ลิขิตจันทรา ภาค มายาแห่งดวงใจ (注定月下老人 )

8.0

เขียนโดย Wuzhenni

วันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 เวลา 22.20 น.

  22 ตอน
  9 วิจารณ์
  30.96K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 20.59 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

22) ยังแต่งไม่เสร็จ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

เสียงเคาะประตูที่ดังเข้าหู ทำให้คนนั่งรอรีบลุกขึ้นไปเปิดให้เป็นการด่วน

 

" มาแล้วๆ  ไหน...ได้ข่าวว่ามีคนนอนป่วยอยู่ เป็นยังไงบ้าง? ฟ้าเอาข้าวต้มมาฝากด้วย"

 

พราวฟ้าเอ่ยถามเสียงแจ้ว พลางชูตะกร้าไม้สาน ข้างในบรรจุหม้อเล็กๆ ควันละอุ่นกรุ่นขึ้นจนคนที่ไม่มีอะไรแตะถึงท้องเริ่มน้ำลายสอ

 

 " นู่นแน่ะ..คนป่วย  อาบน้ำเสร็จก็ล้มหัวแย่งที่นอนฉัน นี้ขนาดป่วย ก็ยังไม่เลิกพาลคนอื่นเขาอีก แทนที่จะขึ้นไปนอนบนห้องให้มันดีๆ"

 

ไอ้หัวเผือกชี้มือไปทางโซฟา

 

 เจ้าตัวที่โดนข้อกล่าวหา ลืมตาโพล่ง ยันกายลุกขึ้นแต่ก็ไม่ไหว ต้องเอาคอเกยแขนโซฟา น่าอนาถปนกับน่าขบขันในท่าทางของแม่ยอดนักบู๊

 

เคยไล่เตะคนไม่รู้กี่รายต่อกี่ราย สุดท้าย ก็แพ้โรคภัยไข้เจ็บอยู่ดีล่ะหว่า

 

" ก็ขี้เกียจขึ้นไป หัวฉันจะระเบิดแยกเป็นเสี่ยงๆอยู่แล้ว นี้บอกไว้ก่อนเลย ถ้าขืนแกคิดจะไปพยาบาลใครเขาล่ะก้อ  อย่ารับปากเขาล่ะ ...มีอย่างที่ไหน คนป่วย ไข้ขึ้น ยังเอาน้ำเย็นใส่น้ำแข็งมาเสิร์ฟถวาย เคยเรียนวิชาปฐมพยาบาลเบื้องต้นรึเปล่าห่ะ ไอ้หัวเผือก!"

 

" เอ้า..ก็บ่นว่าหิวน้ำๆ ก้เลยไปเอามาให้ ผิดเหรอ.. เจ๊นั้นแหล่ะ ผิด ไม่ยอมบอกว่าจะเอาน้ำเย็นหรือว่าน้ำอุ่น ไอ้เรารึ..ไม่เคยดูแลรักษาใคร ไม่ได้เรียนหมอมา เรียนครู ..ครูคอมซะด้วย รู้แค่ว่า โปรแกรมเสีย การ์ดหน้าจอพังต้องซ่อมยังไง แป้นพังต้องดูตรงไหน"

 

" แหม...พูดยังกะร่างกายอยู่ยงคงกระพัน ไม่เคยเจ็บไม่เคยป่วย ขี้เกียจป้อนข้าวป้อนน้ำให้ก็บอก ชะ!"  เจ้าตัวไถลตัวลงนอนเหมือนเดิม

 

พราวฟ้าจ้องมองดูคู่กัดคู่จิกจนรู้สึกขบขันอยู่ในใจ

 

ถ้าจะให้หญ้าฟางหาใครซักคนไว้เป็นคู่คิดคู่ยากในยามเหงา ก็คงเป็นเพื่อนซี้ที่สามารถยืนด่าฉอดๆใส่โดยไม่กลัวเกรง

 

เพราะอย่างหญ้าฟาง มีแต่คนกลัวเธอ แต่ไม่มีคนที่อยู่ดูแลในยามที่เธอกลัวในสิ่งอื่น

 

มนุษย์เกิดมาก็ต้องกลัว กลัวแก่ กลัวเจ็บ กลัวโน่น นี้ นั้น

 

ท้ายที่สุดก็กลัวตาย

 

สัจธรรมที่หลีกหนีไม่พ้นของหมู่มวลมนุษย์!

 

พราวฟ้าวางกระเป๋าเอกสารไว้ตรงโต๊ะวางของที่ตั้งอยู่ตรงด้านหน้าของโซฟา

 

ก่อนจะเดินไปจัดแจงยกหม้อข้าวต้มที่ยังคงร้อนกรักกรุ่น บ่งบอกว่า เพิ่งอุ่นเสร็จมาใหม่ๆ 

 

ไอ้หัวเผือก พอเห็นเพื่อนของตนผล็อยหลับลงไปอีกหน ก็คงจะเป็นเพราะฤทธิ์ยากระมัง ถ้าเป็นยามปกติ เจ้าตัวไม่ยอมวางมวยกันง่ายๆแบบนี้เสียหรอก

 

มันเดินดุ่มๆ มายังเคาน์เตอร์ครัว ที่ไม่ใหญ่ไม่โต พอดีสำหรับบ้านที่มีคนอยู่อาศัยไม่มาก

 

เหมือนชีวิตของเขา ที่ครั้งหนึ่งก็เคยใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับมารดาเพียงแค่สองคนในบ้านหลังนี้

 

เขาในครั้งก่อนโน้น..เคยเพียรถามแม่ ถึงพ่อของเขา

 

ใครคือพ่อของเขา? 

 

แม่ไม่เคยเอ่ยปากตอบให้เขารู้ จนตอนนี้เขารู้ได้เอง

 

ก็ปากคนไม่ปิดไว้เงียบกันซักแค่ไหนกันเชียว....

 

 

 

"ข้าวต้มหม้อนี้ ท่านได้แต่ใดมา" มันถามเป็นกลอนใส่

 

" มีคนฝากวาจา มอบให้" 

 

ไอ้หัวเผือกเกาหัวแกรกๆ เอาล่ะสิ..จะยกกลอนบทไหนมาต่อล้อต่อถามดีล่ะหนอ

 

" ไม่ต้องแต่งเป็นกลอนถามมาหรอก เดี๋ยวคิดนาน ไม่ได้พูดไม่ได้คุย ข้าวต้มจะเย็นหมด "

 

" นั้นสิ...คิดไม่ออกจริงๆนั้นแหล่ะ คนเรียนเอกไทยนี้คงจะเจ้าบทเจ้ากลอนไม่ใช่เล่น"

 

 พราวฟ้าส่ายหน้าหงั่ก 

 

" ใครบอก เรียนเขียนกลอนยากจะตายไป ถึงขนาดว่ากระดาษคำตอบมีสองแผ่น แต่เขียนต่อกลอนได้แค่สองบรรทัด ยากอภิมหายากสุดๆ"

 

"  คงจะยากพอๆกับเขียนภาษาซีในคอม" 

 

ถ้วยข้าวต้มสามถ้วยถูกจัดวางไว้บนโต๊ะไม้สักตัวกลม กลิ่นหอมของมันชวนให้คนที่นอนอืดอยู่ที่เบาะโซฟายืดคอรอในลักษณะ ชูชกลงร่าง ก็มิปานนัก

 

"  จะยืนคุยกันอีกนานมั้ย สงสารคนป่วยหน่อยเซ่ หิวจะตาลายอยู่แล้วเนี่ย"

 

" เออ...ก็รอเดี๋ยวสิ เจ๊....ให้ข้าวต้มมันหายร้อนก่อนสิ"

 

" กว่าข้าวต้มจะเย็น คงได้เป็นโรคกระเพาะเป็นของแถมอีกล่ะ"  คนป่วยเขาว่ายังงั้น บุรุษพยาบาลจำเป็นจึงพูดโพล่งออกมา

 

"  ถ้าอยากกินก็ลุกขึ้นมากินเอง แค่ตัวร้อนเป็นไข้ ไม่ได้พิการ!"

 

" ย่ะ! ต้องรอให้ฉันแขนขาดขาด้วนซะก่อนล่ะมั้ง ถึงจะพูดดีๆกับคนอื่นเป็น""

 

หล่อนว่า ก่อนจะฟุบหลับลงไปอีกรอบ เพราะพิษไข้กำเริบอีก

 

 

ไอ้หัวเผือกตวัดตามองจิกกัดเล็กน้อยพลางตักข้าวต้มใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆ พอดีกับที่เขาเหลือบไปเห็นพราวฟ้าทำท่าว่าจะยกข้าวต้มไปให้คนนอนซมเสียงั้น

 

" ไม่ต้องหรอก พราวฟ้า เดี๋ยวเจ๊มันก็ลุกขึ้นมาโซยกินเอง เชื่อฉัน..." เขาห้าม พราวฟ้าพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย แต่ใจก็นึกเป็นห่วงเพื่อนเมทของตนอยู่ดี

 

" แล้วถ้าลุกขึ้นมาไม่ไหวล่ะ ผันเมือง?" 

 

" ทำไมจะลุกไม่ไหว ฉันรู้จักเจ๊เค้าดีอยู่น่า ขนาดโดนแก๊งค์ไอ้ปวงโชครุมเตะรุมต่อย  ช้ำเนื้อช้ำตัวยิ่งกว่านี้ มันยังหอบสังขารไปเรียนไหวเลย โธ่ แค่นี้อ่ะจิ๊บๆ"

 

ไอ้หัวเผือกยิ้มกริ่ม...

 

ในใจนึกคิดไปถึงวันวานที่ร้านหมูกะทะ 

 

มันรู้...มีครั้งใดบ้างที่แม่สาวยอดนักบู๊แห่งคณะศึกษาศาสตร์จะชกต่อย ทะเลาะวิวาทกับคนอื่นโดยที่ผิวกายมิได้สัมผัสกับของแหลมมีคมหรือกำปั้นหมัดต่อหมัดของเหล่าศัตรู

 

เป็นไปไม่ได้แน่....ถึงจะโดนหนักหนาสาหัสแค่ไหน 

 

จะต้องใส่เฝือก เอาผ้ากอซพันหัววิ่งไปเรียนจนกลายเป็นตัวตลกต่อหน้าคนอื่น

 

กะดีแค่เป็นไข้ กินพารา อีกเดี๋ยวก็ลุกขึ้นมาซ่าเหมือนเดิมได้อีก

 

 

"ตอนนายโทรมาหาฉัน ว่าหญ้าฟางไม่สบาย ฉันก็ตกใจว่านายมาที่นี้ได้ยังไง มาตั้งแต่ตอนไหนเมื่อไหร่กัน?"

 

" ก็มาถึงตั้งแต่เช้าโน่น....ลงมาจากเชียงใหม่ แวะเข้ามอ เอาของที่หอแล้วก็ให้เจ้ตุ๊กขับรถมาส่งเราที่นี้   หญ้าฟางไม่ได้บอกหรอกเหรอว่าฉันจะมา"

 

พราวฟ้าส่ายหน้า ไม่รู้เรื่องก่อนจะเอียงคอถามมันต่อไปอีกว่า

 

" แล้วทางโรงเรียนเขารู้เรื่องนี้ด้วยรึเปล่า?"

 

"  เอกสารยื่นคำร้องขอฝึกสอน ฉันยังไม่ได้ยื่นให้โรงเรียนเลย  ไม่รู้ว่าจะได้ฝึกสอนมั้ย? เผลอๆจะไม่มีที่ให้ฝึกสอน เรียนไม่จบพร้อมเพื่อนอีก"

 

" พูดอะไรอย่างนั้นเล่า"  พราวฟ้ายิ้มอ่อนโยนเป็นเชิงปลอบประโลมใจ ไอ้หัวเผือกยักคิ้วให้ ไม่แยแส

 

" มันเป็นการตัดสินใจของฉันเอง"  มันยิ้ม รอยยิ้มที่แอบแฝงความรู้สึกบางอย่าง " อะไรที่เราตัดสินใจลงไปแล้ว ถ้ามันผิดพลาด เราก็ต้องยอมรับในสิ่งที่ผิดพลาดเอง...."

 

" แต่ฟ้าว่า อาจารย์หลี่หวังคงจะดีใจที่เห็นนาย ตอนมาดูบ้านพักคราวที่แล้ว เหมือนท่านอาจารย์เขาอยากให้นายมาฝึกสอนที่นี้มากเลยล่ะ"

 

" ก็แค่ชวนตามมารยาท"  ไอ้หัวเผือกลุกขึ้นเดินไปตักข้าวต้มใส่ชามอีกรอบก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาใหม่

 

"ปฐมนิเทศวันนี้เป็นไง...สนุกมั้ย?" 

 

" สนุกเหมือนอยู่ในบ้านผีสิงน่ะสิ"  พราวฟ้าบุ้ยปาก มือไม้ที่กำลังตักข้าวใส่ปากหยุดชะงักลงเมื่อได้ยินคำตอบของอีกฝ่ายก่อนจะหันมามองด้วยสีหน้าแววตาอยากรู้

 

" ไหงพูดแบบนั้นซะล่ะ"

 

" ก็ท่านรอง.." หล่อนเงียบไปครู่นึก ทีท่าคล้ายจะนึกคำพูดที่ดีกว่า

 

"..ท่านดูนิ่งๆ หน้าตาก็ดุ แถมตอนเดินเข้าไปในห้อง ฟ้านึกว่าตัวเองกำลังเดินเข้าบ้านผีสิง ไม่เข้าใจว่าคนแบบนี้เขาชอบอยู่ห้องที่อับแสงกันรึเปล่านะ  เดินเข้าไป ห้องก็มืดหน้าต่างก็เปิดแง้มเอาไว้นิดๆ  แต่ถ้าถามว่ากลัวอะไรมากกว่ากันระหว่างห้องกับเจ้าของหัอง ฟ้าคงเลือกอย่างหลัง" 

 

 

ภาพเมื่อยามเที่ยงของวัน ผุดขึ้นมาขณะที่เจ้าตัวกำลังเปิดปากเล่าเสียงแจ๋ว

 

อาคารโบราณที่รายล้อมด้วยพรรณไม้ ซึ่งมักจะอุดมเต็มไปด้วยพวกไม้ยืนต้นเสียมาก มองดูให้ความรู้สึกเหมือนบ้านกลางป่า

 

พราวฟ้ายอมรับในสิ่งที่แตกต่างอยู่ข้อหนึ่ง ปัจจัยที่จะทำให้การศึกษาของแต่ละโรงเรียนสำเร็จผล

 

ปัจจัยภายนอก  สิ่งแวดล้อมก็สำคัญเฉกเช่นเดียวกัน

 

เงาร่มไม้ที่ปกคลุมภายในของเขตรั้วโรงเรียน

 

บรรยากาศเย็นชื้นทั้งๆที่แสงแดดในตอนนี้แถมจะเผาเนื้อผิวให้ดำเป็นเผ่านิโกรได้

 

ต้นไม้แต่ละต้นที่ปลูกไล่ไปตั้งแต่หน้ารั้วโรงเรียน ล้วนแล้วแต่มีป้ายคติเตือนใจ หรือไม่ก็เป็นสำนวนสุภาษิตกลอนจีนโบราณติดเอาไว้

 

หล่อนรับรู้ถึงความสามารถของคนที่ได้ชื่อว่า เป็นผู้บริหาร เพียงแค่ได้เห็นสภาพบรรยากาศโดยรอบ

 

พราวฟ้าเห็นเด็กนักเรียนหลายคนที่จับกลุ่มกันนั่งอ่านหนังสืออยู่ใต้ต้นไม้

 

บ้างก็นั่งเล่นหมากเก็บกันไปตามเรื่องตามราว

 

การผ่อนคลายอารมณ์หรือจิตใจของเด็ก

 

ธรรมชาติเท่านั้นที่จะช่วยได้ มิใช่...เทคโนโลยีที่จะบำบัดจิตใจมนุษยืได้

 

คนที่เข้าใจความรู้สึกของเด็กนักเรียนได้ดี ยิ่งเป็นผู้บริหารของโรงเรียน

 

ก็ต้องหยั่งรู้จิตใจของเด็กทุกคน 

 

 

พราวฟ้าเดินเข้าไปในตัวตึกจนถึงลานเล็กๆที่สร้างเป็นช่องว่างระหว่างอาคารด้านหน้าและด้านหลัง

 

หล่อนแหงนคอมองระเบียงทางเดินชั้นสองที่พาดยาวเชื่อมต่อของตึกทั้งสองฝั่ง

 

สถาปัตยกรรมเก่ายุคโคโลเนียล เนื้อรูปปั้นที่สลักลงบนต้นเสาคงความเป็นสิลปะชั้นยอดที่หาชมได้ยากยิ่ง

 

ตึกโบราณที่เหมาะแก่การทำเป็นพิพิธภัณฑ์มากกว่าตึกทำงานทั่วไป

 

" อาจารย์หลี่หวังคะ ที่นี้ทำไมดูเงียบๆ เหมือนไม่มีคนอยู่เลย" พราวฟ้าถามคนที่เดินนำหน้าหล่อนพลางสำรวจมองดูบานประตูที่ปิดไว้ คล้ายกับปิดตายมานานพอควร

 

" ก็ท่านรองไงครับ ตึกนี้เป็นตึกทำงานของท่าน"

 

เขาว่าอย่างนั้น ก่อนจะพาหญิงร่างกระปุกเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสองของตึก

 

" ฟ้าหมายถึง ไม่มีใครนอกจากท่านรองเลยเหรอคะ? อ่า"

 

ชายหนุ่มหันมายื่นไม้เรียวตีเข้าที่ต้นแขนเธอเบาๆ 

 

" เงียบๆ ไม่ต้องถามอะไรแล้ว"

 

 

ชายหนุ่มเดินตรงไปแค่สามสี่ก้าวก่อนจะหยุดอยูตรงหน้าประตูไม้สักบานหนึ่ง

 

" พร้อมนะ"  เขาโน้มตัวมากระซิบที่ข้างหูหล่อน " ไม่ต้องกลัว"

 

สิ้นสุดประโยคสุดท้าย เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นเป็นสัญญาณให้คนภายในห้องได้รับรู้

 

เพียงแค่บานประตูถูกเปิดออก พร้อมกับร่างของคนที่นั่งอยู่เบื้องหน้า

 

สายตาที่เปรียบเสมือนแววตาของคนในปรโลก

 

บรรยากาศภายในห้อง....ร้างไร้แสงสีแห่งตะวันที่ฉาบฉาย

 

 

(กำลังแก้ไขค่ะ) 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

**(ไรท์เตอร์จะกลับมาเขียนลงวันพรุ่งนี้นะคะ  วันพรุ่งนี้ ตอนที่ 9 จะเขียนเสร็จค่ะ ส่วนตอนที่ 22 จะ อัพให้เสร็จวันอาทิตย์ค่ะ  ต้องขอโทษนักอ่านทุกๆท่านด้วยนะคะ  

ช่วงนี้ไรท์เตอร์งานเยอะมากๆ เพราะไรท์เตอร์ต้องลงสอนนักเรียนและต้องทำโปรเจคงานส่งอาจารย์ ก็เลยไม่ค่อยมีเวลา ยังไงก็ขอให้ติดตามกันต่อไปอย่างนี้เรื่อยๆนะค่ะ  ขอบคุณค่ะ)

 

 

 

 

(ยังแต่งไม่เสร็จ)

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.6 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา