Chronicles Of Legend. ปฐมบทแห่งตำนาน
7.3
เขียนโดย LanzaDeLuZ
วันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 เวลา 19.07 น.
67 chapter
7 วิจารณ์
64.21K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 19.20 น. โดย เจ้าของนิยาย
39) ...Challengers...(3)...(100%)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ================================================
...ตกดึกของค่ำคืนวันนั้นเอง...
" ...ชุมเสือ...แดนสิงห์...งั้นเหรอ? " จอมเวทย์หนุ่มในชุดคลุมยาวของผู้ใช้เวทย์มนต์ที่เขาไม่เคยได้ใส่มานานเอ่ยพึมพำกับตัวเองเบาๆ ขณะที่ตัวเองนอนหนุนท่อนแขนตัวเองอยู่บนเตียงนอนของเขา ใบหน้าของเขาฉาบด้วยรอยยิ้มบางๆ ...ถ้าไม่นับเรื่องที่ว่าเขาต้องรักษาความลับของตัวเองให้ตลอดรอดฝั่งจนกว่าเขาจะได้กลับไปคริสตัลฟอร์ซ แผ่นดินของแม่บังเกิดเกล้าของเขา...เรย์ลาลีนก็ต้องยอมรับอย่างปลอดอคติว่าเขาชักสนใจการประลองระหว่างสองสถาบันนี้ขึ้นมาจริงๆ แล้วล่ะสิ...คงเป็นเพราะร้างสนามรบมานานมันทำให้เขาอดคันไม้คันมือไม่ได้
...คิดๆ แล้วก็อดถอนหายใจอย่างเสียดายไม่ได้ น่าแปลกเหลือเกินที่เขามาอยู่ที่นี่ได้เพียงเดือนเศษๆ แต่เขากลับรู้สึกผูกพันกับที่นี่ราวกับมันเป็นเหมือนบ้านหลังที่สองของเขา(ถึงเขาจะยังไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ว่าบ้านหลังแรกของเขาคือที่ไหนก็ตาม) ไม่นับโนอาห์ที่เขารู้จักมักจี่กันมานานแล้ว เขากลับคบหาได้อย่างสนิทใจกับทั้งสองสาวผู้อำนวยการคู่แฝด ทั้งแลนซ์ ทั้งเฮเลน รวมถึงเหล่านักศึกษาปราการไฟที่เขาสามารถเรียกว่าเพื่อนได้อย่างเต็มปากอีกหลายต่อหลายคน...เขายอมรับว่าความรู้ที่สึกแวดล้อมเขาอยู่เช่นนี้ช่างไม่คุ้นชินเสียเลย...สำหรับหนึ่งในจอมทัพที่ยืนอยู่บนเหล่าทหารทั้งหมดของเซลโลลอร์...นอกจากพี่น้องของเขาแล้ว เขาไม่เคยมีผู้ที่เขาสามารถเรียกว่า เพื่อน ได้อย่างเต็มปากเต็มคำเลย...แต่เขากลับพบกับเพื่อนที่เขาคิดว่าไม่อาจจะมีได้อยู่อย่างมากมาย ณ ที่แห่งนี้...เมื่อถึงตรงนี้มันทำให้เขาใจหายทุกครั้งที่คิดได้ว่าเขาจะอยู่ที่นี้ได้เพียงแค่จนจบงานประเพณีระหว่างสองสถาบันนี้เท่านั้น...ถึงเขาจะรู้ดีว่าทางเลือกมันไม่ได้มีให้เลือกมากนัก แต่มันก็ยังอดถอนหายใจเฮือกอย่างเสียดายทุกครั้งไม่ได้ที่นึกถึง...
" ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเราจะมาห่วงหาอาลัยแบบนี้...ไม่ใช่นิสัยเราแท้ๆ " เขาบ่นเบาๆ กับตัวเองพลางลุกขึ้นบิดขี้เกียจจนกระดูกลั่นเกรียว ก่อนจะเดินไปเปิดหน้าต่างช้าๆ สายลมที่พุ่งเข้าปะทะหน้าทำให้เขารู้สึกดีขึ้นเหมือนได้กลับไปยังวันเก่าๆ เขาหลับตาเพื่อซึมซับความรู้สึกนี้อยู่พักใหญ่ ก่อนจะอดหัวเราะเบาๆ กับสิ่งที่เขากำลังจะทำไม่ได้
" เชรีน่าต้องฆ่าเราแหงๆ ถ้ารู้ว่าเรากำลังจะทำอะไร "
ก่อนที่ในชั่วพริบตาต่อมาชายหนุ่มจะกระโดดลงจากหน้าต่างห้องนอนของเขา แหวนหยกขาวอลันดอร่าสว่างวูบร้างสายลมหวนหนุนร่างเขาให้ชลอความเร็วและลอยลงสู่พื้นดินอย่างปลอดภัยและด้วยเวทสายลมที่ร่ายเพื่อเสริมพลังกาย พริบตาเดียวเขาก็มาถึงต้นไทรอันสูงใหญ่ที่มองเห็นได้อย่างเด่นชัดกลางป่าระหว่างปราการไฟกับอาคารเรียนกลาง...เมื่อถึงใต้ไทรใหญ่เขาอาศัยแสงสว่างของดวงจันทร์ทั้งสามดวงค่อยๆ ล้วงลงไปในกระเป๋าเสื้อคลุม พร้อมกับบรรจงหยิบเศษกระดาษชิ้นเล็กๆ ออกมาช้าๆ ราวกับกลัวว่ามันจะบุบสลาย เรย์ลาลีนหรี่ตาลงอ่านข้อความหวัดๆ ที่อยู่บนกระดาษเป็นครั้งที่ร้อยได้แล้วมั้ง เขาทำราวกับกลัวว่าข้อความในกระดาษจะเปลี่ยนแปลงไป
' ...ถ้าอยากรู้ว่าฉันทำทั้งหมดนี้ไปทำไม...เที่ยงคืนใต้ไทรใหญ่ ...
...อ้อ...ฉันไม่ชอบเป็นฝ่ายคอยนะ ... '
เรย์ลาลีนจนปัญญาจริงๆ เขาไม่อาจรู้ได้เลยว่าเศษกระดาษชิ้นนี้มาอยู่ในห้องนอนของเขาได้ยังไง...แต่ถึงแม้ว่ามันจะเป็นข้อความสั้นๆ เหมือนข้อความที่คนรักส่งให้กัน แต่สำหรับเรย์ลาลีนแล้วเขารู้ดีเกินพอเลยว่านี่เป็นข้อความของใคร
...ชาโดว์ หญิงสาวลึกลับผู้มากับเคียวยักษ์ประหลาดๆ และจุดประสงค์อันไม่แน่ชัดของเธอ ที่พยายามจะบุกอาคารเรียนกลางของสถาบันผู้ใช้พลังจิต...
" นายมาสาย...เรย์ " ไม่ถึงนาทีหลังจากที่เขามายืนใต้ไทรใหญ่ เสียงของหญิงสาวที่เรย์ลาลีนจำได้ดีว่าคือเสียงที่ถูกดัดแปลงของชาโดว์ดังขึ้นบนคาคบเหนือหัวของเขา
" เหลืออีกตั้ง 10 นาทีกว่าจะเที่ยงคืน...ผมไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่านี่เรียกว่าสายนะ " เรย์ลาลีนเอ่ยน้ำเสียงเอื่อยๆ อย่างเริ่มชาชินกับการไปมาปุปปับของชาโดว์เสียแล้ว...เขาระวังตัวสุดขีดก็จริงแต่กลับไม่ได้ร่ายเวทย์ป้องกันค้างเผื่อไว้อย่างที่เคยทำ เพราะเขารู้ดีว่ามันเปล่าประโยชน์เมื่อเจอกับเคียวยักษ์ที่มีความสามารถอันแปลกประหลาดของอีกฝ่าย
" แหม...นายนี่ไม่เข้าใจผู้หญิงเอาเสียเลยนะ...แบบนี้ไงถึงไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนกับเขาซะที "
" ถามจริงๆ เถอะ ...เธอคงไม่ได้เรียกฉันมาเพื่อเจ๊าะแจ๊ะอะไรแบบนี้หรอกใช่ไหม? ...เพราะมันคงจะเสียเวลาอย่างที่สุดไม่ว่าจะกับฉันหรือเธอ "
ตุ้บ !!!
ชาโดว์กระโดดลงจากคาคบไม้ม้วนลังกาลงมายืนตรงหน้าเรย์ลาลีนอย่างสวยงามราวกับนักยิมนาสติกมืออาชีพ ภายใต้ผ้าคลุมสีดำสนิทที่ปิดบังใบหน้าทั้งหมดไว้ เรย์ลาลีนกลับมีความรู้สึกว่าหญิงสาวภายใต้ผ้าคลุมกำลังยิ้มอยู่
" ได้ข่าวว่านายโดนปลดจากการสืบสวนเพราะฉัน...ฉันเสียใจจริงๆ นะที่เป็นต้นเหตุ "
คำพูดของชาโดว์ทำให้สีหน้าของเรย์ลาลีนเปลี่ยนไปเล็กน้อย คิ้วของชายหนุ่มมุ่นเข้าหากันบางๆ อย่างไม่สบอารมณ์
' ถ้าชาโดว์ไม่ใช่คนในที่ได้รับความไว้วางใจสูงสุด...ระบบการรักษาความลับที่นี่ก็ห่วยแตกที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอมาเลย '
" ...ถ้าฉันเข้าใจไม่ผิด ตอนนี้นายก็กลายเป็น ' โรนิน ' โดยสมบูรณ์แล้ว งั้นสิ? "
" โรนิน? "
" นกรบผู้ไร้นายเหนือหัวไงล่ะ...นักรบผู้เก่งกล้าที่ถูกทอดทิ้งอย่างไม่เป็นธรรม... "
" เธอต้องการจะพูดอะไรกันแน่? "
" ฉันกำลังจะบอกว่าฉันยังต้องการนายอยู่นะ...เรย์...จริงอยู่ว่าการพบกันครั้งล่าสุดของเราจะจบไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ แต่ที่ว่างสำหรับนายยังคงมีอยู่เสมอนะ "
อีกครั้งที่คำพูดของหญิงสาวตรงหน้าทำให้เรย์ลาลีนขมวดคิ้วเพราะคำพูดที่ว่า ' จบไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ ' ของชาโดว์มันช่างดูน้อยนิดเหลือเกินเมื่อเทียบกับประสบการณ์เฉียดตายจากสกิล DeadLine ที่ชายหนุ่มเจอะเจอมา
" ดูเหมือนเธอจะสำนึกผิดและให้อภัยตัวเองได้เร็วเสียเหลือเกินนะ "
" คิกๆๆ เปล่าเลย ฉันไม่ได้สำนึกผิดหรือให้อภัยตัวเองทั้งนั้น เพราะมันเป็นสิ่งที่ฉันจำเป็นต้องทำ และฉันก็ไม่เสียใจเลยซักนิดที่ใช้ DeadLine กับนาย...แต่ตอนนี้ฉันค่อนข้างสับสนกับตัวเองนะ...เพราะฉันกลับดีใจที่นายยังไม่ตายแทนที่จะเป็นกังวล " คำพูดที่ค่อนข้างย้อนแย้งของอีกฝ่ายทำให้เรย์ลาลีนเลิกคิ้วเล็กน้อย เขาใจดีพอที่จะเล่นตามน้ำด้วยการถามว่า
" ทำไม? "
" คิกๆๆๆ " ชาโดว์ปิดปากหัวเราะเบาๆ อีกครั้ง " รู้ไหม ฉันมักจะชอบนายมากขึ้นทุกครั้งที่เราคุยกัน...สำหรับคำถามของนาย...คำตอบคือคงเป็นเพราะ...ฉัน กับนายเป็นคนพันธุ์เดียวกันไงล่ะ...เราสองคนเจอหลายสิ่งหลายอย่างมาคล้ายๆ กัน "
" เราสองคนไม่มีอะไรเหมือนกัน...อย่างน้อยๆ ผมก็ไม่เคยพยายามบุกโรงเรียนเพื่อขโมยกล่องเครื่องเขียนแน่ "
" ฉันเคยบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าเรื่องแบบนี้แค่มองตาก็รู้แล้ว...ต่อให้นายเที่ยวบอกใครต่อใครว่านายเป็นนายเรย์ รัชเชอร์ ชายหนุ่มเชอร์รี่ที่มีอดีตที่น่าเบื่อ แตดวงตานายบอกอีกอย่างหนึ่ง...ฉันขออนุมานเอาจากสมมติฐานของฉันเองว่านายคงเป็นทหารผ่านศึก อ้อ! ไม่ใช่ระดับทหารต๊อกต๋อยด้วย...แต่เป็นถึงระดับผู้นำ ต้องรับผิดชอบชีวิตของเหล่าทหารใต้บังคับบัญชานับพัน...ฉันพูดถูกไหม? "
" ... " ไม่ใช่เขาไม่อยากตอบแต่เขากำลังตื่นตะลึงจนจนต่อคำพูดไปชั่วขณะเพราะหญิงสาวตรงหน้ามองเขาออกราวกับนับนิ้วมือของตัวเองไม่มีผิด
" ถามหน่อยสิ เรย์...นายรู้สึกยังไงที่ต้องเข้าไปบอกกับพ่อแม่ของทหารคนนึงว่าลูกชายหรือลูกสาวของเขาเสียชีวิตลงแล้วในหน้าที่...บอกพวกเขาว่าพวกเขาจะไม่ได้พบหน้าลูกของเขาแบบเป็นๆ อีกแล้ว... "
ดวงตาของเรย์ลาลีนหรุบต่ำลง...ใช่แล้ว เขารู้จักความรู้สึกนั้นดี เพราะมันมีอยู่อย่างท่วมท้นเมื่อเขาเห็นหญิงชราคนหนึ่งทรุดลงร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลังเมื่อครั้งที่เขาในฐานะผู้บังคับบัญชาแจ้งให้เธอทราบว่าลูกชายคนเดียวของเธอจะได้รับการคลุมด้วยธงชาติกลับมา...และเขาบอกกับตัวเองว่าแค่ครั้งเดียวก็มากเกินพอแล้วสำหรับความรู้สึกนี้ นั่นทำให้ตลอดการรบหลังจากนั้นเขาจึงเลือกที่จะเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงแทนที่พวกทหารเหล่านั้น...แต่เสี้ยววินาทีต่อมาดวงตาของชายหนุ่มก็กลับมาเปล่งประกายอีกครั้ง เพราะเขารู้ดีว่าขืนปล่อยตัวเองให้ไหลไปตามลมปากของชาโดว์เรื่อยๆ เขาคงต้องตกเป็นรองหญิงสาวตรงหน้าไปตลอดแน่ๆ
" น่าทึ่งมาก...ชาโดว์...น่าทึ่งมาก...เธอมีพรสวรรค์ที่น่าประทับใจมาก...แต่เธอกล้าใช้พรสวรรค์อันน่าทึ่งนี้สำรวจตัวเองรึเปล่า? ถ้าฟังจากคำพูดของเธอ ฉันก็จะขออนุมานเอาเหมือนกันว่าเธอคงจะเป็นทหารชั้นสัญญาบัตรของประเทศใดประเทศหนึ่งที่กำลังเกิดสงคราม และจากที่เธอเจาะฉัน ฉันเดาเอาว่าประเทศของเธอกำลังจะเป็นผู้แพ้สงครามและเธอเองก็คงกำลังเห็นเพื่อนร่วมรบตายไปต่อหน้าต่อตาเป็นใบไม้ร่วง...ซึ่งถ้าการคาดเดาของฉันไม่ผิด...ฉันก็อดสงสัยไม่ได้จริงๆ ว่าหัวหน้าทหารของฝ่ายที่กำลังจะแพ้สงครามจะทิ้งลูกน้องให้ตายมา---- "
ชั่วเสี้ยวของเสี้ยววินาทีก่อนที่เรย์ลาลีนจะได้ทันต่อประโยคให้จบ เคียวยักษ์สีดำสนิทที่มาอยู่ในมือของชาโดว์ตอนไหนไม่ทราบก็ปาดวูบหมายที่ลำคออันเป็นจุดตายของชายหนุ่มด้วยความเร็วเหลือเชื่อ เพียงแต่คราวนี้เรย์ลาลีนเตรียมพร้อมอยู่แล้วและสาบานกับตัวเองว่าจะไม่โดนเคียวนั้นเป็นครั้งที่ 2 แน่ เขาพลิกหลบวูบโดยที่ใบเคียวนั่นไม่แม้แต่จะเฉียดเป้าหมายด้วยซ้ำ
" อย่าพยายามทดสอบฉัน เรย์ ....ฉันกำลังเกือบจะชอบนายอยู่แล้ว " เสียงอันแข็งกร้าวของชาโดว์ทำให้เขารู้สึกได้เลยว่าภายใต้หน้ากากสีดำสนิทนั่น ดวงตาของหญิงสาวคงจะจ้องมาที่เขาด้วยแววตากินเลือดกินเนื้ออย่างไม่อาจปิดบังได้แน่ๆ
" แปลว่าฉันเดาถูกงั้นสินะ? เหลือเชื่อจริงๆ " เรย์ลาลีนแกล้งหัวเราะเบาๆ สิ่งที่เขาได้รับจากการสอนของราโชลีนคือ ยิ่งเขาอารมณ์ดีเท่าไหร่ คู่ต่อสู้ของเขาก็ยิ่งรักษาความมั่นคงทางอารมณ์ได้น้อยลงเท่านั้น
ชาโดว์ถอนหายใจเฮือก เธอควบคุมอารมณ์ได้เร็วจนน่าประหลาดใจ ถ้าเขาเดาไม่ผิดคงเป็นเพราะความเจนสนามของเธออาจมีพอๆ หรือมากกว่าเขาด้วยซ้ำ...เธอพึมพำบางอย่างก่อนที่เคียวในมือจะสลายเป็นฝุ่นสีดำเล็กๆ และสลายไปกับสายลม
" อยากฟังอะไรสนุกๆ ไหม เรย์...เมื่อ 8 ปีก่อนประธานาธิบดีริชาร์ด โซโลมอน หรือริชาร์ดใจสิงห์แห่งวัลคาไนท์พบกับความลับบางอย่างบนเกาะเล็กๆ ทางตะวันตก...มันเป็นความลับที่เขาไม่อาจให้ใครก็ตามรู้...นายอยากจะลองเดาไหมว่าริชาร์ดพบอะไรบนเกาะเล็กๆ นั่น? "
" อะไร?...ขุมทรัพย์สุไลมาน หรือทองคำแอซเทคของคอร์เตสงั้นเหรอ? "
" นายนี่มีอารมณ์ขันได้กับทุกเรื่องจริงๆ นะ " ชาโดว์เหน็บเบาๆ อย่างไม่จริงจังอะไรนักพร้อมกับตั้งท่าเล่าต่อ " เขาพบกับโบราณวัตถุลึกลับบางอย่าง...โบราณวัตถุแห่งอารยธรรมที่สาปสูญที่สร้างขึ้นมาในยุคเดียวกับ วาร์ปเกทแห่งเซลโลลอร์ หรือ นาวาสวรรค์แห่งมหาลัยหมื่นเวทย์ แต่โบราณวัตถุชิ้นเล็กๆ ที่เขาค้นพบนี้กลับมีพลังที่มากมายมหาศาลเกินกว่าทั้งสองอย่างเทียบไม่ติด...เมื่อเขาพบ ด้านที่เป็นคุณธรรมของเขาเป็นฝ่ายชนะและเขาตระหนักได้ในทันทีว่าวัตถุชิ้นนี้ต้องไม่ตกอยู่ในมือของมนุษย์ ไม่ว่าจะใครก็ตามแม้แต่ตัวเขาเอง...ภายใต้ความร่วมมือของพี่น้องคู่แฝดแห่งตระกูลอาซาเซียที่เป็นเสาหลักของเหล่าผู้ใช้พลังจิตทั้งมวล...โปรเจ็คสถาบันผู้ใช้พลังจิตฯ ถูกผ่านที่ประชุมสภาภายใน 1 เดือนและเป็นรูปเป็นร่างอย่างรวดเร็วเพื่อซอนโบราณวัตถุนี้ให้พ้นมือของทุกคน...พวกเขา ซ่อนไม้ไว้ในป่า ได้อย่างสมบูรณ์แบบ "
ตลอดเวลาที่หญิงสาวนามว่าชาโดว์เล่า เรย์ลาลีนอยู่ในท่าทีที่สงบอย่างเหลือเชื่อ...ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อในสิ่งที่หญิงสาวพูด แต่เขากำลังวิเคราะห์อย่างใจเย็นถึงความเป็นไปได้ของเรื่องที่ชาโดว์เล่าว่ามันมีความเป็นไปได้มากแค่ไหน...ซึ่งถ้าหากคิดตามสถิติอย่างที่ราโชลีนเคยสอน ผลคือเป็นไปไม่ได้และชาโดว์กำลังถ่วงเวลาเขาอยู่..........แต่ลางสังหรณ์ของเขากลับบอกในมุมกลับกัน และเท่าที่ผ่านมา ลางสังหรณ์ของเขาไม่เคยพลาดเลยแม้แต่หนเดียว!
" จะให้ฉันเชื่อในสิ่งที่เธอพูดจริงๆ เหรอ?...แค่คำพูดน่ะ ใครๆ เขาก็พูดขึ้นมาได้...อีกอย่าง นอกจากกรณีพิพาทระหว่างเซลโลลอร์กับซีแบทเทิ่ลแล้ว ฉันก็จำไม่ได้ว่าเกิดสงครามที่ไหนอีก... "
" ฉันก็ไม่ได้บอกนายซะหน่อยว่าสงครามที่ฉันทำอยู่น่ะ มันเป็นสงครามที่เกิดขึ้นบนทวีปนี้...อาจจะฟังดูเชื่อยากซักหน่อยนะ แต่สงครามของฉันน่ะ...ไม่ได้เกิดขึ้นบนแผนที่ที่พวกนายมีอยู่ด้วยซ้ำ!! "
คิ้วของเรย์ลาลีนมุ่นลงเล็กน้อยอย่างพยายามย่อยข้อมูลว่าหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าพยายามจะสื่ออะไร ก่อนที่ดวงตาของเขาจะเบิกโพลงพร้อมกับสีหน้าที่ราวกับถูกผีหลอก
" ธ...เธอ...เธอคงไม่ได้หมายความว่า?? "
" ใช่แล้ว...อย่างที่นายคิดนั่นแหละ...ฉันเป็นผู้ที่มาจากหลังเขตแดนสนธยา!! "
...................................................
...เซลโลลอร์...เขตพระราชฐานชั้นใน...
" ด...ได้โปรด...ท่านเซเรย์ลีน ผ...ผมแค่ทำตามคำสั่งของ ด...เดี๋ยว!---อ...อ๊ากกกกก!!! " เสียงร้องอันโหยหวนราวกับสัตว์ที่ถูกเชือดในโรงฆ่าสัตว์ของคาร์ลอส ไวเปอร์เป็นสิ่งสุดท้ายที่ชายหนุ่มผู้ซึ่งได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดหมาดๆ ได้ทำหลังจากที่เขาเดิมพันหมดกองด้วยการใช้ทหารองครักษ์ทั้งหมดโถมเข้าใส่สองชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า แต่มันกลับเหมือนส่งฝูงแมงเม่าบินเข้าใส่กองไฟโดยแท้เพราะผิวหนังที่เต็มไปด้วยเกล็ดของเซเรย์ลีนในร่างกึ่งอสูรสามารถสะท้อนศาสตราวุธของเหล่าทหารองครักษ์ได้ทุกชนิด แถมร่างกึ่งอสูรของเขายังดูไม่มีวันเหน็ดเหนื่อยราวกับเครื่องจักรสังหารไม่มีผิด...โดยที่ราโชลีนแทบไม่ต้องสอดมือเข้ามายุ่ง เซเรย์ลีนก็บดขยี้กองร้อยทหารองครักษ์ทั้งกองร้อยราวกับอีกฝ่ายเป็นเด็กน้อยไม่ประสีประสา ก่อนที่สามัญสำนึกสุดท้ายของคาร์ลอสคือเสียงกะโหลกของตัวเขาเองแตกกระจายด้วยเท้าที่เต็มไปด้วยเกล็ดของเซเรย์ลีน
" ...สู่สุคติเถอะนะ คาร์ลอส... "
" ล...เลิกทำแบบนั้นซะทีได้ไหม! เซฯ ...ไม่ใช่ฉันจะว่าเรื่องที่แกเที่ยวฆ่าใครต่อใครยังกับผักปลาแบบนี้หรอกนะ แต่อย่างน้อยก็ช่วยให้เกียรติคนที่กำลังจะตายบ้างซักนิดก็ยังดี!! " ราโชลีนตะโกนด่าพร้อมทำหน้าผะอืดผะอมเมื่อเดินเข้ามาเห็นผลงานของผู้เป็นน้องชายชัดๆ
" น...หนวกหูจริงเฟ้ย! ฉันไม่มีเวลามาห่วงเรื่องศพไอบ้าที่จะฆ่าฉันพวกนี้จะออกมาสวยหรือไม่สวยหรอกนะ แกลืมแล้วรึไงว่าฉันกำลังรักษาร่างกึ่งอสูรให้คงสภาพอยู่ ถ้าหากฉันลองแบ่งสมาธิมาจัดท่าทางคนตายให้สวยดูสิ...มีหวังฉันถูกมโนสำนึกของร่างอสูรนี่ครอบงำจนเกิดหายนะใหญ่แน่ๆ!! " เซเรย์ลีนที่บัดนี้มีร่างกายเป็นเกล็ดที่เขาเรียกมันว่าร่างกึ่งอสูรลามมาถึงครึ่งร่างเอ่ยตอบกลับไปพลางนิ่วหน้าอย่างเจ็บปวด...เขาไม่เคยใช้ร่างกึ่งอสูรเป็นเวลายาวนานเช่นนี้มาก่อน ภายในหัวของเขาเหมือนกับมีกลุ่มก้อนโทสะอันดำมืดที่พยายามดิ้นรนออกมา "อ...อั้ค! "
" ฮ...เฮ้ย! เป็นอะไรรึเปล่า? " ราโชลีนวิ่งเข้ามาดูน้องชายด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นอีกฝ่ายทรุดลงไปแต่พริบตาเดียวเขาก็เกือบจะต้องนึกเสียใจที่ทำอย่างนั้น
" ฟ่อ!! " เซเรย์ลีนที่อย่างน้อยตอนนี้ดูเหมือนจะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้หันควั่บมาหาเป้าหมายที่ใกล้ที่สุดอย่างราโชลีน พริบตาเดียวกับการคำรามราวกับอสรพิษ กรงเล็บสีดำสนิทยาวเฟื้อยก็พุ่งเข้าใส่จุดตายของราโชลีนอย่างอำมหิต โชคดีที่เซเรย์ลีนกลับเข้าควบคุมสำนึกของตัวเองได้ทันก่อนที่กรงเล็บที่เต็มไปด้วยพิษร้ายแรงของเซเรย์ลีนจะถึงตัวผู้เป็นพี่ชายของเขาเพียงองคุลีเดียว!
" ว...เหวอ?!! " ราโชลีนร้องเสียงหลงพลางกระโดดหนีอย่างขวัญเสียในขณะที่เซเรย์ลีนที่บัดนี้ดูเหมือนได้สติกลับมาอีกครั้งเอามือตบหน้าผากที่เต็มไปด้วยลายปานดำที่เต้นระริกของตัวเองอย่างแรงพลางสบถพึมพำ
" อ...อึ้ก...บ้าเอ้ย! เกือบไปแล้วไหมล่ะ " เซเรย์ลีนพยายามสูดหายใจเข้าให้่ลึกที่สุดโดยหวังให้มันช่วยให้เขาควบคุมตัวเองได้มากขึ้นไม่มากก็น้อย...เท่าที่จำได้ นับตั้งแต่รู้ถึงการมีอยู่ของความสามารถกลายร่างเป็น ร่างกึ่งอสูร เมื่อหลายปีก่อน เขายังไม่เคยอยู่ในร่างกึ่งอสูรนานเท่านี้มาก่อนเลย...ความอ่อนล้าของจิตใจกำลังโจมตีชายหนุ่มอย่างหนัก ถ้าเขา หลุด อีกเพียงครั้งเดียวงานนี้มีหวังเขาได้กลายเป็น อสูร ของจริงแบบกู่ไม่กลับโดยสมบูรณ์แน่
" ไอ้คนที่ต้องพูดประโยคนี้มันควรจะเป็นฉันต่างหากเฟ้ย!! ถ้าเมื่อกี๊แกหยุดมือไม่ทันฉันได้ไปเยี่ยมยมโลกก่อนวัยอันควรแน่!! " ผู้เป็นพี่ชายที่เหมือนพึ่งแหย่เท้าด้านนึงไปจุ่มแม่น้ำยมโลกโวยลั่น
" น่าๆ ของแบบนี้มันพลาดกันได้...แถมถึงจะโดนไปบ้างแผลที่คอก็ไกลหัวใจ ไม่ถึงกับม่องหรอก "
" ไปเอาความคิดผิดๆ นี้มาจากไหนฟะ?!! ...ฮ...ฮึ่ม! ช่างเถอะ เราจะคุยเรื่องนี้กันทีหลัง ...เอาล่ะ พวกเราเข้ามาถึงเขตพระราชฐานชั้นในโดยปลอดภัย...ซึ่งแปลว่าเราผ่านส่วนยากปานกลางมาแล้ว จากนี้ไปจะเป็นส่วนที่ยากที่สุดเพราะตลอดเวลาจากในคุกจนถึงบัดนี้ฉันก็ยังไม่แน่ใจว่าในหัวของมิลิรินในตอนนี้คิดอะไรอยู่... " ราโชลีนกล่าวเรียบๆ ...ใช่ว่าเขาไม่ตกใจกับเรื่องคอขาดบาดตายที่เกิดขึ้น แต่ข้อดีของเขาคือการลำดับความสำคัญของเรื่องต่างๆ ...ซึ่งความสำคัญระดับสูงสุดในตอนนี้...คือเรื่องของมิลิรินและราชาคาริออส
" จะคิดอะไรอยู่?...นายก็เห็นๆ อยู่แล้วว่าในหัวของเจ้าหล่อนมีแค่ เรย์ลาลีน เรย์ลาลีน แล้วก็ เรย์ลาลีน เท่านั้น และหล่อนก็ทำได้แม้กระทั่งปล่อยให้พวกเราตายอย่างเลือดเย็นเพื่อให้ตัวเองสมปรารถนา " เซเรย์ลีนสรุปแกมประชดเรียบๆ พลางนั่งพักที่ม้าหินใกล้ๆ และพยายามยกเลิกความสามารถของร่างกึ่งอสูรของเขา...นอกจากซากของกองร้อยทหารราชองครักษ์ที่เขาพึ่งปราบไปด้วยตัวคนเดียวแล้ว ในรัศมี 10 กิโลเมตรนี้ก็ไม่มีกองทหารภายใต้สังกัดเซลโลลอร์ใดๆ เหลืออยู่อีกแม้แต่คนเดียว ซึ่งในความคิดของเขาแล้วมันถือว่าปลอดภัยพอสมควร...หรือถ้าจะให้บอกตรงๆ สิ่งเดียวในรัศมี 10 กม. ที่เป็นอันตรายต่อราโชลีนได้ก็คงจะเป็นตัวของเซเรย์ลีนเองนี่แหละ
ราโชลีนลูบคางอย่างครุ่นคิดก่อนที่ในที่สุดจะส่ายหน้าเบาๆ
" ไม่น่าเป็นไปได้...ในหมู่พี่น้องเราทั้ง 3 คนฉันเป็นคนที่รับใช้ใกล้ชิดรินฯ มากที่สุด...ฉันรู้ดีเกินพอว่ารินฯ ไม่ได้เป็นแค่ ดวงใจแห่งเซลโลลอร์ อย่างที่ทุกคนคิด...รินฯ เป็นอัจฉริยะในด้านบุ๋นที่แม้แต่ฉันเองยังต้องยอมรับ...และระดับของการควบคุมอารมณ์ของเธอก็มีอยู่สูงจนฉันเทียบไม่ติด...จริงอยู่ที่มันจะทำให้ดูเหมือนเป็นพวกเก็บความรู้สึกหรืออาจลามไปถึงพวกเก็บกด...แต่--- "
" ขอร้องล่ะ ราโชฯ ...ฉันพึ่งรอดจากการเกือบจะถูก อสูร ในหัวของฉันครอบงำมานะ...ฉันสัญญาว่าฉันจะยอมให้นายเปิดเลคเชอร์แบบฟูลคอร์สว่าด้วยการพูดน้ำท่วมทุ่งของนายแน่ในวันหลัง แต่ตอนนี้ช่วยสรุปให้มันสั้นกว่าปกติซักหน่อยได้ไหม? " เซเรย์ลีนกุมเส้นเลือดที่เต้นตุบๆ อยู่บนขมับพลางขอร้องเบาๆ ...ขนาดตอนปกติเขายังต้องใช้เวลาย่อยข้อมูลจากปากของพี่ชายอยู่ตั้งนานเพราะงั้นไม่ต้องพูดถึงตอนที่สมองเขายังไม่เข้าที่เข้าทางอย่างตอนนี้เลย
" ...ฉันกำลังจะบอกนายว่าต่อให้อยู่ในภาวะซึมเศร้าแค่ไหน รินฯ ก็ไม่น่าจะทำอะไรโง่ๆ อย่างนี้ในรูปแบบการตัดสินใจแบบชั่ววูบ...ถึงจะบวกสภาวะแปรผันอย่างรุนแรงทางอารมณ์จากการตื่นของ พลังจิต ของเธอก็ตาม " ราโชลีนพยายามสรุปให้เข้าใจง่ายที่สุดสำหรับไอ้บ้าบางคนแถวนี้
" นายกำลังต้องการจะบอกอะไรกันแน่? ราโชฯ ...จะบอกฉันว่ามีเหตุผลอะไรมากกว่าความรักแบบโคตรหลอนของน้องสาวของพวกเราที่ทำให้ยัยนั่นทำเรื่องแบบนี้อีกงั้นเหรอ...นายก็เห็นมาพอๆ กับฉันว่ารินฯ ทำอะไรได้บ้างเพื่อที่จะให้ไอ้บ้าเรย์ฯ กลับมาหาเธอ...แม้จะกลับมาแบบสภาพไร้ลมหายใจก็ตาม "
" เลิกพูดกระแนะกระแหนแนวประชดประชันซะทีเถอะน่า พวกเราเหลือเวลาอีกไม่มากนะ...อีกอย่างนึงฉันกำลังจะบอกนายว่าฉันไม่ได้คิดว่าปริศนาของเรื่องนี้เริ่มต้นด้วยคำถามว่า อะไร? ...แต่ต้องเริ่มด้วยคำว่า ใคร? ต่างหาก " ราโชลีนกล่าวเรียบๆ ...อย่างที่เขาได้กล่าวไปแล้วว่าเขารู้จักมิลิรินดีเกินพอ...
...ในหนังสือเกี่ยวกับ ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ (Psychoanalytic theory) ซึ่งเป็นหนึ่งในหนังสือเล่มโปรดของเขา ดร.ซิกมันด์ ฟรอยด์ ผู้เป็นเจ้าของทฤษฎีกล่าวถึงจิตของมนุษย์ว่าแบ่งโครงสร้างออกเป็น 3 ส่วนคือ Id หรือจิตไร้สำนึกซึ่งเป็นส่วนของแรงปรารถนาดั้งเดิมในใจ Superego หรือส่วนของมโนธรรม โดยมี Ego เป็นส่วนประนีประนอมระหว่าง Id กับ Superego ซึ่งเป็นส่วนที่มนุษย์แสดงออกมาจนกลายเป็น บุคลิกภาพ (ตอนที่เขาพยายามสอนเรื่องนี้กับเซเรย์ลีน เซเรย์ลีนถึงกับขอลาพักร้อนหนีไปเที่ยวเกาะทองคำเกือบเดือนทีเดียว)...
...จากที่กล่าวไปแล้ว ราโชลีนเชื่ออย่างไม่มีข้อกังขาว่าต่อให้อยู่ในสภาวะซึมเศร้าหรือการแปรปรวนทางอารมณ์จากการการตื่นของพลังจิตแค่ไหน มิลิรินที่เขารู้จักก็ไม่มีทางปล่อยให้จิตไร้สำนึก (Id) เข้าครอบงำบุคลิกภาพ (Ego) หรือเอาชนะมโนธรรมภายในจิตใจ (Superego) ของเธอได้แน่นอน...เพราะฉะนั้นมันมีคำอธิบายอย่างเดียวสำหรับคำตอบของปริศนานี้...
...ต้องมี ใคร บางคนเป่าหูน้องสาวผู้ฉลาดหลักแหลมทว่าอ่อนต่อโลกของเขาและจัดฉากสร้างหายนะเหล่านี้แน่ๆ...
แปะ ...แปะ ...แปะ ...แปะ ...แปะ ...
เสียงปรบมืออย่างช้าๆ ที่ดังขึ้นด้านหลังของพวกเขาทำเอาราโชลีนที่กำลังใช้ความคิดอยู่สะดุ้งสุดตัวในขณะที่เซเรย์ลีนพุ่งหมุนตัวกลับไปด้วยท่าทีเตรียมพร้อมขั้นสูงสุด เพราะการหยั่งสำนึกของเขาบอกเขาว่าในรัศมี 300 เมตรรอบตัวไม่มีร่องรอยของสิ่งมีชีวิต ซึ่งถ้าหากเขาไม่เหน็ดเหนื่อยจนเสียสมาธิและผิดพลาดมันก็แปลว่าใครก็ตามที่ปรบมือนั่นมีพลังมากพอๆ กับเขาหรืออาจจะมากกว่าเขาด้วยซ้ำ
ใช่ว่าเซเรย์ลีนจะเป็นคนถ่อมตนไม่เป็นนะ แต่เขานึกไม่ออกจริงๆ ว่าจะมีใครมีพลังมากกว่า มังกรดำ หรือที่ศัตรูรู้จักในอีกฉายาว่า สัตว์ประหลาดเดินได้ อย่างเขาได้อีก
" ก่อนหน้านี้...มิลิรินเคยบอกกับฉันว่าถ้าหากเรื่องนี้จะมีใครซักคนฉุกคิดขึ้นมาได้ ราโชลีน นีโอ คอบร้า จะเป็นคนแรก...ให้ตาย...ถ้าเกิดเผลอไปท้าพนันเข้ามีหวังฉันได้หมดตัวแน่ " ผู้ที่ออกมาจากเงาพุ่มไม้กล่าวขึ้นเบาๆ ด้วยน้ำเสียงขี้เล่น...เธอเป็นหญิงสาวที่คะเนอายุจากหน้าตาน่าจะแก่กว่าพวกเขามากน้อยไม่เกิน 2 ปี เส้นผมตรงสีเงินยวงยาวถึงกลางหลังรับกันได้ดีกับแววตาสีน้ำเงินเข้มแวววาวและไฝเสน่ห์เล็กๆ เหนือริมฝีปากสีชมพูใสทำให้เธอดูโดดเด่นต่อให้อยู่ท่ามกลางผู้คน เธอใส่ชุดสีเข้มคลุมด้วยเสื้อกาวด์เหมือนชุดทำงานในห้องแล็ปซึ่งดูๆ ไปแล้วให้ความรู้สึกเหมือนหญิงสาวแก่เรียนมากกว่าผู้ที่มีพลังพอที่จะสามารถหลบรอดสัมผัสของเซเรย์ลีนได้
" เอ่อ...ขอโทษนะ...แต่คุณเป็นใครกัน? " ราโชลีนลองหยั่งเสียงถามไปด้วยสีหน้าราวกับใส่หน้ากากแต่น้องชายของเขากลับมีสีหน้าที่ต่างออกไป ดวงตาสีสนิมเหล็กของเซเรย์ลีนเบิกกว้าง ตัวสั่นน้อยๆ หน้าซีดขาวราวกับถูกผีหลอก!
...ถึงเขาจะไม่อยากเชื่อในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น แต่ในขณะนี้ร่างกายและสัญชาติญาณของเขากำลังกรีดร้องดังลั่นในสิ่งที่เขาไม่เคยรู้สึกหรือแม้แต่อยู่ในหัวมาก่อนเลยในชีวิต...
...หนี !! ...หันหลังกลับ และหนีไปให้ไกลจากหญิงสาวตรงนี้ให้มากที่สุด !! ...
" โอ้ว...ขออภัยด้วยที่ฉันเสียมารยาท ...งั้นขออนุญาตแนะนำตัวเลยนะ ...ฉันชื่อ ลูน่า ...ศาสตราจารย์ดอกเตอร์ ลูน่า ซิลเวอร์เรนน์ ...ผู้ที่เป็นเจ้าของโครงการ NS (NeoSoidiers) 7 ...อ้อ! ...ที่ลืมไม่ได้เลย ...ราโชลีน ...ฉันเป็นเจ้าของสายเลือดกึ่งหนึ่งที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของนายยังไงล่ะ !!!! "
.....................................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.1 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.6 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ