วยให้สิ่งนี้กับเขาด้วยนะครับ” เขาส่งซองจดหมายสีฟ้าให้กับซากุระ “ผมเองก็ได้เวลาที่ต้องไปจากที่นี่แล้ว ขอตัวก่อนนะครับ”

            ชายปริศนาโค้งให้แล้วเดินไปที่ประตูหน้าบ้าน

            “เดี๋ยวก่อนค่ะ!!” ซากุระตะโกน ชายปริศนาหันกลับมามองเธอ “แล้วทำไมถึงช่วยพวกเราเหรอคะ? คุณเป็นใคร?”

            ชายปริศนานิ่งไปซักพัก ก่อนที่จะหยิบนาฬิกาพกมาดูอีกครั้ง

            “……เวลายังไม่ต้องการให้ผมเผยตัวจริงในตอนนี้ ต้องขอโทษด้วยครับ” ชายในชุดคลุมเก็บนาฬิกาแล้วโค้งให้อีกครั้ง ก่อนที่จะหันไปเปิดประตู

            “ยามที่เวลาต้องการ เราคงได้พบกันอีกครับ”

            เขาพูดทิ้งท้ายก่อนที่จะเดินออกจากบ้านแล้วลงบันไดหินอ่อนออกจากศาลเจ้าฮาคุบะไป

 

            --ณ ปราสาทแห่งหนึ่ง ไม่ทราบสถานที่ตั้ง--

            “โธ่ว้อย!! ไม่นึกเลยว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นซะได้!!”

            หญิงสาวในชุดแดงโวยวายอย่างหงุดหงิด ขณะที่กำลังขึ้นบันไดที่ปูด้วยพรมสีแดงขอบทองซึ่งทอดยาวไปสุดลูกหูลูกตา

            “คอยดูเถอะ ทั้งเจ้าชุดคลุม ทั้งเจ้าผมดำที่สร้างบาดแผลให้ข้าครั้งหน้าข้าจะขยี้มันให้เละเลย!!”

            เธอกัดฟันอย่างโกรธแค้นพลางก้าวเท้าอย่างหนักหน่วงไปตลอดทางที่พรมแดงทอดไป จนกระทั่ง…

            “แล้วนี่เรา…จะรายงานนายท่านไปยังไงดีล่ะเนี่ย….”

            เธอหยุดเดินและเงยหน้าขึ้นมองประตูแบบสองบานสีแดงขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าเธอ ใบหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นสีขาวซีดร่างกายของเธอสั่นไปทั้งตัวอย่างไม่หยุด ราวกับว่ามีอะไรที่น่ากลัวอยู่หลังบานประตูนั้น

            “อึ้ก….ว…หวังว่านายท่านคงจะไม่ลงโทษข้าอย่างสาหัสมากนะ…” เธอทำใจผลักบานประตูทั้งสองด้วยมือที่สั่นไม่หยุดแล้วค่อยๆ ก้าวเดินเข้าไป

 

            “ข…ขออภัยค่ะ…น…นายท่าน…” เธอค่อยๆ ก้าวเดินเข้าไปจนถึงปลายพรมแล้วนั่งคุกเข่าคำนับคนที่เธอเรียกว่า “นายท่าน” ซึ่งกำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ตรงหน้าเธอ

            “กลับมาแล้วรึ…คามิลล่า…” ชายบนบัลลังก์กล่าวกับลูกน้องของเธอพลางแกว่งมือขวาที่ถือแก้วไวน์ที่ใส่ของเหลวสีแดงอยู่ข้างใน “…ซากุระ…คุรุสุล่ะ…”

            “ค…คือว่า…ร…เรื่องนั้น…” คามิลล่าพยายามพูดตอบ แต่ด้วยความกลัวต่อชายตรงหน้า ทำให้เธอเปล่งคำพูดไม่ออก

            “…ว่าไงล่ะ…”

            “อึ้ก!! นายท่าน!! ได้โปรดให้อภัยข้าด้วย!! เรื่องนี้ข้าอธิบายได้!!” คามิลล่ารีบก้มหัวติดพื้นเพราะสัมผัสได้ถึงรังสีอันน่าหวาดกลัวที่แผ่ออกมาจากชายตรงหน้า

            “….ก็ได้…เงยหน้าขึ้นแล้วว่ามาสิ…”

            “ข…ขอบพระคุณมากนายท่าน!!” คามิลล่าเงยหน้าขึ้นมาอย่างเป็นพระคุณ จากนั้นเธอจึงเริ่มเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้คนตรงหน้าฟัง

 

            “…เข้าใจล่ะ…เป็นแบบนี้นี่เองสินะ…”

            “น…นานท่าน…แล้ว…อ๊า!!!”

            ก่อนที่คามิลล่าจะได้พูดอะไรต่อ แก้วไวน์ก็ลอยเข้ามากระแทกหน้าเธอจนแตกกระตาย ของเหลวสีแดงไหลชโลมใบหน้าของเธอจนเปียกไปทั่ว

            “…ไปได้แล้ว….”

            “ค…ค่ะ!!” คามิลล่ารีบก้มหัวคำนับก่อนที่จะรีบลุกขึ้นและวิ่งออกจากห้องไปก่อนที่นายท่านของเธอจะเปลี่ยนใจและลงไม้ลงมือกับเธอไปมากกว่านี้

            “….ในที่สุด…ก็ปรากฏตัวออกมาแล้วสินะ…ผู้สืบทอดตำนาน…” ชายบนบัลลังก์พูดพลางเผยรอยยิ้มออกมาที่มุมปาก

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา