ลิขิตจันทรา ภาค มายาแห่งดวงใจ (注定月下老人 )
เขียนโดย Wuzhenni
วันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 เวลา 22.20 น.
แก้ไขเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 20.59 น. โดย เจ้าของนิยาย
20) เขียนเสร็จแล้ว
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ท่าทางของคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากตัวเขา ดูจะตระหนกตกใจอยู่ไม่ใช่น้อย
ก็แน่ละ...ดวงหน้าที่ขาวซีดเหมือนกับผิวศพ
ซีดขาวราวกระดาษ ไม่มีเลือดฝาดให้เห็นเลยซักกะนิด
แม้แต่เจ้าของร่างก็เคยประหวั่นพรั่นพรึงเงาร่างของตนอยู่บางครา
ชายร่างสูง ผมเผ้าที่เคยจัดทรงมาอย่างดีในตอนเช้าดูเหมือนจะเปียกซ่กๆ พอๆกับเสื้อชุดสูทสีดำที่พาดไว้ตรงช่วงแขน แววตาที่เขามองมายังแขกที่ปรากฏตัว..
ไม่รู้ว่ากำลังฉายความรู้สึกออกมาในรูปแบบไหน
ตำหนิก็ไม่ใช่...จะด่าก็ไม่เชิง
แววตาที่คล้ายแฝงซ่อนในสิ่งหนึ่ง ทั้งเขาและเธอก็มิอาจรับรู้ได้ว่า เจ้าสิ่งนั่นคืออะไร
สภาพที่เปียกม่อลอกม่อแลกของทั้งคู่ หากแต่ยังดีที่ ไอ้คุณหุ่นนิ่ง หน้าซอมบี้ คงจะโชคดีที่เข้ามาหลบได้ทันก่อนที่สายฝนจะแปรสภาพกลายเป็น ห่าฝน
เปรียบกับตัวหญ้าฟางเอง หล่อนก็คงไม่ต่างกับ หมาน้อยตกน้ำ..เอ๊ะ ไม่ ไม่..รึจะเป็นแมวน้อยยั่วสวาทดีล่ะหว่า
ก็แหม...เสื้อนักศึกษาสีขาวแนบเนื้อ ดีหน่อยที่หล่อนยังมีเสื้อกล้ามคลุมทับไว้อีกชั้นหนึ่ง ไม่อย่างงั้นอีตาเฒ่าซอมบี้คงจะเลือดพุ่งเสียประไร
หญ้าฟางถอยเท้าออกไปเตรียมพร้อมจะหันหนี
" จะไปไหน" เสียงของเขาดังแทรกขึ้น แม้สายฝนจะโหมกระหน่ำลงมาแรง แต่เสียงดูเหมือนจะดังยิ่งกว่าเสียงฮึมๆของฝนมากกว่า
หญ้าฟางเหลียวหลังกลับมายืนประชันหน้ากับเขาที่ตอนนี้คนเอ่ยถามยืนหันข้าง ไม่สบตากับหล่อน
" ก็กลับบ้านพักสิ ถามได้"
" จะวิ่งออกไปให้ฝนฟ้ามันผ่าใส่หัวเธอรึไง?"
อ้าว..พูดงี้ ฮอร์โมนวัยทองมันพล่านหาฝ่าเท้ารึไง ห่ะ อีตาเฒ่าเอ๊ย!
"ผ่าก็ผ่าดิ ไม่ใช่คนขี้ป๊อด บ้านพักอยู่ใกล้ๆแค่นี้ วิ่งเดี๋ยวเดียวเดี๋ยวก็ถึง" หล่อนเชิดหน้าใส่ ก่อนจะวิ่งตุ้บตั้บฝ่าสายฝนออกไป ไม่ได้หันกลับมาสบตาเรียวสวยดั่งดวงตาของเหยี่ยวที่ไม่ได้ละสายตาจากเหยื่อ หากแต่ยังดีที่ปล่อยให้เหยื่อสะบัดก้นวิ่งหนี ไม่ตีปีกเข้าไปจิกหัวด่าว่าแต่อย่างใด
เงารางๆ ของประตูรั้วหลังโรงเรียนที่เดินไปเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น ปรากฏให้เธอได้เห็น
เหมือนปากทางสวรรค์ที่อยู่ห่างแค่เอื้อมเท้าที่จะเดิน...
...วิ่งตากฝนกลับไป ก็ยังดีกว่ายืนหลบฝนแต่ไม่หลบสายตาคนอื่น
น่ากลัวว่าจะแอบคิดมิดีมิร้าย...ตามสโลแกนเพลงที่เคยฟัง เห็นเงียบๆแต่ฟาดเรียบ นั้นน่ะ
หญ้าฟางบุ้ยปากใส่ ทั้งๆที่รู้ว่าอีกฝ่ายจะไม่แยแสอะไรมากก่อนจะวิ่งตุ้บตั้บไปยังประตูรั้วทันที
" ล็อก" หญิงสาวอุทานขึ้นในใจ เพราะกลัวเสียฟอร์มคนที่ยืนอยู่ที่หลบฝน
" เวรเอ๊ย...ยังไม่ถึงเวลาปิดประตูโรงเรียนหนิ ไอ้หมาตัวไหนมันมาล็อกไว้วะ"
อุทานไม่พอ เสียงบ่นอุบอิบในใจจนแทบจะโพล่งออกมา นึกไม่ถึง..ว่าคำด่าในใจจะได้ยินไปไกลถึงหลังเมฆกลุ่มหนึ่ง
" ท่านผู้เฒ่าจันทรา...ท่านกลายเป็นหมาไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ฮึ?"
ในระยะทาง ไม่ไกลกัน..ประตูรั้วกับบ้านพักที่เขาหลบฝนอยู่นั้น ซึ่งก็ไม่ใช่บ้านพักของใคร ก็ของลุงยามปากพระร่วง
หากแต่เจ้าของบ้านคงกลับไปยังบ้านเดิมของตน
ท่านรอง แหงนหน้ามองดูกลุ่มก้อนเมฆสีทะมึนที่ดูอย่างไรก็ไม่มีวี่แววว่าจะจางหาย
เขาพลิกข้อมือดูเวลา...หกโมงครึ่ง อีกเดี๋ยวก็ทุ่มตรง
ถึงฝนจะหยุดตก แต่ความมืดก็ไม่มีทีท่าว่าจะเลือนหาย
ความมืดย่อมคู่กับใจที่มืดมิด
" ท่านหนีงาน" คำกล่าวในใจที่ส่งไปยังเบื้องบน
" เป็นฝีมือของท่าน ใช่มั้ย? ท่านผู้เฒ่า"
" ท่านเทพหยู่วซือ มิใช่ข้า" คนตอบยิ้มขัน
" อีกอย่างข้าไม่ได้หนีงาน หากแต่ข้ากำลังทำงานอยู่ต่างหาก"
ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะแย้งกลับ เสียงหายใจหอบฮั่กๆก็ดังขึ้นอยู่ด้านหลัง
" โฮยย...จะหาค้อนไปทุบกุญแจ บ้านหลังนี้มีค้อนหรืออะไรแข็งๆบ้างม่ะ?"
หญ้าฟางเดินกระฟัดเฟียดหน้าเหวี่ยงอยู่ทางด้านหลังของเขา สภาพจากที่เปียกจนโชกกลายเป็นเปียกโครตๆไปทั้งตัว
" ประตูล็อกงั้นเหรอ?" เขาถามโดยไม่หันกลับมามอง ในขณะทีคนตอบก็สาละวนหาของไปเรื่อย
" อือ ไม่รู้ว่าใครมันมาล็อก ยังไม่ทุ่มหนึ่งเลย.."
เขาเงียบไม่ตอบ แต่ในใจนั้นรู้คำตอบดี
" วันนี้มันวันซวยอะไรก็ไม่รู้ เข้าสอนก็เข้าผิดห้อง เด็กนักเรียนหัวเราะก๊ากๆเย้ยเราเป็นว่าเล่น แถมวันนี้ปฐมนิเทศวันแรกแบตโทรศัพท์ดันหมดซะงั้น วิ่งแจ้นกลับไปเอาสายชาร์จที่บ้านพัก ไอ้เรารึ..รู้อยู่แล้วว่ายังไงคงไม่ทัน ก็ฝากเด็กคาบข่าวมารายงานก่อน ไม่นึกว่าจะเป็นเด็กใหม่ โดนอาจารย์หวังด่าซะเละ...คงเป็นเพราะตั้งแต่เจอหน้าคุณเมื่อเช้ากระมัง รึคุณว่าไง?"
" ไม่รู้" เขาตอบ นิ่ง แต่ความหมายไม่ได้นิ่งเหมือนน้ำเสียง
ออกแนวยียวนชวนเตะซักป้าบ
" เธอจะซวยเรื่องอะไร จะเป็นอะไร มันก็เรื่องของเธอ. ไม่เกี่ยวกับหน้าของฉัน..แล้วฉันก็ไม่ใช่พวกนักเลงที่แส่ยุ่งเรื่องของชาวบ้านเขาไปทั่ว"
" แหม....แล้วไอ้ทีตอนเมื่อเช้า ไอ้คนที่มาด่าฉันว่า ไม่มีมารยาทเนี่ย คนๆนั้นคงไม่ค่อยจะแส่เรื่องชาวบ้านซักเท่าไหร่เลยนะ อีลุงเฒ่าเอ๊ย..."
สิ้นสุดแค่ปลายประโยค ดวงหน้าคมสันก็แลหันกลับมามองหล่อนด้วยสายตาเย็นยะเยือกยิ่งพร้อมแสงวะวาบจากปลายฟ้าที่กระทบเข้ากับโครงหน้าอันสมบูรณ์
แต่น่ากลัว!!
แววตาที่มองมายังหล่อนนั้นแหล่ะ..เหมือนปีศาจก็ไม่ผิดนัก
จู่ๆหญ้าฟางก็รู้สึกหนาวสั่นสะท้านไปทั่วร่าง
บอกไม่ได้ว่าตอนนี้หล่อนกลัวที่ตัวเขาหรือสายตาของเขา หรือทั้งหมดกันแน่
แต่สิ่งหนึ่งที่คนหัวไวไหวพริบดีอย่างหล่อนสามารถรับรู้ได้
ก็คือชายคนนี้....
ใช่...หลักฐานที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า เส้นผมสีดอกเลาที่ประปรายอยู่ขอบหน้าผากกว้าง ดวงพักตร์หล่อคม ทว่า...กลับไร้เสน่ห์
มีอะไรที่แปลกไป
แสงอสุนีกระจ่างวาววาบลงตรงหน้าเขาคนนั้นอีกครั้ง
คราวนี้ ไอ้สิ่งที่แปลก กลับเด่นชัด ไม่แปรเปลี่ยน
เงาร่าง กายาลักษณ์ คือตัวเขา แต่มีบางสิ่งที่มันวิ่งผ่านม่านเงาลูกตาของหล่อน
จิตใจนั้นไซร้ อาจมิใช่เขา
" ไอ้เฒ่า? พูดจริงใจดีนะ" เขาเอ่ยปากที่หล่อนย่อมรู้ดีว่านั้นคือการด่าอย่างเนียนๆ
นอกจากเบ้าหน้าที่หมือนกับซาตานแล้ว ผู้ชายผู้นี้คงมีปากไว้เป็นอาวุธ
แค่เห็นหน้าค่าตาก็พาลไม่ค่อยอยากจะเสวนาด้วยเท่าไหร่
นี้คำพูดคำจายังห้วนใส่ซะไม่มี ออกแนวกึ่งประชดประชันแดกดันเก่ง
แบบคนมีการศึกษานั้นแหล่ะ...เพราะแต่ไหนแต่ไรมาหล่อนมักจะเจอะเจอคนชอบด่ามากกว่าจะประชดกันให้ยืดยาว
ด่าเหมือนไอ้กุ๊ยข้างถนน และหล่อนก็เจริญรอยตามสิ่งที่พวกมันปราถนา
คือ ด่าคืนเสียให้ยับแล้วค่อยจับมันทุ่มใส่เสา
หล่อนเป็นหล่อน เจอคนดีก็ดีตอบ เจอคนเลวก็เลวกลับ
แต่คนแบบที่หญ้าฟางกำลังเผชิญอยู่
จะดีจะเลว มันก็ก่ำกึ่งอยู่แปลกๆ!
"ทุกสิ่งอย่างบนโลก ย่อมมีเกิด แก่ เจ็บและตาย โดยเฉพาะมนุษย์ จะแก่ช้า แก่เร็ว สุดท้ายก็ต้องเกิดขึ้นกับทุกคน การที่เธอด่าฉันว่า ลุงเฒ่า ฉันจะไม่ถือสาหาความอะไร เพราะถ้ารอยตีนกาโผล่บนหน้าเธอเมื่อไหร่ เธอก็จะเป็นยายเฒ่า ไม่ต่างจากฉัน " เขาพูดต่อ หากแต่หญ้าฟางส่ายหน้าสั่นหงึกๆ
" เหรอคะ... ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ฉันคงต้องเก็บตังค์ไปทำศัลยกรรมตอนแก่ดีกว่า จะได้ดูเป็นยายเฒ่าหน้าเด็ก "
หล่อนหัวเราะยิ้มเหยียดมุมปากเล็กน้อยก่อนจะฉุกคิดขึ้นได้เมื่อสบตากับ ไอ้คุณเฒ่าซอมบี้
คนที่ควรยิ้มเหยียดสมเพชมิใช่เธอ...
รอยยิ้มแห้งเหือด หดหาย
แววตาสีนิล เย็นชา ไร้ความรู้สึกในสิ่งใด
ทว่า...จิตใจนั้นฤา จะปฏิเสธกับสิ่งที่ตนนั้นได้เห็น
ใบหน้าที่เริ่มแดงเพราะเม็ดเลือดทำงานได้ดีตามธรรมชาติ เมื่อได้รับรู้ถึงแรงกระตุ้น
จากสายตาของอีกฝ่าย
เขาน้อมศรีษะเป็นเชิงขอโทษและเข้าใจในปฏิกิริยาของหญิงสาวก่อนจะหันหลังกลับไปเหมือนเก่า
มารยาทที่ถูกเพาะบ่มมาอย่างดี
ขนาดไอ้พวกครูปากยาว กวนประสาทมากแค่ไหนแต่ก็ยังรักษามารยาทของมันไว้ได้
แล้วถ้าเป็นไอ้ท่านรองมาเจอหล่อนในสภาพแบบนี้?
มีหวังโดนจับเซ็นใบขาวพ้นสิทธิ์จากการฝึกสอนชัวร์!
เขาหันหลังให้หล่อน ความรู้สึกที่ไม่มีอะไรให้เจ้าหล่อนต้องแคลงใจ
จากซอมบี้ผีนรก คงไม่กลายเป็นเฒ่าหัวงูไปได้หรอกน่า
และถึงจะเป็น เธอคงไม่ได้เป็นหนึ่งผู้โชคดี ....เอ๊ะ รึอาจจะโชคเกือบดี ที่จะโดนเขาโลมเลียผ่านแววตาดั่งก้อนน้ำแข็งคู่นั่น
แม้หญ้าฟางจะไม่เคยประสบพบเจอกับคำนิยามที่กล่าวเอาไว้
เพียงจ้องตา ก็รับรู้ฤาทัย
หล่อนไม่ใช่คนโง่ นี้ว่าที่เด็กเกียรตินิยมอันดับหนึ่งเชียวนะโว้ย..
" มีอะไรที่ฉันจะไม่รู้ ขนาดอับดุลต้องชิดซ้ายอ่ะ เอาดิ"
อันดับหนึ่งเรื่องความรู้ แต่หล่อนก็เพิ่งมาพ่ายให้กับลุงยามเมื่อครู่นี้
อันดับหนึ่งเรื่องความรัก?
" ก่อนจะไปรักใคร เจ๊น่าจะหัดดูใจตัวเองนะ ว่าเปิดพร้อมให้คนอื่นเขามารักด้วยรึเปล่า น่ากลัวว่าพอรักใครเข้าจริงๆ จะไม่เอาปืนจ่อหัวให้ขอแต่งงานหรอกรึ ขนาดยังไม่มีแฟนแม่งยังระรานคนอื่นเขาไปทั่ว"
คำตอบของไอ้หัวเผือกที่ตอบคำถามแทนหัวใจของหล่อน
บัดนี้หญ้าฟางรู้.....เธอคงรักใครไม่ได้
ก็เพราะไม่มีคนมาให้รักน่ะซี่
มีแต่คนคอยจะโยนเรื่องมาให้ ไม่ใช่หัวใจ...
ชายหนุ่มยังคงยืนหันหลัง ดุจภูผาแห่งอนธการ
เขาดูน่ากลัว แม้มุมที่มองไม่เห็นดวงพักตร์
ขนาดเห็นเพียงแวบเดียว ใจคอเธอยังกระตุกสั่นไหวอยู่รอมๆ
แต่หล่อนไม่ใช่คนขี้กลัว ฉะนั้นมันก็แค่ชั่วครู่หนึ่งเท่านั้น
" นี้คุณ ตรงที่คุณยืนอยู่อ่ะ...ช่วยฉันหาเหล็กหรืออะไรก็ได้ที่มันแข็งๆให้หน่อยสิ"
ความนิ่ง...เงียบ คือ คำตอบ
" ได้ยินที่ฉันพูดมั้ยเนี่ย... "
" ไม่ได้หูหนวก ทำไมจะไม่ได้ยิน"
แน่ะ..มีย้อนใส่ด้วยอีก มันน่า
" งั้นก็ช่วยหาหน่อยสิ นี้รีบอยู่นะเนี่ย ฝนก็ไม่หยุดตกซะที งานการฉันก็มี ไม่อยากจะอยู่หลบฝนกับคน.."
เอ๊ะ คนแก่รึ? ไม่ ไม่ ไม่ น่าจะมีคำที่เหมาะกว่า
" ..คนประเภทอย่างคุณ "
" ประเภทไหนกันล่ะ?" ดวงตาเริ่มหันแลมองหน่อยๆ ในขณะที่สาวเจ้ามิได้ทันสังเกต มือไม้ยังคงสาละวนคุ้ยหาของในกล่องลังใบใหญ่
" คนแปลกๆนะสิ"
"แปลกยังไง?"
" แปลกยังไงนะเหรอ...ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้สึกแค่ว่ามันแปลก อาจจะเป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นคนอายุปูนนี้แล้ว แต่หน้ายังเด็กใสวิ้งแบบคุณล่ะมั้ง"
เสียงหัวเราะขุ่นๆ ลอยกระทบให้เธอได้ยิน หัวเราะอะไร...มีคนชมว่าหน้าเด็กแค่นี้ กระหยิ่มยิ้มย่องเชียววุ้ย
คำตอบที่หล่อนเอ่ยคงเป็นคำตอบที่รักษาน้ำใจคนฟัง หากแต่ความเป็นจริงหญ้าฟางอยากจะตะโกนกรอกใส่หูออกไปดังๆเลยว่า
แปลกตรงที่หน้าเด็กเหมือนซอมบี้แรกเกิดต่างหากล่ะเว้ย!
"ขอบคุณที่ชม แต่เดี๋ยวนี้คนอายุหกสิบเจ็ดสิบแต่หน้าเด็กคราวหลานก็มีให้เห็นถมถืดไป ฉันเองก็เพิ่งจะสี่สิบกลางๆ ไม่ได้หน้าเด็กอะไรนักหรอก แค่ยังไม่ถึงคราวจะหนังหน้าเหี่ยวก็เท่านั้น"
" มันก็ใช่...แต่จะให้พูดยังไงดีล่ะ เอาเป็นว่า ตัวคุณมันรู้สึกประหลาดกว่าชาวบ้านเค้าก็แล้วกัน"
" หึ...พูดเหมือนเห็นฉันไม่ใช่คน" เขาเอ่ย น้ำเสียงนิ่งเฉย
" รึเธอคงไม่อยากมองฉันให้เหมือนคนซักเท่าไหร่ จริงมั้ย?!"
ละอองฝนเริ่มจางหาย เป็นสัญญาณของการหมดเวลาในหน้าที่ของคนเบื้องบน
หญ้าฟางหยุดนิ่งชะงัก ชะโงกหน้าออกไปมองดู
หยดน้ำพร่างพร่าวอยู่โดยรอบ ถึงจะเริ่มจางหายแต่ก็มิได้หมายความว่า ทุกอย่างจะสงบดั่งเดิม
" ฉันจะไปแหล่ะ " หล่อนพูดให้คนยืนข้างฟัง มือซ้ายถือค้อนเหล็กเตรียมพร้อมที่จะทำลาย...
ทำลายทั้งของ ทำร้ายทั้งคน
" ฝนยังไม่หยุด จะรีบไปทำไม"
" เอ้า! ก็คนมันมีงานต้องทำ แผนการสอนฉันก็ยังไม่ได้เขียน ใครจะเหมือนคุณ....คงจะตำแหน่งคนใหญ่คนโตล่ะสิท่า ถึงได้ใจเย็นเอ้อระเหยอยู่แบบนี้ กระดิกนิ้วเรียกคนมาช่วย แปบเดียวเดี๋ยวก็เสร็จ"
" แต่คนใหญ่คนโตบางคน กระดิกนิ้วเรียกมา แต่ไอ้คนผู้น้อยก็ดันไม่ยอมมาตามนัด ปล่อยให้คนผู้ใหญ่ผู้โตนั่งคอยจนเสียงานเสียเวลา ก็มีไม่ใช่เหรอ?"
หญ้าฟางหันขวับ พลางหรี่ตาจ้องมองก่อนจะโพล่งถามคำถามชุดใหญ่
" คุณหมายถึงใคร? ไอ้ผู้ใหญ่ผู้โตนั้นน่ะ"
เขาเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับใช้เวลาครุ่นคิดอยู่นานจนเจ้าหล่อนอดทนรอในคำตอบเสียมิได้
" ฉันถามอยู่นะ อย่าเสียมารยาทกันแบบนี้สิ!"
" ว่าที่เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ฉลาดแต่ไม่เฉลียว" เขาตอบ แต่เป็นคำตอบที่หญ้าฟางรู้ดีว่า
หยามหน้ากันชัดๆ!
" คำถามนี้ เธอก็รู้ทำไมฉันต้องบอก"
" หมายถึงท่านรองอย่างงั้นเหรอ?" หญิงสาวเอ่ยออกมา ไร้ซึ่งความหวาดเกรง
จะเกรงจะกลัวกัน เดี๋ยวก็ได้ใจ ไอ้คนใหญ่ปากพล่อยแบบนี้เนี่ย ไม่กลัวมันหรอก!
" ใครเป็นคนบอกคุณ"
เขาสั่นศรีษะเล็กน้อย แผ่นหลังที่บ่งบอกความทรนงตนของเจ้าของ หญ้าฟางมองคนที่ยืนหันหลังให้ด้วยอารมณ์ไม่สู้จะพอใจในกิริยาการวางตัวของเขา
" อาจารย์หลี่หวังบอกคุณใช่มั้ย!?"
ไอ้เรื่องฐมนิเทศวันนี้ จะมีซักกี่คนที่รู้...
และไอ้คนที่รู้จักกับครูในโรงเรียนได้มากกว่าใคร
อาจารย์หลี่หวังนั้นแหล่ะ ตัวดี!
" ประตู" เขาบอกสั้นๆ พลางพลิกข้อมือดูนาฬิกา " ทุ่มสิบห้า"
" เฮ้ย...ทุ่มสิบห้าแล้วเหรอ ไม่ได้ๆ ไม่ได้ ฉันต้องรีบกลับไปขียนแผน"
หญ้าฟางรีบสาวเท้าออกไปให้ไว ฟ้าสีหม่น ใจคนมิอาจรั้งรอสิ่งใดได้
สายฝนยังคงปลิดโปรย แม้เบาบาง หากแต่ ไอวายะยังคงโอบอุ้มเอาความหนาวมาเยือนกาย
อุ้มมือหนาคว้าต้นไหล่ของเธอไว้
เขาคนนี้....อีกแล้ว
อำนาจที่ถ่ายโอนผ่านแววตา ดูน่ากลัว
หญ้าฟางฮึดฮัด กะจะสะบัดตัวให้พ้นห่าง
" เอาไปด้วย" มือข้างหนึ่งยื่นเสื้อสูทสีดำของเขายัดใส่มือหล่อน
" ให้ยืม..ยังมีเม็ดฝนอยู่"
" ม่ายเอ๊าาา เดี๋ยวก็ต้องซักให้อีก เปลืองผงซักฟองตาย"
แม่สาวยอดสิงห์ยื่นให้กลับ หากแต่ชายหนุ่มหันหลังเดินออกจากที่หลบฝน มุ่งหน้าไปยังหมู่อาคารเรียนไม่ไกลห่างจากกัน
" เดี๋ยวสิคุณ คุณ!!" หญ้าฟางตะโกนเรียกเขา พลางวิ่งตุ้บตั้บตามเขาไป
แปลก...นั้นขาคนหรืออะไร ทำไมเดินไวยังกะเหาะ!
" นี้คุณ ...แล้วฉันจะได้คืนให้คุณเมื่อไหร่ล่ะ?"
ฝีเท้าคู่นั้นหยุดชะงักลง หญ้าฟางหยุดตาม เสียงหายใจหอบฮั่ก แต่ของเขาไม่มีแม้แต่เงาเสียง
" เมื่อไหร่ ก็เมื่อนั้น"
คำตอบที่ไม่พึงประสงค์อยากจะพูด
แค่เสื้อตัวเดียว ไยต้องรอเวลาให้เยือนหา
ไม่อยากผูกมัดสร้างพันธะให้นึกหวน
เจอที่ไหน แม่จะโยนใส่หน้าเข้าซะ
หมั่นไส้!!
" เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น งั้นเป็นชาติหน้าซะดีมั้ยล่ะ ห่ะ คุณ..." ริมฝีปากหยุดค้างไว้ที่ปลายประโยค
" ศาสวัต!" วาจานั้นตอบกลับ
ความเงียบที่คงอยู่ ทำให้เสียงนั้นทรงพลังแลอำนาจที่มันมี
คนก็น่ากลัว ชื่อยังน่าขยาด
คนประหลาดๆแบบนี้ ไฉนพ่อแม่ถึงตั้งชื่อให้เรียกยากกันจังวุ้ย
คงเหมาะกับเจ้าตัวกระมัง... ศาสวัต หน้าตาควรค่าแก่การเปลี่ยนชื่อเป็น ศาลาวัด
พิลึกพิลันบรรลัยละงานนี้!
" อ่อ โอเค คุณศาลา เอ๊ย! ศาสวัต ถึงฉันจะไม่ค่อยถูกจริตกับคุณซักเท่าไหร่ ...น้ำใจของคุณ ฉันรับไว้ก็ได้ ถือซะว่าเป็นไมตรีจากเพื่อนร่วมอาชีพก็แล้วกัน...ถ้าฉันเจอคุณที่ไหน เดี๋ยวฉันจะคืนให้ แต่คุณต้องจ่ายค่าซักให้กับฉันด้วยนะ... "
เขาพยักหน้ารับ หล่อนยิ้มกระหยิ่ม แหม่ะ..คนเฒ่าคนแก่นี้มันไถตังค์ง่ายดีจังวุ้ย..
หญ้าฟางโบกมือร่ำลา พลางหันกายยกเสื้อคลุมปิดศรีษะให้พ้นจากเม็ดฝนก่อนจะเคลื่อนกายกลับไปยังทิศทางที่ตนวิ่งผ่าน
พร่ำพรรษยังคงหยาดหล่นร่วงโปรย แม้เบาบาง อ่อนกำลัง
สายพิรุณพัดพาละอองฝนกระทบกาย หากใจกลับเย็นยะยือกยิ่งกว่า
ชายหนุ่มเหม่อมองฟากฟ้าที่อยู่ห่าง
บัดนี้..เบื้องบนคงผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกระทำหน้าที่
เมื่อแสงสุดท้ายใกล้ลาลับ เทพแห่งรัตติกาล ก็คงตื่นและปฏิบัติตามกฏแห่งธรรมชาติ
หยินหยาง...ขาวมีดำ สว่างมีมืด ดีมีชั่ว
เฉกเช่นมนุษย์!
แสงสวรรค์สีนวลกระจ่างตาดั่งแสงแห่งเศตาภรณ์ที่ประดับไว้ในผืนฟ้ายามค่ำส่องกระทบกับดวงพักตร์อันหมองหม่น
อนธการในเพลานี้ แสงชวาลาจากเทพจันทร์
เขารู้...สีดำที่ถูกแต่งแต้มระบาบลงบนก้อนเมฆขาว
สัญลักษณ์แห่งความตาย .... ยมราช เจ้าชีวิตก็เริ่มคลืบคลานเข้าใกล้
ท้องฟ้าอาจปกติเหมือนอย่างทุกครั้งที่เคยเป็น
แต่เนื้อตาของมนุษย์จะเห็นประตูเทวสภาได้ฤาไร
สามร้อยปีจะบังเกิด เทวสภาแห่งสวรรค์
ผู้แมนแดนสรวงจะพร้อมเพรียงร่วมประชุม
จะเทพชั้นผู้ใหญ่ผู้น้อยต่างมีสิทธิ์ที่จะถกเถียง
" เหมือนสภามนุษย์นั้นแหล่ะ!"
หากหล่อนคนนั้นรู้ว่า แม้แต่สวรรค์...
ยังต้องมีตำแหน่ง มีหน้าที่...มีอำนาจ
ทว่า..อำนาจที่มี ไม่ได้ใช้ในทางที่ผิด รึเลวทรามต่ำช้าเยี่ยงมนุษย์
ชายหนุ่มย่ำเท้ามุ่งหน้าไปสู่หมู่อาคารเรียน ก่อนจะลับหายไปในเงามืด
เทพจันทราและเทวาแห่งยมโลก คงได้พบเจอกัน
ปัญหาที่ค้างคามานาน สามร้อยปี...ที่ยังตัดสินมิได้
ประกาศิตชีวิต ฤาจะสู้ ประกาศิตแห่งรัก
มีชีวิตยืนนาน นิรันด์กาล หาก ไร้ซึ่งหัวใจ
ก็มิต่างอะไรกับชีวิตที่สูญสิ้นแล้วทุกสิ่ง...
เสียงกริ๊งกรั๊งของจักรยาน พร้อมด้วยด้ายสีแดงปลิวไสว
สายฝนหยุด สายลมแล้ง...
ร่างของใครคนหนึ่งหยุดยืนอยู่ที่หน้าบ้านหลังนั้น
ชุดสีเก่าซอมซ่อ รอยยิ้มที่พริ้มพรายคล้ายล่วงรู้อะไรแล้ว
" ศาสวัต... จางอี้เซียว ชีวิตจะถูกลิขิตเพราะใครนั้น ข้าไม่รู้ หากแต่หัวใจ....
ข้าเท่านั้นที่มีอำนาจ มิใช่เจ้า! "
จบตอนที่ 20
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ