Thank For Your Smile...น้ำตา...ความฝัน...ความหวัง
เขียนโดย MightySoul
วันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 19.50 น.
แก้ไขเมื่อ 18 เมษายน พ.ศ. 2557 11.57 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) บทที่ 3 สิ่งที่ไม่ควรค่า
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 3
สิ่งที่ไม่ควรค่า
ผมยอมรับเลยว่าตั้งแต่เกิดมา ยังไม่เคยกินหมูทอดจานไหนอร่อยเท่าจานนี้มาก่อน หนาแต่กลับนุ่ม กรอบแต่กลับละลายในปาก รวมตัวกันเป็นความสมบูรณ์แบบที่อัดแน่นพร้อมที่จะระเบิดออกมาทุกครั้งที่เคี้ยว
แต่แล้ว...ช่วงเวลาสำคัญก็มาถึง ผมเปิดกระเป๋าตังค์ที่ดูร่อยหรอผิดกับผู้หญิงตรงหน้าที่เปี่ยมไปด้วยแบงค์หมื่นไม่ต่ำกว่าห้าใบ และบัตรเครดิตอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งพอจะเป็นหลักฐานพยานได้ว่าใครจะต้องจ่ายค่าอาหารมื้อนี้
แน่นอน ต้องเป็นผมสิ
“พี่สาว มื้อนี้ผมจ่ายเอง”
“ไม่ๆฉันจ่ายเอง นายเก็บตังค์ไว้เอาตัวรอดเถอะ”
“แต่ผู้ชายให้ผู้หญิงเลี้ยงข้าวนี่มัน...”
“อย่าไปใส่ใจมากเลย ฉันมีเงินมากพอจนไม่รู้จะเอาไว้ใช้ทำอะไรอยู่แล้ว”
ถึงแม้จะอยากเถียง แต่สิ่งที่เธอพูดก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องจริงๆ
“เอางี้ ถ้านายเรื่องมากก็ไม่ต้องเลี้ยง แยกจ่ายกันไปเลย” นาโอะยื่นข้อเสนอ
“ตกลงตามนั้น แยกจ่ายกันไปเลย” เมื่อเราทั้งสองได้ข้อสรุป ผมจึงจ่ายค่าหมูทอดที่มีราคาถึง 3000 เยนด้วยตัวเอง ด้วยกระเป๋ามีเงินอยู่แค่ไม่กี่หมื่น
“อะไร รีบๆให้เขาไปสิ” นาโอะเตือนเมื่อมือของผมสั่น และกำแบงค์ 1000 เยน สามใบไว้แน่น ผิดกับนาโอะที่จ่ายด้วยแบงค์หมื่นเยนด้วยท่าทีสบายๆ
เมื่อเห็นว่าไม่มีประโยชน์ที่จะดื้อดึง สุดท้ายเงิน 3 พันเยนก็ล่องลอยไปตามระเบียบ โดยที่มีนาโอะแอบขำอยู่ข้างๆ
“ก็บอกแล้วไง ว่ามื้อนี้ให้ฉันเลี้ยง”
“ไม่มีทางหรอก ผมเลี้ยงดูตัวเองได้ คุณพี่สาวไม่ต้องมาอนุเคราะห์ผมหรอก”
“อ้อ เหรอ” นาโอะขึ้นเสียงสูง ก็จริงอยู่ที่เงินที่มีอยู่ตอนนี้คงอยู่ได้อีกไม่เกินเดือน แต่ผมกลับรู้สึกว่าไม่ใช่ปัญหาที่ใหญ่อะไรนัก
หลังจากออกจากร้านอาหาร พวกเราก็ใช้เวลาอีกประมาณสิบกว่านาที ในที่สุดนาโอะก็พาผมมาถึงร้านเป้าหมายที่แลดูอยู่ห่างไกลจากสังคมเมืองวุ่นวายด้านนอกพอสมควร
“ที่นี่สงบดีเนอะ”
“อืม เป็นเขตพื้นที่อยู่อาศัยน่ะ ก็เลยไม่วุ่นวายเหมือนริมถนนใหญ่ด้านนอก” นาโอะพูดพลางเปิดประตูเข้าไปในร้านซ่อมเครื่องดนตรี
ผมค่อยๆเดินตามนาโอะไปติดๆ ในร้านถูกตกแต่งด้วยเครื่องดนตรีมากมายห้อยแขวนอยู่ตามผนังทั้งสี่ด้าน วอลเปเปอร์ลายไม้ให้ความรู้สึกขลังอย่างน่าแปลกประหลาด
“สวัสดีครับ” เสียงทุ้มๆของชายร่างใหญ่ที่ดูคล้ายจะเป็นเจ้าของร้าน ดังขึ้นมาจากหลังร้าน
เขาเปิดประตูหลังร้านออกมาด้วยความร้อนรน แต่เมื่อเห็นว่าใครเป็นลูกค้า ก็คล้ายจะผ่อนความรีบร้อนลงไป
“อ้าว ริ...อุ๊บส์” นาโอะรีบวิ่งไปปิดปากเจ้าของร้านเอาไว้ ก่อนที่จะกระซิบกระซาบอะไรบางอย่าง ซึ่งท่าทางจะเป็นสิ่งที่ผมไม่ควรจะรู้
“เรื่องก็เป็นแบบนี้แหละค่ะ ช่วยเล่นละครหน่อยนึดนึง อย่าให้เขารู้ว่าตัวจริงฉันเป็นใคร” เมื่อเจ้าของร้านเห็นเธอพูดด้วยใบหน้าขี้เล่นซุกซน ก็อดไม่ได้ที่จะตามน้ำไป
“อ้าว นาโอะจัง เป็นไงมาไงเนี้ย ไม่เห็นมาร้านตั้งหลายอาทิตย์แล้ว”
“พอดีช่วงนี้งานยุ่งๆน่ะค่ะ ก็เลยไม่มีเวลามาตรวจเช็คคีย์บอร์ดเลย”
“อ้าว แล้ววันนี้จะให้ฉันช่วยอะไรล่ะ” ชายร่างใหญ่ยิ้มด้วยท่าทางเป็นมิตร
“พอดีอยากจะให้ช่วยซ่อมคีย์บอร์ดให้หน่อยน่ะค่ะ” นาโอะพูดก่อนที่จะชี้นิ้วมาทางผมที่กำลังยืนนิ่งปล่อยให้เขาสองคนคุยกัน
เจ้าของร้านมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนที่จะกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกับหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ
“ริกะ เธอก็น่าจะรู้กฎของร้านฉันนะ ว่าจะซ่อมเครื่องดนตรีให้แก่คนที่คู่ควรกับเครื่องดนตรีนั้นเท่านั้น”
“รู้ดีค่ะ”
“แล้วหน้าอย่างงี้น่ะเหรอ ฉันว่าเล่นเพลงชาติยังติดขัดเลยล่ะม้าง”
“เอาน่าๆ ให้เขาลองดูหน่อย แล้วกฎบ้าๆแบบเนี้ย เลิกสักทีเถอะค่ะ เดี๋ยวจะไม่มีลูกค้าซะเปล่า” นาโอะพูดเหน็บแหนมชายร่างใหญ่ ซึ่งเขาก็ดูมีทีท่าไม่ใส่ใจอะไรนัก
หลังจากเจ้าของร้านกระซิบกระซาบกับนาโอะเสร็จ เขาก็หันหน้ามาจ้องผม ก่อนที่จะพูดอะไรบางอย่าง “เฮ้ย เจ้าหนู ไหนลองแสดงความสามารถให้ฉันดูหน่อยสิ”
“แสดงความสามารถ?”
“ก็ใช่น่ะสิ จะให้พูดอีกรอบมั้ยล่ะ” เจ้าของร้านพูดขู่ ก่อนที่จะเดินไปหยิบคีย์บอร์ดตัวหนึ่งจากหลังร้านออกมาให้
“เจ้าตัวนี้ถือว่าเป็นของมีราคา อย่าทำให้คุณค่าของมันหม่นหมองซะหล่ะ” แววตาของชายร่างใหญ่ดูคล้ายจะดูถูกผมอยู่พอสมควร
ผมปลดคีย์บอร์ดของผมที่อยู่ทางด้านหลังออก ก่อนที่จะนำไปฝากไว้ที่นาโอะ
ผมพินิตพิจารณาคีย์บอร์ดสีขาวที่ถูกตั้งอยู่เบื้องหน้าอยู่สักพักหนึ่ง ก่อนที่จะหันหน้าขึ้นไปมองเจ้าของร้านคล้ายจะบอกว่า เริ่มได้เลยเหรอเปล่า
“เอ้า เริ่มเลยสิ จะรออะไรอยู่ ถ้าเธอไม่ผ่าน...ก็แค่ไสหัวออกจากร้านไป ก็เท่านั้นเอง” น้ำเสียงจริงจังของชายร่างใหญ่ทำให้ผมรู้ว่า เขาไม่ได้พูดเล่นๆ ถ้าผมไม่ผ่าน ก็คงโดนเฉดหัวออกจากร้านตามที่เขาได้พูดไว้อย่างไม่ต้องสงสัย
ผมสูดอากาศเข้าไปจนชุ่มปอด ก่อนที่จะเริ่มลงมือบรรเลงด้วยความสามารถทั้งหมดที่มี
แต่ในขณะที่กำลังจะลงมือบรรเลง ก็มีมือขาวๆมือหนึ่ง มารั้งแขนที่สั่นของผมเอาไว้
“ใจเย็นๆ อย่าตื่นเต้น”
น่าประหลาดใจนัก ราวกับร่างกายผมตอบสนองคำพูดของนาโอะ แขนที่สั่นบัดนี้กลับนิ่งเป็นปกติ กลับกันผมกลับคุ้นเคยกับนาโอะอย่างน่าประหลาด เหมือนกับว่าเราเคยเจอที่ไหนกันมาก่อน ซึ่งความรู้สึกนั้น มันพาให้ผมคิดถึงคนคนหนึ่งเอาซะเหลือเกิน
นาโอะเมื่อเห็นว่ามือของผมนิ่งเป็นปกติ เธอก็ปล่อยมือ และค่อยๆถอยออกมา
“เอ้า เริ่มสักทีสิ หรือถ้ากลัวก็เดินออกจากร้านไปเลยก็ได้นะ” ชายร่างใหญ่เริ่มข่มขู่อีกครั้ง
ผมสูดอากาศเข้าไปจนชุ่มปอดดั่งที่ได้เคยทำก่อนหน้า แต่ครั้งนี้กลับรู้สึกแตกต่างจากเดิม ราวกับความกังวลทั้งหมดได้สูญสลายหายไป
ทันทีที่นิ้วของผมกระทบกับคีย์ เสียงก้องกังวานแต่กลับชุ่มช่ำไว้ด้วยความหวาน สร้างความผ่อนคลายให้กับผู้ที่รับฟังก็ปะทุออกมาราวกับภูเขาไฟที่อัดอั้นมานาน
การบรรเลงถูกขับกล่อมไปเรื่อยๆจนกระทั่งเพลงจบลง
ผมเงยหน้าขึ้นมามองชายร่างใหญ่ ที่กำลังยืนอยู่ข้างหญิงสาว แน่นอน ทั้งคู่ก็ทำหน้าประหลาดใจไม่แพ้กัน
“ริ...ไม่สิๆ นาโอะๆ เธอมากับฉันทางนี้หน่อย” เจ้าของร้านลากนาโอะเข้าไปหลังร้าน พร้อมปิดประตูปิดชิดคล้ายไม่อยากให้ผมได้ยิน
“เธอไปเอาคนเก่งขนาดนี้มาจากไหนเนี้ย นี่มันระดับมืออาชีพแล้วชัดๆ” เจ้าของร้านพูดด้วยสีหน้าร้อนรนราวกับระบายสิ่งที่อัดอั้นเอาไว้ในใจ
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน...ก็แค่นำทางมาซ่อมเฉยๆ”
เมื่อเจ้าของร้านเห็นสีหน้าของนาโอะ ไม่ได้ผิดแปลกไปจากเขาเท่าไหร่นัก จึงไม่เข้นถามต่อไป
“ริกะ เธอบอกว่าบังเอิญเจอผู้ชายคนนี้กำลังหาร้านซ่อมอยู่ ก็เลยพามาใช่ไหม”
นาโอะอึ้งไปสักระยะ เพราะสิ่งที่เธอเล่าให้เจ้าของร้านฟังไปนั้น เป็นเรื่องจริงแค่ครึ่งเดียว “อะ อืม ประมาณนั้นแหละ”
“โธ่ ริกะ เธอนี่โชคดีจริงๆ ถ้าขัดเกลาเขาอีกหน่อยนะ ฉันว่าสูสีกับเธอเชียวแหละ” ชายร่างใหญ่ทำหน้าชวนฝันที่ไม่ค่อยจะเข้ากับอายุที่วัยน่าจะเข้าเลข 4 เท่าไหร่นัก
นาโอะและเจ้าของร้านเปิดประตูออกมาก่อนที่จะส่งยิ้มประหลาดๆให้ผม
“นายผ่าน ขอดูคีย์บอร์ดของนายหน่อยนะ” ชายร่างใหญ่ไม่มัวรีรอช้ารีบวิ่งเข้าไปเปิดกระเป๋าที่บรรจุคีย์บอร์ดของผมเอาไว้
เขาค่อยๆยกคีย์บอร์ดออกมาช้าๆ และพิจารณาอย่างละเอียดทุกซอกทุกมุม
“ฉันไม่ซ่อมให้” เขาเก็บคีย์บอร์ดเข้ากระเป๋าอย่างไร้ความปราณี
“ห๊ะ ก็ผมผ่านแล้วนี่ครับ แล้วทำไมถึงไม่ซ่อมให้” ผมทวงสัญญาเมื่อเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม
“นายเอาคีย์บอร์ดตัวนั้นไปเลย มันเหมาะกับฝีมือนายมากกว่า”
เจ้าของร้านเดินมาดึงป้ายราคาที่ติดอยู่ด้านหลงคีย์บอร์ดสีขาวที่อยู่ตรงหน้าผมออก ซึ่งผมก็ต้องประหลาดใจกับราคาของมันที่สูงถึงหลักหลายแสนเยน
“เอาจริงเหรอคะ” นาโอะถามเจ้าของร้านเพื่อความมั่นใจ
ชายร่างใหญ่ไม่ตอบ แต่กลับพยักหน้าช้าๆแทน
“เอ่อ ผมไม่เอาครับ”
ทั้งสองหันมาแทบจะพร้อมเพรียงกันเมื่อได้ยินคำพูดของผม
“เฮ้ย เจ้าหนู นี่มันคีย์บอร์ดระดับที่หาไม่ได้ง่ายๆนะ ฉันให้ก็ควรจะขอบคุณ ไม่ใช่มาปฎิเสธแบบนี้”
“นั้นสิฟีล คีย์บอร์ดระดับนี้มันไม่ได้หาได้ง่ายๆนะ” นาโอะเสริม
ผมเดินไปหยิบกระเป๋าสีดำของผมขึ้นมา “ผมทิ้งมันไม่ได้หรอกครับ...”
คีย์บอร์ดตัวนี้อยู่กับผมมานาน จึงไม่แปลกที่ผมจะไม่สามารถทิ้งมันให้กลายเป็นเศษขยะได้
ความเงียบเข้าปกคลุมสถานที่นี้หลังจากที่ผมหยิบคีย์บอร์ดของผมออกมา ถึงแม้สภาพมันจะดูยับเยินก็ตาม
แต่ในขณะที่ทุกสิ่งทุกอย่างดุเหมือนจะเงียบลง อยู่ดีๆก็มีเสียงหัวเราะจากชายร่างใหญ่ออกมา
“ถามจริงๆเถอะ พวกเธอสองคนเป็นพี่น้องกันเหรอเปล่าเนี้ย” เจ้าของร้านหันหน้าไปมองนาโอะที่กำลังเขม่นเขาอยู่เหมือนกัน
ส่วนผมที่ดูเหมือนจะไม่รู้เรื่องอะไร ก็ได้แต่นิ่งเงียบ ถูไถคีย์บอร์ดสีดำราคาถูกไปมาราวกับมันเป็นเพื่อนคนสำคัญ
ชายร่างใหญ่เดินเข้ามาหาผม ก่อนที่จะกระซิบกระซาบอะไรบางอย่าง “นายรู้มั้ย นาโอะ เมื่อก่อนก็ทำแบบนายเป๊ะๆเลยล่ะ ฉันอุตส่าห์ให้แต่ก็ไม่เอา หวงของเก่าอยู่นั้นแหละ”
ผมยิ้มเมื่อได้ฟังเรื่องราวของผู้หญิงตรงหน้า ซึ่งยังคงเขม่นราวกับจะกินเลือดกินเนื้อเจ้าของร้าน
“ลุงๆไปต้องเผาฉันเลย ตกลงจะซ่อมให้ไหม ถ้าไม่ซ่อมฉันจะพาเขาไปที่อื่น” นาโอะเน้นคำสุดท้ายของประโยค เหมือนกำลังจะยั่วเจ้าของร้านว่าจะพาอัญมณีล้ำค่ำให้หลุดจากมือไป
เจ้าของร้านยิ้มน้อยๆ ก่อนที่จะหยิบคีย์บอร์ดของผมไปพินิตพิจารณาอีกครั้ง “ตามที่พูด ก็คงต้องซ่อมให้ล่ะนา”
“แล้วราคาล่ะครับ” ผมถามเพราะเนื่องจากเงินในกระเป๋าช่างร่อยหรอเหลือเกิน
เสียงหัวเราะทุ้มๆของชายร่างใหญ่เปล่งออกมาให้แสบแก้วหูเล่นอีกครั้ง “ในเมื่อนายไม่เอาคีย์บอร์ดที่ฉันให้ งั้นเดี๋ยวฉันซ่อมให้ฟรีก็แล้วกัน”
แต่ในขณะที่ผมกำลังจะตอบปฎิเสธ เจ้าของร้านก็ยกมือห้ามคล้ายบอกว่าคราวนี้ห้ามปฎิเสธ
เมื่อผมเห็นว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เขาต้องการจริงๆ จึงไม่คิดที่จะเถียงต่อไป
“พวกเธอไปนั่งเล่นกับลูกสาวฉันตรงหลังร้านก่อนก็ได้ เดี๋ยวคำนวณเวลาซ่อมได้แล้วจะเข้าไปบอก” คุณลุงกล่าวด้วยใบหน้าที่ให้ความรู้สึกปลอดภัยอย่างบอกไม่ถูก
“อากิอยู่ด้วยเหรอคะ”
“อืม วันหยุดสุดสัปดาห์แบบนี้ ความจริงฉันก็อยากให้เธอออกไปเที่ยวบ้างนา แต่เจ้าตัวเขาไม่อยากเองนะสิ” เจ้าของร้านพูดพลางหัวเราะ แต่ฟังจากน้ำเสียงก็รู้ได้เลยว่าเขาเป็นห่วงลูกสาวของเขามากขนาดไหน
ผมเดินตามนาโอะเข้าไปหลังร้าน เธอค่อยๆเปิดประตูออก แสดงให้เห็นถึงคลังเก็บอุปกรณ์ซ่อมเครื่องดนตรีต่างๆมากมายหลากหลายชนิด มากมายจนบางอย่าผมยังไม่เคยมีโอกาสได้เห็นตั้งแต่เกิดมา
แต่แล้วอยู่ดีๆไฟในห้องสีเหลืองสลัวๆก็ดับลง ผมมองไม่เห็นอะไรอื่นนอกจากความมืดมิดเนื่องจากสายตาปรับตัวไม่ทัน
“ไฟดับเหรอครับ พี่สาว”
“เปล่าหรอก...ไฟไม่ได้ดับ มีคนปิดไฟต่างหาก” นาโอะพูดเหมือนรู้ต้นเหตุของเรื่องนี้
เธอพยายามเดินไปรอบห้องด้วยความระมัดระวังจากความมืดมิดคล้ายกำลังหาอะไรบางอย่าง สุดท้ายนาโอะก็ทำท่าทีคล้ายยอมแพ้อันเนื่องมาจากความมืด ที่มากเกินกว่าจะเห็นสิ่งใด
“อากิ เลิกแกล้งพี่ได้แล้ว ออกมาเดี๋ยวนี้เลย”
ทันทีที่นาโอะพูดจบ ไฟก็ถูกเปิดขึ้น ปรากฏร่างตัวต้นเหตุซึ่งยืนอยู่ข้างๆกล่องเครื่องมือขนาดยักษ์กล่องหนึ่ง
สายตาของผมประทับอยู่บนใบหน้าของเธอ ใบหน้าที่สวยงามราวกับสรรค์สร้างจนไม่ว่าผู้ใดก็ต้องตกตะลึงเมื่อแรกเห็น
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ