Vampire Heart
9.3
เขียนโดย BlueberuS
วันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 เวลา 00.33 น.
6 บท
11 วิจารณ์
15.16K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 11 มกราคม พ.ศ. 2560 16.15 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) ป่ากินคน และผู้มาเยือน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 3ป่ากินคนและผู้มาเยือน
...ในยามค่ำคืน ป่ากินคนแห่งนี้กลายเป็นสถานที่สัญจรไปมาของสิ่งมีชีวิตกลางคืน การนอนหลับใต้ต้นไม้ไม่ต่างจากการนอนอยู่ข้างถนนสำหรับสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นเลย และในความมืดมิดนั้นมีเสียงเพียงน้อยนิดที่บ่งบอกถึงการมาของอะไรบางอย่าง มันใกล้เข้ามาหาร่างที่กำลังหลับใหลอยู่ทุกทีแต่ก็ไม่มีท่าทีว่าเธอจะตื่นขึ้นมา กระทั่งเจ้าของเสียงฝีเท้าอันแผ่วเบานั่นปรากฏตัว หนึ่งร่างสูงใหญ่เดินผ่านความมืดมิดเข้ามาหยุดยืนอยู่เบื้อง
“อา...กลิ่นแบบนี้ไม่ผิดแน่ ใช่มนุษย์จริงๆ” เสียงทุ้มต่ำบ่งบอกถึงความเป็นชายเปล่งออกมาจากร่างปริศนา เขายืนมองร่างบางที่ยังไม่รู้สึกตัวอยู่ตรงหน้าก่อนที่จะก้มลงคว้าลำคอของเธอแล้วยกร่างนั้นขึ้นตรึงกับต้นไม้ด้วยแรงแขนเพียงข้างเดียว
ปึ้ก!!!
“อึก!!! แค่ก! แค่ก!” แรงกระแทกนั่นทำให้เมลโล่ว์สำลักจนรู้สึกตัวและพบว่าตัวเองกำลังถูกจับโดยผู้มาเยือนแปลกหน้า
“อ๊ะ! แกเป็นใครน่ะ ปล่อยฉันลงนะ!!!” ทันทีที่ได้สติร่างบางก็ออกแรงดิ้นสุดกำลัง“หุบปากซะ! ไม่อย่างนั้นฉันจะหักคอแกซะ!” น้ำเสียงดุดันของร่างปริศนาตะคอกใส่พร้อมกับเอื้อมมืออีกข้างหนึ่งขึ้นบีบคางของเธอเอาไว้แน่นจนเมลโล่ว์หยุดส่งเสียง “ไม่คิดว่าจะมีมนุษย์หลงเข้ามาถึงที่นี่ได้ ตอบข้ามาซะดีๆ เจ้ามีธุระอะไร!” ร่างสูงใหญ่ตะคอกถามอย่างไม่เป็นมิตรนัก เขาปล่อยมือจากใบหน้าของเธอแต่ยังคงใช้มืออีกข้างตรึงร่างของเธออยู่“ฉ...ฉันกำลังตามหาของ...”“ของอะไร!” ยังไม่ทันที่เมลโล่ว์จะพูดจบเขาก็แทรกถาม“สมุนไพร! ฉันกำลังหาสมุนไพร! อึก!...ปล่อยฉันลงนะ!” เธอตอบอย่างติดๆขัดๆเพราะเริ่มขาดอากาศหายใจ“เงียบนะ! ...ไม่มีมนุษย์คนไหนออกมาหาสมุนไพรในป่าไกลขนาดนี้หรอก ตอบมาซะดีๆ!” เจ้าของเสียงไม่ยอมเชื่อคำพูดของเธอง่ายๆ แถมยังพยายามเค้นคำตอบพร้อมกับออกแรงบีบลำคอของเธอมากกว่าเดิม“ฉันบอกไปแล้ว! ฉันแค่มาหาสมุนไพรแล้วหลงทางมาก็เท่านั้น แค่ก! แค่ก!”“คิดรึว่าฉันจะเชื่อ...ไม่ว่าแกกำลังหาอะไรอยู่ แต่คงโชคไม่ดีซะแล้วล่ะ”“อะไรนะ...พูดอะไรไม่เห็นจะรู้เรื่องเลยแกต้องการอะไร!?” ความมืดทำให้เมลโล่ว์มองไม่เห็นแม้แต่รูปร่างหรือใบหน้าของผู้มาเยือนปริศนา แต่เธอสัมผัสได้ถึงอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่กี่อึดใจข้างหน้าและไม่มีทางที่เธอจะหนีรอดไปได้อย่างแน่นอน “ปล่อยมนุษย์นั่นซะ...โรบัสเตียน” ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามกำลังจะจัดการกับเธอก็มีใครอีกคนปรากฏตัวออกมาห้ามเอาไว้ได้ทันเวลา ประกายไฟถูกจุดท่ามกลางความมืด และเมลโล่ว์ก็ถูกปล่อยตามคำสั่งนั้นในทันที
ตุบ!
ร่างบางคุกเข่าล้มลงกับพื้นตรงหน้าก่อนที่จะรีบพยุงตัวเองให้ลุกยืนขึ้นแล้วถอยหลังหนีไปด้วยความกลัวจนแผ่นหลังชิดกับต้นไม้ เธอจับตามองชายแปลกหน้าทั้งสองอย่างหวาดระแวง แสงไฟจากตะเกียงส่องสว่าง จากร่างปริศนาปรากฏเป็นรูปกายของชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ในชุดคลุมสีดำชายผู้หนึ่งมีผมสีดำกลืนไปกับความมืดรับกับผิวสีซีดและนัยน์ตาสีนิลกาลที่กำลังจดจ้องมองเธอด้วยสีหน้าดุดันเจ้าของชื่อ ‘โรบัสเตียน’ ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลทองยาวพาดบ่าแสงจากตะเกียงส่องกระทบเผยนัยน์ตาสีน้ำตาลใส“ท่านเบลนด์เนส...กระผมพบมนุษย์นี่หลบอยู่ข้างต้นไม้ เธอบุกรุกดินแดนของเรา” ชายชื่อ ‘โรบัสเตียน’ กล่าวเป็นเชิงรายงานกับชายผมทอง“อย่าเพิ่งรีบตัดสินใจทำอะไรโดยพละการก่อนจะรายงานฉันสิ มนุษย์ไม่ได้ถือเป็นผู้บุกรุกสำหรับดินแดนเรา” ชายผมทองเจ้าของชื่อ ‘เบลนด์เนส’ กล่าวอย่างสุขุม ก่อนที่จะเลื่อนสายตามาจดจ้องที่ร่างบางตรงหน้าแทน[อะไรกันผู้ชายสองคนนี้ หรือว่าพวกเขาจะเป็น...] ขณะที่ชายแปลกหน้ากำลังสนทนากันอยู่ ข้อสงสัยเกี่ยวกับพวกเขาทั้งสองของเมลโล่ว์ก็ถูกขัดจังหวะด้วยประโยคคำพูดจากชายผมดำ“ไม่มีมนุษย์ธรรมดาที่จะเข้าใกล้กำแพงอาณาจักรของเราได้ อาจมีศัตรูจากเผ่าพันธุ์อื่นส่งเธอมา”“ถ้าอย่างนั้นมันคงจะเป็นความคิดที่โง่เขลามาก ถึงได้ส่งมนุษย์มาที่เมืองของ แวมไพร์ ” [แวมไพร์! ใช่จริงๆด้วย!? แย่แล้ว...ต้องรีบหนีไปให้ไกลที่สุด] คำพูดของชายผมทองไขข้อข้องใจให้เมลโล่ว์โดยที่ไม่ต้องเอ่ยถาม ทันทีที่รับรู้ว่าเขาทั้งสองไม่ใช่มนุษย์ เธอก็อาศัยจังหวะนั้นรีบออกวิ่งเท่าที่มีแรงเหลือหนีไปอีกทาง แต่ก็ไปได้ไม่ไกลนัก แวมไพร์หนุ่มเคลื่อนย้ายร่างของเขาได้ไวกว่าเป็นเท่าตัว เขาตามมาขวางทางของเธอไว้ด้วยความเร็วชั่วพริบตา
ปึ้ก!
ร่างบางที่ออกแรงวิ่งสุดกำลังชนเข้ากับแผงอกกว้างของเขาอย่างจังจนตัวเธอเกือบจะเสียหลักล้ม แต่เขาก็เข้าไปคว้าเอวบางนั่นแล้วรั้งตัวเธอเอาไว้ได้ทันอย่างคล่องแคล่วและว่องไว พร้อมทั้งใช้มืออีกข้างเชยคางของเธอให้เงยหน้าขึ้น“ถูกแวมไพร์เจอตัวแล้วล่ะก็ เลิกคิดที่จะหนีไปได้เลย” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชารับกับใบหน้าไร้ความรู้สึก แต่เมื่อเธอได้เห็นใบหน้าของเขาใกล้ๆกลับพบว่าชายผู้นี้ไม่ใช่ใครที่ไหนเลยเช่นกันเขาเองก็เริ่มแปลกใจเมื่อเห็นใบหน้าของเธอ“คุณ...” “...ยังจำฉันได้รึ?” เขาเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าเธอจ้องมองใบหน้าของเขาราวกับถูกสะกดจิต แต่บทสนทนาที่กำลังจะเริ่มก็ถูกตัดบทไปเมื่อเขาสังเกตเห็นรอยแผลบางอย่างที่คอของเธอ เขารีบพลิกใบหน้าของเธอให้หันไปอีกทางเพื่อดูรอยแผลนั้นให้ชัดเจน “...เธอถูกกัด”“ท่านเบลนด์เนส” โรบัสเตียนเดินตามทั้งสองมาพอดีกับที่เบลนด์เนสมองเห็นรอยเขี้ยวที่คอของเธอ“มนุษย์นี่ถูกกัด” เขาบอกกับโรบัสเตียนพร้อมกับกระชากคอเสื้อของเมลโล่ว์ออกเพื่อเปิดให้เห็นรอยแผลนั่นก่อนที่จะคว้าข้อมือของเธอขึ้นมาดู “ใกล้จะกลายร่างเต็มทีแล้ว” เขาพูดเช่นนั้นเมื่อเห็นปลายเล็บสีขุ่นเข้มที่กำลังงอกยาวออกมาใหม่“ถ้าปล่อยให้กลายร่าง เธอจะกลายเป็นแวมไพร์เลือดผสม ต้องรีบกำจัดทิ้ง” โรบัสเตียนพูดเสริมด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยราวกับไม่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ แต่คำพูดนั้นสร้างความผวาให้กับเมลโล่ว์เป็นอย่างมาก ลมหายใจของเธอขาดห้วง ในแววตาสั่นเครือไปด้วยความกลัวและเบลนด์เนสก็มองเห็นมันอย่างชัดเจน“ช่วยฉันด้วย...” เธอเอ่ยขอเพราะเวลานี้คงมีแค่เขาคนเดียวที่จะช่วยได้แม้จะผ่านมานานมากแล้วก็ตาม แม้ว่าในแววตาว่างเปล่านั้นเธอไม่สามารถรับรู้ได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ก็ตามแต่เธอก็ทำได้เพียงร้องขอ“ยังก่อน...” เขาไม่ได้ตอบอะไรแต่หันไปพูดกับโรบัสเตียนแล้วปล่อยมือจากตัวเธอ “...เอาตัวเด็กนั่นตามฉันมา” “รับทราบ...” โรบัสเตียนรับคำสั่งแล้วพุ่งเข้ามาจับตัวเมลโล่ว์ทันที“จะทำอะไรน่ะ...อย่าเข้ามานะ!” เธอร้องค้านเมื่อเห็นว่าเขาตรงเข้ามาหาด้วยท่าทีประสงค์ร้าย“เงียบซะ!” เขาตะหวาดใส่เธอสั้นๆ นัยน์ตาสีนิลกลั่นกลายเป็นสีแดงสดราวโลหิตสะกดให้เธอจับจ้องมองเข้าไปไม่กี่อึดใจทุกๆอย่างรอบข้างก็มืดดับลงพร้อมกับสติที่เริ่มขาดหายไปพร้อมกับแสงสว่างของตะเกียงวูบดับลง แวมไพร์หนุ่มทั้งสองพากันเดินทางกลับไปยังอาณาจักรของพวกเขา พร้อมกับร่างที่ไร้สติของเด็กสาวชาวมนุษย์ ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงกำแพงเวทย์มนต์ที่ถูกสร้างขึ้นครอบคลุมดินแดนของแวมไพร์ มันจะเปิดและปิดก็ต่อเมื่อมีคำสั่ง และในระหว่างที่กำแพงปิดอยู่จะไม่สามารถหาทางเข้าเจอได้ มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่รู้…
เมลโล่ว์รู้สึกตัวขึ้นอีกครั้งในสถานที่แปลกตา เธอไม่มีทางรู้ตัวเลยว่าช่วงเวลาที่หมดสติไปนั้นผ่านไปนานเท่าไหร่หรือเกิดอะไรขึ้นบ้าง เมื่อเริ่มตั้งสติได้เธอสังเกตไปรอบๆตัวจึงพบว่าตนเองถูกพามาสถานที่แห่งใหม่แล้ว เธอตื่นขึ้นมาบนเตียงนอนขนาดใหญ่อยู่ภายในห้องกว้างผิดหูผิดตาราวกับว่าเหตุการณ์ร้ายๆที่เพิ่งเกิดขึ้นนั้นเป็นเพียงความฝัน ทั่วทั้งห้องปูด้วยพรมราคาแพง พร้อมเฟอร์นิเจอร์แบบโบราณทำจากไม้แกะสลักชั้นดี หน้าต่างประดับด้วยม่านยาวสีทองหรูหรา เพดานสูงโปร่งเต็มไปด้วยลวดลายสวยงาม เตียงขนาดใหญ่มีเสาทั้งสี่มุมสูงขึ้นไปจนติดเพดานประดับด้วยม่านโปร่งแสงแขวนโยงเอาไว้ให้บรรยากาศราวกับอยู่ในราชวัง ทั่วทั้งห้องสว่างไสวไปด้วยแสงเทียนสีนวลตาที่จุดไว้รอบๆห้องสร้างความแปลกใจให้กับเมลโล่ว์ไม่น้อย“...ที่นี่มันที่ไหน” ทันทีที่ละสายตาจากสิ่งรอบข้างเธอก็เรียกสติกลับมาอีกครั้งแล้วสังเกตตัวเธอเอง จึงได้พบว่าแขนทั้งสองของตนถูกมัดตรึงไว้กับเสาเตียงทั้งสองข้างด้วยโซ่เส้นหนาและแข็งแรงเกินกว่าจะดึงให้หลุดได้ “อึก...นี่มันอะไรกันน่ะ?” เมลโล่ว์ลุกขึ้นนั่งอยู่บนเตียงเพราะโซ่ตรวนที่คล้องข้อมือของเธออยู่โยงเชื่อมเอาไว้กับเสาที่หัวเตียงทำให้เธอไม่สามารถลงจากเตียงได้ ระหว่างที่เธอกำลังวุ่นอยู่กับการหาทางแก้โซ่อยู่นั่นเองประตูห้องก็ถูกเปิดออกจากด้านนอกปรากฏร่างของผู้มาเยือน“ตื่นแล้วสินะ...รู้สึกยังไงบ้าง?” แวมไพร์หนุ่มเจ้าของเรือนผมสีทองที่เธอเคยรู้จักพูดเป็นเชิงทักทาย “จับฉันมาที่นี่ทำไม ต้องการอะไร!” เมลโล่ว์ถามอย่างไม่สบอารมณ์ เขาเดินไปนั่งที่โซฟาแล้วยกหลังมือข้างหนึ่งขึ้นมาเท้าคางตัวเองพลางมองดูเธออย่างเย็นชาก่อนที่จะตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย“ฉันกำลังช่วยเธออยู่นี่ไง อีกไม่นานเธอก็จะกลายร่างเป็นแวมไพร์เมื่อถึงตอนนั้นเธอก็จะไม่เหลือความรู้สึกนึกคิดในตอนที่เคยเป็นมนุษย์อีกแล้ว”“ว่าไงนะ! ฉันไม่ได้ต้องการแบบนั้น!” “เธอถูกกัดแล้ว เธอเลือกไม่ได้หรอกสาวน้อย สภาพตอนกลายร่างของพวกครึ่งแวมไพร์มักจะคุ้มคลั่งจนคุมตัวเองไม่อยู่ และเพื่อป้องกันไม่ให้เธออาละวาดฉันต้องคุมตัวเธอเอาไว้แบบนี้ซักพัก” เขาอธิบายให้เธอฟังโดยไม่ได้สนใจว่าเธอจะคิดยังไง“ฉันไม่ได้ต้องการแบบนี้! ฉันไม่ได้อยากเป็นแวมไพร์ ปล่อยฉันไปนะ!!!” เมลโล่ว์โวยวายด้วยความโกรธพร้อมกับออกแรงกระชากโซ่ที่ล่ามอยู่จนเกิดเสียงดัง“ถ้าปล่อยไป...เธอจะทำอะไรได้ เธอคิดว่าจะหยุดมันได้อย่างนั้นหรอ?”“ฉันรู้วิธีรักษา ฉันรู้จักสมุนไพรที่รักษาได้ มันอยู่ในป่านั่น...”“ถ้าอย่างนั้นที่เธอเข้ามาในป่ากินคนอีกก็เพื่อหาสมุนไพรที่ว่านั่นสินะ”“ใช่...ต่อให้ครั้งนี้นายจะไม่ช่วยฉัน แต่ถ้ามาขวางล่ะก็ฉันไม่ยอมแน่” เมลโล่ว์จ้องมองเขาด้วยสายตาดุดันแต่เขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะทุกข์ร้อนแต่อย่างใด เขาหยิบกล่องทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดพอดีมือที่วางอยู่บนโต๊ะหน้าโซฟาอยู่แล้วขึ้นมาเปิดฝาออกพร้อมกับหยิบบางสิ่งออกมาจากกล่องนั่น“ฉันมีของบางอย่างที่เธออาจจะสนใจ...รู้ไหมว่านี่คืออะไร” เขาเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าเมลโล่ว์กำลังจ้องมองมันอยู่ สิ่งที่อยู่ในมือของเขาคือหลอดแก้วใสขนาดเล็กบรรจุของเหลวสีขุ่นมัวเอาไว้เต็มหลอดแล้วยกขึ้นให้เธอเห็นมันอย่างชัดเจน เธอไม่ได้ตอบคำถามของเขาเพียงแต่แววตาของเธอเต็มไปด้วยความคาดหวัง เพียงเท่านั้นเขาก็พอใจที่จะบอก “ในหลอดแก้วนี่ บรรจุเมิร์กวูดสกัดเข้มข้นเอาไว้ มันเป็นของหายาก และฉันรู้ว่าเธอต้องการมันใช่ไหมล่ะสาวน้อย” พูดจบเขาก็วางมันลงบนโต๊ะอย่างใจเย็น“อึก...มันมีจริง” “ก่อนอื่นขอให้เธอรู้ไว้ด้วยว่าเมิร์กวูดไม่ใช่สมุนไพรอย่างที่เธอคิด ถึงจะช่วยยับยั้งการกลายสภาพจากมนุษย์เป็นแวมไพร์ได้ก็ตาม แต่มันจะส่งผลข้างเคียงกับร่างกายของเธอ มันคือพืชมีพิษรุนแรงชนิดหนึ่ง เมื่อนานมาแล้วพวกเราใช้พิษจากเมิร์กวูดในการยับยั้งการกลายร่างของพวกมนุษย์หมาป่าเพื่อที่จะฆ่ามันได้ง่ายขึ้น มันจะทำลายระบบประสาทอย่างช้าๆ มนุษย์อย่างเธอคงทนอยู่ได้ไม่นานหรอก”“...ฉันไม่กลัวหรอก ฉันจะใช้มันไม่ว่าจะส่งผลยังไง แค่ได้กลับไปเป็นมนุษย์เหมือนเดิมก็พอ” เมลโล่ว์ยืนยันโดยไม่ลังเล[สภาพแบบนั้นต่อให้ใช้เมิร์กวูดสกัดก็ยังไม่รู้เลยว่าจะรักษาทันรึเปล่า แต่จะปล่อยเอาไว้แบบนี้ก็ไม่ได้ ถ้ากลายร่างขึ้นมาตอนนี้เป็นเรื่องใหญ่แน่...หรือเราควรจะฆ่าเธอซะ] เขานึกไตร่ตรองกับตัวเองในใจพลางพูดกับเธอไปด้วย“ฉันช่วยเธอก็เหมือนกับเสียเวลายืดชีวิตเธอไปซะเปล่า ถึงเธอจะไม่กลายร่างแต่ก็ไม่หายขาดหรอกนะ”“หมายความว่าไง?” ร่างบางขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วรอฟังสิ่งที่เขาจะพูดต่อ“หลังจากนั้นเธอต้องคอยฉีดเมิร์กวูดอีกทุกๆวันทุกๆคืน...และอย่างที่บอกผลข้างเคียงของมันจะทำให้เธอใช้ชีวิตลำบาก ผ่านไปไม่นานร่างกายก็จะทนไม่ไหว ถ้าไม่ปล่อยให้กลายร่างเธอก็จะตายในอีกไม่นาน เธอต้องการแบบนั้นหรอเด็กน้อย?” เขาบอกให้เธอรู้ราวกับจะข่มขวัญให้เธอกลัว แม้เป็นความจริงตามที่เขาพูด แต่ก็ใช่ว่าเมลโล่ว์จะยอมเปลี่ยนใจ“ฉันยอมทรมานไปจนวันตายดีกว่าต้องกลายเป็นปีศาจไร้ความรู้สึกไร้จิตใจ ฉันจะไม่ยอมกลายเป็นแบบนั้นเด็ดขาด” ได้ยินเช่นนั้นแวมไพร์หนุ่มก็แสยะยิ้มออกมาอย่างพอใจ“ไหนบอกฉันซิว่าอะไรที่ทำให้เธออยากจะกลับไปเป็นมนุษย์อยู่อีก...เธอไม่ต้องการชีวิตอมตะอย่างนั้นรึ?” เขาแกล้งถามเมื่อเห็นความตั้งใจอันแรงกล้าของเธอ“เหตุผลมันง่ายมาก คือฉันเกลียดพวกแวมไพร์ และซักวันฉันจะต้องแก้แค้นคนที่ทำให้ฉันต้องเป็นแบบนี้ให้ได้!” เมลโล่ว์กัดฟันพูดอย่างโกรธแค้น คำตอบของเธอทำให้เขาพอใจมากยิ่งขึ้น“หึ...เธอเป็นมนุษย์ที่ใจกล้ามาก ฉันชักจะสนใจเธอแล้วสิ...”................
...ในยามค่ำคืน ป่ากินคนแห่งนี้กลายเป็นสถานที่สัญจรไปมาของสิ่งมีชีวิตกลางคืน การนอนหลับใต้ต้นไม้ไม่ต่างจากการนอนอยู่ข้างถนนสำหรับสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นเลย และในความมืดมิดนั้นมีเสียงเพียงน้อยนิดที่บ่งบอกถึงการมาของอะไรบางอย่าง มันใกล้เข้ามาหาร่างที่กำลังหลับใหลอยู่ทุกทีแต่ก็ไม่มีท่าทีว่าเธอจะตื่นขึ้นมา กระทั่งเจ้าของเสียงฝีเท้าอันแผ่วเบานั่นปรากฏตัว หนึ่งร่างสูงใหญ่เดินผ่านความมืดมิดเข้ามาหยุดยืนอยู่เบื้อง
“อา...กลิ่นแบบนี้ไม่ผิดแน่ ใช่มนุษย์จริงๆ” เสียงทุ้มต่ำบ่งบอกถึงความเป็นชายเปล่งออกมาจากร่างปริศนา เขายืนมองร่างบางที่ยังไม่รู้สึกตัวอยู่ตรงหน้าก่อนที่จะก้มลงคว้าลำคอของเธอแล้วยกร่างนั้นขึ้นตรึงกับต้นไม้ด้วยแรงแขนเพียงข้างเดียว
ปึ้ก!!!
“อึก!!! แค่ก! แค่ก!” แรงกระแทกนั่นทำให้เมลโล่ว์สำลักจนรู้สึกตัวและพบว่าตัวเองกำลังถูกจับโดยผู้มาเยือนแปลกหน้า
“อ๊ะ! แกเป็นใครน่ะ ปล่อยฉันลงนะ!!!” ทันทีที่ได้สติร่างบางก็ออกแรงดิ้นสุดกำลัง“หุบปากซะ! ไม่อย่างนั้นฉันจะหักคอแกซะ!” น้ำเสียงดุดันของร่างปริศนาตะคอกใส่พร้อมกับเอื้อมมืออีกข้างหนึ่งขึ้นบีบคางของเธอเอาไว้แน่นจนเมลโล่ว์หยุดส่งเสียง “ไม่คิดว่าจะมีมนุษย์หลงเข้ามาถึงที่นี่ได้ ตอบข้ามาซะดีๆ เจ้ามีธุระอะไร!” ร่างสูงใหญ่ตะคอกถามอย่างไม่เป็นมิตรนัก เขาปล่อยมือจากใบหน้าของเธอแต่ยังคงใช้มืออีกข้างตรึงร่างของเธออยู่“ฉ...ฉันกำลังตามหาของ...”“ของอะไร!” ยังไม่ทันที่เมลโล่ว์จะพูดจบเขาก็แทรกถาม“สมุนไพร! ฉันกำลังหาสมุนไพร! อึก!...ปล่อยฉันลงนะ!” เธอตอบอย่างติดๆขัดๆเพราะเริ่มขาดอากาศหายใจ“เงียบนะ! ...ไม่มีมนุษย์คนไหนออกมาหาสมุนไพรในป่าไกลขนาดนี้หรอก ตอบมาซะดีๆ!” เจ้าของเสียงไม่ยอมเชื่อคำพูดของเธอง่ายๆ แถมยังพยายามเค้นคำตอบพร้อมกับออกแรงบีบลำคอของเธอมากกว่าเดิม“ฉันบอกไปแล้ว! ฉันแค่มาหาสมุนไพรแล้วหลงทางมาก็เท่านั้น แค่ก! แค่ก!”“คิดรึว่าฉันจะเชื่อ...ไม่ว่าแกกำลังหาอะไรอยู่ แต่คงโชคไม่ดีซะแล้วล่ะ”“อะไรนะ...พูดอะไรไม่เห็นจะรู้เรื่องเลยแกต้องการอะไร!?” ความมืดทำให้เมลโล่ว์มองไม่เห็นแม้แต่รูปร่างหรือใบหน้าของผู้มาเยือนปริศนา แต่เธอสัมผัสได้ถึงอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่กี่อึดใจข้างหน้าและไม่มีทางที่เธอจะหนีรอดไปได้อย่างแน่นอน “ปล่อยมนุษย์นั่นซะ...โรบัสเตียน” ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามกำลังจะจัดการกับเธอก็มีใครอีกคนปรากฏตัวออกมาห้ามเอาไว้ได้ทันเวลา ประกายไฟถูกจุดท่ามกลางความมืด และเมลโล่ว์ก็ถูกปล่อยตามคำสั่งนั้นในทันที
ตุบ!
ร่างบางคุกเข่าล้มลงกับพื้นตรงหน้าก่อนที่จะรีบพยุงตัวเองให้ลุกยืนขึ้นแล้วถอยหลังหนีไปด้วยความกลัวจนแผ่นหลังชิดกับต้นไม้ เธอจับตามองชายแปลกหน้าทั้งสองอย่างหวาดระแวง แสงไฟจากตะเกียงส่องสว่าง จากร่างปริศนาปรากฏเป็นรูปกายของชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ในชุดคลุมสีดำชายผู้หนึ่งมีผมสีดำกลืนไปกับความมืดรับกับผิวสีซีดและนัยน์ตาสีนิลกาลที่กำลังจดจ้องมองเธอด้วยสีหน้าดุดันเจ้าของชื่อ ‘โรบัสเตียน’ ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลทองยาวพาดบ่าแสงจากตะเกียงส่องกระทบเผยนัยน์ตาสีน้ำตาลใส“ท่านเบลนด์เนส...กระผมพบมนุษย์นี่หลบอยู่ข้างต้นไม้ เธอบุกรุกดินแดนของเรา” ชายชื่อ ‘โรบัสเตียน’ กล่าวเป็นเชิงรายงานกับชายผมทอง“อย่าเพิ่งรีบตัดสินใจทำอะไรโดยพละการก่อนจะรายงานฉันสิ มนุษย์ไม่ได้ถือเป็นผู้บุกรุกสำหรับดินแดนเรา” ชายผมทองเจ้าของชื่อ ‘เบลนด์เนส’ กล่าวอย่างสุขุม ก่อนที่จะเลื่อนสายตามาจดจ้องที่ร่างบางตรงหน้าแทน[อะไรกันผู้ชายสองคนนี้ หรือว่าพวกเขาจะเป็น...] ขณะที่ชายแปลกหน้ากำลังสนทนากันอยู่ ข้อสงสัยเกี่ยวกับพวกเขาทั้งสองของเมลโล่ว์ก็ถูกขัดจังหวะด้วยประโยคคำพูดจากชายผมดำ“ไม่มีมนุษย์ธรรมดาที่จะเข้าใกล้กำแพงอาณาจักรของเราได้ อาจมีศัตรูจากเผ่าพันธุ์อื่นส่งเธอมา”“ถ้าอย่างนั้นมันคงจะเป็นความคิดที่โง่เขลามาก ถึงได้ส่งมนุษย์มาที่เมืองของ แวมไพร์ ” [แวมไพร์! ใช่จริงๆด้วย!? แย่แล้ว...ต้องรีบหนีไปให้ไกลที่สุด] คำพูดของชายผมทองไขข้อข้องใจให้เมลโล่ว์โดยที่ไม่ต้องเอ่ยถาม ทันทีที่รับรู้ว่าเขาทั้งสองไม่ใช่มนุษย์ เธอก็อาศัยจังหวะนั้นรีบออกวิ่งเท่าที่มีแรงเหลือหนีไปอีกทาง แต่ก็ไปได้ไม่ไกลนัก แวมไพร์หนุ่มเคลื่อนย้ายร่างของเขาได้ไวกว่าเป็นเท่าตัว เขาตามมาขวางทางของเธอไว้ด้วยความเร็วชั่วพริบตา
ปึ้ก!
ร่างบางที่ออกแรงวิ่งสุดกำลังชนเข้ากับแผงอกกว้างของเขาอย่างจังจนตัวเธอเกือบจะเสียหลักล้ม แต่เขาก็เข้าไปคว้าเอวบางนั่นแล้วรั้งตัวเธอเอาไว้ได้ทันอย่างคล่องแคล่วและว่องไว พร้อมทั้งใช้มืออีกข้างเชยคางของเธอให้เงยหน้าขึ้น“ถูกแวมไพร์เจอตัวแล้วล่ะก็ เลิกคิดที่จะหนีไปได้เลย” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชารับกับใบหน้าไร้ความรู้สึก แต่เมื่อเธอได้เห็นใบหน้าของเขาใกล้ๆกลับพบว่าชายผู้นี้ไม่ใช่ใครที่ไหนเลยเช่นกันเขาเองก็เริ่มแปลกใจเมื่อเห็นใบหน้าของเธอ“คุณ...” “...ยังจำฉันได้รึ?” เขาเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าเธอจ้องมองใบหน้าของเขาราวกับถูกสะกดจิต แต่บทสนทนาที่กำลังจะเริ่มก็ถูกตัดบทไปเมื่อเขาสังเกตเห็นรอยแผลบางอย่างที่คอของเธอ เขารีบพลิกใบหน้าของเธอให้หันไปอีกทางเพื่อดูรอยแผลนั้นให้ชัดเจน “...เธอถูกกัด”“ท่านเบลนด์เนส” โรบัสเตียนเดินตามทั้งสองมาพอดีกับที่เบลนด์เนสมองเห็นรอยเขี้ยวที่คอของเธอ“มนุษย์นี่ถูกกัด” เขาบอกกับโรบัสเตียนพร้อมกับกระชากคอเสื้อของเมลโล่ว์ออกเพื่อเปิดให้เห็นรอยแผลนั่นก่อนที่จะคว้าข้อมือของเธอขึ้นมาดู “ใกล้จะกลายร่างเต็มทีแล้ว” เขาพูดเช่นนั้นเมื่อเห็นปลายเล็บสีขุ่นเข้มที่กำลังงอกยาวออกมาใหม่“ถ้าปล่อยให้กลายร่าง เธอจะกลายเป็นแวมไพร์เลือดผสม ต้องรีบกำจัดทิ้ง” โรบัสเตียนพูดเสริมด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยราวกับไม่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ แต่คำพูดนั้นสร้างความผวาให้กับเมลโล่ว์เป็นอย่างมาก ลมหายใจของเธอขาดห้วง ในแววตาสั่นเครือไปด้วยความกลัวและเบลนด์เนสก็มองเห็นมันอย่างชัดเจน“ช่วยฉันด้วย...” เธอเอ่ยขอเพราะเวลานี้คงมีแค่เขาคนเดียวที่จะช่วยได้แม้จะผ่านมานานมากแล้วก็ตาม แม้ว่าในแววตาว่างเปล่านั้นเธอไม่สามารถรับรู้ได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ก็ตามแต่เธอก็ทำได้เพียงร้องขอ“ยังก่อน...” เขาไม่ได้ตอบอะไรแต่หันไปพูดกับโรบัสเตียนแล้วปล่อยมือจากตัวเธอ “...เอาตัวเด็กนั่นตามฉันมา” “รับทราบ...” โรบัสเตียนรับคำสั่งแล้วพุ่งเข้ามาจับตัวเมลโล่ว์ทันที“จะทำอะไรน่ะ...อย่าเข้ามานะ!” เธอร้องค้านเมื่อเห็นว่าเขาตรงเข้ามาหาด้วยท่าทีประสงค์ร้าย“เงียบซะ!” เขาตะหวาดใส่เธอสั้นๆ นัยน์ตาสีนิลกลั่นกลายเป็นสีแดงสดราวโลหิตสะกดให้เธอจับจ้องมองเข้าไปไม่กี่อึดใจทุกๆอย่างรอบข้างก็มืดดับลงพร้อมกับสติที่เริ่มขาดหายไปพร้อมกับแสงสว่างของตะเกียงวูบดับลง แวมไพร์หนุ่มทั้งสองพากันเดินทางกลับไปยังอาณาจักรของพวกเขา พร้อมกับร่างที่ไร้สติของเด็กสาวชาวมนุษย์ ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงกำแพงเวทย์มนต์ที่ถูกสร้างขึ้นครอบคลุมดินแดนของแวมไพร์ มันจะเปิดและปิดก็ต่อเมื่อมีคำสั่ง และในระหว่างที่กำแพงปิดอยู่จะไม่สามารถหาทางเข้าเจอได้ มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่รู้…
เมลโล่ว์รู้สึกตัวขึ้นอีกครั้งในสถานที่แปลกตา เธอไม่มีทางรู้ตัวเลยว่าช่วงเวลาที่หมดสติไปนั้นผ่านไปนานเท่าไหร่หรือเกิดอะไรขึ้นบ้าง เมื่อเริ่มตั้งสติได้เธอสังเกตไปรอบๆตัวจึงพบว่าตนเองถูกพามาสถานที่แห่งใหม่แล้ว เธอตื่นขึ้นมาบนเตียงนอนขนาดใหญ่อยู่ภายในห้องกว้างผิดหูผิดตาราวกับว่าเหตุการณ์ร้ายๆที่เพิ่งเกิดขึ้นนั้นเป็นเพียงความฝัน ทั่วทั้งห้องปูด้วยพรมราคาแพง พร้อมเฟอร์นิเจอร์แบบโบราณทำจากไม้แกะสลักชั้นดี หน้าต่างประดับด้วยม่านยาวสีทองหรูหรา เพดานสูงโปร่งเต็มไปด้วยลวดลายสวยงาม เตียงขนาดใหญ่มีเสาทั้งสี่มุมสูงขึ้นไปจนติดเพดานประดับด้วยม่านโปร่งแสงแขวนโยงเอาไว้ให้บรรยากาศราวกับอยู่ในราชวัง ทั่วทั้งห้องสว่างไสวไปด้วยแสงเทียนสีนวลตาที่จุดไว้รอบๆห้องสร้างความแปลกใจให้กับเมลโล่ว์ไม่น้อย“...ที่นี่มันที่ไหน” ทันทีที่ละสายตาจากสิ่งรอบข้างเธอก็เรียกสติกลับมาอีกครั้งแล้วสังเกตตัวเธอเอง จึงได้พบว่าแขนทั้งสองของตนถูกมัดตรึงไว้กับเสาเตียงทั้งสองข้างด้วยโซ่เส้นหนาและแข็งแรงเกินกว่าจะดึงให้หลุดได้ “อึก...นี่มันอะไรกันน่ะ?” เมลโล่ว์ลุกขึ้นนั่งอยู่บนเตียงเพราะโซ่ตรวนที่คล้องข้อมือของเธออยู่โยงเชื่อมเอาไว้กับเสาที่หัวเตียงทำให้เธอไม่สามารถลงจากเตียงได้ ระหว่างที่เธอกำลังวุ่นอยู่กับการหาทางแก้โซ่อยู่นั่นเองประตูห้องก็ถูกเปิดออกจากด้านนอกปรากฏร่างของผู้มาเยือน“ตื่นแล้วสินะ...รู้สึกยังไงบ้าง?” แวมไพร์หนุ่มเจ้าของเรือนผมสีทองที่เธอเคยรู้จักพูดเป็นเชิงทักทาย “จับฉันมาที่นี่ทำไม ต้องการอะไร!” เมลโล่ว์ถามอย่างไม่สบอารมณ์ เขาเดินไปนั่งที่โซฟาแล้วยกหลังมือข้างหนึ่งขึ้นมาเท้าคางตัวเองพลางมองดูเธออย่างเย็นชาก่อนที่จะตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย“ฉันกำลังช่วยเธออยู่นี่ไง อีกไม่นานเธอก็จะกลายร่างเป็นแวมไพร์เมื่อถึงตอนนั้นเธอก็จะไม่เหลือความรู้สึกนึกคิดในตอนที่เคยเป็นมนุษย์อีกแล้ว”“ว่าไงนะ! ฉันไม่ได้ต้องการแบบนั้น!” “เธอถูกกัดแล้ว เธอเลือกไม่ได้หรอกสาวน้อย สภาพตอนกลายร่างของพวกครึ่งแวมไพร์มักจะคุ้มคลั่งจนคุมตัวเองไม่อยู่ และเพื่อป้องกันไม่ให้เธออาละวาดฉันต้องคุมตัวเธอเอาไว้แบบนี้ซักพัก” เขาอธิบายให้เธอฟังโดยไม่ได้สนใจว่าเธอจะคิดยังไง“ฉันไม่ได้ต้องการแบบนี้! ฉันไม่ได้อยากเป็นแวมไพร์ ปล่อยฉันไปนะ!!!” เมลโล่ว์โวยวายด้วยความโกรธพร้อมกับออกแรงกระชากโซ่ที่ล่ามอยู่จนเกิดเสียงดัง“ถ้าปล่อยไป...เธอจะทำอะไรได้ เธอคิดว่าจะหยุดมันได้อย่างนั้นหรอ?”“ฉันรู้วิธีรักษา ฉันรู้จักสมุนไพรที่รักษาได้ มันอยู่ในป่านั่น...”“ถ้าอย่างนั้นที่เธอเข้ามาในป่ากินคนอีกก็เพื่อหาสมุนไพรที่ว่านั่นสินะ”“ใช่...ต่อให้ครั้งนี้นายจะไม่ช่วยฉัน แต่ถ้ามาขวางล่ะก็ฉันไม่ยอมแน่” เมลโล่ว์จ้องมองเขาด้วยสายตาดุดันแต่เขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะทุกข์ร้อนแต่อย่างใด เขาหยิบกล่องทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดพอดีมือที่วางอยู่บนโต๊ะหน้าโซฟาอยู่แล้วขึ้นมาเปิดฝาออกพร้อมกับหยิบบางสิ่งออกมาจากกล่องนั่น“ฉันมีของบางอย่างที่เธออาจจะสนใจ...รู้ไหมว่านี่คืออะไร” เขาเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าเมลโล่ว์กำลังจ้องมองมันอยู่ สิ่งที่อยู่ในมือของเขาคือหลอดแก้วใสขนาดเล็กบรรจุของเหลวสีขุ่นมัวเอาไว้เต็มหลอดแล้วยกขึ้นให้เธอเห็นมันอย่างชัดเจน เธอไม่ได้ตอบคำถามของเขาเพียงแต่แววตาของเธอเต็มไปด้วยความคาดหวัง เพียงเท่านั้นเขาก็พอใจที่จะบอก “ในหลอดแก้วนี่ บรรจุเมิร์กวูดสกัดเข้มข้นเอาไว้ มันเป็นของหายาก และฉันรู้ว่าเธอต้องการมันใช่ไหมล่ะสาวน้อย” พูดจบเขาก็วางมันลงบนโต๊ะอย่างใจเย็น“อึก...มันมีจริง” “ก่อนอื่นขอให้เธอรู้ไว้ด้วยว่าเมิร์กวูดไม่ใช่สมุนไพรอย่างที่เธอคิด ถึงจะช่วยยับยั้งการกลายสภาพจากมนุษย์เป็นแวมไพร์ได้ก็ตาม แต่มันจะส่งผลข้างเคียงกับร่างกายของเธอ มันคือพืชมีพิษรุนแรงชนิดหนึ่ง เมื่อนานมาแล้วพวกเราใช้พิษจากเมิร์กวูดในการยับยั้งการกลายร่างของพวกมนุษย์หมาป่าเพื่อที่จะฆ่ามันได้ง่ายขึ้น มันจะทำลายระบบประสาทอย่างช้าๆ มนุษย์อย่างเธอคงทนอยู่ได้ไม่นานหรอก”“...ฉันไม่กลัวหรอก ฉันจะใช้มันไม่ว่าจะส่งผลยังไง แค่ได้กลับไปเป็นมนุษย์เหมือนเดิมก็พอ” เมลโล่ว์ยืนยันโดยไม่ลังเล[สภาพแบบนั้นต่อให้ใช้เมิร์กวูดสกัดก็ยังไม่รู้เลยว่าจะรักษาทันรึเปล่า แต่จะปล่อยเอาไว้แบบนี้ก็ไม่ได้ ถ้ากลายร่างขึ้นมาตอนนี้เป็นเรื่องใหญ่แน่...หรือเราควรจะฆ่าเธอซะ] เขานึกไตร่ตรองกับตัวเองในใจพลางพูดกับเธอไปด้วย“ฉันช่วยเธอก็เหมือนกับเสียเวลายืดชีวิตเธอไปซะเปล่า ถึงเธอจะไม่กลายร่างแต่ก็ไม่หายขาดหรอกนะ”“หมายความว่าไง?” ร่างบางขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วรอฟังสิ่งที่เขาจะพูดต่อ“หลังจากนั้นเธอต้องคอยฉีดเมิร์กวูดอีกทุกๆวันทุกๆคืน...และอย่างที่บอกผลข้างเคียงของมันจะทำให้เธอใช้ชีวิตลำบาก ผ่านไปไม่นานร่างกายก็จะทนไม่ไหว ถ้าไม่ปล่อยให้กลายร่างเธอก็จะตายในอีกไม่นาน เธอต้องการแบบนั้นหรอเด็กน้อย?” เขาบอกให้เธอรู้ราวกับจะข่มขวัญให้เธอกลัว แม้เป็นความจริงตามที่เขาพูด แต่ก็ใช่ว่าเมลโล่ว์จะยอมเปลี่ยนใจ“ฉันยอมทรมานไปจนวันตายดีกว่าต้องกลายเป็นปีศาจไร้ความรู้สึกไร้จิตใจ ฉันจะไม่ยอมกลายเป็นแบบนั้นเด็ดขาด” ได้ยินเช่นนั้นแวมไพร์หนุ่มก็แสยะยิ้มออกมาอย่างพอใจ“ไหนบอกฉันซิว่าอะไรที่ทำให้เธออยากจะกลับไปเป็นมนุษย์อยู่อีก...เธอไม่ต้องการชีวิตอมตะอย่างนั้นรึ?” เขาแกล้งถามเมื่อเห็นความตั้งใจอันแรงกล้าของเธอ“เหตุผลมันง่ายมาก คือฉันเกลียดพวกแวมไพร์ และซักวันฉันจะต้องแก้แค้นคนที่ทำให้ฉันต้องเป็นแบบนี้ให้ได้!” เมลโล่ว์กัดฟันพูดอย่างโกรธแค้น คำตอบของเธอทำให้เขาพอใจมากยิ่งขึ้น“หึ...เธอเป็นมนุษย์ที่ใจกล้ามาก ฉันชักจะสนใจเธอแล้วสิ...”................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.1 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.4 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ