Thank For Your Smile...น้ำตา...ความฝัน...ความหวัง
เขียนโดย MightySoul
วันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 19.50 น.
แก้ไขเมื่อ 18 เมษายน พ.ศ. 2557 11.57 น. โดย เจ้าของนิยาย
6) บทที่ 5 เหตุการณ์ที่ไม่เลือนลาง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 5
เหตุการณ์ที่ไม่เลือนลาง
คำถามของอากิ คล้ายจะไปสัมผัสกับบางสิ่งบางอย่างที่หลับใหลอยู่ในจิตใจของผม ความรู้สึกและเหตุการณ์มากมายเอ่อล้นออกมาราวกับท่อประปาที่ผุกร่อนจนไม่อาจรับแรงดันของน้ำได้อีกต่อไป และแล้วจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ต่างๆที่ผมไม่มีวันลืม...ก็กลับมาอีกครั้ง
เช้าวันนั้นก็เป็นวันธรรมดาๆไม่มีอะไรแปลก หรือพิเศษไปกว่าวันอื่น ผมยังคงเป็นตัวผมในอดีต โดดเดี่ยว อ้างว้าง ไม่มีเป้าหมายในชีวิต ทำตามครรลองเน่าๆของสังคม ที่บังคับให้เราต้องเรียนเพื่อที่จะแข่งขันกัน โดยใช้ข้ออ้างหลอกลวงว่า ทำตามนี้แล้วจะได้ดี จะไม่ลำบาก ทั้งๆที่มันก็ให้ได้แค่ความสุขภายนอก ที่ไม่ยั่งยืน ความสุขอันเกิดจากความโลภในสิ่งของ โลภในยศถาบรรดาศักดิ์ ผมได้แต่เฝ้าถามตัวเองไปวันๆว่า ผมเกิดมาเพื่ออะไรกันแน่ แบบนี้มันดีแล้วจริงเหรอ?
“ช่วยด้วย!!!” เสียงร้องตะโกนขอความช่วยเหลือจากเด็กรูปร่างเล็กที่กำลังโดนกลุ่มอันธพาลรุมรังแกดังขึ้นกระทบกับหูผมที่บังเอิญเดินผ่านมา
เมื่อผมได้ยินเสียงนั้น ผมก็หันเหความสนใจจากหนังสือเรียนเล่มโต เงยหน้าขึ้นไปมองเจ้าของเสียง
“ช่วยด้วย!!!” เสียงตะโกนร้องขอความช่วยเหลือค่อยๆแผ่วลงจากสภาพร่างกายที่บอบช้ำขึ้นเรื่อยๆจากการเดินรุมกระทืบ แต่ผมในตอนนั้น ก็ได้แค่มอง ก่อนที่จะพูดบางสิ่งบางอย่างออกมาที่ตอนนี้ผมยังไม่เชื่อว่ามันจะหลุดออกมาจากปาก
“ไม่ใช่เรื่องของฉัน” ผมเดินผ่านผู้ชายคนนั้นไปอย่างไม่แยแสถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
นั้นคือผมในตอนนั้น ผมที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นคนที่เลวจนจับขั้วหัวใจ
“เอ้า นายยุทธนา มารับผลการเรียนไป” ผมลุกขึ้นจากโต๊ะเพื่อเดินไปรับผลการเรียน ถึงแม้จะเบา แต่เสียงติฉินนินทาจากเพื่อนในห้องก็ยังคงเป็นสิ่งที่เกิดมาคู่กับผม
“มันคงเป็นที่หนึ่งของระดับชั้นอีกแน่เลยว่ะ”
“แน่นอนสิ วันๆมันเอาแต่ท่องหนังสือ ไม่สุงสิงกับใคร อย่างงี้มันจะไม่เก่งได้ยังไงเล่า”
แต่สุดท้ายเสียงพวกนั้นก็เป็นแค่เสียงนกเสียงกาของพวกไร้สมอง ผมเปิดผลการเรียนทั้งรอยยิ้ม ต่างกับพวกเขาที่ทำท่าทีเสียดายกับคะแนนที่พวกเขาได้
นั้นอาจจะเป็นสิ่งเดียวที่ตัวผมในตอนนั้น...ดีกว่าตัวผมในตอนนี้
“ฟีล ติวฉันให้หน่อยสิ” เสียงเล็กจากเด็กผู้หญิงเพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งดังขึ้นขณะที่ผมกำลังนั่งอ่านชีวะวิทยาระดับมหาลัยทั้งๆที่ยังอยู่แค่ ม.3
“เรื่องอะไรฉันต้องติวให้เธอด้วย”
“ก็นายเก่งไม่ใช่เหรอ”
“เก่งแล้วไง การติวมันก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของฉัน” ผมปิดหนังสือแล้วเดินออกจากห้องเพื่อหมายจะไปหามุมสงบๆเพื่ออ่านหนังสือเตรียมสอบแข่งขันระดับโอลิมปิค
แต่ผู้หญิงคนนั้นก็ยังคงตื้อไม่เลิก
“ร้อยนึง สำหรับการติวหนึ่งชั่วโมง” เธอยื่นข้อเสนอที่น่าสนใจไม่น้อยสำหรับเด็กคนอื่นๆ...แต่คงไม่สำหรับผม
“เฮอะ ฉันขอชั่วโมงละล้านเป็นอย่างน้อย เธอพอจ่ายรึเปล่าล่ะ” ใบหน้าของเธอในตอนนั้น ยังคงติดตาผมไม่หาย
“จำเอาไว้ซะ ฉันไม่ไปคลุกคลีกับคนไร้สมองอย่างเธอหรอก เธอให้ฉันชั่วโมงล่ะร้อย ก็เท่ากับต้องเสียชั่วโมงสำหรับการอ่านหนังสือไป ความรู้ในหนึ่งชั่วโมงที่จะเสียไปน่ะ ฉันจะได้เงินเป็นล้านๆในอนาคต”
“นาย...นายนี่มัน” น้ำตาของเด็กสาวไหลซึมออกมาจากดวงตาที่กลมใส แน่นอน ผมในตอนนั้นไม่ใส่ใจอะไรเลย
นั้น...คือตัวผมในอดีต ก่อนที่เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้น เหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงทุกอย่างไป เหตุการณ์ทีทำให้ผมรู้ว่า สิ่งใดกันแน่ คือความฝันที่แท้จริง ตัวตนที่แท้จริง
วันนั้นเป็นคืนก่อนวันเกิดอายุครบ 15 ผมยังคงท่องหนังสือจนดึกดื่นจนเกือบจะเข้าใกล้วันใหม่ หรือกล่าวคือใกล้จะเลยเที่ยงคืนไปแล้ว
เมื่อเห็นว่าถึงเวลาอันสมควรที่จะกลับไปที่เตียงเพื่อพักผ่อน ผมจึงเดินไปหยิบนมในตู้เย็นมาดื่ม วันนั้นก็ยังคงเป็นวันธรรมดาๆ ไม่มีอะไรพิเศษ มาเตือนว่าวันนั้น จะเปลี่ยนแปลงชีวิตเดิมๆของผมไป
ผมรู้สึกตัวขึ้นมาเพราะเสียงที่ดังลั่นของเหล่าฝูงชน รอบข้างๆเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังส่งเสียงร้อง โบกมือไม้ไปมา แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือรอยยิ้ม ที่ปรากฏให้เห็นกันทุกคน
ผมมองไปเบื้องหน้าที่สายตาทุกสายตาต่างพากันจับจ้องเป็นจุดเดียว
จะว่ายังไงดีล่ะ สิ่งที่เห็นคือหญิงสาวคนหนึ่งใส่จุดเดรสลายดอก กำลังร้องเพลงอยู่บนเวทีที่เต็มไปด้วยแสง สี เสียง
เธอกำลังร้องเพลง แต่ผมกลับไม่ได้ยินเสียงใด นอกจากเสียงผู้คนที่กำลังโฮ่ร้อง
“คิเซกิ...ริกะ” สายตาของผมไม่อาจจับจ้องที่ใดได้อีก นอกจากบนเวที ราวกับความรู้สึกของผม ตัวตนที่แท้จริงของผม ได้ถูกเปิดออกมาด้วยกุญแจดอกเล็กๆ
ความรู้สึกของผมเปลี่ยนไป ผู้คนที่กำลังมีรอยยิ้มคล้ายส่งความรู้สึกบางอย่างมาให้ผม ความรู้สึกที่คล้ายจะเป็นความปลื้มปิติที่ได้เห็นรอยยิ้มของพวกเขา
ผู้หญิงบนเวทีคนนั้นเพียงคนเดียว ทำให้คนนับพันมีรอยยิ้ม ทุกท่วงท่าบนเวทีสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับผู้คนจำนวนมหาศาล
ผมมีความสุขจริงๆ ความสุขที่ได้เห็นรอยยิ้มของผู้อื่น ความสุขที่ผมไม่มีทางได้มาจากตัวตนเดิมของผม ความสุข...ที่ได้ทำอะไรเพื่อคนอื่น มันเข้ามาแทนที่ทุกสิ่งทุกอย่างเก่าๆจนหมดสิ้น
ผมอยากเป็นแบบเธอ ผมอยากจะยืนอยู่บนเวทีเหมือนเธอ นั้นคือสิ่งที่ผมคิดได้ในตอนนั้น ถ้าผมเป็นแบบเธอ...ผมคงได้เห็นรอยยิ้มของผู้คนตลอดไป
นั้นคือสิ่งสุดท้ายที่ผมคิด ก่อนที่จะตื่นขึ้นมาจากห้วงแห่งความฝัน
สิ่งแรกที่รู้สึกคือใจที่เต้นเร็ว นอกจากความปลื้มปิติที่ได้เข้ามาแล้ว มันยังมีความรู้สึกบางอย่างแฝงอยู่ ความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายออกมาได้ ความรู้สึก...ที่ได้จากผู้หญิงคนหนึ่ง ที่กำลังสร้างรอยยิ้มให้ผู้คน
นับตั้งแต่นั้น ผมก็เปลี่ยนไป เปลี่ยนจากผมที่คิดถึงแต่ตนเอง มาคิดถึงแต่ผู้อื่น ซึ่งผมยอมรับเลยว่า ความสุขที่ได้ยิ้ม...มันเทียบไม่ได้กับความสุข ที่ได้เห็นผู้อื่นยิ้มเลยแม้แต่น้อย
นี่ช่างเป็นของขวัญวันเกิด ที่ดีที่สุดสำหรับผมจริงๆ
“ฟีลซัง ฟีลซัง” เด็กสาวนามอากิเข้ามาสะกิดเบาๆเรียกสติที่หลุดลอยไปกับห้วงอดีตให้กลับคืนมา
“คะ...ครับ”
“เป็นอะไรเหรอเปล่าคะ เห็นอยู่ดีๆก็เหม่อไปซะงั้น” แววตาที่เปี่ยมไปด้วยความเป็นห่วง ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะลูบหัวหญิงสาวคนนี้ ซึ่งดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้รังเกียจอะไรนัก
“ก็คงจะคิดอะไรบ้าๆตามแบบฉบับคนบ้าๆอยู่นั้นแหละ” นาโอะกล่าวขึ้นมาทำลายบรรยากาศซะป่นปี้
“แหม งั้นท่าทางใจเราจะตรงกันอย่างที่อากิพูดว่าจริงๆสินะครับ คุณพี่สาวถึงได้รู้อยู่ด้วยว่าผมคิดอะไร”
นาโอะเมื่อเห็นผมสามารถสวนกลับมาได้อย่างหนักหน่วง ก็รีบรูดซิปปากไม่พูดอะไรต่อ เพราะกลัวจะเป็นการเผาตัวเองไปมากกว่านี้
“อ้อ อากิซัง เหตุผลข้อที่ 3...ผมพร้อมจะบอกแล้วครับ”
อากิทำท่าทีประหลาดใจไม่น้อย เมื่อเห็นผมเปลี่ยนใจในระยะเวลาไม่ถึงห้านาที
“เหตุผลข้อที่ 3...คือผมอยากมาขอบคุณผู้หญิงคนหนึ่งครับ ที่ช่วยทำให้ผมรู้ว่า สิ่งใดกันคือสิ่งที่ผมต้องการ สิ่งใดกันคือตัวตนที่แท้จริงของผม”
นาโอะเมื่อได้ยินเหตุผลข้อ 3 ก็รีบรูดซิบปากออกมาถามทันที “ใครอ่ะ”
ทั้งผมและอากิอดขำไม่ได้กับท่าทางของนาโอะที่ดูเด็กเกินกว่าวัย
“แหม คุณพี่สาว ถ้าผมอยากบอกผมคงบอกไปแล้วล่ะครับ เพราะฉะนั้น กรุณาเงียบต่อไปด้วยครับ”
นาโอะทำหน้ามุ่ยทันที ก่อนที่จะหยุดพูดและปล่อยให้ผมกับอากิพูดกันเพียงสองคนโดยที่เธอยังคงนั่งฟังอยู่
“รักเหรอคะ...เธอคนนั้นน่ะ”
แน่นอน ผมไม่ตอบ แต่พยักหน้าเบาๆแทน “ก็คงจะเป็นอย่างนั้นล่ะมั้งครับ”
“ดีจังเลยนะคะ”
หลังจากนั้น พวกเราทั้งสามก็คุยกันเรื่องสัพเพเหระกันต่อไป จนกระทั่งคุณลุงเจ้าของร้านเดินเข้ามา
ดูเหมือนว่าโรคหวงลูกสาวของคุณลุงจะกำเริบ ผมเลยถูกจับแยกออกจากอากิที่กำลังคุยกันอยู่อย่างออกรสออกชาติ
“นายห้ามคิดอะไรเกิดเลยกับลูกสาวฉันนะเฟ้ย ไม่งั้นฉันเชือดนายแน่...” ถึงแม้จะดูตลกๆกับอาการหวงลูกสาวเกินเหตุ แต่ผมก็พยักหน้ารับไป
“ใช้เวลาประมาณสองสามวัน พังหนักเอาเรื่องอยู่ เดี๋ยวนายค่อยมาเอาวันที่ 20 กันยาก็แล้วกัน”
เมื่อผมได้ยินดังนั้น ผมก็ค่อยๆชำเลืองไปที่อากิ ที่ได้ทำสัญญาให้ผมมาอยู่ที่นี่แล้วโดยที่ยังไม่บอกเจ้าของบ้านตัวจริง
“พ่อคะ ฟีลซังเขาจะมาขออาศัยอยู่ที่นี่สักพักได้มั้ยคะ”
“ไม่ได้” เจ้าของตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว
“ว่าไงนะคะ”
อะไรกัน ผมรู้สึกได้ถึงรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาจากตัวของอากิ จนอดไม่ได้ที่จะหันไปมองหน้าของเจ้าของร้าน
นาโอะดูเหมือนจะเป็นคนเดียวที่ชินกับเหตุการณ์แบบนี้แล้ว จึงทำท่าทีเหมือนไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
“กะ...ก็ได้” ทันทีที่คำพูดนี้ออกไป ห้องก็กลับสู่ความสงบอีกครั้ง
“จริงเหรอคะ”
“อะ...อืม” ผมกลืนน้ำลายแทบไม่ลง เมื่อเห็นตัวตนที่แท้จริงส่วนหนึ่งของเด็กสาวตรงหน้า สังเกตได้จากเหงื่อที่ไหลท่วมในเวลาไม่กี่วินาทีของคุณลุงเจ้าของร้าน
“ฟีลซัง ขึ้นไปดูห้องกันเถอะ มีห้องว่างอยู่ห้องนึงพอดีเลย” อากิเมื่อได้รับอนุญาตของผู้เป็นพ่อ ก็รีบดึงผมขึ้นไปชั้นสองเพื่อชมห้องทันที
รอยยิ้มของทุกคนในร้านแห่งนี้...ทำให้ผมมีความสุขจริงๆ ขอบคุณนะครับ ริกะซัง ที่ทำให้รู้ว่าแท้จริงแล้วผมเกิดมาเพื่ออะไร และต้องการอะไร การที่ผมได้มาอยู่ตรงจุดนี้ ได้มาเจอกับทุกๆคน มันช่างสุดยอดจริงๆ เป็นสิ่งที่ผมไม่อาจหาได้ในตัวตนก่อน ตัวตนที่เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว ความโสมม ต้องผลักตัวเองเพื่อแข่งขันกับคนอื่นๆเพื่อที่จะได้เป็นใหญ่ มีอำนาจ มีเงินทอง
ขอบคุณจริงๆนะครับ นี่แหละ คือความสุขที่แท้จริงของผม...ถึงแม้ตอนนี้ความฝันของผม เป้าหมายของผม จะยังคงดูช่างห่างไกลซะเหลือเกินก็ตาม
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ