CatWalk “กูจะดังให้มึงจำ”
9.8
เขียนโดย nooonaa
วันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เวลา 22.54 น.
35 ตอน
17 วิจารณ์
57.29K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2556 23.03 น. โดย เจ้าของนิยาย
34) Catwalk 32 : เพราะรักมากเกินไป
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความBy nooonaa
Catwalk 32 : เพราะรักมากเกินไป
+น้องหมาเล็ก+
มันคงไม่มีอะไรใช่มั้ย...มันคงมีแต่ความสุขจริงๆแล้วใช่มั้ย
"เฮ้!!" เสียงสองหนุ่งประสานกันลั่นเมื่อลูกกลมๆในทีวีถูกเตะเข้าประตู ก่อนเสียงขวดแก้วจะกระแทกกันดังกิก
กิก
"หนึ่งต่อศูนย์แล้ว! ฮ่าๆ" คราวนี้เป็นเสียงของพ่อที่ดูจะดีใจสุดๆก่อนไอ้ทิวจะหัวเราะตามอีก
นี่ไง...ที่ผมบอกว่า มันคงจะมีแต่ความสุขแล้วจริงๆ
ขอบคุณนะครับพ่อที่เข้าใจผม
ถึงแม้จะรู้สึกแปลกๆที่อยู่ๆพวกท่านก็โทรเรียกพวกผทกลับ ตอนนั้นเล่นเอาเครียดจนแทบทำงานไม่ได้ ก็เลยต้องหันไปอ้อนไอ้ทิวแก้เครียด แล้วยิ่งมาเจอพี่ๆนางแบบแอบจิกกัดเหมือนในละครน้ำเน่าก็ยิ่งเซ็ง ตกลงชีวิตผมกะจะให้เจอทุกอย่างเลยใช่มั้ยเนี่ย
แต่พอได้ยินคำชวนให้ไอ้ทิวดูบอลเป็นเพื่อน มันก็เล่นเอาผมแทบหุบยิ้มไม่ลง แล้วก็ดูเหมือนพวกท่านจะเอ็นดูมันมากเหมือนกัน แต่ผมเองก็อยากรู้ว่าทำไมพ่อถึงยอมรับเรื่องนี้ง่ายๆ ทั้งๆที่มันไม่ใช่เรื่องดีสำหรับคนที่มีลูกชายสักเท่าไหร่ แถมยังไม่ขอฟังคำอธิบายจากผมอีก นั่นแหละที่ผมงง
ถึงแม้ว่าพวกท่านจะเป็นอาจารย์เลยอาจจะเจอลูกศิษย์ที่มีแนวโน้มเบี่ยงเบน แต่นี่ผมเป็นลูกชายพวกท่านแท้ๆนะ แล้วทำไมเรื่องถึงเงียบ
นี่ตกลง...เข้าใจผมจริงๆงั้นสิ
"สะใจจริงๆ แล้วนี่เล่นบอลป่าวไอ้ลูกชาย" อยู่ๆพ่อก็สะกิดถามไอ้ทิวที่นั่งข้างๆผม มันก็ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบเหมือนไม่ได้คิดอะไร
"เล่นสิครับ แต่เล่นช่วงแมทใหญ่ๆนะครับ แมทเล็กๆเสียดายตัง"
หือ...ตรงมากแฟนกู มึงเคยคิดมั้ยว่าพ่อกูเป็นอาจารย์ แล้วเขาจะไม่ชอบเด็กเลวๆอย่างมึงเนี่ย
นี่หมาผมเป็นคนดีหรือตกลงแล้วมันโง่กันแน่อะ...เห้อ
"เออเว้ย นายก็ตรงดีแหะ" แต่พ่อกลับไม่ว่าอะไรมันก่อนท่านจะยิ้มอย่างขำๆ โดยที่มันเองก็ทำเป็นยิ้มกว้างแล้วยกขวดเบียร์ดื่มต่อ
นี่อย่าบอกนะว่าพ่อชอบมันจริวๆอะ...จริงดิ นี่ผมดีใจนะ
"แล้วตอนนี้ทำงานหรือเรียนอยู่" พ่อก็ยังคงถามคำถามต่อโดยที่ไอ้ทิวมันเองก็คงรู้ว่ามันต้องหันมาคุยกับพ่อเขาแบบจริงๆจังๆสักที มันเลยวางขวดเบียร์ลงก่อนจะตอบคำถามนั้นแบบสบายๆ
"เรียนอยู่ครับ ผมเรียนศิลปกรรมด้านออกแบบดีไซน์เนอร์ครับ อีกไม่ถึงเดือนผมก็จะจบแล้ว"
จะจบแล้วหรอเนี่ย...กูยังไม่เคยเห็นมึงจะไปเรียนเลยเถอะ มึงโม้ป่าววะ
"แล้วคิดว่าต้องทำยังไงกับอนาคตตัวเองต่อ" ผมฟังคำถามพ่อที่ถามทันทีเมท่ออีกคนตอบเสร็จ เหมือนกับว่าท่านอยากจะสวบสวนก่อนจะยกลูกสาวสุดรักสุดหวงให้ แต่พ่อครับ...ผมเป็นผู้ชายนะ!
"ผมอยากทำงานตามที่ตัวเองชอบก่อนครับ แล้วค่อยไปช่วยป๊าทำงานต่อ" แล้งงานอะไรที่มันชอบอะ ผมอยู่กับมันก็ไม่เคยเห็นมันทำอะไร นอกจากแวะไปห้องเสื้อไม่กี่ชั่วโมง นอกจากนั้นก็มานั่งงมผมอยู่ที่ห้อง
แล้วอะไรที่มันคิดจะทำกันนะ
"งานที่ตัวเองชอบคืออะไรงั้นหรอ"
"ผมอยากสร้างแบรนด์ห้องเสื้อของตัวเองให้ประสบความสำเร็จก่อนครับ แบบตามที่ฝันไว้"
อ้อ...ที่พี่กันย์เคยบอกว่าแบรนด์ห้องเสื้อมันกำลังจะโกอินเตอร์อะนะ นี่แฟนผมเก่งขนาดนี้เลยหรอเนี่ย
"แล้วตอนนี้มันใกล้จะประสบความสำเร็จรึยังล่ะ" พ่อผมนี่ก็อยากรู้จริงอยากรู้จังเลยนะ แต่ผมก็ทำได้แค่นั่งฟังพวกเขาคุยกันก่อนที่ตัวเองจะคว้าขนมขึ้นมากิน
"ตอนนี้ก็ถือว่ามันเป็นไปตามเป้าที่วางไว้แล้วครับ แต่ยังไม่เป็นไปตามเป้าที่ตั้งขึ้นใหม่"
"หมายความว่าไง"
"เมื่อสองเดือนก่อนพวกเราวางแผนจะเปิดตลาดแถบเอเซีย ซึ่งมันก็ประสบความสำเร็จเกินคาด ส่วนเป้าหมายใหม่เราที่วางไว้ก็คือ...catwalk ที่ปารีสครับ"
CATWALK
ทำไมพอฟังคำนี้แล้วรู้สึกยิ่งใหญ่ชะมัด
"แล้วคิดว่ามันจะอีกนานมั้ย ที่จะประสบความสำเร็จ"
"น่าจะอีกปีกว่าๆแหละครับ เพราะพวกเราต้องทำฐานทางฝั่งเอเชียให้แน่นก่อน"
ตามตรงเลยนะ ผมไม่เคยเห็นมุมจริงจังแบบนี้จากไอ้ทิวสักเท่าไหร่ นี่ใช่มั้ยที่เรียกว่าเสือซ่อนเล็บ พอถึงเวลามันก็เผยอำนาจของมันออกมาเอง ถึงแม้ว่าเวลาปกติจะเหมือนไม่เอาอ่าว แต่ก็ถือว่ามันประสบความสำเร็จและก้าวข้ามเด็กวัยเดียวกันไปไกลแล้ว
ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกได้ทันที...ว่าหมาใหญ่ของผมเท่ห์จัง
"แล้วความสัมพันธ์ระหว่างนายกับลูกชายฉัน มันต้องเรียกแบบไหน"
อึก!
อยู่ๆท่านก็ถามคำถามที่ดูจะคนละเรื่องออกมา เล่นเอาผมหันไปทางเจ้าของเสียงขวับอย่างตกใจ โดยที่ไอ้ทิวก็คงไม่ต่างจากผม เพราะมันเองก็นิ่งเงียบไปนานเหมือนกัน
นี่พ่อต้องการสื่ออะไรกันแน่
"เงียบทำไมละ ตอบมาสิ"
"พ่อครับ ทำไมถามแบบนั้นอะ" ผมเลยพยายามเปลี่ยนเรื่องแต่พ่อกลับสั่งผมเสียงเรียบ
"แวน...ไปเอาเบียร์ให้พ่ออีกขวดหน่อยสิ"
อะไรนะ ทำไมต้องให้ผมออกไปจากห้องนี้ตอนที่กำลังคุยเรื่องสำคัญกันอยู่ นี่ตกลงพ่อเข้าใจพวกผมรึป่าว
"พ่อครับ..."
"แวน ไม่ได้ยินที่พ่อสั่งหรอ ไปเอาเบียร์ให้พ่ออีกขวดสิ"
อึก
"ครับ" ผมเลยจำใจต้องลุกออกจากตรงนั้นแล้วเดินไปหยิบเบียร์ที่ห้องครัว แต่พอผมเดินกลับมา ห้องนั่งเล่นที่ผมเคยนั่งก็ถูกปิดล็อกด้วยกระจกบานเลื่อนทำให้ผมไม่สามารถได้ยินเสียงข้างในเลยสักนิด ทำได้แค่เห็นไอ้ทิวกำลังคุยกับพ่อด้วยสีหน้าที่ดูเครียดสุดๆ
ไอ้ทิว...อย่ายอมแพ้นะ
ผมเฝ้ามองสองคนนั้นอยู่นานแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ก่อนจะมือมือเล็กมาวางบนไหล่ผมแล้วบีบเบาๆ ผมหันไปมองก็เจอแม่กำลังยืนดูสองคนนั่นเหมือนกัน ผมเลยรีบถามท่านเพื่อคลายกังวลที่มีอยู่ตอนนี้
"พ่อเขาคิดจะทำอะไรอะแม่ ผมใจไม่ดีเลย"
"พ่อน่ะหรอ...นั่นสินะ คิดจะทำอะไรกันนะ" เอ๊ะ...ทำไมถึงตอบยียวนแบบนั้น
"นี่แม่รู้อะไรใช่มั้ยครับ ตกลงพ่อกับแม่ไม่ได้คิดจะยอมรับพวกผมใช่มั้ย" ทำไมผมถึงรู้สึกเจ็บจีี๊ดที่หัวใจทันทีที่คิดแบบนั้น ตกลงแล้วที่ผมคิดว่าพวกท่านยอมรับมันก็แค่การแสดงฉากๆหนึ่งเพื่อให้ผมตายใจใช่มั้ย
"ปากร้ายจังน้องแวน พูดแบบนั้นเหมือนไม่รู้จักพ่อกับแม่" เสียงแม่เขาเริ่มนิ่งไม่มีความรู้สึกว่าใจดีเลยสักนิด ผมเลยก้มหน้าลงชิดออกก่อนจะเอ่ยคำขอโทษออกมา
"ผมขอโทษครับ ผมแค่กลัวว่าพ่อกับแม่จะขัดขวางพวกเรา"
ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วผมจะทำยังไง ผมคงต้องมานั่งร้องไห้อีกครั้งใช่มั้ย
"เสียใจหรอ" มือเล็กดึงหน้าผมให้หันไปสบตากันก่อนมืออีกข้างจะทาบเข้ากับแก้ม ผมมองตาท่านแล้วรู้สึกโหวงแปลกๆ เหมือนกับท่านเองก็เครียดอะไรบางอย่าง
"แม่ละครับ...เสียใจมั้ยที่ผมเป็นแบบนี้" ที่ผมมีแฟนเป็นผู้ชายเหมือนกัน
"เสียใจสิ เพราะพ่อกับแม่อยากมีหลาน" สะอึกเลยครับ คำพูดประโยคนี้มันจุกอยู่ที่คอ แล้วเหมือนจะลามลงไปที่หัวใจ มันบีบรัดอย่างแรงจนผมอยากจะหายไปจากตรงนั้นให้ได้ ท่านจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจกับลูกชายเลวๆอย่างผม
"ขอ ขอโทษครับ ผมขอโทษ" ผมดึงร่างบางตรงหน้าเข้าหาอ้อมกอดก่อนจะซบไหล่บางนั้นแน่น ผมไม่รู้จะทำยังไงกับความเสียใจนี้แล้วจริงๆ ผมไม่อยากจะให้ท่านเสียใจ
"น้องแวน...เรื่องมันเกิดขึ้นไปแล้ว พ่อกับแม่ก็เสียใจไปแล้ว ยังไงมันก็ไม่กลับมาหรอก ความรู้สึกดีๆก่อนหน้านั้นน่ะ"
"แม่ครับ...." ไม่ไหวแล้วจริงๆ ผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหวแล้ว ผมรู้สึกเจ็บปวดแทนพวกท่านจริงๆ
ขอโทษครับ ผมร้องไห้อยู่บนไหล่บางนั้นอยู่นานโดยมีฝ่ามือเล็กคอยลูบปลอบ แต่ท่านก็ไม่ได้พูดอะไรกับผม ท่านปล่อยให้ผมร้องไห้อยู่อย่างนั้นก่อนเสียงปลดล็อกประตูจะดังขึ้น
บ๊อก
ผมรีบผละออกจากไหล่แม่แล้วหันไปมองทางต้นเสียง ก่อนจะเห็นร่างสูงที่คุ้นตาเดินออกมาพร้อมกับสีหน้าที่เปลี่ยนไปจากเดิมมาก มันดูเครียดและอ่อนล้าเต็มทน ผมเลยรีบชะเง้อไปมองพ่อที่ยืนอยู่ด้านหลังก่อนท่านจะหันหน้าหนีไปอีกทาง
นี่มันหมายความว่ายังไงกัน
"ไอ้ทิว...มึงคุยอะไรกับพ่อ" ผมรีบถามเจ้าตัวก่อนจะกุมมือหนาไว้แน่น
"ไม่ได้คุยอะไรนี่" ตอบแบบนั้นได้ยังไง ในเมื่อกูเห็นกับตาว่ามึงคุยกับพ่อกูอยู่ นี่มึงคิดจะปิดอะไรกูวะ
"ไอ้ทิว บอกกูมา" ผมกดเสียงต่ำจนอีกคนต้องดึงผมให้เดินออกห่างจากตรงนั้น พอลับตาผู้ใหญ่มันก็ดึงผมเข้าไปกอดทันที
"เห้อ...กูเหนื่อยจังมึง กูเหนื่อยจริงๆ"
อะ อะไรวะ ทำไมมึงพูดแบบนั้น
"มึงพูดแบบนั้น...คงไม่คิดจะทิ้งกูไปนะ" ได้โปรดเถอะ มึงอย่าคิดแบบนั้นเชียวนะ อย่าทิ้งให้กูต้องอยู่คนเดียว อย่าทิ้งให้กูต้องคิดถึงมึง
แต่อีกคนกลับไม่ตอบ มันดันตัวผมออกก่อนจะเกี่ยแก้มผมเบาๆอย่างที่ชอบทำ แล้วอยู่ๆรอยยิ้มสวยก็เผยออกมาเมื่อมันเอาแต่จ้องตาผม ไม่นานริมฝีปากหนักๆก็กดทับลงมาช้าๆแต่ดูจืดชืดมาก
แปลกๆ ทำไมมันดูเป็นจูบที่เศร้าขนาดนี้
"ไอ้ทิว...มันเกิดอะไรขึ้น มึงบอกกูมาสิ อย่าทำแบบนี้" พอริมฝีปากบางถอนออก ผมก็เอ่ยถามทันที แต่มันก็ยังคงใช้ความเงียบควบคุมทุกอย่าง แล้วนั่นก็ทำให้ผมแทบจะหยุดหายใจ
มีอุปสรรคอีกแล้วใช่มั้ย...ความรักครั้งนี้
"น้องแวน...เข้าบ้านได้แล้ว" แต่แล้วแม่ก็ออกมาเรียกให้ผมเข้าบ้าน ผมหันไปมองท่านที่ยืนอยู่ตรงประตูก่อนจะหันกลับมาหาอีกคน มันเองก็เอาแต่มองหน้าผมอยู่อย่างนั้นเหมือนไม่คิดจะสนใจใครอีด จนเสียงนุ่มเริ่มเปล่งออกมาพร้อมความสั่น
"กูกลับก่อนนะ"
กลับ!
"กะ กลับไปไหน ทำไมต้องกลับ วันนี้จะนอนที่นี่ไม่ใช่หรอ" นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย ผมชักจะทนไม่ไหวแล้วนะ
"กูต้องกลับไปทำงานน่ะ คืนนี้ก็นอนที่บ้านไปก่อนนะ เดี๋ยวกูจะมารับมึงนะ" งาน! กูอยู่กับมึงมาตั้งสองเดือนกูยังไม่เคยเห็นมึงทำงานสักครั้ง อล้วทำไมต้องมามีงานในวันนี้ด้วย มึงกำลังคิดจะโกหกกูไปถึงเมื่อไหร่วะ
"เดี๋ยวกูกลับมารับจริงๆ" มันคงรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่ เลยย้ำให้ผมสบายใจ
จะมารับงั้นหรอ...นี่คือสัญญาใช่มั้ย
"จริงนะ มึงไม่ได้โกหกใช่มั้ย" ผมถามเพื่อความมั่นใจก่อนที่ใบหน้าหล่อจะพยักหน้ารับ
"อืม แล้วเจอกันนะ" แล้วมันก็ค่อยๆก้มลงมาหอมแก้มผมซ้ำๆอยู่หลายครั้งก่อนจะยอมหยุดเมื่อมีเสียงหึมในลำคอดังขัดขึ้น มันเลยเงยหน้าหันไปมองพ่อกับแม่ที่มองอยู่แล้วยกมือไหว้พวกท่าน
"ผมลาละครับ"
จะไปจริงๆหรอ
"...."
"ขับรถดีๆนะน้องทิว" มีเพียงแต่แม่เท่านั้นที่รับคำลาก่อนร่างสูงจะค่อยๆเดินออกจากประตูรั้วไป ผมเองก็ทำได้แค่มองตามจนรถมินิสีแดงจะหายลับไปกับตา แล้วมันก็มาพร้อมกับสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจ
"เข้าบ้านเถอะน้องแวน เดี๋ยวเป็นหวัดเอานะ" แม่เรียกผมอีกครั้งก่อนผมจะยอมเดินตามพวกท่านไป ถึงแม้ว่าใจผมอยากจะถามเรื่องทั้งหมดจนใจจะขาด แต่ผมก็รู้สึกผิดมากพอที่จะถาม เพราะผมแท้ๆที่ทำเรื่องนี้เกิด ดังนั้นผมจึงไม่ควรโยนความผิดไปที่ใครทั้งนั้น
ผมเดินเข้าไปในห้องตัวเองด้วยความรู้สึกที่ตีรวน เพียงแค่คืนนี้ผมจะไม่ได้นอนกับมันผมก็รู้สึกแย่สุดๆ จนตอนนี้หัวใจผมกำลังทะเลาะกันเพื่อหาข้อสรุป ระหว่างจะทนอยู่ที่นี่หรือจะหนีไปหาอีกคนดี
ถ้าผมเลือกอย่างหลัง ทุกคนจะเสียใจเพิ่มขึ้นมั้ย
ติ้ง!
แต่แล้วเสียงข้อความในโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้น ผมเลยรีบคว้ามันขึ้นมาดูก่อนจะพบว่าคนที่ผมกำลังคิดถึงนั้นเป็นคนส่งมา
'กูรักมึงมากๆนะ หมาเล็ก'
"กูก็รักมึงมากๆเหมือนกัน หมาใหญ่" ผมเผลอพูดตอบประโยคนั้นเหมือนกับอีกคนกำลังนอนกอดอยู่ข้างๆผม ถึงมันจะไม่ใช่เรื่องจริงแต่ก็ทำให้ผมคิดว่าตัวเองสามารถที่จะนอนคนเดียวในคืนนี้ได้ ผมเลยส่งข้อความตอบกับพร้อมกับกดจูบลงบนหน้าจอมือถือตัวเองเพื่อที่จะฝากมันไปหาอีกคน
'ผมรักพี่นะครับ...พี่ทิว'
เช้าวันรุ่งขึ้นผมก็รีบแต่งตัวเพื่อรออีกคนที่จะมารับ ก่อนจะลงไปกินข้าวเช้าเมื่อแม่ขึ้นมาเรียก พอลงมาถึงผมก็เห็นพ่อกับแม่กำลังนั่งรอผมอยู่โดยที่พ่อนั้นกำลังอ่านหนังสือพิมพ์เหมือนที่ทำประจำ ผมเลยเดินไปหอมแก้มแม่เหมือนทุกครั้งก่อนจะกลับมานั่งที่ตัวเอง
"นานเท่าไหร่แล้วเนี่ย ที่เราสามคนพ่อแม่ลูกไม่ได้กินข้าวเช้าพร้อมหน้าพร้อมตากันแบบนี้" เสียงแม่ดูดีใจมากเลยครับที่มีวันนี้ ผมเองก็อดยิ้มไม่ได้ก่อนจะตักข้าวสวยร้อนๆใส่จานพ่อและตามด้วยจานของแม่
"งั้นทานเยอะๆนะครับ"
"จ๊ะ/อืม" พ่อกับแม่รับคำผมก่อนที่มือใหญ่จะวางหนังสือพิมพ์ลง ธรรมดาพ่อผมใจดีนะ แล้วก็ไม่ค่อยเงียบแบบนี้ด้วย แล้วทำไมวันนี้ดูแปลกๆ
หรือว่าท่านจะโกรธผมจริงๆ
"พ่อครับ พ่อยังไม่หายโกรธผมหรอ" ผมรีบตักไข่เจียวหมูสับของโปรดท่านแล้วอ้อนเสียงหวาน ท่านเลยเหล่มองผมเล็กน้อยแต่ก็ไม่พูดอะไร แต่ผมเห็นนะ ไอ้แก้มแดงๆทั้งสองข้างนั่นน่ะ แสดงว่าไม่ได้โกรธถึงจะมีท่าทีแบบนั้นก็เถอะ
ยังไงก็รักสินะ...โกรธกันไม่ลงใช่มั้ย
"แหม แล้วแม่ละน้องแวน แม่ก็อยากกินไข่เจียวนะ" แล้วเสียงน้อยใจก็ดังตามมาทันที ผมเลยรีบตักมันให้ก่อนที่ทุกอย่างจะเหมือนหยุดนิ่ง เมือเสียงทุ้มเอ่ยขัดขึ้นกลางโต๊ะอาหาร
"พ่อจะให้เราไปเรียนต่อที่ออสเตรเลียอาทิตย์หน้า ไปอยู่กับเพื่อนพ่อที่นั่น"
อาทิตย์หน้า!!
"อะไรนะครับ!" ผมถามกลับด้วยความตกใจก่อนจะมองหน้าแม่เพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ท่านกลับหลบตาผมแล้วนิ่งเงียบ
"ไม่ต้องถามมาก ไปเรียนที่นู้นซะ แล้วก็เลิกเป็นนายแบบไปเลย" จะบ้าหรอ นั่นมันชีวิตผมนะ ถึงผมจะไม่ได้อยากจะทำมัน แต่ผมก็รักที่จะทำมันนะ แล้วที่สำคัญ...คนรักของผมก็อยู่ที่นี่
"แต่ผมไม่อยากไปนี่ครับ"
"พ่อบอกอะไรก็ทำตามซะ คราวนี้มันก็ควรถึงเวลาที่แวนจะต้องทำตามคำสั่งพ่อได้แล้ว ในเมื่อพ่อเองก็ยอมให้แวนไปเป็นนายแบบเหมือนกัน"
นี่กะจะเอาเรื่องนั้นมาต่อรองกับผมงั้นสิ แต่ผมจะไม่มีทางยอมง่ายๆแน่
"แต่ผมยังเรียนไม่จบเลยนะครับ"
"มันเหลือแค่สองสามอาทิตย์แวนก็จะจบ เดี๋ยวทำเรื่องจบให้แล้วก็ไปเรียนต่อที่นั่นเลย" นี่พ่อคิดไว้นานแล้วใช่มั้ย ถึงได้พูดเหมือนมีนง่ายดายขนาดนั้น แล้วที่พ่อทำเมื่อวานนี่มันหมายความว่ายังไง
"พ่อไม่อยากให้ผมกับพี่ทิวคบกันใช่มั้ยครับ" เอามันตรงๆนี่แหละ ผมอยากรู้เหตุผล แล้วจะได้ไม่ต้องมาอ้างเรื่องอื่นให้เสียความรู้สึก
"ใช่ พวกแกเป็นผู้ชายทั้งคู่ มันทำให้ความน่าเชื่อถือในหน้าที่การงานของพ่อกับแม่เสียหายไปด้วย"
อย่างนี้นี่เอง ที่ต้องการให้ผมไปเรียนเพราะไม่อยากให้ตัวเองโดยคนอื่นว่าสินะ แต่มันก็จริง...ขนาดลูกตัวเองยังรักกับผู้ชายด้วยกัน แล้วจะมีใครกล้าเอาลูกหลานมาให้ท่านอบรมดูแลละ
ผมเข้าใจแล้ว...แต่ผมก็ยังคงไม่อยากไปอยู่ดี
"เข้าใจแล้วครับ" แต่ก็อีกนั่นแหละ ผมใจไม่แข็งพอที่จะเป็นลูกอกัตญญู
"แล้วก็เลิกคบกับเด็กคนนั้นซะ เด็กที่ดูท่าทางจะเลี้ยงดูแกไม่ได้เลยสักนิด คบไปก็รังแต่จะล่มจม"
อะไร! ทำไมต้องว่ากันขนาดนั้น ทั้งๆที่พ่อแทบจะไม่รู้จักอะไรมันเลย แล้วมาตัดสินกันแบบนี้ได้ยังไง
"แต่ผมก็ยอมไปออสเตรเลียแล้วนี่ครับ แล้วทำไมผมต้องเลิก"
ปึก!!
"พ่อสั่งอะไรก็ทำตามซะ" แต่แล้วมือใหญ่ก็ตบลงมาบนโต๊ะเสียงดังก่อนท่านจะดุผมอีกครั้ง ซึ่งมันเล่นเอาผมแทบลืมหายใจ
จบแล้วสินะ
"ครับ" ผมตอบแค่นั้นก่อนจะวิ่งขึ้นไปบนห้องตัวเองแล้วล็อกประตูอย่างไว ตอนนี้ใจผมสั่นไปหมดแล้ว ไม่รู้จะทำยังไงต่อไป ก็ผมไม่อยากจะเลิกกับไอ้ทิวนิ...ก็ผมรักมันมากขนาดนี้
ผมค่อยๆตั้งสติตัวเองให้นิ่งแล้วเริ่มคิดหาทางออก แต่หัวใจผมกลับมีคำสั่งแซงทุกอย่างที่ผมคิดไว้ มันสั่งให้ผมรีบคว้าโทรศัพท์แล้วโทรหามัน
"รับสิวะ" ผมรอปลายสายอยู่นานก็ไม่มีท่าทีที่อีกคนจะรับเลยสักนิด จนมันถูกตัดไป ผมเลยลองโทรอีกครั้งแล้วมันก็เป็นแบบเดิม นี่มันเกิดอะไรขึ้น คนอย่างมันไม่น่าปล่อยโทรศัพท์ไว้ไกลตัว แล้วทำไมถึงไม่รับสายผม หรือว่าเมื่อวาน...พ่อจะพูดกับมันเหมือนที่พูดกับผม ที่ให้เลิกกับผมซะ
บ้าเอ้ย! มันจะอะไรกันหนักวะ มีสักครั้งมั้ยที่กูคนนี้จะมีชีวิตปกติเหมือนคนทั่วไป ทำไมไม่ให้กูอยู่สงบๆบ้าง ให้กูมีความสุขสักครั้งได้มั้ยวะ
แม่ง!
ผมทุบเตียงดังตุบหลายต่อหลายครั้งเพื่อระบายความอึดอัดที่อยู่ภายในใจจนเหมือนคนบ้า ตอนนี้ผมไม่ได้รู้สึกโกรธที่พ่อบังคับผมแบบนั้น แต่ที่ผมโกรธเพราะไอ้ทิวมันรักผมมากเกินไป มันเป็นเพราะแบบนั้นไงมันถึงยอมทำทุกอย่างเพื่อผม แม้กระทั่งการที่ต้องเลิกกัน
พ่อคงเอาผมมาต่อรองแน่มันถึงยอมง่ายๆ นี่ถ้าพ่อบอกให้มันไปตายมันก็คงจะไป ทำไมวะไอ้ทิว มึงแค่รักกูน้อยลงอีกนิดมึงคงจะไม่ยอมทิ้งกูไปแน่ ทำไมมึงถึงรักกันมากขนาดนั้น
ไอ้หมาบ้า!
แต่ไม่ว่ายังไงผมก็จะไม่ยอมเลิกกับมันเด็ดขาด ผมต้องทำให้เราสองคนอยู่ด้วยกันให้ได้ แม้จะต้องมีใครเสียใจ แต่ผมก็จะไม่สน
ขอแค่มีผมกับมันก็เพียงพอแล้ว
ไอ้ทิว...รอกูก่อนนะ เพราะคราวนี้จะเป็นตากู...ที่กูคนนี้จะไปฉุดมึงให้มาอยู่ในอ้อมกอดของกูบ้าง
รอก่อนนะ
++++++++++++++++++++++++++++++++131221
แม่เจ้า อีกนิดๆ รอกันนะ
Catwalk 32 : เพราะรักมากเกินไป
+น้องหมาเล็ก+
มันคงไม่มีอะไรใช่มั้ย...มันคงมีแต่ความสุขจริงๆแล้วใช่มั้ย
"เฮ้!!" เสียงสองหนุ่งประสานกันลั่นเมื่อลูกกลมๆในทีวีถูกเตะเข้าประตู ก่อนเสียงขวดแก้วจะกระแทกกันดังกิก
กิก
"หนึ่งต่อศูนย์แล้ว! ฮ่าๆ" คราวนี้เป็นเสียงของพ่อที่ดูจะดีใจสุดๆก่อนไอ้ทิวจะหัวเราะตามอีก
นี่ไง...ที่ผมบอกว่า มันคงจะมีแต่ความสุขแล้วจริงๆ
ขอบคุณนะครับพ่อที่เข้าใจผม
ถึงแม้จะรู้สึกแปลกๆที่อยู่ๆพวกท่านก็โทรเรียกพวกผทกลับ ตอนนั้นเล่นเอาเครียดจนแทบทำงานไม่ได้ ก็เลยต้องหันไปอ้อนไอ้ทิวแก้เครียด แล้วยิ่งมาเจอพี่ๆนางแบบแอบจิกกัดเหมือนในละครน้ำเน่าก็ยิ่งเซ็ง ตกลงชีวิตผมกะจะให้เจอทุกอย่างเลยใช่มั้ยเนี่ย
แต่พอได้ยินคำชวนให้ไอ้ทิวดูบอลเป็นเพื่อน มันก็เล่นเอาผมแทบหุบยิ้มไม่ลง แล้วก็ดูเหมือนพวกท่านจะเอ็นดูมันมากเหมือนกัน แต่ผมเองก็อยากรู้ว่าทำไมพ่อถึงยอมรับเรื่องนี้ง่ายๆ ทั้งๆที่มันไม่ใช่เรื่องดีสำหรับคนที่มีลูกชายสักเท่าไหร่ แถมยังไม่ขอฟังคำอธิบายจากผมอีก นั่นแหละที่ผมงง
ถึงแม้ว่าพวกท่านจะเป็นอาจารย์เลยอาจจะเจอลูกศิษย์ที่มีแนวโน้มเบี่ยงเบน แต่นี่ผมเป็นลูกชายพวกท่านแท้ๆนะ แล้วทำไมเรื่องถึงเงียบ
นี่ตกลง...เข้าใจผมจริงๆงั้นสิ
"สะใจจริงๆ แล้วนี่เล่นบอลป่าวไอ้ลูกชาย" อยู่ๆพ่อก็สะกิดถามไอ้ทิวที่นั่งข้างๆผม มันก็ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบเหมือนไม่ได้คิดอะไร
"เล่นสิครับ แต่เล่นช่วงแมทใหญ่ๆนะครับ แมทเล็กๆเสียดายตัง"
หือ...ตรงมากแฟนกู มึงเคยคิดมั้ยว่าพ่อกูเป็นอาจารย์ แล้วเขาจะไม่ชอบเด็กเลวๆอย่างมึงเนี่ย
นี่หมาผมเป็นคนดีหรือตกลงแล้วมันโง่กันแน่อะ...เห้อ
"เออเว้ย นายก็ตรงดีแหะ" แต่พ่อกลับไม่ว่าอะไรมันก่อนท่านจะยิ้มอย่างขำๆ โดยที่มันเองก็ทำเป็นยิ้มกว้างแล้วยกขวดเบียร์ดื่มต่อ
นี่อย่าบอกนะว่าพ่อชอบมันจริวๆอะ...จริงดิ นี่ผมดีใจนะ
"แล้วตอนนี้ทำงานหรือเรียนอยู่" พ่อก็ยังคงถามคำถามต่อโดยที่ไอ้ทิวมันเองก็คงรู้ว่ามันต้องหันมาคุยกับพ่อเขาแบบจริงๆจังๆสักที มันเลยวางขวดเบียร์ลงก่อนจะตอบคำถามนั้นแบบสบายๆ
"เรียนอยู่ครับ ผมเรียนศิลปกรรมด้านออกแบบดีไซน์เนอร์ครับ อีกไม่ถึงเดือนผมก็จะจบแล้ว"
จะจบแล้วหรอเนี่ย...กูยังไม่เคยเห็นมึงจะไปเรียนเลยเถอะ มึงโม้ป่าววะ
"แล้วคิดว่าต้องทำยังไงกับอนาคตตัวเองต่อ" ผมฟังคำถามพ่อที่ถามทันทีเมท่ออีกคนตอบเสร็จ เหมือนกับว่าท่านอยากจะสวบสวนก่อนจะยกลูกสาวสุดรักสุดหวงให้ แต่พ่อครับ...ผมเป็นผู้ชายนะ!
"ผมอยากทำงานตามที่ตัวเองชอบก่อนครับ แล้วค่อยไปช่วยป๊าทำงานต่อ" แล้งงานอะไรที่มันชอบอะ ผมอยู่กับมันก็ไม่เคยเห็นมันทำอะไร นอกจากแวะไปห้องเสื้อไม่กี่ชั่วโมง นอกจากนั้นก็มานั่งงมผมอยู่ที่ห้อง
แล้วอะไรที่มันคิดจะทำกันนะ
"งานที่ตัวเองชอบคืออะไรงั้นหรอ"
"ผมอยากสร้างแบรนด์ห้องเสื้อของตัวเองให้ประสบความสำเร็จก่อนครับ แบบตามที่ฝันไว้"
อ้อ...ที่พี่กันย์เคยบอกว่าแบรนด์ห้องเสื้อมันกำลังจะโกอินเตอร์อะนะ นี่แฟนผมเก่งขนาดนี้เลยหรอเนี่ย
"แล้วตอนนี้มันใกล้จะประสบความสำเร็จรึยังล่ะ" พ่อผมนี่ก็อยากรู้จริงอยากรู้จังเลยนะ แต่ผมก็ทำได้แค่นั่งฟังพวกเขาคุยกันก่อนที่ตัวเองจะคว้าขนมขึ้นมากิน
"ตอนนี้ก็ถือว่ามันเป็นไปตามเป้าที่วางไว้แล้วครับ แต่ยังไม่เป็นไปตามเป้าที่ตั้งขึ้นใหม่"
"หมายความว่าไง"
"เมื่อสองเดือนก่อนพวกเราวางแผนจะเปิดตลาดแถบเอเซีย ซึ่งมันก็ประสบความสำเร็จเกินคาด ส่วนเป้าหมายใหม่เราที่วางไว้ก็คือ...catwalk ที่ปารีสครับ"
CATWALK
ทำไมพอฟังคำนี้แล้วรู้สึกยิ่งใหญ่ชะมัด
"แล้วคิดว่ามันจะอีกนานมั้ย ที่จะประสบความสำเร็จ"
"น่าจะอีกปีกว่าๆแหละครับ เพราะพวกเราต้องทำฐานทางฝั่งเอเชียให้แน่นก่อน"
ตามตรงเลยนะ ผมไม่เคยเห็นมุมจริงจังแบบนี้จากไอ้ทิวสักเท่าไหร่ นี่ใช่มั้ยที่เรียกว่าเสือซ่อนเล็บ พอถึงเวลามันก็เผยอำนาจของมันออกมาเอง ถึงแม้ว่าเวลาปกติจะเหมือนไม่เอาอ่าว แต่ก็ถือว่ามันประสบความสำเร็จและก้าวข้ามเด็กวัยเดียวกันไปไกลแล้ว
ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกได้ทันที...ว่าหมาใหญ่ของผมเท่ห์จัง
"แล้วความสัมพันธ์ระหว่างนายกับลูกชายฉัน มันต้องเรียกแบบไหน"
อึก!
อยู่ๆท่านก็ถามคำถามที่ดูจะคนละเรื่องออกมา เล่นเอาผมหันไปทางเจ้าของเสียงขวับอย่างตกใจ โดยที่ไอ้ทิวก็คงไม่ต่างจากผม เพราะมันเองก็นิ่งเงียบไปนานเหมือนกัน
นี่พ่อต้องการสื่ออะไรกันแน่
"เงียบทำไมละ ตอบมาสิ"
"พ่อครับ ทำไมถามแบบนั้นอะ" ผมเลยพยายามเปลี่ยนเรื่องแต่พ่อกลับสั่งผมเสียงเรียบ
"แวน...ไปเอาเบียร์ให้พ่ออีกขวดหน่อยสิ"
อะไรนะ ทำไมต้องให้ผมออกไปจากห้องนี้ตอนที่กำลังคุยเรื่องสำคัญกันอยู่ นี่ตกลงพ่อเข้าใจพวกผมรึป่าว
"พ่อครับ..."
"แวน ไม่ได้ยินที่พ่อสั่งหรอ ไปเอาเบียร์ให้พ่ออีกขวดสิ"
อึก
"ครับ" ผมเลยจำใจต้องลุกออกจากตรงนั้นแล้วเดินไปหยิบเบียร์ที่ห้องครัว แต่พอผมเดินกลับมา ห้องนั่งเล่นที่ผมเคยนั่งก็ถูกปิดล็อกด้วยกระจกบานเลื่อนทำให้ผมไม่สามารถได้ยินเสียงข้างในเลยสักนิด ทำได้แค่เห็นไอ้ทิวกำลังคุยกับพ่อด้วยสีหน้าที่ดูเครียดสุดๆ
ไอ้ทิว...อย่ายอมแพ้นะ
ผมเฝ้ามองสองคนนั้นอยู่นานแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ก่อนจะมือมือเล็กมาวางบนไหล่ผมแล้วบีบเบาๆ ผมหันไปมองก็เจอแม่กำลังยืนดูสองคนนั่นเหมือนกัน ผมเลยรีบถามท่านเพื่อคลายกังวลที่มีอยู่ตอนนี้
"พ่อเขาคิดจะทำอะไรอะแม่ ผมใจไม่ดีเลย"
"พ่อน่ะหรอ...นั่นสินะ คิดจะทำอะไรกันนะ" เอ๊ะ...ทำไมถึงตอบยียวนแบบนั้น
"นี่แม่รู้อะไรใช่มั้ยครับ ตกลงพ่อกับแม่ไม่ได้คิดจะยอมรับพวกผมใช่มั้ย" ทำไมผมถึงรู้สึกเจ็บจีี๊ดที่หัวใจทันทีที่คิดแบบนั้น ตกลงแล้วที่ผมคิดว่าพวกท่านยอมรับมันก็แค่การแสดงฉากๆหนึ่งเพื่อให้ผมตายใจใช่มั้ย
"ปากร้ายจังน้องแวน พูดแบบนั้นเหมือนไม่รู้จักพ่อกับแม่" เสียงแม่เขาเริ่มนิ่งไม่มีความรู้สึกว่าใจดีเลยสักนิด ผมเลยก้มหน้าลงชิดออกก่อนจะเอ่ยคำขอโทษออกมา
"ผมขอโทษครับ ผมแค่กลัวว่าพ่อกับแม่จะขัดขวางพวกเรา"
ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วผมจะทำยังไง ผมคงต้องมานั่งร้องไห้อีกครั้งใช่มั้ย
"เสียใจหรอ" มือเล็กดึงหน้าผมให้หันไปสบตากันก่อนมืออีกข้างจะทาบเข้ากับแก้ม ผมมองตาท่านแล้วรู้สึกโหวงแปลกๆ เหมือนกับท่านเองก็เครียดอะไรบางอย่าง
"แม่ละครับ...เสียใจมั้ยที่ผมเป็นแบบนี้" ที่ผมมีแฟนเป็นผู้ชายเหมือนกัน
"เสียใจสิ เพราะพ่อกับแม่อยากมีหลาน" สะอึกเลยครับ คำพูดประโยคนี้มันจุกอยู่ที่คอ แล้วเหมือนจะลามลงไปที่หัวใจ มันบีบรัดอย่างแรงจนผมอยากจะหายไปจากตรงนั้นให้ได้ ท่านจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจกับลูกชายเลวๆอย่างผม
"ขอ ขอโทษครับ ผมขอโทษ" ผมดึงร่างบางตรงหน้าเข้าหาอ้อมกอดก่อนจะซบไหล่บางนั้นแน่น ผมไม่รู้จะทำยังไงกับความเสียใจนี้แล้วจริงๆ ผมไม่อยากจะให้ท่านเสียใจ
"น้องแวน...เรื่องมันเกิดขึ้นไปแล้ว พ่อกับแม่ก็เสียใจไปแล้ว ยังไงมันก็ไม่กลับมาหรอก ความรู้สึกดีๆก่อนหน้านั้นน่ะ"
"แม่ครับ...." ไม่ไหวแล้วจริงๆ ผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหวแล้ว ผมรู้สึกเจ็บปวดแทนพวกท่านจริงๆ
ขอโทษครับ ผมร้องไห้อยู่บนไหล่บางนั้นอยู่นานโดยมีฝ่ามือเล็กคอยลูบปลอบ แต่ท่านก็ไม่ได้พูดอะไรกับผม ท่านปล่อยให้ผมร้องไห้อยู่อย่างนั้นก่อนเสียงปลดล็อกประตูจะดังขึ้น
บ๊อก
ผมรีบผละออกจากไหล่แม่แล้วหันไปมองทางต้นเสียง ก่อนจะเห็นร่างสูงที่คุ้นตาเดินออกมาพร้อมกับสีหน้าที่เปลี่ยนไปจากเดิมมาก มันดูเครียดและอ่อนล้าเต็มทน ผมเลยรีบชะเง้อไปมองพ่อที่ยืนอยู่ด้านหลังก่อนท่านจะหันหน้าหนีไปอีกทาง
นี่มันหมายความว่ายังไงกัน
"ไอ้ทิว...มึงคุยอะไรกับพ่อ" ผมรีบถามเจ้าตัวก่อนจะกุมมือหนาไว้แน่น
"ไม่ได้คุยอะไรนี่" ตอบแบบนั้นได้ยังไง ในเมื่อกูเห็นกับตาว่ามึงคุยกับพ่อกูอยู่ นี่มึงคิดจะปิดอะไรกูวะ
"ไอ้ทิว บอกกูมา" ผมกดเสียงต่ำจนอีกคนต้องดึงผมให้เดินออกห่างจากตรงนั้น พอลับตาผู้ใหญ่มันก็ดึงผมเข้าไปกอดทันที
"เห้อ...กูเหนื่อยจังมึง กูเหนื่อยจริงๆ"
อะ อะไรวะ ทำไมมึงพูดแบบนั้น
"มึงพูดแบบนั้น...คงไม่คิดจะทิ้งกูไปนะ" ได้โปรดเถอะ มึงอย่าคิดแบบนั้นเชียวนะ อย่าทิ้งให้กูต้องอยู่คนเดียว อย่าทิ้งให้กูต้องคิดถึงมึง
แต่อีกคนกลับไม่ตอบ มันดันตัวผมออกก่อนจะเกี่ยแก้มผมเบาๆอย่างที่ชอบทำ แล้วอยู่ๆรอยยิ้มสวยก็เผยออกมาเมื่อมันเอาแต่จ้องตาผม ไม่นานริมฝีปากหนักๆก็กดทับลงมาช้าๆแต่ดูจืดชืดมาก
แปลกๆ ทำไมมันดูเป็นจูบที่เศร้าขนาดนี้
"ไอ้ทิว...มันเกิดอะไรขึ้น มึงบอกกูมาสิ อย่าทำแบบนี้" พอริมฝีปากบางถอนออก ผมก็เอ่ยถามทันที แต่มันก็ยังคงใช้ความเงียบควบคุมทุกอย่าง แล้วนั่นก็ทำให้ผมแทบจะหยุดหายใจ
มีอุปสรรคอีกแล้วใช่มั้ย...ความรักครั้งนี้
"น้องแวน...เข้าบ้านได้แล้ว" แต่แล้วแม่ก็ออกมาเรียกให้ผมเข้าบ้าน ผมหันไปมองท่านที่ยืนอยู่ตรงประตูก่อนจะหันกลับมาหาอีกคน มันเองก็เอาแต่มองหน้าผมอยู่อย่างนั้นเหมือนไม่คิดจะสนใจใครอีด จนเสียงนุ่มเริ่มเปล่งออกมาพร้อมความสั่น
"กูกลับก่อนนะ"
กลับ!
"กะ กลับไปไหน ทำไมต้องกลับ วันนี้จะนอนที่นี่ไม่ใช่หรอ" นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย ผมชักจะทนไม่ไหวแล้วนะ
"กูต้องกลับไปทำงานน่ะ คืนนี้ก็นอนที่บ้านไปก่อนนะ เดี๋ยวกูจะมารับมึงนะ" งาน! กูอยู่กับมึงมาตั้งสองเดือนกูยังไม่เคยเห็นมึงทำงานสักครั้ง อล้วทำไมต้องมามีงานในวันนี้ด้วย มึงกำลังคิดจะโกหกกูไปถึงเมื่อไหร่วะ
"เดี๋ยวกูกลับมารับจริงๆ" มันคงรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่ เลยย้ำให้ผมสบายใจ
จะมารับงั้นหรอ...นี่คือสัญญาใช่มั้ย
"จริงนะ มึงไม่ได้โกหกใช่มั้ย" ผมถามเพื่อความมั่นใจก่อนที่ใบหน้าหล่อจะพยักหน้ารับ
"อืม แล้วเจอกันนะ" แล้วมันก็ค่อยๆก้มลงมาหอมแก้มผมซ้ำๆอยู่หลายครั้งก่อนจะยอมหยุดเมื่อมีเสียงหึมในลำคอดังขัดขึ้น มันเลยเงยหน้าหันไปมองพ่อกับแม่ที่มองอยู่แล้วยกมือไหว้พวกท่าน
"ผมลาละครับ"
จะไปจริงๆหรอ
"...."
"ขับรถดีๆนะน้องทิว" มีเพียงแต่แม่เท่านั้นที่รับคำลาก่อนร่างสูงจะค่อยๆเดินออกจากประตูรั้วไป ผมเองก็ทำได้แค่มองตามจนรถมินิสีแดงจะหายลับไปกับตา แล้วมันก็มาพร้อมกับสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจ
"เข้าบ้านเถอะน้องแวน เดี๋ยวเป็นหวัดเอานะ" แม่เรียกผมอีกครั้งก่อนผมจะยอมเดินตามพวกท่านไป ถึงแม้ว่าใจผมอยากจะถามเรื่องทั้งหมดจนใจจะขาด แต่ผมก็รู้สึกผิดมากพอที่จะถาม เพราะผมแท้ๆที่ทำเรื่องนี้เกิด ดังนั้นผมจึงไม่ควรโยนความผิดไปที่ใครทั้งนั้น
ผมเดินเข้าไปในห้องตัวเองด้วยความรู้สึกที่ตีรวน เพียงแค่คืนนี้ผมจะไม่ได้นอนกับมันผมก็รู้สึกแย่สุดๆ จนตอนนี้หัวใจผมกำลังทะเลาะกันเพื่อหาข้อสรุป ระหว่างจะทนอยู่ที่นี่หรือจะหนีไปหาอีกคนดี
ถ้าผมเลือกอย่างหลัง ทุกคนจะเสียใจเพิ่มขึ้นมั้ย
ติ้ง!
แต่แล้วเสียงข้อความในโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้น ผมเลยรีบคว้ามันขึ้นมาดูก่อนจะพบว่าคนที่ผมกำลังคิดถึงนั้นเป็นคนส่งมา
'กูรักมึงมากๆนะ หมาเล็ก'
"กูก็รักมึงมากๆเหมือนกัน หมาใหญ่" ผมเผลอพูดตอบประโยคนั้นเหมือนกับอีกคนกำลังนอนกอดอยู่ข้างๆผม ถึงมันจะไม่ใช่เรื่องจริงแต่ก็ทำให้ผมคิดว่าตัวเองสามารถที่จะนอนคนเดียวในคืนนี้ได้ ผมเลยส่งข้อความตอบกับพร้อมกับกดจูบลงบนหน้าจอมือถือตัวเองเพื่อที่จะฝากมันไปหาอีกคน
'ผมรักพี่นะครับ...พี่ทิว'
เช้าวันรุ่งขึ้นผมก็รีบแต่งตัวเพื่อรออีกคนที่จะมารับ ก่อนจะลงไปกินข้าวเช้าเมื่อแม่ขึ้นมาเรียก พอลงมาถึงผมก็เห็นพ่อกับแม่กำลังนั่งรอผมอยู่โดยที่พ่อนั้นกำลังอ่านหนังสือพิมพ์เหมือนที่ทำประจำ ผมเลยเดินไปหอมแก้มแม่เหมือนทุกครั้งก่อนจะกลับมานั่งที่ตัวเอง
"นานเท่าไหร่แล้วเนี่ย ที่เราสามคนพ่อแม่ลูกไม่ได้กินข้าวเช้าพร้อมหน้าพร้อมตากันแบบนี้" เสียงแม่ดูดีใจมากเลยครับที่มีวันนี้ ผมเองก็อดยิ้มไม่ได้ก่อนจะตักข้าวสวยร้อนๆใส่จานพ่อและตามด้วยจานของแม่
"งั้นทานเยอะๆนะครับ"
"จ๊ะ/อืม" พ่อกับแม่รับคำผมก่อนที่มือใหญ่จะวางหนังสือพิมพ์ลง ธรรมดาพ่อผมใจดีนะ แล้วก็ไม่ค่อยเงียบแบบนี้ด้วย แล้วทำไมวันนี้ดูแปลกๆ
หรือว่าท่านจะโกรธผมจริงๆ
"พ่อครับ พ่อยังไม่หายโกรธผมหรอ" ผมรีบตักไข่เจียวหมูสับของโปรดท่านแล้วอ้อนเสียงหวาน ท่านเลยเหล่มองผมเล็กน้อยแต่ก็ไม่พูดอะไร แต่ผมเห็นนะ ไอ้แก้มแดงๆทั้งสองข้างนั่นน่ะ แสดงว่าไม่ได้โกรธถึงจะมีท่าทีแบบนั้นก็เถอะ
ยังไงก็รักสินะ...โกรธกันไม่ลงใช่มั้ย
"แหม แล้วแม่ละน้องแวน แม่ก็อยากกินไข่เจียวนะ" แล้วเสียงน้อยใจก็ดังตามมาทันที ผมเลยรีบตักมันให้ก่อนที่ทุกอย่างจะเหมือนหยุดนิ่ง เมือเสียงทุ้มเอ่ยขัดขึ้นกลางโต๊ะอาหาร
"พ่อจะให้เราไปเรียนต่อที่ออสเตรเลียอาทิตย์หน้า ไปอยู่กับเพื่อนพ่อที่นั่น"
อาทิตย์หน้า!!
"อะไรนะครับ!" ผมถามกลับด้วยความตกใจก่อนจะมองหน้าแม่เพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ท่านกลับหลบตาผมแล้วนิ่งเงียบ
"ไม่ต้องถามมาก ไปเรียนที่นู้นซะ แล้วก็เลิกเป็นนายแบบไปเลย" จะบ้าหรอ นั่นมันชีวิตผมนะ ถึงผมจะไม่ได้อยากจะทำมัน แต่ผมก็รักที่จะทำมันนะ แล้วที่สำคัญ...คนรักของผมก็อยู่ที่นี่
"แต่ผมไม่อยากไปนี่ครับ"
"พ่อบอกอะไรก็ทำตามซะ คราวนี้มันก็ควรถึงเวลาที่แวนจะต้องทำตามคำสั่งพ่อได้แล้ว ในเมื่อพ่อเองก็ยอมให้แวนไปเป็นนายแบบเหมือนกัน"
นี่กะจะเอาเรื่องนั้นมาต่อรองกับผมงั้นสิ แต่ผมจะไม่มีทางยอมง่ายๆแน่
"แต่ผมยังเรียนไม่จบเลยนะครับ"
"มันเหลือแค่สองสามอาทิตย์แวนก็จะจบ เดี๋ยวทำเรื่องจบให้แล้วก็ไปเรียนต่อที่นั่นเลย" นี่พ่อคิดไว้นานแล้วใช่มั้ย ถึงได้พูดเหมือนมีนง่ายดายขนาดนั้น แล้วที่พ่อทำเมื่อวานนี่มันหมายความว่ายังไง
"พ่อไม่อยากให้ผมกับพี่ทิวคบกันใช่มั้ยครับ" เอามันตรงๆนี่แหละ ผมอยากรู้เหตุผล แล้วจะได้ไม่ต้องมาอ้างเรื่องอื่นให้เสียความรู้สึก
"ใช่ พวกแกเป็นผู้ชายทั้งคู่ มันทำให้ความน่าเชื่อถือในหน้าที่การงานของพ่อกับแม่เสียหายไปด้วย"
อย่างนี้นี่เอง ที่ต้องการให้ผมไปเรียนเพราะไม่อยากให้ตัวเองโดยคนอื่นว่าสินะ แต่มันก็จริง...ขนาดลูกตัวเองยังรักกับผู้ชายด้วยกัน แล้วจะมีใครกล้าเอาลูกหลานมาให้ท่านอบรมดูแลละ
ผมเข้าใจแล้ว...แต่ผมก็ยังคงไม่อยากไปอยู่ดี
"เข้าใจแล้วครับ" แต่ก็อีกนั่นแหละ ผมใจไม่แข็งพอที่จะเป็นลูกอกัตญญู
"แล้วก็เลิกคบกับเด็กคนนั้นซะ เด็กที่ดูท่าทางจะเลี้ยงดูแกไม่ได้เลยสักนิด คบไปก็รังแต่จะล่มจม"
อะไร! ทำไมต้องว่ากันขนาดนั้น ทั้งๆที่พ่อแทบจะไม่รู้จักอะไรมันเลย แล้วมาตัดสินกันแบบนี้ได้ยังไง
"แต่ผมก็ยอมไปออสเตรเลียแล้วนี่ครับ แล้วทำไมผมต้องเลิก"
ปึก!!
"พ่อสั่งอะไรก็ทำตามซะ" แต่แล้วมือใหญ่ก็ตบลงมาบนโต๊ะเสียงดังก่อนท่านจะดุผมอีกครั้ง ซึ่งมันเล่นเอาผมแทบลืมหายใจ
จบแล้วสินะ
"ครับ" ผมตอบแค่นั้นก่อนจะวิ่งขึ้นไปบนห้องตัวเองแล้วล็อกประตูอย่างไว ตอนนี้ใจผมสั่นไปหมดแล้ว ไม่รู้จะทำยังไงต่อไป ก็ผมไม่อยากจะเลิกกับไอ้ทิวนิ...ก็ผมรักมันมากขนาดนี้
ผมค่อยๆตั้งสติตัวเองให้นิ่งแล้วเริ่มคิดหาทางออก แต่หัวใจผมกลับมีคำสั่งแซงทุกอย่างที่ผมคิดไว้ มันสั่งให้ผมรีบคว้าโทรศัพท์แล้วโทรหามัน
"รับสิวะ" ผมรอปลายสายอยู่นานก็ไม่มีท่าทีที่อีกคนจะรับเลยสักนิด จนมันถูกตัดไป ผมเลยลองโทรอีกครั้งแล้วมันก็เป็นแบบเดิม นี่มันเกิดอะไรขึ้น คนอย่างมันไม่น่าปล่อยโทรศัพท์ไว้ไกลตัว แล้วทำไมถึงไม่รับสายผม หรือว่าเมื่อวาน...พ่อจะพูดกับมันเหมือนที่พูดกับผม ที่ให้เลิกกับผมซะ
บ้าเอ้ย! มันจะอะไรกันหนักวะ มีสักครั้งมั้ยที่กูคนนี้จะมีชีวิตปกติเหมือนคนทั่วไป ทำไมไม่ให้กูอยู่สงบๆบ้าง ให้กูมีความสุขสักครั้งได้มั้ยวะ
แม่ง!
ผมทุบเตียงดังตุบหลายต่อหลายครั้งเพื่อระบายความอึดอัดที่อยู่ภายในใจจนเหมือนคนบ้า ตอนนี้ผมไม่ได้รู้สึกโกรธที่พ่อบังคับผมแบบนั้น แต่ที่ผมโกรธเพราะไอ้ทิวมันรักผมมากเกินไป มันเป็นเพราะแบบนั้นไงมันถึงยอมทำทุกอย่างเพื่อผม แม้กระทั่งการที่ต้องเลิกกัน
พ่อคงเอาผมมาต่อรองแน่มันถึงยอมง่ายๆ นี่ถ้าพ่อบอกให้มันไปตายมันก็คงจะไป ทำไมวะไอ้ทิว มึงแค่รักกูน้อยลงอีกนิดมึงคงจะไม่ยอมทิ้งกูไปแน่ ทำไมมึงถึงรักกันมากขนาดนั้น
ไอ้หมาบ้า!
แต่ไม่ว่ายังไงผมก็จะไม่ยอมเลิกกับมันเด็ดขาด ผมต้องทำให้เราสองคนอยู่ด้วยกันให้ได้ แม้จะต้องมีใครเสียใจ แต่ผมก็จะไม่สน
ขอแค่มีผมกับมันก็เพียงพอแล้ว
ไอ้ทิว...รอกูก่อนนะ เพราะคราวนี้จะเป็นตากู...ที่กูคนนี้จะไปฉุดมึงให้มาอยู่ในอ้อมกอดของกูบ้าง
รอก่อนนะ
++++++++++++++++++++++++++++++++131221
แม่เจ้า อีกนิดๆ รอกันนะ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ