Thank For Your Smile...น้ำตา...ความฝัน...ความหวัง
-
เขียนโดย MightySoul
วันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 19.50 น.
26 บท
0 วิจารณ์
29.43K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 18 เมษายน พ.ศ. 2557 11.57 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) บทที่ 4 เด็กสาวผู้ร่าเริง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 4
เด็กสาวผู้ร่าเริง
อากิเป็นเด็กสาวอายุเพิ่งจะ 17 หมาดๆ หรือถ้าจะให้กล่าวคืออยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกับฟีล ใบหน้าที่ผุดผ่อง เจิดจ้า โดยไม่ต้องพึ่งเครื่องสำอาง ผิวที่ขาวราวกับเป็นสมบัติที่ถูกฝังลึกมานานจนลืมความร้อนของแสงอาทิตย์หรือแม้กระทั้งแสงแห่งจันทรา ทรงผมยาวถึงหัวไหล่รับกับรูปหน้ารีมลได้รูปของเธอราวกับเป็นสิ่งที่เกิดมาคู่กัน
แต่เหนือสิ่งอื่นใด ก็คงจะเป็นรอยยิ้มที่ปรากฏให้เห็นตลอดเวลาแก่ผู้พบเจอ รอยยิ้มที่ดูเหมือนกำลังสนุกกับอะไรบางอย่าง ไม่มีความทุกข์ ไม่มีความเครียด สิ่งนี้คงจะเป็นสเน่ห์สำคัญที่ทำให้เธอโดดเด่นขึ้นมาในหมู่ผู้คน ที่ไม่ว่าใครเมื่อแรกพบก็ต้องตกตะลึง
“พี่ริ...อุ๊บส์ อู้ อู้” ฉันรีบวิ่งเข้าไปปิดปากเด็กสาวเอาไว้ ก่อนที่เธอจะพูดอะไรไปมากกว่านี้
ฉันค่อยๆอธิบายเรื่องราวต่างๆด้วยความระมัดระวังและกระชับ โดยที่ไม่ให้ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆได้ยิน
“เข้าใจนะ เล่นตามแผนของพี่หน่อย”
“น่าสนุกดีนี่ค่ะ” แววตาขี้เล่นของเด็กสาวเปล่งประกายขึ้นมาทันที คล้ายเด็กเวลาที่มีอะไรถูกใจเข้ามา
แต่ในขณะที่ฉันจะแนะนำผู้ชายเบื้องหลังให้เธอรู้จัก อากิกลับวิ่งไปหาชายหนุ่มที่กำลังมองเธอไม่วางตาโดยที่ฉันยังไม่ทันรู้ตัว
“สวัสดีค่ะ ฉันชื่ออากิ แล้วคุณ...”
“ฟีลครับ”
“อ้อ คุณฟีล เชิญนั่งพักผ่อนก่อนเลยได้น่ะค่ะ” อากิเชื้อเชิญฟีลให้นั่งลงบนโซฟานุ่มที่ถูกตั้งไว้อยู่บริเวณมุมห้อง โดยสิ่งให้ความบันเทิงของห้องเก็บอุปกรณ์นี้เพียงอย่างเดียว ก็น่าจะเป็นโทรทัศน์จอโป่งขนาดไม่กี่นิ้ว
เมื่อฉันเห็นว่าฟีลมีท่าทีเขินอายกับอากิ ฉันจึงต้องลากตัวเขาให้ไปนั่งลงบนโซฟา ไม่งั้นทั้งวันก็อาจจะเห็นฟีลยืนอยู่ตรงจุดเดิมไม่กล้าเดินไปไหน
“เป็นไง เห็นหน้าอากิแล้วถึงกับอึ้งไปเลยเหรอ” ฉันกระซิบกระซาบขณะพาเขาไปที่โซฟา
ฟีลไม่พูดอะไร แต่พยักหน้าเป็นเชิงตอบรับ
“ฉันก็ยอมรับล่ะนะ ว่าอากิเป็นผู้หญิงที่สวยจริงๆ แต่ว่า...ฉันก็สวยไม่แพ้กันไม่ใช่เหรอ”
ฟีลชำเลืองตามามองฉัน ก่อนที่จะหันกลับไป
“ก็แล้วแต่คุณพี่สาวจะคิดล่ะครับ ผมคงตอบแทนอะไรไม่ได้”
ไม่ต้องบอกก็รู้ ว่าชายหนุ่มตรงหน้าต้องการสื่ออะไร แต่ฉันก็ยังสามารถระงับความโกรธไม่ให้ปะทุออกมาได้
“เอางี้ เดี๋ยวฉันเป็นแม่สื่อให้มั้ยหล่ะ อากิยังไม่มีแฟนน้า” ฉันพูดทีเล่นทีจริง
“ไม่ล่ะ พี่สาวเอาไปเล่นกับคนอื่นเถอะ”
ฉันไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นักที่ฟีลมักจะรู้ทันอยู่เสมอ ไม่ว่าจะทำอะไร จนสุดท้ายฟีล ฉัน และอากิ ก็นั่งลงบนโซฟาสีน้ำเงินเข้ม ที่ดูจะถูกดูแลรักษาเป็นอย่างดีทำให้ยังคงสภาพดีอยู่ได้ก่อนถึงเวลาอันสมควร
ตอนแรกฉันกะจะแกล้งโดยการให้ฟีลนั่งติดกับอากิ แต่สุดท้ายก็โดนเด็กสาวจับให้ฉันกับเขานั่งคู่กันซะนี่
“เป็นแฟนกันก็ต้องนั่งติดกันสิค่ะ”
แน่นอนฉันรู้ดีว่าอากิกำลังแกล้งฉันอยู่แน่ๆ แต่ด้วยสถานการณ์ทำให้ต้องตัดสินใจเลือกเล่นตามเกมของเธอไป
“ไม่ใช่แฟนสักหน่อย” ฉันกับฟีลแทบจะพูดขึ้นมาพร้อมกัน สร้างความสนุกให้กับเด็กสาวขี้เล่นคนนี้
“แหมๆ ใจตรงกันด้วย”
ทั้งฉันและฟีลเห็นว่ายิ่งเถียงก็ยิ่งเป็นการจุดไฟเผาตัวเอง เราทั้งคู่จึงตัดสินใจนิ่งเงียบไม่พูดอะไรต่อ จนอากิต้องกินแห้วไปตามระเบียบเมื่อฉันไม่เล่นตามเกมของเธออีกต่อไป
เมื่อเห็นว่าการสนทนาของเราเงียบลงไปสักระยะ สุดท้ายอากิก็เปิดการสนทนาใหม่ด้วยคำถามที่เกี่ยวกับตัวชายหนุ่มข้างๆ
“คุณฟีลเป็นนักผจญภัยเหรอค่ะ”
“อ้อ ครับ” ชายหนุ่มตอบไปโดยที่ยังไม่รู้เป้าหมายของเด็กสาว
“อ๊าย เท่มากๆเลยค่ะ” อากิส่ายตัวไปมาด้วยท่าทีเขินอาย ส่วนฟีลก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆทำอะไรไม่ถูก
“มันก็ไม่ต่างอะไรกับคนเร่ร่อนล่ะมั้งครับ”
อากิส่ายหัวทันที “ไม่หรอกค่ะ นักผจญภัยคือคนที่มีเป้าหมายในการเดินทาง ส่วนคนเร่ร่อนคือคนที่ไม่มีอะไรเลยใช้ชีวิตอยู่รอดไปวันๆ”
“งะ...งั้นเหรอครับ” ใบหน้าที่ใสซื่อและบริสุทธิ์ของเด็กสาว ทำให้ฟีลไม่กล้าพูดอะไรต่อ
“หรือว่าคุณฟีลออกผจญภัยโดยที่ไม่มีเป้าหมายอะไรเลยคะ”
ฟีลนิ่งไปสักพัก ก่อนที่จะตอบคำถามกลับไป “มีครับ”
ฟีลพูดแค่นั้น พูดน้อยจนฉันประหลาดใจ ราวกับผู้ชายที่ฉันเจอก่อนหน้านี้ไม่ใช่คนๆเดียวกับที่นั่งอยู่ข้างๆตอนนี้
“มันคืออะไรเหรอคะ” เสียงใสๆนุ่มๆของอากินับว่าเป็นเสียงที่ไม่ว่าใครได้ยินก็ต้องยอมศิโรราบ
ฟีลกลีนน้ำลายเอือกใหญ่ ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองเข้าไปในดวงตาที่สุดแสนจะสดใสของอากิ เหมือนกับน้ำตาคู่นั้นจะช่วยเขาตัดสินใจพูดออกมา
“สาเหตุที่ผมออกผจญภัย...มีอยู่ 3 ข้อครับ”
เขาหันมามองฉัน คล้ายกำลังขอความช่วยเหลือ สายตาที่สดใสบัดนี้กลับหม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัด
“ข้อแรก...ผมอยากจะออกเดินทางเพื่อไปพบปะผู้คน ไปสร้างรอยยิ้มให้พวกเขา”
“เป็นเป้าหมายที่ดีจังเลยนะคะ”
“ผมว่า มันก็เป็นแค่เป้าหมายบ้าๆแค่นั้นเองล่ะครับ” ฉันเห็นจริงๆ บางสิ่งบางอย่างที่หลับใหลอยู่ภายในตัวของฟีล บางสิ่งบางอย่าง ที่เขาใช้ความร่าเริงกลบเกลื่อนมันเอาไว้
“แล้วข้อสองล่ะคะ”
“ข้อสอง...คือผมอยาเป็นดนตรีมืออาชีพ อยากเป็นคนที่สร้างรอยยิ้มด้วยเสียงดนตรี” ฟีลก้มหน้าลง ไม่กล้าสบตากับเด็กสาว
“ถ้าผมออกเดินทางไปพบผู้คน ผมคงจะรู้แน่ว่าความหมายของคำว่ารอยยิ้มที่แท้จริงคืออะไร และผมก็อยากสร้างรอยยิ้มให้ผู้คน โดยเอาสิ่งที่ผมได้รู้จากการผจญภัยมาถ่ายทอดให้พวกเขาผ่านเสียงเพลง”
ฟีลหันหน้าขึ้นมามองอากิ ที่กำลังนิ่งไม่พูดอะไร “มันดูบ้าใช่ไหมครับ”
อากิไม่พูด แต่กลับลุกขึ้นไปหยิบอะไรบางอย่างมายื่นให้ชายหนุ่ม
“เซ็นให้หน่อยค่ะ” สิ่งที่อากิยื่นเป็นกระดาษหนึ่งแผ่น กับปากกาหนึ่งด้าม ดูท่าทางฟีลจะงงไม่น้อยกับการกระทำของเธอ
“นี่มันอะไรกันครับ”
“ทำไมล่ะคะ ฉันก็อยากขอลายเซ็นไว้ก่อน...ไม่ได้เหรอคะ” อากิพูดทั้งรอยยิ้ม พลางยัดเยียดปากกาเข้าไปในมือฟีล
“คะ...ครับ” ถึงจะดูงงๆ แต่สุดท้ายฟีลก็เซ็นชื่อให้อากิไป
“ขอบคุณค่ะ”
อากิกอดแผ่นกระดาษลายเซ็นนั้นเอาไว้ ราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า
“แล้วข้อสาม...” เด็กสาวชูนิ้ว 3 นิ้วขึ้นมา เพิ่มความน่ารักของเธอขึ้นอีกหลายระดับ
“ข้อสาม...ผมขอเก็บไว้เป็นความลับก่อนก็แล้วกันนะครับ”
ฉันไม่แปลกใจอะไรกับคำตอบของเขา เพราะคนเราก็ล้วนแต่มีเรื่องที่ไม่สามารถบอกให้ใครรู้ได้กันอยู่ทุกคน
“อย่างงั้นเหรอคะ”
“ขอโทษด้วยนะครับ”
ฉันค่อยๆเขยิบหน้าเข้าไปใกล้หูของฟีลก่อนที่จะกระซิบที่ข้างหูเบาๆ “นี่ ทีคุยกับสาวสวยนี่ไม่หลงเหลือความกวนไว้เลยนะ”
“แหม ถ้าพี่สาวน่ารักกว่านี้สักหน่อยล่ะก็นะ” ฟีลพูดกลับมาเบาๆ
แต่สุดท้ายเสียงใสๆของอากิ ก็มาขัดขวางบทสนทนาระหว่างเราทั้งสองคน
“แล้วคุณฟีลมีที่อยู่มั้ยล่ะคะ ถ้ายังไม่มีมาอยู่ที่นี่ก่อนก็ได้”
“ก็ดีนี่นา” ฉันรีบกล่าวยุยงเมื่อเห็นหนทางแกล้งเด็กหนุ่มที่ทำท่าทางคล้ายกำลังเกรงใจ
“เดี๋ยวฉันขอพ่อให้” แววตาของอากิเปล่งประกาย คล้ายเด็กที่กำลังอยากได้ของเล่นที่พวกเธอต้องตา
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวผมหาที่อยู่เองได้”
“นะๆมาอยู่เถอะ ไม่ได้อยุ่ฟรีสักหน่อย คุณฟีลก็มาช่วยพ่อซ่อมเครื่องดนตรีก็ได้” อากิเริ่มยกเหตุผลร้อยแปดขึ้นมาอ้าง
เมื่อฟีลเห็นว่าไม่มีประโยชน์ที่จะปฎิเสธ สุดท้ายเขาก็ต้องจำใจยอมรับมติของที่ประชุมอย่างหลีกเลี่ยงได้
“งั้นผมขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”
“จริงเหรอคะ” อากิกระโดดโลดเต้นดีใจ
ฉันอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาเมื่อเห็นท่าทีของอากิ ที่ไม่เป็นแบบนี้มานาน
แต่น่าแปลก ในตอนนี้ฟีลกลับเหม่อลอยกับท่าทีของสาวสวยที่อยู่ข้างๆ ราวกับเขากำลังนึกถึงอะไรบางอย่างอยู่ บางอย่าง...ที่ฉันไม่อาจจะรู้ได้
เด็กสาวผู้ร่าเริง
อากิเป็นเด็กสาวอายุเพิ่งจะ 17 หมาดๆ หรือถ้าจะให้กล่าวคืออยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกับฟีล ใบหน้าที่ผุดผ่อง เจิดจ้า โดยไม่ต้องพึ่งเครื่องสำอาง ผิวที่ขาวราวกับเป็นสมบัติที่ถูกฝังลึกมานานจนลืมความร้อนของแสงอาทิตย์หรือแม้กระทั้งแสงแห่งจันทรา ทรงผมยาวถึงหัวไหล่รับกับรูปหน้ารีมลได้รูปของเธอราวกับเป็นสิ่งที่เกิดมาคู่กัน
แต่เหนือสิ่งอื่นใด ก็คงจะเป็นรอยยิ้มที่ปรากฏให้เห็นตลอดเวลาแก่ผู้พบเจอ รอยยิ้มที่ดูเหมือนกำลังสนุกกับอะไรบางอย่าง ไม่มีความทุกข์ ไม่มีความเครียด สิ่งนี้คงจะเป็นสเน่ห์สำคัญที่ทำให้เธอโดดเด่นขึ้นมาในหมู่ผู้คน ที่ไม่ว่าใครเมื่อแรกพบก็ต้องตกตะลึง
“พี่ริ...อุ๊บส์ อู้ อู้” ฉันรีบวิ่งเข้าไปปิดปากเด็กสาวเอาไว้ ก่อนที่เธอจะพูดอะไรไปมากกว่านี้
ฉันค่อยๆอธิบายเรื่องราวต่างๆด้วยความระมัดระวังและกระชับ โดยที่ไม่ให้ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆได้ยิน
“เข้าใจนะ เล่นตามแผนของพี่หน่อย”
“น่าสนุกดีนี่ค่ะ” แววตาขี้เล่นของเด็กสาวเปล่งประกายขึ้นมาทันที คล้ายเด็กเวลาที่มีอะไรถูกใจเข้ามา
แต่ในขณะที่ฉันจะแนะนำผู้ชายเบื้องหลังให้เธอรู้จัก อากิกลับวิ่งไปหาชายหนุ่มที่กำลังมองเธอไม่วางตาโดยที่ฉันยังไม่ทันรู้ตัว
“สวัสดีค่ะ ฉันชื่ออากิ แล้วคุณ...”
“ฟีลครับ”
“อ้อ คุณฟีล เชิญนั่งพักผ่อนก่อนเลยได้น่ะค่ะ” อากิเชื้อเชิญฟีลให้นั่งลงบนโซฟานุ่มที่ถูกตั้งไว้อยู่บริเวณมุมห้อง โดยสิ่งให้ความบันเทิงของห้องเก็บอุปกรณ์นี้เพียงอย่างเดียว ก็น่าจะเป็นโทรทัศน์จอโป่งขนาดไม่กี่นิ้ว
เมื่อฉันเห็นว่าฟีลมีท่าทีเขินอายกับอากิ ฉันจึงต้องลากตัวเขาให้ไปนั่งลงบนโซฟา ไม่งั้นทั้งวันก็อาจจะเห็นฟีลยืนอยู่ตรงจุดเดิมไม่กล้าเดินไปไหน
“เป็นไง เห็นหน้าอากิแล้วถึงกับอึ้งไปเลยเหรอ” ฉันกระซิบกระซาบขณะพาเขาไปที่โซฟา
ฟีลไม่พูดอะไร แต่พยักหน้าเป็นเชิงตอบรับ
“ฉันก็ยอมรับล่ะนะ ว่าอากิเป็นผู้หญิงที่สวยจริงๆ แต่ว่า...ฉันก็สวยไม่แพ้กันไม่ใช่เหรอ”
ฟีลชำเลืองตามามองฉัน ก่อนที่จะหันกลับไป
“ก็แล้วแต่คุณพี่สาวจะคิดล่ะครับ ผมคงตอบแทนอะไรไม่ได้”
ไม่ต้องบอกก็รู้ ว่าชายหนุ่มตรงหน้าต้องการสื่ออะไร แต่ฉันก็ยังสามารถระงับความโกรธไม่ให้ปะทุออกมาได้
“เอางี้ เดี๋ยวฉันเป็นแม่สื่อให้มั้ยหล่ะ อากิยังไม่มีแฟนน้า” ฉันพูดทีเล่นทีจริง
“ไม่ล่ะ พี่สาวเอาไปเล่นกับคนอื่นเถอะ”
ฉันไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นักที่ฟีลมักจะรู้ทันอยู่เสมอ ไม่ว่าจะทำอะไร จนสุดท้ายฟีล ฉัน และอากิ ก็นั่งลงบนโซฟาสีน้ำเงินเข้ม ที่ดูจะถูกดูแลรักษาเป็นอย่างดีทำให้ยังคงสภาพดีอยู่ได้ก่อนถึงเวลาอันสมควร
ตอนแรกฉันกะจะแกล้งโดยการให้ฟีลนั่งติดกับอากิ แต่สุดท้ายก็โดนเด็กสาวจับให้ฉันกับเขานั่งคู่กันซะนี่
“เป็นแฟนกันก็ต้องนั่งติดกันสิค่ะ”
แน่นอนฉันรู้ดีว่าอากิกำลังแกล้งฉันอยู่แน่ๆ แต่ด้วยสถานการณ์ทำให้ต้องตัดสินใจเลือกเล่นตามเกมของเธอไป
“ไม่ใช่แฟนสักหน่อย” ฉันกับฟีลแทบจะพูดขึ้นมาพร้อมกัน สร้างความสนุกให้กับเด็กสาวขี้เล่นคนนี้
“แหมๆ ใจตรงกันด้วย”
ทั้งฉันและฟีลเห็นว่ายิ่งเถียงก็ยิ่งเป็นการจุดไฟเผาตัวเอง เราทั้งคู่จึงตัดสินใจนิ่งเงียบไม่พูดอะไรต่อ จนอากิต้องกินแห้วไปตามระเบียบเมื่อฉันไม่เล่นตามเกมของเธออีกต่อไป
เมื่อเห็นว่าการสนทนาของเราเงียบลงไปสักระยะ สุดท้ายอากิก็เปิดการสนทนาใหม่ด้วยคำถามที่เกี่ยวกับตัวชายหนุ่มข้างๆ
“คุณฟีลเป็นนักผจญภัยเหรอค่ะ”
“อ้อ ครับ” ชายหนุ่มตอบไปโดยที่ยังไม่รู้เป้าหมายของเด็กสาว
“อ๊าย เท่มากๆเลยค่ะ” อากิส่ายตัวไปมาด้วยท่าทีเขินอาย ส่วนฟีลก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆทำอะไรไม่ถูก
“มันก็ไม่ต่างอะไรกับคนเร่ร่อนล่ะมั้งครับ”
อากิส่ายหัวทันที “ไม่หรอกค่ะ นักผจญภัยคือคนที่มีเป้าหมายในการเดินทาง ส่วนคนเร่ร่อนคือคนที่ไม่มีอะไรเลยใช้ชีวิตอยู่รอดไปวันๆ”
“งะ...งั้นเหรอครับ” ใบหน้าที่ใสซื่อและบริสุทธิ์ของเด็กสาว ทำให้ฟีลไม่กล้าพูดอะไรต่อ
“หรือว่าคุณฟีลออกผจญภัยโดยที่ไม่มีเป้าหมายอะไรเลยคะ”
ฟีลนิ่งไปสักพัก ก่อนที่จะตอบคำถามกลับไป “มีครับ”
ฟีลพูดแค่นั้น พูดน้อยจนฉันประหลาดใจ ราวกับผู้ชายที่ฉันเจอก่อนหน้านี้ไม่ใช่คนๆเดียวกับที่นั่งอยู่ข้างๆตอนนี้
“มันคืออะไรเหรอคะ” เสียงใสๆนุ่มๆของอากินับว่าเป็นเสียงที่ไม่ว่าใครได้ยินก็ต้องยอมศิโรราบ
ฟีลกลีนน้ำลายเอือกใหญ่ ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองเข้าไปในดวงตาที่สุดแสนจะสดใสของอากิ เหมือนกับน้ำตาคู่นั้นจะช่วยเขาตัดสินใจพูดออกมา
“สาเหตุที่ผมออกผจญภัย...มีอยู่ 3 ข้อครับ”
เขาหันมามองฉัน คล้ายกำลังขอความช่วยเหลือ สายตาที่สดใสบัดนี้กลับหม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัด
“ข้อแรก...ผมอยากจะออกเดินทางเพื่อไปพบปะผู้คน ไปสร้างรอยยิ้มให้พวกเขา”
“เป็นเป้าหมายที่ดีจังเลยนะคะ”
“ผมว่า มันก็เป็นแค่เป้าหมายบ้าๆแค่นั้นเองล่ะครับ” ฉันเห็นจริงๆ บางสิ่งบางอย่างที่หลับใหลอยู่ภายในตัวของฟีล บางสิ่งบางอย่าง ที่เขาใช้ความร่าเริงกลบเกลื่อนมันเอาไว้
“แล้วข้อสองล่ะคะ”
“ข้อสอง...คือผมอยาเป็นดนตรีมืออาชีพ อยากเป็นคนที่สร้างรอยยิ้มด้วยเสียงดนตรี” ฟีลก้มหน้าลง ไม่กล้าสบตากับเด็กสาว
“ถ้าผมออกเดินทางไปพบผู้คน ผมคงจะรู้แน่ว่าความหมายของคำว่ารอยยิ้มที่แท้จริงคืออะไร และผมก็อยากสร้างรอยยิ้มให้ผู้คน โดยเอาสิ่งที่ผมได้รู้จากการผจญภัยมาถ่ายทอดให้พวกเขาผ่านเสียงเพลง”
ฟีลหันหน้าขึ้นมามองอากิ ที่กำลังนิ่งไม่พูดอะไร “มันดูบ้าใช่ไหมครับ”
อากิไม่พูด แต่กลับลุกขึ้นไปหยิบอะไรบางอย่างมายื่นให้ชายหนุ่ม
“เซ็นให้หน่อยค่ะ” สิ่งที่อากิยื่นเป็นกระดาษหนึ่งแผ่น กับปากกาหนึ่งด้าม ดูท่าทางฟีลจะงงไม่น้อยกับการกระทำของเธอ
“นี่มันอะไรกันครับ”
“ทำไมล่ะคะ ฉันก็อยากขอลายเซ็นไว้ก่อน...ไม่ได้เหรอคะ” อากิพูดทั้งรอยยิ้ม พลางยัดเยียดปากกาเข้าไปในมือฟีล
“คะ...ครับ” ถึงจะดูงงๆ แต่สุดท้ายฟีลก็เซ็นชื่อให้อากิไป
“ขอบคุณค่ะ”
อากิกอดแผ่นกระดาษลายเซ็นนั้นเอาไว้ ราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า
“แล้วข้อสาม...” เด็กสาวชูนิ้ว 3 นิ้วขึ้นมา เพิ่มความน่ารักของเธอขึ้นอีกหลายระดับ
“ข้อสาม...ผมขอเก็บไว้เป็นความลับก่อนก็แล้วกันนะครับ”
ฉันไม่แปลกใจอะไรกับคำตอบของเขา เพราะคนเราก็ล้วนแต่มีเรื่องที่ไม่สามารถบอกให้ใครรู้ได้กันอยู่ทุกคน
“อย่างงั้นเหรอคะ”
“ขอโทษด้วยนะครับ”
ฉันค่อยๆเขยิบหน้าเข้าไปใกล้หูของฟีลก่อนที่จะกระซิบที่ข้างหูเบาๆ “นี่ ทีคุยกับสาวสวยนี่ไม่หลงเหลือความกวนไว้เลยนะ”
“แหม ถ้าพี่สาวน่ารักกว่านี้สักหน่อยล่ะก็นะ” ฟีลพูดกลับมาเบาๆ
แต่สุดท้ายเสียงใสๆของอากิ ก็มาขัดขวางบทสนทนาระหว่างเราทั้งสองคน
“แล้วคุณฟีลมีที่อยู่มั้ยล่ะคะ ถ้ายังไม่มีมาอยู่ที่นี่ก่อนก็ได้”
“ก็ดีนี่นา” ฉันรีบกล่าวยุยงเมื่อเห็นหนทางแกล้งเด็กหนุ่มที่ทำท่าทางคล้ายกำลังเกรงใจ
“เดี๋ยวฉันขอพ่อให้” แววตาของอากิเปล่งประกาย คล้ายเด็กที่กำลังอยากได้ของเล่นที่พวกเธอต้องตา
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวผมหาที่อยู่เองได้”
“นะๆมาอยู่เถอะ ไม่ได้อยุ่ฟรีสักหน่อย คุณฟีลก็มาช่วยพ่อซ่อมเครื่องดนตรีก็ได้” อากิเริ่มยกเหตุผลร้อยแปดขึ้นมาอ้าง
เมื่อฟีลเห็นว่าไม่มีประโยชน์ที่จะปฎิเสธ สุดท้ายเขาก็ต้องจำใจยอมรับมติของที่ประชุมอย่างหลีกเลี่ยงได้
“งั้นผมขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”
“จริงเหรอคะ” อากิกระโดดโลดเต้นดีใจ
ฉันอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาเมื่อเห็นท่าทีของอากิ ที่ไม่เป็นแบบนี้มานาน
แต่น่าแปลก ในตอนนี้ฟีลกลับเหม่อลอยกับท่าทีของสาวสวยที่อยู่ข้างๆ ราวกับเขากำลังนึกถึงอะไรบางอย่างอยู่ บางอย่าง...ที่ฉันไม่อาจจะรู้ได้
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ