Vampire Heart
เขียนโดย BlueberuS
วันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 เวลา 00.33 น.
แก้ไขเมื่อ 11 มกราคม พ.ศ. 2560 16.15 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) โลหิตหยดแรก
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
บทที่ 2
โลหิตหยดแรก
…………..
แสงจากดวงจันทร์เลือนรางนักในค่ำคืนอันหนาวเหน็บและเปลี่ยวเหงา เมลโล่ว์ไม่สนใจสิ่งใดอีกต่อไป เธอปล่อยให้น้ำตาหลั่งลงไปพร้อมกับเวลาที่กำลังไหลผ่านไปทุกที
“เอ๋? ...เราเจอใครกันล่ะเนี่ย?” เสียงทุ้มต่ำเปล่งถามกลางความมืดสลัว เมื่อร่างบางได้ยินเธอก็เงยหน้าขึ้นแล้วหันไปมองต้นเสียง ปรากฏเป็นเงาของคนร่างสูงใหญ่ เธอเพ่งมองร่างของเจ้าของเสียงนั้น ความมืดสลัวทำให้มองไม่เห็นใบหน้าของเขา แต่เมื่อเมฆเคลื่อนผ่านดวงจันทร์ไป แสงก็สาดส่องลงมาประปราย เธอมองเห็นใบหน้าของเขาในที่สุด และเขาเองก็มองเห็นเธอเช่นกัน
“โอ้...สาวน้อยผู้โศกเศร้าอย่างนั้นสินะ?” เขาเอ่ยทักเมื่อเห็นคราบน้ำตาบนแก้มของเธอ ชายแปลกหน้าคนนี้มีท่าทีแปลกๆ ทำให้เมลโล่ว์เริ่มกังวลเล็กน้อย เธอลุกขืนยืนแล้วหันไปหาเขาพร้อมกับเอ่ยถามสั้นๆ
“คุณมีธุระอะไรกับฉัน?” เธอเอ่ยถามด้วยความแปลกใจเมื่อพบเจอกับคนอื่นในเวลาและสถานที่แบบนี้ ชายแปลกหน้าในชุดคลุมสีดำยาว กำลังยืนท้าวเอวแล้วฉีกยิ้ม สายตาที่ดูตื่นเต้นไม่เข้ากับบรรยากาศ และใบหน้าบางส่วนของเขาถูกปิดบังเอาไว้ทำให้ดูลึกลับเข้าไปอีก
“มนุษย์นั้นแสนแปลก คร่ำครวญกับคนตายราวกับว่าชีวิตตนไร้ค่ายิ่งนัก...” ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจในคำถามของเธอเลย เขาพร่ำพูดด้วยสีหน้าสบายใจคล้ายว่าไม่แยแสกับเรื่องพรรค์นั้น
“อะไรกันน่ะ...คุณเป็นใคร?” เมลโล่ว์เริ่มหวาดระแวงมากกว่าเดิม การที่เขาเข้ามาใกล้ตัวเธอได้ขนาดนี้โดยที่เธอไม่ทันรู้สึกตัวนั้นทำให้เธอตื่นกลัวอยู่ไม่น้อย เธอเก็บซ่อนความกลัวนั้นเอาไว้เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา
“ขอโทษที่ข้าเสียมารยาทนะแม่สาวน้อย ข้าคงมาขัดจังหวะความเศร้าของเจ้า แต่สำหรับข้า การมีชีวิตควรจะต้องเบิกบานใจสิถึงจะดี โดยเฉพาะการได้มี...ชีวิตอมตะ” พูดจบชายร่างสูงก็เผยนัยน์ตาสีแดงฉานดั่งโลหิตให้ร่างบางได้เห็น
“นั่นมัน...” เมลโล่ว์ชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อได้เห็นดวงตาคู่นั้น มันยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำของเธอ มีเพียงสิ่งเดียวที่จะเผยนัยน์ตาเช่นนั้นได้และเธอรู้จักมันเป็นอย่างดี
“....แวมไพร์” เธอเอ่ยเรียกพร้อมกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“โอ้...น่าแปลกจริง เจ้ารู้จักเผ่าพันธุ์ของข้าอย่างนั้นรึ น้อยครั้งนักที่มนุษย์จะรับรู้การมีตัวตนของเรา ชักจะน่าสนใจซะแล้วสิ...หึๆ” เขาหัวเราะในลำคอเบาๆแสดงถึงความพึงพอใจ
“ต้องการอะไร? พวกแกมาทำอะไรในเมืองของมนุษย์?” ท่าทีของเมลโล่ว์เปลี่ยนไปเธอเอ่ยถามต่อด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว แม้ในใจจะหวั่นเกรงก็ตาม
“หึ...สุสานแห่งนี้คือประตูเชื่อมระหว่างอาณาเขตของแวมไพร์และมนุษย์ ไม่คิดว่าในเวลาแบบนี้ จะยังมีมนุษย์หลงเข้ามาอีก...ไหนๆก็ไหนๆ เรามาทำความรู้จักกันให้มากกว่านี้เจ้าคิดว่าดีไหม?” รอยยิ้มและสายตาเจ้าเล่ห์นั้นทำให้เมลโล่ว์ยิ่งถอยออกห่าง
“ฉันไม่อยากรู้จักพวกแกหรอก!” พูดจบร่างบางก็หันหลังแล้วออกวิ่งด้วยความเร็วเท่าที่จะเร็วได้
“หึๆ หนีไม่พ้นหรอกน่า” เขาตามเธอไปด้วยสีหน้าเบิกบานใจต่างกับเมลโล่ว์ที่มีแต่ความหวาดกลัว และในระหว่างที่ร่างบางกำลังก้าวเท้าวิ่งอย่างสุดกำลัง ฝ่ายตรงข้ามกลับไล่ตามเธอมาได้ทันอย่างง่ายดาย เขาพุ่งกระโจนเข้าใส่ลำตัวของเธอแล้วคว้าร่างของเธอให้ล้มลงกับพื้น
ตุบ!!!
“อึก!!!” เมลโล่ว์ล้มลงกระแทกกับพื้นอย่างแรงโดยมีร่างของแวมไพร์หนุ่มกดทับตัวเธออยู่ แรงกระแทกอย่างรุนแรงทำให้เธอจุกจนเปล่งเสียงออกมาลำบาก เขากดทับตัวเธอเอาไว้กับพื้น
“ปล่อย..ฉัน...” ริมฝีปากหนานุ่มของเขาบรรจงจูบลงที่ลำคออันขาวเนียนของเธอแล้วตวัดปลายลิ้นลงบนผิวกายทำให้เธอสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ก่อนที่เขาจะขย้ำลงไปโดยที่เจ้าของร่างไม่ทันตั้งตัว
“กรี๊ดดดด!” เมลโล่ว์แผดเสียงร้องอย่างหวาดผวาเมื่อร่างกายสัมผัสกับความเจ็บปวดจากคมเขี้ยวแหลมเป็นครั้งแรก เสียงกรีดร้องของเธอดังก้องไปทั่วทั้งสุสานราวกับจะปลุกให้ทุกวิญญาณในสุสานแห่งนี้ตื่นขึ้นมา หยาดเลือดสีแดงสดไหลลงไปตามร่างกายอย่างช้าๆ เมลโล่ว์พยายามดิ้นขัดขืนหนักกว่าเดิมเมื่อถูกความเจ็บปวดกระตุ้นแต่ก็ไม่สามารถเอาชนะแรงของฝ่ายตรงข้ามได้เลยคอเสื้อถูกฉีกกระชากออกอย่างแรง ร่างของเธอยังคงถูกตรึงไว้กับพื้นด้วยร่างของคนตัวใหญ่กว่า ฝ่ามือหนานั้นคว้าแขนทั้งสองข้างของเธอแล้วกดเอาไว้เหนือศีรษะ ก่อนที่จะฝังเขี้ยวซ้ำเข้าที่คอของเธออีกครั้งแล้วดูดดื่มของเหลวสีสดที่ไหลทะลักออกมาอย่างหิวกระหาย กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วแม้แต่เจ้าของเองยังสัมผัสได้
“หยุดนะ...กรี๊ดดดด!” แม้รู้ว่าเปล่าประโยชน์ที่จะหลุดพ้นจากเงื้อมือของแวมไพร์ตนนี้ไปได้แต่เธอก็ยังพยายามทุบตีและดิ้นรนสุดชีวิต ผิวกายยังคงสัมผัสได้ถึงคมเขี้ยวของเขาทุกวินาทีที่เลือดของเธอกลายเป็นอาหารให้เขากระทั่งความหิวกระหายของเขาหมดลง
“ยอดเยี่ยมจริงๆ...เลือดของเธอมีรสชาติที่ไม่เหมือนใคร ฉันแทบจะอดใจไม่ไหวจนเกือบจะสูบเลือดของเธอจนหมดตัวซะแล้วสิ” เขาเอ่ยเยินยอเธออย่างชอบใจพลางลูบไล้เรียวแก้มของเธออย่างพึงพอใจพลางตวัดปลายลิ้นกวาดคราบเลือดที่เปื้อนอยู่รอบริมฝีปากของตน
“แก...ไอ้ปีศาจ ฉันจะฆ่าแก!” ร่างบางเปล่งเสียงพูดอย่างกระอักกระอ่วน เธอจ้องมองใบหน้าของแวมไพร์หนุ่มอย่างไม่ละสายตาด้วยความโกรธแค้น
“หึๆ เอาซี่ ฆ่าฉันให้ได้อย่างที่เธอบอกเลย ถ้าทำได้นะ...” ร่างสูงแสยะยิ้มก่อนที่จะลุกขึ้นยืนตรงหน้าร่างของเธอ
“หนอย...” เมลโล่ว์กัดฟันแน่น เธอรีบลุกจากพื้นหลุมศพหมายจะพุ่งเข้าใส่คนตัวใหญ่กว่าแต่พอลุกเดินได้ไม่เท่าไหร่เธอก็หน้ามืดทรุดตัวลงตรงหน้าเขาทันที
“อึก! อะไรกัน...ร่างกายของฉัน” เรี่ยวแรงของเธอเหือดหายไปหมดโดยไม่รู้ตัว เธอนึกขึ้นได้ว่าตนเสียเลือดมากเกินไป พอจะพยายามลุกขึ้นอีกครั้งขาทั้งสองข้างก็สั่นเกร็งจนแทบขยับไปได้ไปแล้ว
“ฮะๆๆๆ มนุษย์อย่างเธอจะทำอะไรได้ เอาเถอะ...ฉันจะรอวันนั้นก็แล้วกันยังไงซะเราต้องได้เจอกันอีกแน่นอนสาวน้อย” เขาพูดทิ้งท้ายเอาไว้ แล้วหันหลังเดินจากไปทางอีกฟากของสุสาน
“เดี๋ยวก่อนสิ! กลับมานะ แน่จริงก็กลับมา! ฉันจะฆ่าแกให้ดู อย่ามาดูถูกกันนะ!!!” เธอตะโกนด่าทอตามไปโดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลยกระทั่งร่างของแวมไพร์ตนนั้นลับสายตาไป
“เจ็บใจนัก...ฮือ” เมลโล่ว์ทำได้เพียงร้องไห้เพื่อระบายความเจ็บช้ำที่มีอยู่ในใจออกมาให้หมดพร้อมกับโอบกอดร่างกายของตัวเองเอาไว้เพียงลำพัง
[มันเรื่องอะไรกัน ทำไมต้องเป็นฉัน ทำไมฉันต้องเจอแต่เรื่องแบบนี้]
แม้เธอจะร่ำไห้สักกี่ครั้ง แต่ความน้อยเนื้อต่ำใจนั้น ไม่เคยจางหายไปจากใจของเธอเลย
...............
‘แม่คะ!แม่ตื่นขึ้นมาสิคะ หนูเอายามาให้แม่แล้วนะ ลุกขึ้นมาสิคะ อย่าทิ้งหนูไป!’
อีกฟากของความมืด มีเสียงเพรียกหาของเด็กน้อยค่อยๆดังก้องขึ้นทุกที ยิ่งพยายามที่จะฟังมากเท่าไหร่เสียงนั้นก็ยิ่งดังเข้ามากระทั่งอยู่ใกล้เพียงเอื้อม
‘แม่ค่ะ!!!’
“เฮือก!” ร่างบางสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจจากฝันร้าย
“แฮ่ก...แฮ่ก....” เธอหอบหายใจเสียงดังราวกับขาดอากาศหายใจมาเป็นเวลานาน สามวันหลังจากผ่านค่ำคืนอันโชคร้ายนั้นมาได้ร่างกายของเมลโล่ว์อ่อนเพลียลงอย่างเห็นได้ชัด
“อึก...แค่ก! แค่ก! แค่ก!” สัมผัสแห้งหยาบในลำคอจากการขาดน้ำเป็นเวลานานทำให้เธอสำลักออกมาทันทีหลังจากที่รู้สึกตัวได้ไม่นาน หลังจากเหตุการณ์ที่สุสานเมลโล่ว์พยายามพาตัวเองกลับมาจนถึงที่บ้านในสภาพอิดโรย เพราะเธอเสียเลือดไปมากทำให้อ่อนแรงจนหมดสติไป ร่างกายเธอซูบผอมลง เส้นผมสีดำยาวที่ไม่ได้ดูแลปกคลุมใบหน้าดูรุงรัง
เธออาศัยอยู่ที่บ้านหลังใหญ่นี้เพียงลำพังตั้งแต่ที่สูญเสียผู้เป็นแม่ไป บ้านแห่งนี้เป็นสิ่งเดียวที่เธอเหลืออยู่ เธอพยุงตัวลุกจากโซฟาในห้องนั่งเล่นแล้วยกมือขึ้นขยี้ตาเบาๆ และในขณะนั้นเองเธอก็พบกับสิ่งผิดปกติบนร่างกายของตัวเองเข้า
“มือฉัน! เกิดอะไรขึ้นเนี่ย!?” มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับตัวเธอในช่วงข้ามคืนที่ผ่านมาเล็บที่มือและเท้าของเธอยาวขึ้นผิดหูผิดตาและมีสีคล้ำลงอย่างเห็นได้ชัดไม่ต่างจากมือของปีศาจร้าย เธอจึงรีบลุกไปที่ห้องน้ำอย่างกระวนกระวาย
“ไม่นะ...เป็นไปไม่ได้” กระจกในห้องน้ำบ่งบอกถึงใบหน้าที่ซีดเซียวลงกว่าแต่ก่อน อุณหภูมิในร่างกายก็เย็นเฉียบดั่งร่างที่ไร้ชีวิต เธอรีบก้มลงล้างหน้าให้ตาสว่างก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองกระจกอีกครั้ง แต่สีหน้าของเธอก็ดูไม่ต่างจากเมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย
“บ้าที่สุด...ร่างกายของฉัน” เธอพร่ำบ่นไปพลางหยิบใบมีดในแก้วที่วางอยู่หน้ากระจกขึ้นมาเฉือนเล็บของตัวเองออกอย่างรีบร้อน
“ฉันจะทำยังไงดี ถ้าต้องกลายเป็นแวมไพร์ขึ้นมา ฉันจะทำยังไง...” เมลโล่ว์หวาดระแวงเป็นอย่างมากกับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอกลับออกไปที่โต๊ะหน้าโซฟาตัวเดิม บนนั้นมีหนังสือหลายเล่มวางอยู่เกลื่อนกราด แต่ละเล่มเป็นหนังสือที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับแวมไพร์ทั้งหมด ตั้งแต่ยังเป็นเด็กเมลโล่ว์ได้รับรู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของแวมไพร์และถึงแม้จะไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่เธอพูดแต่เธอก็เก็บสะสมตำนานและเรื่องเล่าของแวมไพร์เอาไว้ทั้งหมดที่เคยพบเจอ แม้จะเป็นเพียงเรื่องเล่าหรือสิ่งที่แต่งขึ้นก็ตาม แต่ในเวลานี้มันเป็นเหมือนข้อมูลสำคัญที่จะช่วยรักษาเธอได้ ตลอดเวลาสามวันมานี้เธอเอาแต่นั่งอ่านหนังสือพวกนี้จนแทบไม่ได้กินอะไรเลย มือเรียวเอื้อมไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาแล้วพลิกหน้าอ่านอย่างใจจดใจจ่อ หนังสือเล่มนั้นมีชื่อว่า ‘การเปลี่ยนแปลงจากมนุษย์สู่ความเป็นนิรันดร์’
“นี่ไงล่ะ!” หลังจากพลิกอ่านไปหลายหน้าดูเหมือนเธอจะพบกับเนื้อหาที่เป็นใจความสำคัญเข้าแล้ว
‘การกลายพันธุ์มีหลายประเภท ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล แต่ระยะเวลาไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว เมื่อถึงวันที่พระจันทร์เต็มดวงอีกครั้ง จะกลายสภาพโดยสิ้นเชิง วิธีรักษาให้หายขาดยังไม่ค้นพบ มีเพียงการควบคุม โดยการใช้พิษจากรากของพืชชนิดหนึ่งที่เรียกกันว่า เมิร์กวูด สามารถหาได้ตามป่ารกชื้น นำมาสกัดให้เข้มข้นแล้วฉีดเข้าสู่ร่างกายโดยตรง หรือใส่เข้าทางปากแผล ควรหลีกเลี่ยงการดื่ม เพราะอาจทำให้พิษเจือจางไปกับสารที่แฝงอยู่ในน้ำลาย’
“เมิร์กวูด...แล้วจะไปหาได้จากไหนกันล่ะ ของแบบนั้นมีอยู่จริงรึเปล่าก็ไม่รู้” เมลโล่ว์พูดกับตัวเองแล้วนั่งนึกอยู่พักใหญ่พลางหยิบขวดน้ำดื่มที่วางอยู่ใต้โต๊ะข้างโซฟาขึ้นมาดื่มจนหมดขวดด้วยความกระหาย
“มีเวลาอีกแค่ไหนก็ไม่รู้กว่าพระจันทร์จะเต็มดวง ต้องทำอะไรซักอย่าง ดีกว่านั่งอยู่เฉยๆรอวันตายล่ะน่า” เธอลุกขึ้นเดินไปหยิบเสื้อคลุมแล้วออกจากบ้านไปทันทีโดยไม่สนใจว่าสภาพร่างกายของตัวเองจะเป็นยังไง เธอมุ่งตรงไปยังสุสานที่เกิดเหตุ เพราะที่แห่งนั้นตามที่แวมไพร์แปลกหน้าตนนั้นได้พูดเอาไว้ มันคือทางเชื่อมต่อกันระหว่างดินแดนของมนุษย์กับแวมไพร์
[ไม่อยากจะเชื่อ ว่าฉันต้องกลับมาที่นี่อีกเป็นที่ที่ฉันไม่อยากจะมาอีกเลย ขออย่าให้เจอพวกปีศาจหรือว่าแวมไพร์อีกเลยเถอะ] เมลโล่ว์นึกในใจเมื่อมาถึงจุดหมาย มันคือป่าดงดิบที่อยู่อีกฟากของสุสาน มีตำนานเล่าถึงเรื่องของป่าแห่งนี้มากมาย ไม่มีใครรู้ว่าอีกฝั่งของป่าลึกแห่งนี้มีอะไรซ่อนอยู่ เพราะไม่มีใครที่เดินทางเข้าป่านี้ไปแล้วได้กลับมา ชาวเมืองพากันเรียกป่าแห่งนี้ว่า ‘ป่ากินคน’ เมลโล่ว์อาจเป็นคนเดียวที่เคยรอดชีวิตออกมาได้เมื่อหลายปีก่อนด้วยความช่วยเหลือจากแวมไพร์ตนหนึ่ง และในครั้งนี้เธอจำเป็นต้องกลับเข้าไปอีกครั้งโดยปราศจากความช่วยเหลือใดๆ แต่เมลโล่ว์ในตอนนี้ไม่ใช่เด็กน้อยอีกแล้ว เธอก้าวเท้าเร็วขึ้นและเข้าไปในป่าลึกกว่าครั้งที่เคยมา
[กระหายน้ำอีกแล้ว ไม่เคยรู้สึกหิวน้ำมากขนาดนี้มาก่อนเลย ทำไมกันนะ เรี่ยวแรงก็แทบจะไม่มีเหลือแล้ว] เธอเดินไปเรื่อยๆโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองเข้ามาในป่าลึกมากแค่ไหนทั้งๆที่ร่างกายก็เริ่มหมดแรงลงทุกที
“แฮ่ก...แฮ่ก...” เสียงหอบเหนื่อยสลับกับเสียงย่ำเท้าไปเรื่อยๆและคอยมองหาสิ่งที่ต้องการไปในเวลาเดียวกัน ถึงแม้จะเหนื่อยแต่เด็กสาวเมลโล่ว์ก็ไม่คิดที่จะหยุดพักเลย แม้จะมีบางครั้งที่ต้องหยุดเดินเพราะหมดแรง แต่ความมุ่งมั่นที่อยากจะมีชีวิตรอดทำให้เธอพยายามฝืนร่างกายไปต่อได้ เธอยังคงก้าวเดินต่อไปเรื่อยๆเพื่อค้นหาต้นเมิร์กวูดให้เจอแม้ในใจจะรู้ว่ามันอาจเป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้นก็ตาม
“จะว่าไปแวมไพร์ที่เคยช่วยเราเอาไว้ตอนนั้น จะเป็นยังไงบ้างนะ จะได้พบกันอีกรึเปล่า....อึก! แล้วทำไมเราต้องนึกถึงปีศาจแบบนั้นด้วยเนี่ย!” ระหว่างทางเธอเดินไปพูดไปอยู่คนเดียวโดยไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างเท่าไหร่นัก จนมีบางสิ่งรบกวนเธอ เท้าทั้งสองที่เคยก้าวเดินต้องหยุดอยู่กับที่เมื่อได้สัมผัสถึงอะไรบางอย่าง เธอค่อยๆใช้สายตาสอดส่องไปรอบๆตัวแทน
“กลิ่นอะไรน่ะ น่าคลื่นไส้จัง” เมื่อจมูกสัมผัสได้ถึงกลิ่นบางอย่างที่ผิดปกติ เธอรีบยกมือขึ้นปิดจมูกของตัวเองเอาไว้ แล้วเดินต่อไปให้เร็วขึ้นกว่าเดิม มันเป็นเพียงกลิ่นซากสัตว์ที่ตายแล้วเท่านั้น แต่เพราะประสาทสัมผัสของเธอเริ่มเปลี่ยนไปทำให้รับรู้กลิ่นของสิ่งรอบข้างได้ดีกว่าปกติ ยิ่งเข้าไปในป่าลึกมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมืดทึบมากขึ้นเท่านั้นความกล้าของเมลโล่ว์มีมากกว่าใครๆ เธอจะไม่ยอมถอดใจง่ายๆจนกว่าจะได้สิ่งที่ต้องการ
คล้ายว่าครั้งนี้โชคจะไม่เข้าข้างเธอเสียแล้ว หลังจากเข้ามาในป่าเกือบทั้งวันจนฟ้าใกล้มืดเต็มที ร่างกายของเมลโล่ว์ก็หมดแรงลงในที่สุด เธอทรุดตัวลงใต้ต้นไม้ใหญ่ด้วยความเหนื่อยล้าพลางปาดคราบเหงื่อบนใบหน้าออกลวกๆ
“หาไม่เจอเลย...บ้าที่สุด หรือว่ามันไม่ได้มีจริง” เมลโลว์เริ่มถอดใจลงในที่สุด ความมืดครึ้มในยามเย็นเมื่อพระอาทิตย์ใกล้ตกดินเป็นสัญญาณให้เหล่าแมลงพากันส่งเสียงร้องดังก้องไปทั่วผืนป่า ในเวลาไม่นานนักท้องฟ้าก็มืดสนิทจนไม่สามารถมองเห็นทางได้อีก
“นี่เราต้องมาตายในที่แบบนี้หรอ...แย่จัง” เมลโล่ว์เริ่มหมดหวังและนั่งหัวเราะเยาะตัวเองพลางหลับตาลง ไม่มีวี่แววว่าจะพบต้นเมิร์กวูด ไม่มีน้ำ ไม่มีอาหาร เธอทำได้เพียงนั่งกอดเข่าอยู่ตามลำพังคอยฟังเสียงสิ่งที่อยู่รอบข้างอย่างหวาดระแวง กระทั่งความเหนื่อยล้าทำให้เธอหมดสติไป…
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ