ลิขิตจันทรา ภาค มายาแห่งดวงใจ (注定月下老人 )
เขียนโดย Wuzhenni
วันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 เวลา 22.20 น.
แก้ไขเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 20.59 น. โดย เจ้าของนิยาย
21) แต่งเสร็จแล้ว
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
" ไง....ไอ้หัวเผือก หลับสบายดีมั้ยล่ะ ห่ะ!"
คำทักทายจากเจ้าของเสียงที่คุ้นเคยมาพร้อมกับเสียงประตูที่เปิดกระแทกเข้ากับผนังบ้าน
เสียงประตูไม่เท่าไหร่ แต่ไอ้เสียงคนเนี่ยสิ...เอาซะสะดุ้งตื่นมานั่งหลังตรงแด่ว คล้ายกับจะรอรับบุคคลสำคัญก็มิปานนัก
ไอ้เผือกนั่งมองเจ้าโย่งร่างบาง พลางบิดเนื้อบิดตัว ยกมือขึ้นปิดปากที่กำลังหาวหวอดๆอยู่
" นึกว่าใคร เจ๊ฟางนี้เอง...ไหน วันนี้มีอะไรเลี้ยงรับแขกบ้างรึเปล่าฮึ? หิ๊ว หิว จะตายอยู่แหล่ะ"
" ไม่มีเว้ย...หิวก็ต้มมาม่ากินไปก่อน มือไม้ก็มี"
" เอ้า.ไม่ได้ซื้อข้าวเย็นมาหรอกเหรอ?" มันถามหน้าบุ้ย คนตอบก็ตอบกลับเหมือนยักษ์ลงพิโรธ
" ไอ้นี้หนิ! อยากกินก็ออกไปซื้อเองสิ เอ้อ!! แหกตาดูบ้างมั้ย รึคิดจะถามไถ่กันบ้างมั้ยว่าไอ้ที่ฉันวิ่งตากฝนมาเป็นยังไงบ้าง ไม่ใช่ถามหาแต่ของกิน ใจคอคงไม่คิดจะเป็นห่วงเพื่อนฝูงเลยล่ะสิ แม่งเอ้ย! "
หญ้าฟางโยนค้อนไม้ไปยังที่ว่างของโซฟาอีกตัวพลางปลดเสื้อสูทสีดำที่คลุมหัวออกมาพาดไว้ที่ไหลแทน ไอ้เผือกนั่งมองตาปริบไม่จะได้ทันปริปากพูดอะไรต่อ เจ้าหล่อนก็ดันโพล่งออกมาให้ฟังเสียก่อน
" วันนี้วันอับโชค อัปมงคลชัดๆ .... สอนนักเรียนวันแรกแม่งทำไมมีแต่เรื่องวะ ห่ะ?"
ประโยคสุดท้ายไม่รู้ว่าถามใคร แต่คิดว่าคงถามมัน..
" ไม่รู้สิ...ไม่ได้ออกไปสอนด้วย"
" เออ!" เสียงตะคอกตอกกลับ นั้นกูว่าแล้ว..องค์ลงใส่กูอีกจนได้
" จะเป็นครูอยู่รอมร่อ จะเอานิสัยเด็กหอเด็กมหาลัยมาใช้กับที่นี้ไม่ได้"
ประโยคลอกมากันเด๊ะ...เอาน่า จะโดนด่าคนเดียวก็ไม่ถูก ถ้ามันจะผิดก้ผิดกันทั้งก๊กเนี่ยล่ะ
"แล้วไอ้ตอนจะย้ายลงมา ทำไมไม่บอกล่วงหน้าซักสองสามวันก่อน มาบอกเมื่อวานตอนตีหนึ่งใครเขาจะเตรียมห้องหับปัดกวาดทันกันล่ะ ฮึ"
" ก็อาจารย์ที่คณะเขาเพิ่งจะทำเรื่องให้หนิเว้ย"
" เขาเพิ่งจะทำ เพราะแกเพิ่งจะบอกให้อาจารย์เปลี่ยนโรงเรียนให้ใช่ม่ะ ? " หญ้าฟางบ่นมันเข้าให้
" แล้วไหนตอนแรกว่าจะกลับไปฝึกสอนแถวบ้าน ทำไมจู่ๆถึงอยากจะย้ายลงมาสอนโรงเรียนนี้ล่ะ"
" อยากมาอยู่เป้นเพื่อนเจ๊ล่ะมั้ง..." มันตอบพลางยิ้มยียวน " อีกอย่าง ฉันเรียนสาขาคอม โรงเรียนแถวบ้าน ยังไม่ค่อยเข้าถึงเทคโนโลยีซักเท่าไหร่ ถึงมีก็มีแต่ไอ้อันพังๆ จะให้ฉันสอนเด็กกับคอมที่มันพังๆแบบนั้น ก็คงไม่ใช่เรื่อง เลยคิดว่าย้ายมาอยู่ที่นี้น่าจะมีเครื่องไม้เครื่องมือพร้อมกว่า"
" งั้นหรอ.." หญิงสาวดูเหมือนจะทำท่านึกอะไรบ้างอย่าง หัวคิ้วขมวดหาเข้ากัน สีหน้าที่คงจะใช่ความคิดมากอยู่พอสมควร
" แล้วใครจะเป็นครูพี่เลี้ยงให้นายล่ะ แต่คงไม่ใช่อาจารย์หลี่หวังหรอก รายนั้นแค่มีฉันก็ลำบากพอดู แต่วันนี้ถ้าฉันตาไม่ฝาดนะ ฉันเหมือนจะเห็นพี่สายรหัสของนาย พี่โจ้ ไง...จำได้ใช่มั้ย?"
มันพยักหน้ารับ พี่สายรหัสที่เพิ่งจบออกไปเมื่อสองปีที่แล้ว
เมื่อก่อนก็เคยออกก๊วนไปดื่มด้วยกันอยู่บ่อยๆ
" นั้นแหล่ะ...เหมือนพี่แกจะเป็นครูสอนคอมอยู่ที่นี้ ฉันเห็นแค่แวบๆเดียว ไม่ได้ทักทายอะไรมากนักหรอก ฉันคิดว่า เดี๋ยวทางฝ่ายวิชาการคงจะให้พี่โจ้มาเป็นครูพี่เลี้ยงให้แกชัวร์เลย"
"มั่นใจยิ่งกว่าตอนเกรดออกซะอีกนะ" มันถามย้อน แววตายิ้มๆกวนๆใส่
"แล้วนี้เดินกลับมาคนเดียว พราวฟ้าไม่กลับมาด้วยกันเหรอ?"
เพิ่งนึกขึ้นได้.... หญิงสาวร่างกระปุก ดึกดึนป่านฉะนี้แล้ว ทำไมถึงยังไม่กลับบ้านพักเสียที
รึจะโดนอาจารยหลี่หวังล็อกตัวไว้ใช้งานอยู่
หึ..คงจะใช่!
ก็เห็นตัวติดกันยังกะปาท่องโก๋ อีกฝ่ายดูจะเอาใจ ตามใจ
ไม่ยักจะด่าแว้ดๆใส่เลยสักหน
หญ้าฟางส่ายหัว ไม่รู้ ก่อนจะลุกเดินตึงตังขึ้นบันได้ไปที่ห้องและลงมาพร้อมกับชุดนอนในมืออีกครั้ง
" จะอาบน้ำ" หล่อนบอกมันที่นั่งอยู่ที่เดิม
ห้องน้ำบ้านนี้อยู่ชั้นล่างมีห้องเดียว แค่อยู่กันสองคนก็แย่งเข้ากันอุตลุด แล้วนี่สามคนจะไม่โยนขันฟาดใส่หน้าแย่งกันหรอกรึ
ยังดีที่มีห้องนอนสองห้อง ถ้านอนสามคนในห้องเดียว..มีหวังใครซักคนที่ต้องกระเด็นกระดอนไปนอนหน้ากระได
" ห้ามแอบดูนะ"
" แหม..พูดยังกะตัวเจ๊น่าพิศวาสตายล่ะ"
ครู่เดียว ขวดครีมอาบน้ำลอยละลิ่วหมายจะให้โดนปากคนพูด แต่ทว่า...ไอ้คนพูดก็ดูท่าจะเตรียมเท้าเตรียมทางวิ่งหนีทีไล่เอาไว้แล้ว มันจึงรอดได้อย่างหวุดหวิด
" โยนกลับคืนมาด้วยดิเฮ้ย!" เสียงคนในห้องน้ำดังขึ้น เพราะลืมเบิกตามองดูให้ดีก่อนที่จะขว้างมันออกไป
" อยากได้ก็ออกมาเอาเองดิ ไม่อยากแอบดูหุ่นไม้ตะเกียบ เดี๋ยวไม่เจริญอาหารเย็น"
มันพูดพลางหัวเราะพลาง คนในห้องน้ำก็ดูเหมือนจะด่าไปตักน้ำราดอาบไป
ความไว้วางใจ เธอย่อมให้กับมันมากตามประสาเพื่อนสนิทที่ไม่คิดข้ามขั้น
ไอ้เผือกรู้...เขากับมัน มีบุญคุณที่ขวางระยะทางความสัมพัธ์ไม่ให้ไกลเกินควร
ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้หวงเฟยฟาง ป่านฉะนี้เขาก็คงกลายเป็นศพถูกฝังไว้ใต้เท้าพวกนักเลงคณะอื่นไปแล้ว
บุญคุณที่มาพร้อมกับมิตรภาพ เขาจึงเป็นผู้ชายคนเดียวกระมังที่หล่อนไว้ใจมากที่สุด
หากบัดนี้บุญคุณหล่อนไม่ใคร่จะเอ่ยถึง เพราะคำว่า เพื่อน เข้าแทรกซึมในจิตใจ
หล่อนเห็นมันเป็นเพื่อนที่ดีและจริงใจ เขาเองก็เช่นกัน
มีหลายคนที่คิดว่าเขากับไอ้หวงเฟยฟางอาจมีความสัมพันธ์ที่ข้ามขั้น มากกว่าการเป็นเพื่อน
" จะบ้าเร๊อะ... เป็นเพื่อนก็จะปวดหัวตายอยู่แล้ว นี่ยังยกขั้นจะให้เป็น สาละมี ไม่เอาล่ะ..ใครอยากได้ก็เชิญ กูไม่อยากมีภาระในหัวเพิ่มว่ะ"
สุดท้ายพอมันเปิดเผยแฟนตัวจริง ถึงจะหลุดจากข้อสงสัย
" แกน่าจะเล่นบทเป็นคู่ควงให้กับฉันอีกซักเดือนสองเดือนก่อน รีบมีแฟนหมดสนุกเลยแหะ"
" สนุกไปคนเดียวเหอะ เจ๊ .... รึถ้าอยากได้คู่ควงก็โน้น ... ไอ้ปวงโชคหน่อยเป็นไง จะได้สนุกกันนานๆเลย ดีมั้ย?"
ไอ้หัวเผือกหยิบขวดครีมอาบน้ำวางไว้บนโต๊ะก่อนจะเอนกายหลับอีกครั้ง
ถึงแม้ท้องจะร้องหิวโครกคราก แต่ใจเขากลับง่วงเงียทั้งๆที่นอนเต็มอิ่มมาแล้วตั้งแต่บ่าย
เปลือกตารู้สึกหนักอึ้งจนทนต่อไปไม่ไหว อาจจะเพราะบรรยากาศข้างนอกที่เย็นชื้น
รึจะเพราะมนต์มายาจากเบื้องบนรึเปล่า ก็ไม่ทราบได้
ความฝัน....ดูเหมือนเขาจะหลับจนเข้ามายังอีกโลกหนึ่งที่มนุษย์ต่างก็รู้จักกันดี
เสียงของใครบางคนดังขึ้นในฝันนั้น
" กลับมาที่นี้อีกทำไม" เขาลืมตามอง ภาพของคนในฝัน เขาจำได้ดีทีเดียว
" แม่ " คนที่ถูกเอ่ยขานยิ้มรับให้
รอยยิ้มอันหอมหวนแต่แฝงความเศร้าไว้ในดวงตา
ยามที่แม่ของเขามีชีวิตอยู่ รอยยิ้มแบบนี้ น้ำเสียงแบบนี้ มีรึจะได้เห็น
" ผมจะกลับมาล้างแค้นให้กับแม่ "
" การล้างแค้นมันไม่ใช่สิ่งที่ตัดขาดจากบ่วงแค้นของตน ยิ่งแค้นก็ยิ่งทุกข์ "
" แต่ความแค้นสมควรที่จะได้รับการชำระ ที่ผมกลับมาที่นี้ ก็แค่อยากจะกลับสะสางเรื่องราวให้มันจบๆไป" เขายิ้ม นัตย์ตาเต็มไปด้วยเพลิงแค้น ลุกโชน
" พวกมันทำกับพวกเรา ทำกับแม่...มันควรแล้วหรือที่เราจะดับไฟในอกให้หายมอดได้ง่ายๆ"
แม้วันที่วิญญาณของมารดรจะมิอาจหวนกลับเข้าร่างได้อีก
แต่ใช่ว่าสายใยรักนั้นจะจางหาย
เขายังคงจดจำภาพทุกเศษเสี้ยววินาทีที่แม่อยู่ข้างกายเขาเสมอ
และเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นทั้งหมด
" ใครเป็นคนบอกลูก?"
" น้าพิมพ์เล่าให้ผมฟังทุกอย่างว่าแม่ถูกข่มเหงรังแกมากขนาดไหนจากไอ้พวกตระกูลจาง ขนาดตายไปมันยังกักขังแม่ไว้ ไม่ให้ไปผุดไปเกิด เรื่องพวกนี้ใช่ว่าผมจะปิดตาปิดหูไม่รับรู้กับสิ่งที่มันเคยเกิดขึ้นกับที่นี้"
" แต่มันเป็นเรื่องของอดีต " หล่อนตอบเรียบๆ แววตาทุกข์ระทม เจ็บช้ำในสิ่งที่เป็นอยู่
" ให้แม่รับผิดชอบกับอดีตของตัวเอง อย่าได้หวนกลับมา
เป็นเครื่องมือของเทพแห่งยมโลก!"
มันทอดมองเงาร่างของผู้เป็นแม่ที่เริ่มสลาย
เสียงร่ำไห้รำพันที่ยังคงเอื้อนเอ่ย ปานดุจหัวใจนั้นร้อนรนเพราะไฟในบ่วงกรรม
เมื่อคนแห่งแดนยมโลกปรากฏกาย
วิญญาณที่ถูกกักขังจะได้รับการปลดปล่อย
หากแต่ข้อเสนออันทำให้หล่อนยากที่จะฝืนใจรับมัน
" เจ้ารู้ใช่มั้ย? ว่าข้าคือใคร"
เจ้าแห่งนรก มีรึที่วิญญาณทุกตนจะไม่รู้จัก
"ทราบกระหม่อม.." หล่อนน้อมกายคำนับเงาร่างสีดำที่ยืนอยู่เบื้องหน้า
" คงจะทรมานมากซินะ วิญญาณที่เต็มไปด้วยเพลิงพยาบาทเยี่ยงเจ้า ...วิญญาณที่ถูกขังอยู่แต่ในบ้านไม้หลังเก่าจมปลักอยู่ในห้วงแห่งอดีตมาแสนนาน... คงจะไม่รังเกียจอะไร ถ้าหากข้าอยากจะเป็นผู้ปลดปล่อยวิญญาณเจ้าด้วยน้ำมือของข้าเอง"
" เป็นพระกรุณายิ่งนัก" วิญญาณสาวเงยหน้ายิ้มมอง ผู้กุมอำนาจชะตาชีวิตทั้งมนุษย์และวิญญาณทั้งหลาย หากแต่ความปลื้มปิติบังเกิดแค่ชั่วขณะ เมื่อสุรเสียงในประโยคต่อไปเอ่ยขึ้น
" แต่ข้าไม่ใช่เทพที่ใจดีมากขนาดนั้น..อย่าลืมสิว่า ข้าคือเทพผู้มอบความตายให้กับสิ่งมีชีวิตทุกสิ่ง และข้าก็ชอบให้มนุษย์ตาย เพราะไฟแค้นแรงรักของตัวเอง ก็เหมือนกับที่เจ้าตายเพราะลุ่มหลงหมกหมุ่นอยู่แต่กับรักที่เห็นแก่ได้นั้นไงเล่า"
" ท่านต้องการสิ่งใดก็จงบอกแก่กระหม่อมเถิด" น้ำเสียงที่เคารพยำเกรง ทว่า...ในใจของคนที่เอ่ยออกมานั้นรู้ดี
เทพแห่งนรก เทพแห่งความตาย....
ไม่ได้มีใจกรุณาเมตตาแก่วิญญาณชั้นต่ำอย่างหล่อน
หากคงมีสิ่งที่ท่านเทพปราถนา
แต่มันคือสิ่งใดกัน?
" ชีวิตของลูกชายเจ้า!" คำตอบนั้นดุดัน กร้าวแกร่ง สมกับเป็นวาจาของผู้กอบกุมชะตาชีวิตแห่งมวลมนุษย์
" เหตุใดต้องเป็นลูกชายกระหม่อม เพื่ออะไร?"
"เพื่อแก้แค้น!"
" แต่ลูกชายกระหม่อมไม่เคยมีความแค้นกับใคร ไม่เคยเลย" หล่อนเอ่ยเสียงสั่นพร่าเพราะในใจนั้นหวาดกลัวต่อเงาร่างทะมึนนั้น
" เจ้าแน่ใจรึว่า ลูกชายเจ้าจะไม่คิดแค้นเคืองโกรธกับคนที่ทำให้แม่ลูกต้องพลัดพรากจากกัน..."
" กระหม่อมแน่ใจ หากทุกอย่างยังคงเป็นความลับ"
" แล้วเจ้าล่ะ กับคนที่ฆ่าเจ้าแล้วยังสะกดวิญญาณมิให้ไปผุดไปเกิดได้อีก"
" กระหม่อมก็ไม่คิดที่จะผูกจิตอาฆาตกับคนๆนั้นอีก ยิ่งแค้น ความทุกข์ก็ยิ่งพอกพูน หากมิใช่คนที่ฆ่ากระหม่อม จะยังชดใช้กรรมอยู่ในปรโลกหรอกหรือ?"
"เจ้านี้แปลก" เทพแห่งยมโลกเอ่ยขึ้นมา แววพระเนตรจ้องมองมาด้วยความสงสัย
" ข้าเคยเห็นแต่วิญญาณที่จ้องแต่จะผูกจิตคิดพยาบาท จองล้างจองเวรกันไม่สิ้น"
" คงเป็นเคราะห์ดีที่วิญญาณของกระหม่อมถูกชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ แม้นจะถูกจองจำอยู่ในบ้านหลังนี้ด้วยความทรมานใจก็ตาม"
" ใครเป็นคนชำระจิตใจเจ้า....พระเถระรูปใดกัน?"
" มิใช่พระเถระใด" หล่อนตอบพลางยิ้มอิ่มเอบ สุขใจ " แต่เป็นเพราะเทพผู้เฒ่าจันทราต่างหากที่ทรงเมตตา สั่งสอนให้กระหม่อมรู้จักให้อภัยในทุกสิ่ง"
แม้จะหยุดย้อนเวลามิให้วิญญาณสาวได้เอ่ยชื่อนั้นอีก ก็มิสามารถจะกระทำได้
ชื่อของเทพที่เป็นศัตรูคู่อริกัน....เทพที่กอบกุมชะตาชีวิตของมนุษย์ด้วยอำนาจแห่งรัก
ไม่ใช่อำนาจมืดจากแดนยมโลก...
" ผู้เฒ่าจันทราอีกแล้วรึ" เสียงของผู้ทรงอำนาจเอ่ยออกมา น้ำเสียงบ่งบอกถึงความไม่ชอบใจเป็นอย่างยิ่ง
" ท่านผู้เฒ่าจันทรา บอกแก่กระหม่อมว่า ความรักมิได้หมายถึง รักที่เป็นตัณหา หากแต่เป็นรักที่เป็นบ่อเกิดจากการให้อภัยและหยุดจองเวรซึ่งกันและกัน"
" แต่ความรักก็เป็นบ่อเกิดแห่งความโง่งมในจิตใจ บางคนก็ตายเพราะความรักอันขาดสติของตัวเอง และไอ้พวกที่ชอบบูชาความรัก ข้าก็มักจะสนองให้พวกมันตายเพราะความรักที่มันมี!"
นี้อาจจะเป็น สงครามแห่งเทพ..
หล่อนไม่อาจขอร้องหรืออ้อนวอนสิ่งใดกับผู้มีอำนาจในใต้หล้า
ผู้ลิขิตชะตาชีวิตของมนุษย์ได้
คำสั่งย่อมเป็นคำสั่ง มิอาจขัดอำนาจจากท่านผู้นั้น
" จงรอลูกชายเจ้าอยู่ที่บ้านหลังนี้ต่อไป และอย่าได้คิดปฏิเสธคำขอของข้า ถึงอย่างไรชีวิตของลูกชายเจ้า หากไม่อยุ่ในมือข้าก็อยู่ในมือของข้าบาทแห่งยมโลก
ศาสวัต..."
หล่อนจะไปรู้กาลข้างหน้าได้อย่างไร แม้จะเป็นวิญญาณแต่มิใช่เทพ
ที่ดลบันดาลให้วงล้อแห่งโชคชะตาหมุนเวียนเปลี่ยนผัน
คำสั่งที่กำลังเปลี่ยนชีวิตลูกชายของหล่อน ให้กลายเป็นเครื่องมือในสงครามระหว่างเทพ
เปลี่ยนพื้นโลก
ให้เป็นสนามรบ....
ระหว่างเทพเจ้าแห่งความตาย
และเทพแห่งความรัก
มนุษย์จะต้องการสิ่งใดมากกว่ากัน มีชีวิตอยู่บนโลก ร้างไร้อารมณ์สิเน่หาในจิตใจ
หรือจะขวนขวายหาความรัก แม้ชีวิตจะแขวนอยู่บนเส้นด้ายเพียงเส้นเดียว!!
ท่านรองฯ กำลังเดินมุ่งหน้าไปยังตึกเรือนเหลือง อันเป็นที่พำนักพักนอนมากกว่าสำนักงาน หรือ ตึกทำงานอย่างที่ควรเป็น
นานแล้วที่เขาไม่ได้กลับไปแวะเวียนบ้านที่แท้จริง
แต่เขาย่อมรู้....ผู้คนในบ้านไม่ใคร่จะยินดีต้อนรับนับตั้งแต่ที่เขาเหยียบย่างก้าวเท้าเข้าไป
สีหน้าของจางกง ผู้เป็นบิดา เมื่อเห็นลูกชายคนเล็กเพียงเสี้ยววินาทีเดียว...
รอยยิ้มที่ตระเติมประดับไว้บนดวงหน้ากับแววตาเยือกเย็นดุจก้อนหิมะนั่น
ฉับพลับ..รอยยิ้มก็เหือดหาย
ใช่! มีพ่อคนใดจะจำลูกของตัวเองไม่ได้กันเล่า
ถึงแม้คนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าจะเป็นร่างของลูกชายตน
ทว่า...อำนาจแห่งวงเนตร มันเปลี่ยนไป
เหมือนมิใช่คนเดียวกัน!
ม่านสีดำปกคลุมผืนฟ้าไว้จนมืดมิด แสงสุดท้ายของวันนี้ล่วงลับดับหาย
มีแต่จันทร์นวลผ่องส่องแสงอำไพร่ายไล่ไปทุกแห่งหน
เงาของใครคนหนึ่งกำลังเคลื่อนตัวโผล่ออกมาจากมุมทางเดินของตึก
ละออศศิกรอร่างของคนผู้นั้น จนเขาเห็น..
หญิงชราอายุมองดูคร่าวๆ คงจะยังไม่เกินแปดสิบ กับชุดอาภรณ์กี่เพ้าสีขาวตัวโคร่ง กางเกงแพรจีนสีน้ำเงินเข็ม ชายผ้าลูกไม้สีชมพูอ่อนๆที่คล้องลำคอไว้สองข้างปลิวรับลมที่พัดผ่านแทรกเข้ามาตรงทางเดิน
เส้นผมสีดอกเลาคล้ายแพรไหมสีเงินรวบขมวดไว้ที่ท้ายทอย
แลดูสง่า น่าเกรง แต่นิ่มนวล
ยิ่งเห็นรอยยิ้มไม่ต่างจากทรงกลีบใบไม้อ่อนแล้วไซร้
อุปาทานเลยว่า...สมัยยังสาวคงสวยพริ้ง ไม่มีที่ติ
" อาจารย์แม่" ชายหนุ่มกล่าวแต่ไม่รู้ว่า นี้คือ การทักทาย หรือ เพียงแต่จะพูดออกมาเพราะตาเห็นเท่านั้น
" ท่านรองฯ" หล่อนก้มศรีษะทำความเคารพเล็กน้อย ท่านรองฯ เหลือบตามองเห็นตะกร้าในมือของอีกฝ่าย
" กำลังจะไปไหนรึครับ?"
" อ๋อ..จะเอาของไปเยี่ยมท่านอาจารย์ฉัตรสุดา เห็นว่าเพิ่งออกจากโรงบาลกลับมาที่บ้านพักแล้ว ใช่มั้ยคะ ท่าน?"
" ครับ...แต่มาแค่ช่วงบ่ายๆ ลูกหลานเขาขอผมมาลาแทน บอกว่าจะพากลับไปพักฟื้นที่บ้านบางไผ่"
" อ้าว..แล้วกัน พิโธ่" อาจารย์แม่ยืนเท้าเอว สั่นหัวนิดๆ ก่อนจะพรายยิ้มให้เห็น
" กะรอให้ฝนหยุด แล้วจะออกไปเยี่ยมซะหน่อย แล้วนี้..ท่านรอง "
หล่อนคิดจะซัก เพราะเสื้อคลุมสูทสีดำอันเป็นอาภรณ์ที่ติดตัว เสมือนสัญลักษณ์ประจำกาย
อาภรณ์สีขรึม คงมิเท่าใจคนที่มืดมิด
ปิดกั้นทุกๆอย่าง ไม่ให้ก้าวผ่านบานประตูในเขตแดนของหัวใจ
ความรักจะไม่มีวันย่างกรายเข้ามาถึง!
" อ๋อ....ผมเพิ่งไปเยี่ยมท่านอาจารย์ฉัตร ขากลับฝนมันตก ก็เลยเปียก..."
" ค่ะ...เปียกมากเสียด้วย" อาจารย์แม่พยักเพยิด พลางสำรวจตรวจมองด้วยแววตาเป็นห่วง
"แล้วสื้อสูทล่ะคะ...หายไปไหน"
" คงจะรีบ เลยลืมทิ้งไว้...ที่ไหนซักแห่ง" แทนที่เขาจะตอบความจริงออกไป น่าแปลกที่เขาไม่อยากจะพูดถึง
เด็กสาวร่างสูงที่ริบังอาจคิดค่าซักรีดต่อหน้าต่อตาเขา โดยไม่รักษามารยาทตามแบบฉบับเด็กไหว้ผู้ใหญ่รับ
เขาน่าจะกระชากเสื้อสูทกลับมาเสียก็ดี ผู้หญิงแบบนี้..มารยาไม่มี แต่เลห์เหลี่มแพรวพราว ปากกล้าเก่งกร้าว
ไม่น่าเชื่อ.. คนที่ได้รับเลือกจากเทพแห่งจันทรา
สตรีที่จะมากอบกุมชะตาลิขิตหัวใจแห่งบุรุษ..หัวใจของผู้ที่มาจากแดนความตาย
เฉกเช่น ตัวเขา!
" อุตส่าห์ทำข้าวต้มร้อนๆเอาไว้ให้ เสียดาย..แล้วอย่างนี้จะเอาไปให้ใครกันล่ะเนี่ย" หญิงผู้มากวัยบ่นอุบอิบ
" ท่านรอง ทานอะไรมาแล้วหรือยัง?" ชายหนุ่มยกมือปฏิเสธคำชวนที่ส่งผ่านแววตาคู่นั้น
" ยังครับ...แต่ถ้าจะให้ผมทานล่ะก้อ..ผมไม่ขอรับไว้เสียจะดีกว่า คิดว่า..หลี่หวังคงจะจัดเตรียมโต๊ะอาหารไว้ให้แล้ว เผอิญผมมีประชุมงานกับเขา"
" จะไปลำบากลำบนอาจารย์หวังเขาทำไม..รึท่านรองคงจะเบื่ออาหารฝีมือแม่ครัวโรงเรียนแล้วงั้นสิ"
หล่อนเอ่ยงอนๆ ชายหนุ่มเคลื่อนมุมปากยิ้มเล็กน้อย พลางโค้งตัวกล่าวขอโทษว่า
" ไม่ใช่อย่างที่ท่านอาจารย์เอ่ยเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ผมเกรงใจแล้วก็กลัวจะเสียน้ำใจหลี่หวังเขาอีก ผมว่า ควรจะมอบให้ใครสักคน"
" ถ้าในความหมายของท่านรอง คือ ป้าน้อมล่ะก้อ...ป่านก็คงนอนอุตุอยู่ที่บ้านพักแล้วล่ะ"
" ไม่ใช่ป้าน้อม" ท่านรองจ้องตา มั่นใจ
"อาหารคนป่วย ถ้าหากจะให้กับคนที่นอนป่วยเพราะวิ่งกระหืดกระหอบหนีฝนมา คงจะดูเข้าท่ากว่า แต่อย่าให้อีกฝ่ายรู้ เดี๋ยวจะปัดหม้อข้าวต้มหกกระจุยกระจาย เสียดายของหมด!"
จบตอนที่ 21
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ