Castlevania - The Rancor's Funeral

10.0

เขียนโดย xanxussama1010

วันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 เวลา 14.22 น.

  13 ตอน
  4 วิจารณ์
  16.43K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 14.27 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) บทที่ 1 - ไวเวิร์น อัลเดน่า

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

            “นี่ๆๆ รู้รึเปล่า? เมื่อคืนนี้น่ะนะ…….”

            “ว้าย! ตายแล้ว! จริงเหรอเธอ!?.............”

            เสียงพูดคุยเรื่อยเปื่อยดังสนั่นมาจากห้องเรียนห้องหนึ่งในโรงเรียนมัธยมปลายแห่งหนึ่งในโตเกียวซึ่งเป็นเรื่องปกติที่หาดูได้ทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลายามเช้าก่อนชั่วโมงโฮมรูมจะเริ่มขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงทีเหล่านักเรียนจะได้พบหน้ากันอีกครั้ง หลังจากที่แยกย้ายกันกลับบ้านไปหลังเวลาเลิกเรียนของเมื่อวาน ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงการจากกันแค่ระยะเวลาสั้นๆ แต่มันก็มีเรื่องที่น่าสนุกเกิดขึ้นจนอดไม่ได้ที่จะเอาเรื่องเหล่านี้มาเล่าและพูดคุยกันอย่างสนุกสนานกับเพื่อนๆ

            แต่กระนั้น ในห้องเรียนห้องนั้น กลับมีนักเรียนอยู่คนนึงที่ไม่ได้กำลังคุยอยู่กับใครในห้องเลย

 

            หากมองไปทางด้านซ้ายล่างสุดของห้องตรงบริเวณหน้าต่าง จะพบเห็นชายหนุ่มคนหนึ่ง นั่งอยู่ที่โต๊ะเรียนบริเวณนั้น โดยหันมองออกไปนอกหน้าต่าง ชายหนุ่มคนนั้นมีผมสีดำขลับยาวถึงกลางหลัง ดวงตาสีดำสนิทเช่นเดียวกับเส้นผม ลักษณะตาดูคมกริบราวกับตาของเหยี่ยว ร่างกายค่อนข้างสมส่วนไม่ว่าจะเป็นช่วงลำตัว แขน และขา ต่างก็อยู่ในขนาดกำลังดี ไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไป โดยรวมแล้ว ชายคนนี้นับว่าเป็นหนุ่มหล่อที่ดูมีเสน่ห์จนถึงขนาดว่าคงมีสาวๆ มารุมล้อมได้ไม่น้อยเลยแท้ๆ แต่กระนั้น เหตุใดในห้องนี้กลับไม่มีใครคิดที่จะมาคุยกับชายคนนี้เลยแม้แต่คนเดียว ก็มิอาจทราบได้ อาจจะเป็นเพราะว่าสีหน้ายามปกติของเขา ที่ดูเหมือนจะเป็นคนยิ้มยาก และดูไม่ค่อยจะเป็นมิตรกับใคร เลยทำให้ไม่มีใครอยากเข้าใกล้เขา ก็เป็นได้

 

            กิ้ง~ ก่อง~ ก๊าง~ ก่อง~

            เสียงกริ่งที่เป็นสัญญาณถึงเวลาโฮมรูมดังขึ้น อาจารย์ประจำชั้นเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับเสียงกริ่งพอดีราวกับกำลังรอเวลานี้อยู่ นักเรียนในห้องทั้งหมดหยุดคุยและกลับไปนั่งประทำที่ของตนเองอย่างเรียบร้อย ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้าต่างเองก็หันมามองทางอาจารย์ แล้วเริ่มนั่งฟังอาจารย์พูดในช่วงโฮมรูมยามเช้า ก่อนที่จะเข้าสู่คาบเรียนคาบแรกต่อไป…

 

            กิ้ง~ ก่อง~ ก๊าง~ ก่อง~

            เสียงกริ่งดังขึ้นอีกครั้ง เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าถึงช่วงเวลาพักเที่ยงแล้ว ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าเหล่านักเรียนทั้งหลายส่วนหนึ่งก็มุ่งหน้าไปยังโรงอาหารของโรงเรียนเพื่อไปหาซื้อมื้อเที่ยงของตนเอง อีกส่วนหนึ่งที่เอาข้าวกล่องมาเองจากบ้านก็จะจับกลุ่มนั่งกินกันในห้องเรียน หรือไม่ก็ออกไปรวมกลุ่มกินกันแถวๆ สนามของโรงเรียนตามปกติ

            ส่วนชายหนุ่มคนนั้นน่ะเหรอ?

 

            ทันทีที่เสียงกริ่งดังขึ้น ชายหนุ่มคนนั้นก็ลุกออกจากที่นั่ง แล้วเดินออกจากห้องเรียนไป แล้วเดินมุ่งหน้าต่อไปยังบันได จากนั้นจึงก้าวเดินขึ้นบันได มุ่งสู่ดาดฟ้าของโรงเรียน

            ในตอนนี้ ดาดฟ้าของโรงเรียนนั้นว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่เลย ชายหนุ่มคนนั้นเดินเข้าไปที่บริเวณนั้น อย่างที่เคยทำเป็นประจำ จากนั้นจึงค่อยๆ นั่งลงพิงรั้วบนดาดฟ้า แล้วเฝ้ามองไปที่ประตูดาดฟ้า ราวกับว่ากำลังรอให้อะไรซักอย่างโผล่มาจากประตูนั้น

 

            --10 นาทีต่อมา--

            แอ้ด~

            ประตูดาดฟ้าถูกเปิดออกอีกครั้ง หลังประตูนั้น ปรากฏร่างของนักเรียนสาว ม.ปลายในชุดนักเรียนเดินเข้ามา เด็กสาวคนนั้นมีผมยาวสีน้ำเงินดั่งน้ำในมหาสมุทรซึ่งดูเรียบสลวยอย่างเป็นธรรมชาติ ที่ด้านหลังผมของเธอผูกริบบิ้นสีแดงยาวที่ช่วยดึงเสน่ห์จากผมของเธอให้ดูดียิ่งขึ้น รูปร่างผอมบาง แขนขาเรียว โดยรวมแล้ว เป็นผู้หญิงที่ไม่ว่าหนุ่มคนไหนเห็น ก็คงต้องเหลียวตามองอย่างแน่นอน มือซ้ายของเธอนั้นถือกระติกน้ำขนาดพกพา ส่วนมือขวาของเธอนั้นถือห่อผ้ารูปสี่เหลี่ยมอยู่ ดูจากรูปร่างแล้ว คาดน่าน่าจะเป็นข้าวกล่องอย่างแน่นอน ดวงตาสีเขียวอ่อนดั่งมรกตของเธอมองไปยังชายเพียงคนเดียวที่อยู่ที่นั่น จากนั้นเธอจึงเริ่มพูดขึ้นพร้อมกับใบหน้าอันยิ้มแย้ม

            “ขอโทษที่มาสายนะ ไวเวิร์น” หญิงสาวเดินเข้าไปหาชายหนุ่มคนนั้นแล้วนั่งลงข้างๆ เขา

            “ไม่เห็นต้องขอโทษเลยนี่นา” หนุ่มหล่อนามไวเวิร์นตอบอย่างไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมายกับเรื่องที่เธอมาช้าไปหน่อย

            “แหม~~ ก็ฉันมาช้าไปตั้ง 10 นาทีนี่นา” หญิงสาวพูดพลางแกะห่อผ้าออก ปรากฏให้เห็นข้าวกล่อง 2 กล่องที่ถูกจัดเรียงอย่างน่ากิน “เอ้า นี่จ๊ะ” หญิงสาวหยิบข้าวกล่องส่งให้ไวเวิร์นพร้อมรอยยิ้ม

            “ขอบใจนะ ซากุระ” ไวเวิร์นพูดพร้อมยื่นมือไปรับข้าวกล่อง “ต้องลำบากให้ทำข้าวกล่องมาให้ทุกครั้งเลย โทษทีนะ”

            “โธ่…ป่านนี้แล้วยังจะมาพูดแบบนี้อีกเหรอ…” ซากุระทำหน้ามุ่ยพลางบ่นอย่างไม่ค่อยพอใจนัก “ฉันก็ทำแบบนี้ประจำมาเกือบจะ 3 ปีแล้วนะ เลิกพูดซะทีเถอะน่า”

            “ฮะๆ นั่นสินะ โทษทีๆ” ไวเวิร์นขอโทษพลางหัวเราะแหะๆ “ถ้าอย่างนั้น มากินกันเลยดีกว่า”

            “อื้ม!!”

            ทั้งสองหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วมองไปที่ข้าวกล่องของตนเอง

            “อิทาดาคิมาส~”

            ทั้งสองคนเริ่มทานข้าวกล่องของตนเองอย่างเอร็ดอร่อย ไวเวิร์นใช้ตะเกียบเขี่ยข้าวเข้าปากอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุข ดูราวกับเป็นคนละคนกับที่นั่งในห้องเรียน ส่วนซากุระใช้ตะเกียบคีบไข่ม้วนฝีมือตัวเองที่หั่นเป็นแว่นๆ เข้าปากอย่างเอร็ดอร่อยด้วยใบหน้าที่น่ารักมาก จนถึงขนาดที่ว่าชายคนใดมาเห็นเข้าคงจะจ้องมองเธออย่างไม่ละสายตากันเลยแน่นอน

 

            “นี่ ไวเวิร์น”

            “หืม?”

            “วันนี้หลังเลิกเรียน ช่วยสอนการบ้านฟิสิกส์ให้ฉันหน่อยสิ”

            “เอ๋? อีกแล้วเหรอ?” ไวเวิร์นพูดพร้อมใช้ตะเกียบคีบไส้กรอกที่หั่นเป็นรูปปลาหมึกเข้าปาก “ห้องเธอเองก็มีคนเรียนเก่งๆ ที่ชื่อซากาโมโต้นี่ ไม่ไปขอให้เขาสอนล่ะ?”

            “ก็แหม~ ไวเวิร์นสอนเก่งกว่าตั้งเยอะนี่นา น้าๆๆ~ เดี๋ยวฉันทำข้าวเย็นอร่อยๆ ให้กินก็ได้ ช่วยหน่อยเถอะน้า~”

            ซากุระขอร้องพลางยกมือทั้งสองข้างมาประกบกัน น้ำเสียงออดอ้อนของเธอนั้นไม่ว่าชายใดได้ฟังแล้วก็ต้องยอมใจอ่อน ซึ่งแน่นอนว่าไวเวิร์นเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

            “เข้าใจแล้ว ก็ได้ๆ เดี๋ยวเลิกเรียนแล้วชั้นจะไปหาที่บ้านเธอนะ”

            “จริงเหรอ!? เย้~!!”

            ซากุระยกมือทั้งสองข้างขึ้นเหนือหัวด้วยความดีใจ ไวเวิร์นที่เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของเธอก็พลอยยิ้มออกมาด้วยโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัว

            “เออ!! จริงสิ!! ไวเวิร์น พอพูดถึงซากาโมโต้แล้วฉันมีอะไรจะเล่าให้ฟังล่ะ…..”

            หลังจากนั้น ทั้งสองคนก็นั่งทานข้าวกล่องไป คุยกันอย่างสนุกสนานไปเรื่อย จนกระทั่งเสียงออดที่บอกว่าหมดเวลาพักเที่ยงดังขึ้น ทั้งสองคนจึงเดินลงจากดาดฟ้าและแยกย้ายกันกลับไปยังห้องเรียนของตนเอง

 

            กิ้ง~ ก่อง~ ก๊าง~ ก่อง~

            เสียงออดดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป็นสัญญาณที่บอกว่าหมดเวลาเรียนสำหรับวันนี้แล้ว

            “เอาล่ะ เรียบร้อยแล้ว”

            ไวเวิร์นจัดเก็บอุปกรณ์การเรียนทั้งหมดลงสู่กระเป๋าสะพายสีดำอย่างเรียบร้อย จากนั้นจึงลุกออกจากโต๊ะ แล้วเดินออกมานอกโรงเรียน แล้วเดินต่อไปยังทางเดินสู่ตัวเมือง ที่เต็มไปด้วยอาคารบ้านเรือนมากมาย ซึ่งมีทั้งเป็นที่อยู่อาศัย และเป็นร้านค้าต่างๆ ผู้คนเดินขวักไขว่ไปมาบนทางเท้าอย่างไม่ขาดสาย รถยนต์และมอเตอร์ไซด์วิ่งบนถนนอย่างไม่มีหยุด ไวเวิร์นก้าวเดินไปบนทางเท้าอย่างสบายๆ โดยไม่รีบร้อน เนื่องจากว่าเดินไปและกลับจากโรงเรียนเป็นประจำจนเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว

 

            “หืม? ซอยนั้นมัน….”

            ไวเวิร์นหยุดเดินแล้วมองไปที่ซอยเล็กๆ ที่อยู่ระหว่างอาคารหลังใหญ่สองหลัง

            “ถ้าจำไม่ผิด รู้สึกว่าจะเป็นทางลัดนี่นา….งั้นไปทางนี้ดีกว่า~”

            ไวเวิร์นตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางเดินเข้าไปในซอยนี้แทน เขาพอที่จะจำเส้นทางย่อยๆ ของเมืองได้บ้าง จากการที่เขามักจะใช้เวลาว่างมาเดินเล่นในเมืองบ่อยๆ ไวเวิร์นเดินผ่านซอยนั้นอย่างสบายใจ โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่า มีอะไรบางอย่างกำลังดักรอเขาอยู่…..

 

            “เฮ้ย!! ยกมือขึ้น”

            จู่ๆ ก็มีชายร่างสูงใหญ่ปรากฏตัวออกมาจากมุมมืดแล้วพุ่งเข้าใส่ไวเวิร์น มือขวาของเขากำมีดทำครัวยาวประมาณ 1 ฟุตครึ่ง ปลายแหลมของมันจ่อเข้าที่คอหอยของไวเวิร์นในสภาพที่พร้อมจะแทงทะลุได้ทุกเมื่อ

            “ถ้ายังไม่อยากตายล่ะก็ ส่งเงินและของมีค่าทั้งหมดมาซะ!! ไอ้หนู!!”

            ชายร่างใหญ่ขู่กรรโชกด้วยเสียงอันดังก้อง หน้าตาอันโหดเหี้ยมของเขาแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าพร้อมที่จะฆ่าคนอย่างไม่ไยดีได้ทุกเมื่อ โดยปกติแล้ว คนทั่วไปที่รักตัวกลัวตาย ย่อมที่จะหวาดกลัวและยอมทำตามคำพูดนั้นแต่โดยดีแน่นอน แต่ไวเวิร์นนั้น ไม่ได้มีอาการอย่างที่ว่าเลยแม้แต่น้อย ร่างกายของเขาไม่ได้แสดงอาการที่บ่งบอกถึงความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น สายตาอันคมกริบของเขา ยังจับจ้องไปทางชายร่างใหญ่ ราวกับเหยี่ยวที่กำลังจ้องเล่นงานเหยื่อซะด้วยซ้ำ

            “นี่แก!! หูหนวกรึยังไง!? บอกให้ส่งเงินมาไงล่ะเฮ้ย!!”

            ชายร่างใหญ่ตะคอกอีกครั้ง แต่ไวเวิร์นก็ยังคงนิ่ง และยังคงจ้องมองเขาด้วยสายตาที่คมกริบเช่นเดิม

            “ก…แก…ย…อยากตาย…ร…รึยังไง….”

            ชายร่างใหญ่พยายามตะคอกใส่อีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับไม่ใช่น้ำเสียงดุดันเหมือนเดิม แต่เป็นเสียงที่สั่นเครือและดูไม่มีพลังเลยซักนิด อันที่จริง ไม่ใช่แค่เสียงของเขาหรอกที่สั่นเครื่อ แต่ไม่ว่าจะเป็นมือที่กำมีดอยู่ ขาทั้งสองข้าง หรือแม้แต่ร่างอันสูงใหญ่ ต่างก็สั่นเครื่ออย่างควบคุมไม่ได้ไปหมด ใช่แล้ว ในตอนนี้นั้น เขากลับเป็นฝ่ายกลัวซะเองเสียแล้ว ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมจะต้องกลัวเด็ก ม.ปลายเพียงคนเดียวที่ไร้ซึ่งอาวุธ และสามารถตายได้ทุกเมื่อเพียงแค่เขาขยับมือเท่านั้น แต่กระนั้น ตัวเขาเองก็ทำการจี้ทรัพย์จากคนอื่นด้วยมีดทำครัวเล่มนี้มาหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่เคยมีใครที่จะไม่แสดงท่าทีว่าหวาดกลัว แถมยังจ้องด้วยสายตาคมกริบที่ให้ความรู้สึกน่ากลัวขนาดนี้มาก่อนเลย

            “ชั้นจะบอกอะไรให้อย่างนึงละกันนะ…” ไวเวิร์นพูดโดยไม่ละสายตา “จะข่มขู่คนอื่นน่ะ….เขาทำกันแบบนี้!!”

            พลั่ก!!! เคร้ง!!!

            สิ้นสุดคำพูดนั้น ไวเวิร์นก็ก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวแล้วเหวี่ยงขาขวาฟาดเข้าไปที่แขนของชายร่างใหญ่จนกระทั่งมีดหลุดจากมือกระเด็นหล่นพื้น

            “อ้าก!! ก…แก…. อุ้ก!!”

            ปึ้ก!!! ปั้ก!!! โครม!!!

            ยังไม่ทันที่ชายร่างใหญ่จะได้กล่าวอะไร หมัดขวาของไวเวิร์นก็ซัดเข้าที่ลิ้นปี่อย่างแม่นยำ แถมต่อด้วยลูกถีบเข้าที่หน้าอกจนร่างใหญ่โตนั้นกระเด็นไปชนกับกองขยะแถวนั้นจนกระจัดกระจาย

            “น….หนอย….แก…อ…”

            ยังไม่ทันที่ชายร่างใหญ่จะได้ทันลุกขึ้น มีดทำครัวขนาด 1 ฟุตครึ่งของเขาเองก็ได้พุ่งเข้ามาจ่อที่คอของเขา ในสภาพพร้อมที่จะเสียบทะลุได้ทุกเมื่อซะแล้ว

            “อืม….เอายังไงดีน้า….” ไวเวิร์นพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ที่ฟังแล้วชวนให้ขนลุก บวกกับสายตาคมกริบและมุมปากที่ดูเหมือนจะยิ้มเยาะนิดๆ เป็นบรรยากาศที่ไม่ว่าใครก็ต้องรู้สึกไม่ดีสุดๆ อย่างแน่นอน

            “แทงทะลุคอหอยซะเลยดีมั้ยน้า…..”

            ร่างของชายร่างใหญ่สั่นเทิ้มไปด้วยความกลัวอย่างถึงที่สุด เหงื่อไหลออกมาจากต่อมเหงื่อทุกส่วนของร่างกายอย่างไม่มีหยุด ร่างกายทุกส่วนสั่นเครืออย่างควบคุมไม่ได้ ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีขาวซีดและแสดงสีหน้าของความกลัวอย่างเห็นได้ชัด

            “….ฟังนะ” ไวเวิร์นพูดขึ้นอีกครั้ง “อย่าโผล่หน้ามาให้ชั้นเห็นอีก ถ้าชั้นเจอแกคราวหน้าอีกล่ะก็….ชั้นจะฝากรอยแผลชนิดที่ไม่มีวันลบเลือนไปตลอดชีวิตให้กับแกเอง!!”

            สิ้นสุดคำพูดของไวเวิร์น ชายร่างใหญ่ก็อ้าปากขึ้นและพยายามจะพูดตอบออกไป แต่ด้วยร่างกายที่ควบคุมไม่ได้ในตอนนี้ ทำให้ไม่สามารถจับใจความในสิ่งที่พูดได้เลยแม้แต่น้อย แต่ไวเวิร์นนั้นก็ยังพอคาดเดาสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อได้ จึงตัดสินใจยกมือที่กำมีดทำครัวออกจากคอของเขา

            “หวา!!! เหวอ!!! ว้าก!!!”

            ชายร่างใหญ่รีบลนลานลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและวิ่งหน้าตั้งออกจากซอยนั้นอย่างไม่คิดชีวิต เหลือไว้เพียงไวเวิร์นที่ยังคงยืนกำมีดอยู่อย่างนั้น

            “ให้ตายสิ...เลยทำชั้นเสียเวลาไปฟรีๆ เลย…”

            ไวเวิร์นบ่นออกมาอย่างเหนื่อยใจ จากนั้นจึงหันไปมองมีดที่ยังอยู่ในมือและคิดว่าควรจะทำยังไงกับมันดี หลังจากยืนคิดได้ 2-3 นาที ก็คิดขึ้นมาได้ว่าถ้าทิ้งไว้แถวนี้จะเป็นอันตราย เลยตัดสินใจเก็บมีดลงกระเป๋าสะพายและเดินออกจากซอยมุ่งหน้าไปบ้านของซากุระต่อไป

 

            “ในที่สุดก็ถึงซะที…”

            ในที่สุดไวเวิร์นก็เดินมาถึงสถานที่เป้าหมาย ที่แห่งนั้นมีโทริอิสีแดงขนาดใหญ่ ตรงกลางของมันมีป้ายทำจากไม้ที่มีตัวอักษรสีแดงเขียนเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า “ศาลเจ้าฮาคุบะ” ตั้งตระหง่านอยู่ หลังโทริอินั้นมองเห็นบันไดหินอ่อนสีขาวที่ยาวขึ้นไปสุดลูกหูลูกตา ซึ่งคาดว่าน่าจะมีจำนวนขั้นไม่ต่ำกว่าสองร้อยขั้นอย่างแน่นอน

            “ไม่อยากขึ้นไปเลยสิน่า….” ไวเวิร์นบ่นอย่างหนักใจเมื่อเห็นความสูงของบันไดสีขาว ถึงแม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามาที่นี่ แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะต้องบ่นออกมาเวลาที่ต้องขึ้นบันไดที่สูงขนาดนี้ “แต่ก็ช่วยไม่ได้แฮะ…”

            สิ้นสุดคำบ่นนั้น ไวเวิร์นก็ค่อยๆ ก้าวเท้าเดินขึ้นบันไดไปทีละขั้นๆ มุ่งหน้าสู่ศาลเจ้าที่อยู่ด้านบน

           

            ศาลเจ้าฮาคุบะนั้น เป็นศาลเจ้าที่สืบทอดกันมาจากตระกูลของผู้เป็นย่าของซากุระที่มีนามสกุลว่า “ฮาคุบะ” โดยในฐานะที่ “ซากุระ คุรุสุ” เป็นผู้สืบทอดเพียงคนเดียวของตระกูลนั้น เธอจึงต้องรับหน้าที่เป็นผู้ดูแลศาลเจ้าแห่งนี้ในปี ค.ศ. 2082 เมื่อตอนเธออายุแค่ 15 ปีเท่านั้น ซึ่งเธอก็ยังคงทำหน้าที่นี้มาจนถึงปัจจุบัน หรือก็คือปี ค.ศ. 2085 โดยในช่วงที่เธอเพิ่งได้เป็นผู้ดูแลศาลเจ้าใหม่ๆ นั้น นักเรียนแลกเปลี่ยนจากอิตาลี “ไวเวิร์น อัลเดน่า” ก็ได้ย้ายมาอยู่อาศัยใกล้ๆ กับศาลเจ้าพอดี ทำให้ไวเวิร์นและซากุระได้รู้จักกันและกลายเป็นเพื่อนสนิทกัน ซึ่งสำหรับไวเวิร์นแล้ว ซากุระเป็นทั้งเพื่อนร่วมโรงเรียน เพื่อนบ้าน เพื่อนสนิท และเพื่อนเพียงคนเดียวของเขา และเนื่องจากว่าไวเวิร์นนั้นเรียนเก่งมาก เก่งจนกระทั่งสอบได้อันดับ 1 ของโรงเรียนเสมอ จึงทำให้ซากุระ ที่ค่อนข้างจะหัวอ่อนกับวิชาสายวิทย์ทั้งหลาย มาขอให้เขาช่วยติวให้เสมอ ซึ่งไวเวิร์นนั้นก็ไม่เคยปฏิเสธหรือรำคาญเลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะเมื่อเทียบกับสิ่งที่ซากุระมอบให้กับเขาในฐานะเพื่อนสนิทแล้ว เรื่องแค่นี้มันก็แค่เรื่องเล็กๆ

            แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่สามารถทำใจให้ชอบกับการขึ้นบันได้กว่าสองร้อยขั้นแบบนี้ได้ซักทีสิน่า…..

           

            “โอย…ถึงซะที…”

            ในที่สุดไวเวิร์นก็สามารถเดินขึ้นมาถึงชั้นบนสุดของบันไดได้สำเร็จ แม้ว่าจะมาในสภาพเหนื่อยหอบก็ตาม….

            “อ้าว? มาแล้วเหรอ? กำลังรออยู่เลยล่ะ”

            ซากุระที่กำลังกวาดพื้นบริเวณหน้าศาลเจ้าพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม เธอในตอนนี้นั้นไม่ได้สวมชุดนักเรียนแล้ว แต่สวมชุดมิโกะที่ให้ความรู้สึกว่าเข้ากับเธอได้ดีอย่างบอกไม่ถูก

            “นี่…ซากุระ…ชั้นอยากถาม…มาตั้งนานแล้ว…” ไวเวิร์นพยายามพูดทั้งที่ยังเหนี่อยหอบ “เธอ…ขึ้นลง…บันได...แบบนั้น…ทุกวัน…ได้ยังไง….”

            แทนคำตอบนั้น ซากุระชี้ไปที่คอกม้าซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับตัวศาลเจ้า

            “ถ้าหยั่งงั้น…ก็หัดเอา…ม้า…มารับชั้น…ซะบ้างสิ…” ไวเวิร์นพูดบ่นทั้งที่ยังเหนื่อยหอบอยู่

            “โทษทีจ้า~ ก็ไวเวิร์นไม่เคยถามนี่นา~” ซากุระตอบแล้วยิ้มอย่างไร้เดียงสา

            หลังจากสิ้นสุดบทสนทนานั้น ไวเวิร์นก็เดินไปนั่งพิงต้นไม้ใหญ่เพื่อพักเหนื่อยจากการเดินขึ้นบันได ส่วนซากุระก็ไปทำความสะอาดศาลเจ้าต่อในระหว่างที่รอให้ไวเวิร์นนั่งพักจนหายเหนื่อย ประมาณ 15 นาทีต่อมา ทั้งสองคนก็ได้เข้าไปในบ้านของซากุระและเริ่มต้นทำการติวหนังสือกันจริงๆ เสียที

 

            “เฮ้อ~~ ในที่สุดก็เสร็จซะที” ซากุระบิดบี้เกียจหลังจากที่ให้ไวเวิร์นช่วยสอนการบ้านจนเสร็จ

            “นี่...ซากุระ...ชั้นขออะไรกินหน่อยสิ….หิวจะตายอยู่แล้ว….” ไวเวิร์นฟุบหน้าลงบนโต๊ะอย่างหมดแรง

            “อ้ะ!! ตายจริง!! นี่มันสามทุ่มแล้วนี่นา!!” ซากุระร้องอย่างตกใจหลังจากที่หันไปมองนาฬิกาที่แขวนไว้ที่กำแพง “รอแป๊ปนึงนะ เดี๋ยวฉันจะไปทำอะไรให้กินเดี๋ยวนี้แหละ”

            “เร็วๆ หน่อยนะ…”

            ไวเวิร์นตอบทั้งที่หน้ายังฟุบอยู่กับโต๊ะ ซากุระลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินไปที่ห้องครัวเพื่อไปทำอะไรให้ไวเวิร์นกิน ในขณะนั้นเอง

            กิ๊งก่อง~ กิ๊งก่อง~

            เสียงกดกริ่งที่หน้าบ้านก็ดังขึ้นมา เป็นการบ่งบอกถึงการมีผู้มาเยือนยามดึก

            “ไวเวิร์น ช่วยไปดูให้หน่อยสิว่าใครมา?” ซากุระตะโกนบอกจากในครัว

            “ดึกป่านนี้แล้วยังจะมีใครมาอีกล่ะเนี่ย….” ไวเวิร์นบ่นก่อนที่จะลุกจากเก้าอี้และเดินไปที่หน้าประตู         

            กิ๊งก่อง~ กิ๊งก่อง~

            “คร้าบๆ มาแล้วคร้าบ”

            ไวเวิร์นเปิดประตูออกมา เบื้องหน้าของเขาปรากฏร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งดูจาดภายนอกแล้ว น่าจะอายุประมาณ 30+ ได้ หญิงสาวคนนั้นมีผมและตาสีน้ำตาลเข้ม สวมชุดกระโปรงสีแดงปนชมพู ประดับด้วยเครื่องประดับที่ลักษณะเหมือนครีบปลาสีแดงปนชมพูที่ทั้งสองด้านของศีรษะ โดยรวมแล้ว เป็นอาเจ๊ที่สวยไม่เบาเลยล่ะ

            “ซากุระ คุรุสุ อยู่ที่นี่รึเปล่า…?” หญิงสาวเอ่ยปากถามอย่างห้วนๆ

            “เอ่อ…ก็อยู่ครับ…ว่าแต่ มีธุระ….”

            “ใครมาเหรอ ไวเวิร์น?”

            ก่อนที่ไวเวิร์นจะได้เอ่ยปากถามอะไร ซากุระก็เดินมาสมทบเขาจากด้านหลัง

            “คนรู้จักเธอเหรอ ซากุระ?” ไวเวิร์นถาม

            “เอ๋?...เปล่านะ ไม่เคยเจอมาก่อนเลย” ซากุระตอบหลังจากมองดูแขกผู้มาเยือนยามดึก “เอ่อ ไม่ทราบว่าคุณเป็นใครเหรอคะ?”

            “ซากุระ คุรุสุ…” แขกผู้มาเยือนพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเยือกเย็น “เจ้านายของข้าต้องการตัวเจ้า จงมากับข้าซะ…”

            สิ้นสุดคำพูดนั้น หญิงสาวก็เอื้อมมือขวาออกมาหมายจะคว้าตัวสาวน้องตรงหน้าเธอ แต่ว่า….

            หมับ!!

            ไวเวิร์นที่เห็นว่าเรื่องนี้มันชักไม่ชอบมาพากลได้ตัดสินใจคว้ามือนั้นไว้ก่อนที่จะแตะถูกร่างของซากุระ

            “นี่คุณ!! ตกลงว่าคุณมีธุระอะไรกับซากุระกันแน่!?” ไวเวิร์นตวาดใส่เธอคนนั้นอย่างดุดัน

            “….เกะกะชะมัด…ถอยไปซะ…ไอ้มนุษย์!!”

 

            พลั่ก!!! “อ้อกก!!” โครม!!!

            หญิงสาวเหวี่ยงขาเตะไวเวิร์นอย่างเต็มแรง ร่างของไวเวิร์นกระเด็นเข้าไปในบ้านด้วยความเร็วและแรงสูงมาก ราวกับว่าเขาไม่ได้ถูกคนทั่วไปเตะ แต่ถูกแลมโบกินี่ที่วิ่งด้วยความเร็ว 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงชนเข้าอย่างจังเสียมากกว่า

            “ไวเวิร์น~~!!”

            ซากุระตะโกน และพยายามจะวิ่งเข้าไปดูอาการ แต่ก็ถูกหญิงสาวผู้มาเยือนคว้าแขนเอาไว้

            “มากับข้าซะดีๆ ซากุระ คุรุสุ”

            “ปล่อยฉันนะ!!”

            ซากุระพยายามจะดิ้นขัดขืนหญิงสาวคนนั้น แต่ด้วยแรงจับที่มหาศาลราวกับว่ากำลังถูกงูเหลือมรัดแขนอยู่ ทำให้เธอไม่สามารถดิ้นหลุดได้เลย

            “ขัดขืนไปก็เปล่าประโยชน์!! ยอมซะโดยดีเถอะ!!”

            “ไม่นะ!!” ซากุระร้องออกมาด้วยความกลัว “ช่วยด้วย~~~!! ไวเวิร์น!! ไวเวิร์น~~~~~~!!!!”

 

            “ย้าก~~~~~~~~~~~~~~~~~~~!!!!!!!”

            ฉัวะ!!! “อุ้บ~!!!”

            ร่างของไวเวิร์นพุ่งเข้ามาหาหญิงสาวด้วยความเร็วสูง มือขวาของเขาที่กำมีดทำครัวขนาด 1 ฟุตครึ่งฟันเข้าไปที่แขนของเธอคนนั้นเข้าอย่างจัง สร้างบาดแผลขนาดใหญ่จนทำให้เธอต้องยอมปล่อยมือออก

            “ไวเวิร์น!!” ซากุระร้องพร้อมกับวิ่งไปแอบข้างหลังไวเวิร์น

            “ถอยห่างออกจากซากุระซะ!!” ไวเวิร์นตะคอกพร้อมกับชี้มีดไปยังหญิงสาวคนนั้น

            “ก…แก…” หญิงสาวกัดฟันพูดอย่างโกรธแค้นพร้อมทั้งมองไปที่แผลของตนเอง “เจ้ามนุษย์…แกบังอาจสร้างบาดแผลให้ข้างั้นเหรอ!!”

            ครืน~~~~!!!!

            แผ่นดินบริเวณนั้นสั่นสะเทือนรุนแรงมากราวกับว่ากำลังเกิดแผ่นดินไหวระดับ 5.6 ริกเตอร์ และจากนั้น ก็เริ่มมีสิ่งหนึ่งโผล่ออกมาจากพื้นดิน มันคือร่างของมนุษย์ที่อยู่ในสภาพเน่าเปื่อยและเละเกินกว่าที่จะสามารถมีชีวิตอยู่ได้ ซากศพเหล่านั้นค่อยๆ โผล่จากพื้นดินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสาม…สี่…ห้า…จนกระทั่งที่บริเวณนั้นเต็มไปด้วยซากศพนับร้อยที่ยืนล้อมพวกไวเวิร์นอย่างไม่มีทางหนีเสียแล้ว

 

            “จัดการเจ้ามนุษย์จองโอหังนั่นซะ!!”

            หญิงสาวชี้นิ้วไปที่ทั้งสองคนอยู่ พวกซากศพเริ่มเดินหน้าเข้าไปหาทั้งสองตามคำสั่งของผู้เป็นนาย

            “…ซากุระ…เข้าไปหลบอยู่ในบ้านซะ….”

            “เอ๋…? ล…แล้วไวเวิร์นล่ะ…?”

            “ชั้นจะอยู่ข้างนอก…คอยจัดการพวกนี้เอง….”

            “ไม่นะ!! ไวเวิร์น!! แบบนั้น…ว้าย~!!”

            ไวเวิร์นไม่สนใจคำพูดของซากุระ เขาตัดสินใจผลักร่างของเธอเข้าไปหลังประตูบ้าน จากนั้นจึงรีบปิดประตูและล็อคกลอนจากด้านนอกอย่างรวดเร็ว

            “ไม่นะ!!! ไวเวิร์น!!  ไวเวิร์น!!!”

            ซากุระพยายามตะโกนและทุบประตูจากด้านใน แต่ไวเวิร์นนั้นไม่สนใจเสียงของเธออีกต่อไปแล้ว สิ่งที่เขาสนอยู่ตอนนี้ มีเพียงซากศพนับร้อยที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น

            “นี่...ไอ้มนุษย์…ข้าไม่อยากจะเสียเวลากับแกนักหรอกนะ…” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายและเอือมระอา สายตาของเธอจ้องไปที่ไวเวิร์นราวกับกำลังมองมดปลวก “ยอมส่งตัวหล่อนมาซะ แล้วข้าจะยอมยกโทษเรื่องที่เจ้าสร้างบาดแผลให้ข้าก็ได้…”

            ไวเวิร์นยังคงยืนประจันหน้ากับซากศพนับร้อยอยู่อย่างนั้น ร่างกายของเขาสั่นเครือไปหมดทั้งตัวจนแทบจะยืนไม่ไหว ซึ่งเกิดจากความเจ็บปวดที่โดนเตะเข้าอย่างจัง กับความกลัวต่อซากศพนับร้อยเหล่านี้ ถึงแม้ว่าเขาจะใจแข็งขนาดที่โดนโจรเอามีดจ่อคอก็ยังไม่กลัวก็ตาม แต่กับพวกสิ่งที่ไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่า “สิ่งมีชีวิต” เลยแม้แต่น้อยมันคนละเรื่องกันนี่นา ตัวเขาในตอนนี้ไม่เข้าใจเลยซักนิดว่านี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมเขาจะต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย แต่สิ่งที่เขารู้มีเพียงอย่างเดียว คือพวกมันต้องการตัวซากุระ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าต้องการไปทำไม แต่มันก็คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ ถ้าเขาถอยห่างจากตรงนี้แล้วหนีไปซะล่ะก็ พวกมันต้องพุ่งไปหาซากุระทันทีอย่างแน่นอน ดังนั้น ถึงแม้จะไม่อยากทำ แต่เขาก็มีทางเลือกอยู่แค่ทางเดียวเท่านั้น…

            “เข้ามาเลย!!! ไอ้พวกซากศพ!!! ชั้นจะไม่ให้แกได้แตะตัวซากุระแม้แต่ปลายก้อย!!!!”

            “…ชิ…งั้นก็จงตายอยู่ที่นี่ซะ!!!!”

            ซากศพนับร้อยวิ่งเข้าหาไวเวิร์นทันที ไวเวิร์นกำมีดในมือไว้แน่น แล้ววิ่งพุ่งเข้าไปหาซากศพเหล่านั้นอย่างไม่กลัวตายในทันที

            “ย้าก~~~~~~~~~~~~~~~~~~~!!!!!!”

           

            --ในขณะเดียวกัน ที่หน้าโทริอิของศาลเจ้าฮาคุบะ--

            “5…4…3…”

            มีชายปริศนาคนหนึ่งยืนอยู่ที่ด้านล่างสุดของศาลเจ้านั้น ชายคนนั้นสวมผ้าคลุมสีดำที่คลุมมิดไปหมดทั้งตัว มองไม่เห็นแม้กระทั่งร่างกาย หรือแม้แต่ใบหน้า สิ่งที่พอมองเห็นได้ก็มีเพียงแค่มือที่กำลังถือนาฬิกาเข็มพกพาแบบโรมันสีขาวอยู่เท่านั้น

            “2…1…0 เอาล่ะ ได้เวลาแล้ว”

            ชายคนนั้นปิดฝาและเก็บนาฬิกาพกเข้าไปในผ้าคลุม จากนั้นจึงค่อยๆ เดินขึ้นบันไดหินอ่อนไปสู่ข้างบน

            “ได้เวลาที่ผมคนนี้ จะต้องช่วยเหลือผู้สืบทอดตำนานแล้ว”

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา