CatWalk “กูจะดังให้มึงจำ”
เขียนโดย nooonaa
วันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เวลา 22.54 น.
แก้ไขเมื่อ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2556 23.03 น. โดย เจ้าของนิยาย
35) Catwalk 33 : ชีวิตคู่มันศักดิ์สิทธิ์ [end]
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความBy nooonaa
Catwalk 33 : ชีวิตคู่มันศักดิ์สิทธิ์ [end]
+น้องหมาเล็ก+
'ไม่รู้วะ มันไปไหนพี่ก็ไม่รู้ นายลองไปถามไอ้ฟินย์ดูดิ'
'พี่ไม่รู้วะ มันไม่ได้บอก แต่ยังไงมันก็คงมาพรุ่งนี้แน่ นายก็ลองไปหามันที่มหาลัยดูล่ะกัน'
ยังไงก็ต้องมาที่นี่ใช่มั้ย...งานแฟชั่นโชว์ที่มหาลัยมึง
ให้ตายเถอะไอ้หมามหญ่ มึงหายไปไหนวะ มึงรู้มั้ยว่าทำให้กูเครียดจนกินไม่ได้นอนไม่หลับแล้ว ทำไมถึงหายไปแล้วปล่อยให้กูอยู่คนเดียว ทั้งๆที่มึงสัญญากับกู...ว่าจะกลับมารับ
แต่นี่มันสองอาทิตย์แล้วนะ สองอาทิตย์ที่มึงปล่อยกูไว้แบบนี้ โดยที่พรุ่งนี้กูอาจจะไม่ได้เจอมึงอีกตลอดไป
ใช่ครับ...พรุ่งนี้ผมต้องไปออสเตรเลียแล้ว ซึ่งผมไม่อยากจะไปโดยที่ไม่ได้คุยกันแบบนี้
ถ้ามึงเป็นมนุษย์ต่างดาวก็คงจะดี กูจะได้ส่งกระแสจิตไปหา...เวลากูคิดถึง
แต่มึงเป็นแค่หมา หมาที่โง่บรมจนทิ้งกูแบบนี้
ถ้าเจอพ่อจะด่าให้หูตกเลยมึง
ผมต้องแอบพ่อมาหามันที่มหาลัย เพราะงานมันจัดตั้งแต่สิบโมง แล้วตอนนี้ผมก็มาวนเวียอยู่หน้างาน จนคนรอบข้างมองผมอย่างกับผู้ก่อการร้าย จะเป็นเพราะอะไรซะอีกล่ะ ถ้าไม่ใช่ว่าผมโผกหัวปิดหน้าซะมิด เพื่อหลบพี่ๆนักข่าวที่ต้องการทำข่าวผมกับมัน
ตอนนี้ข่าวที่ผมจะไปเรียนต่อดังมาก ดังจนมีคนวิเคราะต่างๆนานา ทั้งอกหักรักคุดโดนไอ้ทิวทิ้งจนต้องหนีไปเรียนต่อเพื่อรักษาแผลใจ บางข่าวก็บอกว่าโดนพ่อแม่ผมกีดกันไม่ให้คบจนต้องส่งไปเรียนซึ่งมันก็จริง แต่ข่าวพวกนั้นผมไม่เครียดเท่ากับผมหาอีกคนไม่เจอ
ดังนั้น...ถ้าใครเห็นมัน ได้โปรด ช่วยบอกผมที แล้วผมคนนี้จะไม่ลืมพระคุณคุณเลยจริงๆ
แล้วตอนนี้ดูเหมือนว่าการที่ผมแอบมามันจะเริ่มไม่ใช่ความลับ เพราะทุกคนดูเหมือนจะพูดกันมาจนนักข่าววิ่งตามหาผมให้ควัก ผมเลยต้องรีบหามันให้เจอ แต่ตอนนี้มันอยู่ไหนล่ะ
"พี่ครับ พี่เห็นพี่ทิวมั้ย" พอเริ่มหลงกับงานอันใหญ่โตของมัน ผมเลยต้องสุ่มถามใครสักคน โดยที่ผมเองก็มั่นใจว่าใครๆต้องรู้จักมันแน่ ซึ่งมันก็เป็นอย่างที่ผมคิด พี่เขาชี้ไปทางประตูด้านข้างที่อยู่หลังเวที ผมเลยรีบขอบคุณแล้ววิ่งไปที่นั่นด้วยหัวใจที่คับแน่นเต็มอก
ขอให้ผมเจอมันที่เถอะ...ได้โปรด
แต่พอผมวิ่งเข้ามาข้างในก็เจอคนเดินวุ่นเต็มทางเดินไปหมด ตามทางเดินมีห้องแยกออกไปอยู่หลายห้องโดยมีป้ายติดว่าห้องนั้นเป็นห้องของใคร
และนั่น...'BLISS'
"ไอ้ทิว..."
มึง...คงอยู่ในนั้นนะ
ผมสูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อเรียกกำลังใจก่อนจะค่อยๆหมุนลูกบิดลูกนั้น ใจมันก็สั่นแปลกๆอย่างกับมันจะหลุดออกมาจากอกให้ได้ แต่แล้วมันก็แทบจะหลุดออกมาจริงๆ เมื่อผมเห็นแผ่นหลังกว้างของคนที่ผมตามหา...ตลอดสองอาทิตย์
แล้วมันก็เหมือนสมองผมหยุดคิด ทุกอย่างมันหยุดนิ่ง ก่อนขาผมจะวิ่งไปหาร่างสูงตรงหน้าโดยไร้คำสั่งใดๆทั้งสิ้น เหมือนกับว่ามันวิ่งไปเพราะหัวใจมันต้องการ
ปึก!
"ไอ้ทิว...คะ คิดถึง คิดถึงมึง...มาก" เมื่อแผ่นอกผมกระทบกับหลังมัน สองแขนก็โอบรัดเอวมันแน่น ปากผมเองก็พร่ำบอกว่าคิดถึงจนคนในอ้อมกอดตัวแข็งทื่อ
"......"
"ไอ้ทิว...กูคิดถึงมึงนะ ทำไมถึงหายไปแบบนี้" แต่มันก็ไม่พูดอะไร กลับแกะมือผมออกจากเอวมันด้วยซ้ำ
"มึงมาได้ไง"
"ไอ้ทิว! ทำไมพูดแบบนั้น!" พอมันแกะแขนผมได้ มือใหญ่ก็ดันให้ผมออกห่างก่อนจะมองผมด้วยหางตาจนเหมือนกับว่ามันไม่อยากจะมองหน้าผมเลยสักนิด
ทำไมถึงทำใจร้ายกับกูอย่างนั้น
"มึงกลับไปซะ กูไม่ว่างจะคุยกับมึงตอนนี้" สายตาคมที่เย็นลงอย่างเห็นได้ชัดกำลังมองผมเหมือนไม่แคร์อะไรก่อนใบหน้าหล่อจะกลับไปสนใจปีกผีเสื้อตรงหน้าต่อ
โดยที่ทำเหมือนกับว่าผม...ไร้ตัวตน
"แต่กูอยากคุยกับมึงนะ อยากกอดมึงด้วย มึงจะไล่กูกลับแบบนี้ไม่ได้"
ให้ตายสิวะ เมื่อก่อนเป็นมันที่วิ่งตามไล่ผมให้อยู่ แต่ตอนนี้กลับเป็นผมที่ต้องวิ่งไล่ตามมันซะเอง มันเป็นเพราะว่าผมรักมันแล้วมันไม่ได้รักผมแล้วใช่มั้ย
ถ้าเป็นแบบนั้น...ก็อย่ามาสัญญาว่าจะกลับมารับกัน
"มึงจะเลิกกับกูหรอ" ผมคว้าชายเสื้อมันแล้วดึงให้อีกคนหันมาก่อนจะถามเสียงเรียบ ถึงปากจะเอ่ยถามเหมือนไม่รู้สึกอะไร แต่ตอนนี้ผมไม่สามารถจะมองหน้ามันตรงๆได้ ถ้ามอง...น้ำตาผมคงไหลแน่
"อย่ามาชวนกูทะเลาะนะแวน กูต้องทำงาน" มันเอาสายวัดที่ใช้อยู่นั้นมาคล้องคอก่อนจะหันมาเท้าเอวแล้วมองผมอย่างเหลืออด
"กูไม่ได้ชวนทะเลาะ แต่กูแค่รู้สึกเหมือนมึงจะทิ้งกูไป" ผมค่อยๆเดินเข้าไปใกล้แล้วซบหน้าผากตัวเองกับอกกว้าง มือใหญ่ของมันผมก็เกี่ยวมันมาแล้วประสานมันแน่น
ทำขนาดนี้...ยังจะเมินกันอยู่หรอ
"ไอ้ทิว...กูกำลังจะไปเรียนต่อพรุ่งนี้แล้วนะ"
"........."
"เราอาจจะไม่ได้เจอกันอีก....ดังนั้นอย่าเมินกูแบบนี้"
"......." ร่างสูงยังคงเงียบ เงียบจนผมไม่รู้สึกอะไรจากแผ่นอกที่ซบอยู่เลยสักนิด แถมมือที่ผมจับก็ไม่คิดจะจับตอบด้วย
นี่คือคำตอบหรอ
"มันเจ็บนะ ถ้ามึงทำแบบนี้ มึงช่วยพูดอะไรหน่อยเถอะ ให้กูชื้นใจและมีความหวังว่ามึงจะไม่ทิ้งกู" ผมดันหน้าตัวเองออกห่างก่อนจะจ้องตาคมนิ่ง มันเองก็มองตาผมเหมือนกัน แต่ภายในนั้นมันช่างว่างเปล่าเหลือเกิน
"เดินทางปลอดภัยแล้วกัน" แล้วมือหนาก็ดันผมออกก่อนจะหันไปทำงานตรงหน้าอีกเหมือนไม่ใยดีกันสักนิด ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกเหมือนโลกใบนี้กำลังจะถล่มใส่ตัวผม
เย็นชาที่....สุด
"ไหนบอกว่าจะไม่ทิ้งกันไง! ไหนบอกจะดูแลกัน! แล้วไหนบอกว่าจะกลับมารับ!! มึงมันเลว!!"
มึงมันเชื่อไม่ได้!
ทำขนาดนี้ยังไม่สนกัน ยังไม่หันมามองกัน แบบนี้หมายความว่าไง!
"ด่าเสร็จแล้วใช่มั้ย ถ้าเสร็จก็กลับไป ซาร์...นายช่วยพามันออกไปที"
อึก!
เหมือนกับโดนไม้หน้าสามตีแสกหน้า มันชาและแข็งทื่อไปหมด นี่กล้าทำกันขนาดนี้เลยใช่มั้ย!
"น้องแวน กลับบ้านเถอะนะ พี่ทิวกำลังยุ่งอยู่ นายอย่าเพิ่งคุยอะไรกับเขาตอนนี้เลย" พี่ซาร์คงสงสารผมเลยรีบมาดึงผมให้ออกจากห้อง แต่ตอนนี้ขาผมมันไม่สามารถขยับได้หรอก
เพราะมันเจ็บเกินไป
"ถ้ามึงจะยุ่งจนทำกูเจ็บแบบนี้ ก็อย่ามายุ่งกับกูเหมือนกัน!"
มันคงจริงที่พ่อพูด คนอย่างมันจะพาชีวิตผมล่มจม และบางทีมันอาจจะเบื่อผม...ไม่ใช่เพราะรักกันมากเกินไป
ผมเดินหนีออกมาจากตรงนั้นเมื่อร่างสูงยังคงหันหลังให้ และนั่นก็เป็นภาพสุดท้ายที่ผมได้เห็นมัน และต่อจากนี้...อย่ามาเจอกันอีก ไม่งั้นผมคงตายทั้งเป็นแน่
เพราะไม่ว่ายังไง...ผมก็รักมัน ถึงปากจะอวดเก่งแบบนั้นก็เถอะ
"ผมไปและครับ" ผมยกมือไหว้พ่อกับแม่ที่ออกมาส่งผมแต่เช้า พวกท่านก็ยิ้มรับก่อนจะเข้ามาสวมกอดผมแน่น
"โทรศัพท์หาแม่บ้างนะน้องแวน แม่คิดถึง"
"ครับ ผมจะพยายามโทรหานะ"
"ตั้งใจเรียนนะ เรียนจบแล้ว...แวนจะได้จัดการชีวิตตัวเองได้ โดยที่ไม่ต้องสนใจคนอื่นอีก" คราวนี้เป็นพ่อที่พูด ท่านตบไหล่ผมสองสามทีพร้อมกับทิ้งประโยคให้ชวนคิด
"ครับ"
"แล้วพอเครื่องลง เพื่อนพ่อจะมารับ เขาชื่อว่า...'ทิวากร'"
"ลุงทิวากรหรอครับ" เขาจะเป็นคนอย่างไงกันนะ แต่ก็คงเป็นคนดีมั้ง ไม่อย่างนั้นคงไม่คิดจะรับผมไปดูแลแบบนี้
"ครับ ถ้าอย่างนั้น...ผมไปนะครับ" ผมยกมือไหว้พวกท่านอีกครั้งก่อนจะกระชับกระเป๋าสะพายตัวเองให้ดีๆ
"แวน...เรื่องลูกกับทิวน่ะ"
อึก!!
แต่แล้วเสียงทุ้มก็เอ่ยเรื่องนี้ออกมา ซึ่งมันทำให้ผมแทบลืมหายใจ นี่พ่อจะสั่งห้ามอะไรผมอีก แค่นี้...มันก็ทิ้งผมไปแล้ว
"มีอะไรรึป่าวครับ รึถ้าพ่อกลัวว่าพวกเราจะแอบคบกัน ผมก็ต้อง..."
"อยากคบกันก็คบซะนะ ใช้ชีวิตให้มีความสุขซะลูกพ่อ"
บ้าน่า!!
"จริงหรอครับ!" ให้ตายเถอะ ทำไมพ่อถึงเปลี่ยนอารมณ์เร็วแบบนั้น แล้วยังอนุญาตให้คบกันอีก
เหมือนกับสวรรค์เห็นความดีของผม
"พ่อไม่ได้หลอกให้ผมตายใจใช่มั้ย"
"เห็นพ่อเป็นคนยังไงกันแวน" น้ำเสียงท่านดูดุเล็กน้อยแต่กลับทำให้ผมยิ้มแก้มปริ
"ขอบคุณครับ ขอบคุณพ่อกับแม่จริงๆ" ผมโผเข้ากอดพวกท่านอย่างไวก่อนจะกดจมูกลงบนแก้มของพวกท่านอยู่หลายที แม่เองก็ยิ้มดีใจตามผมโดยที่พ่อยังคงตีหน้านิ่ง
ขอบคุณครับพ่อ...ขอบคุณที่เข้าใจผม เพราะผมรู้สึดดีใจ...มากๆ
ตอนนี้ก็เหลือแค่ให้อีกคนกลับมา
'ท่านผู้โดยสารโปรดทราบ เที่ยวบิน AJ543 เกตจะปิดอีกสิบนาทีค่ะ'
แล้วเสียงหวานเรียกผมก็ดังขึ้น ผมเลยต้องลาพวกท่านอีกครั้งแต่คราวนี้พ่อกลับยื่นกล่องอะไรบางอย่างมาให้ มันมีขนาดไม่ใหญ่แต่ถูกห่อและผูกริบบิ้นอย่างสวยงาม ผมเลยรับมันมาอย่างงงๆพร้อมกับเดินเข้าเกตไป
ตอนนี้ผมไม่เศร้าอะไรอีกแล้วล่ะ
ต่อไปก็แค่...มีความสุขเท่านั้น
สามขั่วโมงผ่านไป
ผมนั่งคิดเรื่องทั้งหมดที่จะสามารถทำให้ผมได้มันกลับมาอยู่ด้วยกันจนเครื่องมาถึงเป้าหมาย ผมถึงจะหยุดและจัดเจงพาตัวเองผ่านด่านตอมอจนเสร็จสิ้น นี่มันก็เพิ่งสิบโมงเช้าของที่นี่ คุณลุงเองก็คงเตร็มตัวมารอรับผมแล้ว ผมเลยกระชับเสื้อกันหนาวตัวหนาแล้วเดินไปที่จุดรับกระเป๋า พอมันมาผมก็เดินไปที่จุดนัดเจอของสนามบิน เพื่อไม่ให้ท่านรอผมนาน
ที่จุดนัดพบตรงนั้นคนจะเยอะเป็นพิเศษ ทั้งญาติที่มารอรับกับคนที่ลงเครื่องมาพร้อมผมหลายๆไฟล์ จึงทำให้ที่นี่ดูวุ่นวายไปหมด ผมเลยต้องรีบกวาดตามองหาลุงทิวากรที่น่าจะอยู่ในหมู่คนตรงหน้า ตาก็ตามหาชื่อผมที่น่าจะถูกเขียนไว้บนกระดาษแผ่นบางที่ทุกคนถือเพื่อง่ายต่อการพบเจอ จนสุดท้าย...ผมก็เจอสักที
'Wellcome Van'
พอผมเจอชื่อผมลอยเด่นอยู่ตรงหน้าที่ห่างออกไปไม่ไกล แต่พอเลื่อนตามองขึ้นไปหาคนถือกลับเห็นผู้ชายตัวสูงใส่เสื้อโค้ตขนาดหนาที่มีปกตั้งทำให้ปิดหน้าไปเกือบครึ่ง แถมยังใส่หมวกคุมหัวมิด และบนใบหน้ายังใส่แวนกันแดดทรงสวยจนผมเริ่มรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ดูหนุ่มกว่าที่จะเป็นเพื่อนกับพ่อ ผมเลยเดินเข้าหาท่านด้วยความประหม่าก่อนจะเอ่ยสวัสดีอย่างนอบน้อม
"สวัสดีครับลุงกร" ผมยกมือไหว้ทันก่อนจะเงยหน้าขึ้นมอง
"ลุงกร?" แต่เสียงทวนชื่อกลับดูฉงนพอได้ยินผมเรียกแบบนั้น สงสัยจะไม่ถูกใจที่ผมเรียกว่าลุง แถมดูท่าทางจะเป็นหวัดซะด้วย ก็แหบซะผมฟังแทบไม่ออกขนาดนั้น
"ขอโทษครับ น้ากร" ผมเลยเปลี่ยนสรรพนามเรียกใหม่แต่ก็ยังไม่สามารถรู้สึกถึงอารมณ์ของเขาได้ เพราะปกเสื้อมันบังทึกอย่างบนหน้าทำให้ผมไม่เห็นอาการอะไรทั้งนั้น
"จำกันไม่ได้งั้นสิ"
"เออ..." เราเคยเจอกันด้วยหรอ แต่เท่าที่จำได้...ผมไม่เคยได้ยินชื่อลุงนะ
"หึ แล้วหิวมั้ย" เสียงหึในลำคอบ่งบอกว่าขำผมอย่างเห็นได้ชัดก่อนมือหนาจะเก็บกระดาษเข้ากระเป๋าแล้วหยิบผ้าพันคอผืนสวยมาพันคอผมให้ ผมก็งงที่เขาทำแบบนั้นแต่ก็ต้องยืนนิ่งเพื่อไม่ให้เสียมารยาท พอเขาพันเสร็จก็คว้ารถเข็นผมไปเข็นซะเอง
"ไม่ครับ เออ น้าครับ...ผมอยากกลับบ้านแล้ว" ผมอยากจะไปดูที่ที่ผมต้องอยู่แล้ว แล้วก็พักสมองสักที
"อืม งั้นตามมาสิ" เสียงแหบรับคำก่อนจะเดินนำหน้าผมไป แต่พอผมเดินตามแผ่นหลังกว้างนั้นก็เล่นเอาขาผมก้าวแทบไม่ออก
ทำไมแผ่นหลังน้ากรถึงเหมือนไอ้ทิว...มากขนาดนี้
"เป็นอะไร รีบมาสิ" พอคนข้างหน้าเห็นผมไม่ขยับก็หันมาเรียกให้ตามไป แต่มันรู้สึกแปลกๆยังไงชอบกล หรือว่าผมคิดถึงไอ้ทิวมากจนเห็นใครที่เหมือนก็กังวลไปหมด
ผมบ้าไปแล้วแน่ๆ
ผมรีบสะบัดความคิดบ้าๆให้หลุดออกก่อนจะเดินตามน้ากรไปอีกครั้ง จนมาถึงรถมินิคูเปอร์สีดำคันสวย น้ากรก็เปิดหลังรถแล้วเอากระเป๋าผมไปเก็บก่อนจะเดินมาหาผม มือใหญ่ลูบแก้มผมเบาๆก่อนจะก้มลงซะใกล้ ผมเห็นอย่างนั้นก็รีบผละออกก่อนจะมองอีกคนอย่างไม่เข้าใจ
"น้ากร! ทำอะไรน่ะ"
"จะจูบมึงไง" น้าเขาไม่พูดป่าวแต่เดินเข้ามาใกล้ก่อนจะดันผมจนหลังติดกับรถ ร่างสูงเองก็เดินเข้าประกบจนแผ่นอกเราสองคนชนกัน
กลิ่นนี้!
"มึงลืมกูแล้วรึไง" ในขณะที่ผมยังตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า แถมกลิ่นตัวอีกคนที่ผมได้กลิ่นอีก มันยิ่งทำให้ผมเริ่มสับสน ผมเลยคว้าแว่นกันแดดอันสวยนั้นออกก่อนจะผมจะเห็นใครบางคนที่เพิ่งใจร้ายกับผมไปเมื่อคืน
"ไอ้ทิว!!" ผมตกใจตาค้างไปแล้วครับ มันพูดอะไรไม่ออกเลยสักนิด แถมมือที่พยามดันออกคนออกจากตัวก่อนหน้านี้ก็เปลี่ยนเป็นกำเสื้อมันแน่น
นี่มันเกิดอะไรขึ้น ผมงงไปหมดแล้วนะ
"เพิ่งจำกันได้รึไง กูเสียใจมากนะที่มึงเรียกกูว่าลุงกรน่ะ" มันพูดไปก็ก้มมาไล้จมูกบนแก้มผมไป จนตอนนี้ผมรู้สึกถึงลมร้อนที่เกิดจากพิษไข้ที่รดแก้มได้เป็นอย่างดี ก่อนริมฝีปากสีซีดของมันจะกดเข้าหาปากผม
"อืม..." ผมขอหยุดคิดอะไรก่อนนะครับ เพราะผมกำลังตกใจและดีใจปนกันอยู่ ยิ่งลิ้นร้อนที่ชอนไช้เข้ามาเหมือนร้อนรนอะไรสักอย่างก็ทำให้ผมลืมทุกอย่างจนสิ้น
"คิดถึงมึงวะ" มันเอ่ยคำหวานก่ินจะก้มลงไปจูบอีกครั้ง โดยมันคอยประคองเอวผมแล้วสอดลำขาใหญ่มาข้างใต้เพื่อช่วยให้ประคองให้ผมไม่ทรุดลงไปกับพื้น
"ดะ เดี๋ยวก่อน ทำไมมึงมาอยู่นี่" พอตั้งสติได้ผมก็รีบดันอีกคนออกห่างก่อนจะถามเพื่อคลายความสงสัย แต่มันก็ยังคงคลอเคลียซอกคอผมไม่เลิก แถมมือหยาบก็ลูบไล้สะโพกผมเต็มที่
"ตามมาดูแลเมีย"
ว่าอะไรนะ!
"อย่ามาพูดเล่นนะ เมื่อวานมึงยังไล่กูกลับบ้านอยู่เลย" อย่าคิดว่ามาทำดีใส่แล้วจะหายโกรธนะ
"ก็ไฟท์กูออกตอนบ่ายสอง ถ้าทำงานไม่เสร็จกูก็ไม่ได้มารอรับมึงน่ะสิ"
อะไรนะ!
"แต่มึงเย็นชากับกูมาดเลยนะ" ผมลงทุนทำขนาดนั้นก็ยังนิ่ง แล้วตอนนี้จะมาแก้ตัวอะไร
"ไม่เย็นชาก็จับมึงปช้ำอะดิ ยิ่งไม่ได้เจอเป็นอาทิตย์สองอาทิตย์ กูนี่แทบสติแตก" จะบอดว่าถ้าไม่ทำแบยนั้นตัวเองก็จะทำวานไม่ทันงั้นหรอ
"แล้วทำไมไม่บอกกู หายไปเป็นอาทิตย์ๆ พอไปหาก็ไล่กันกลับ มันไม่มากไปหน่อยรึไง!" ถึงเหตุผลจะดีแต่ก็รู้สึกโกรธ มันจะปิดผมทำไม แค่บอกกันสักนิดจะได้ไม่กังวลก็ยังดี ไม่ใช่มาทำแบบนี้ เพราะใจผมหายหมด
"ก็นักข่าวมันเยอะ เดี๋ยวมึงจะลำบาก"
"ไม่ต้องมาแก้ตัวนะ มึงทำให้กูเสียความรู้สึก แล้วยังพูดเหมือนไม่รักกันอีก มันทำให้กูคิดว่ามึงจะเลิกกับกู...เหมือนที่ข่าวลง" ผมด่ามันคำใหญ่จนแทบหายใจไม่ทัน แต่สุดท้ายก็ใจหายวาบเมื่อบอกว่าเลิก ผมกลัวจริงๆ กลัวจะต้องเป็นแบบนั้น
"กูไม่ได้พูดสักหน่อยว่าจะเลิก มึงคิดมาก" ผมกดจมูกเข้าที่แก้มและขมับหลังจากบอกผมเสร็จ แถมวงแขนกว้างก็กอดร่างผมจนแทบจะจมเข้าไปรวมกับตัวมัน
"ก็พ่อบอกให้กูเลิกกับมึง แล้วพ่อก็ต้องบอกกับมึงให้ทำแบบนั้นแน่"
"ป่าวสักหน่อย พ่อมึงบอกจะให้มึงไปเรียนต่อ เพราะไม่ชอบให้เป็นดารา กูก็เข้าใจนะ คนอยู่ในวงการศึกษาก็ต้องการให้ลูกตัวเองมีงานที่มั่นคงทำ แต่เขาก็เป็นห่วงมึงไม่อยากให้ไปอยู่คนเดียว เขาเลยขอให้กูตามมาดูแลมึงและให้กูเคลียร์ตัวเองให้เสร็จภายในสองอาทิตย์แล้วมารอรับมึงที่นี่"
จะจริงหรอ!! ผมไม่ได้หูฝาดไปใช่มั้ย
"แต่เขาบอกให้กูเลิกกับมึงนะ แล้วมึงก็ไม่ยอมรับโทรศัพท์กูด้วย"
"เขาแกล้งมึงป่าว แต่กูไม่ว่างจริงๆวะ พออีกทีก็จำไม่ได้ว่าลืมมือถือไว้ไหน เลยขี้เกียจหา" ไอ้บ้า! แต่นั่นทำให้กูเกือบบ้าเลยนะ!
แต่พ่อแกล้งจริงผมหรอ...พ่อผมเนี่ยนะ
"แล้วมึงจะหายโกรธกูยัง" คราวนี้มันเป้นฝ่ายถามผมเสียงอ่อน และดูเหมือนมันจะอยากให้ผมเลิกถามนู้นถามนี่สักที
แต่การหายโกรธนี่สิ...มันยากนะ เพราะผม....
"กูโกรธมึงลงที่ไหนล่ะ" พอว่าเสร็จผมก็ค่อยๆโน้มลำคอแกร่งให้ลงมาก่อนจะประกบจูบลงไปช้าๆ แต่เนินนาน
ความรู้สึกนี้...ที่ผมโหยหา
"กูคิดถึงมึงมากนะแวน"
"อืม เหมือนกันนะ"
สุดท้ายความพยายามของผมที่จะทำให้มันจดจำผมให้ขึ้นสมอง มันดันสำเร็จเกินกว่าที่ผมคาด เกินจนมันกลายเป็นความรักที่ขาดกันไม่ได้ เพราะผมเองก็จดจำมันจนขึ้นใจเหมือนกัน
ใช่มั้ย...ไอ้หมาใหญ่
กูดังจนมึงจำได้ขึ้นใจเหมือนกันใช่มั้ย
จุ๊บ จุ๊บ จุ๊บ
"ทำอะไรอยู่หรอ แล้วนั่นอะไรน่ะ"
"ของขวัญจากพ่อน่ะ" ผมโชว์กล่องของขวัญของพ่อให้คนที่กำลังกดริมฝีปากร้อนทั่วเนินไหล่ผม แต่มันก็แค่มองแล้วหันไปไซร้คอผมจากด้านหลังต่อ
ผมเลยปล่อยให้มันทำแล้วหันมาแกะของขวัญตรงหน้า ก่อนอีกคนจะดึงเอวผมให้ขึ้นไปนั่งตักที่เปลื่อยเปล่าของตัวเอง แล้วส่งมือร้อนลูบๆคลำๆที่ต้นขาจนผมต้องหนีบขาเข้าด้วยกันแน่น
"อะไรของมึงเนี่ย เมื่อกี้ก็เพิ่งทำไปนะ"
"ก็คิดถึงนี่"
ไอ้บ้า! ชอบโยนมุขนี้ใส่ตลอด แล้วกูจะทำไรได้ล่ะ นอกจากยอมมึงเนี่ย
"เดี๋ยวขอแกะของขวัญก่อนนะ" ผมเลยต้องจับคางมันไว้มั่นแล้วหอมลงบนแก้มสากหนัก แต่มันกลับรั้งหน้าผมไว้แทนแล้วกดจูบหวานลงมาจนผมต้องโอบรอบคอไว้เพื่อเป็นที่ยึด
"พะ พอก่อน อะ..." แค่ผมอ่อนมันก็ลุกผมหนัก ทำไมถึงกลายเป็นหมาหื่นไปได้ล่ะเนี่ย
"งั้นกูให้มึงแกะของขวัญแค่หนึ่งนาที ถ้ายังไม่เสร็จกูจะไม่สนแล้วนะ" อยู่ๆมันยื่นเงื่อนไขมาให้ ตอนแรกก็ไม่ถูกใจที่มันพูดเหมือนสั่ง แต่พอเห็นสายตามันที่เอาแต่มองหน้ากับเรือนร่างผมก็พอเข้าใจ...ว่ามันกำลัวอดทนอยู่
นี่คือการยอมสุดๆของมันแล้ว
"อืมๆ จะรีบแกะนะ" ผมพูดเสร็จก็รีบแกะกระดาษห่อออก ก่อนผมจะพบกล่องเล็กกำมะหยี่อีกกล่องด้านใน โดยมีจดหมายแผ่นเล็กติดมาด้วย ผมเลยเปิดจดหมายนั่นออกอ่านก่อนจะพบว่ามันเป็นลายมือของพ่อ
"พ่อขอโทษที่ทำให้แวนเสียน้ำตา แต่แวนใช้ชีวิตวัยรุ่นของตัวเองมากพอแล้ว ต่อไปคือชีวิตจริงที่แวนต้องจัดการเอง พ่อกับแม่รักแวนนะ และถ้าเกิดแฟนของแวนทิ้งแวนไป ก็อย่าเสียใจ เพราะนี่คือชีวิตจริง
ปล. ของขวัญของพ่อกับแม่ให้ลูกทั้งสอง"
ลูกทั้งสอง?
ผมอ่านจบก็รีบคว้ากล่องเล็กอีกกล่องมาเปิดทันที ก่อนความวาวของมันจะกระทบเข้ากับตาผมอย่างจัง
แหวนเงิน
ผมหยิบมันออกมาดูก็พบว่ามันแกะแยกออกจากกันได้ มันเป็นแหวนคู่ใช่มั้ย เพราะทั้งสองวงมันเกี่ยวกันด้วยอักษรภาษาอักกฤษตัวทีกับตัววีกันอยู่ พอแยกออกมาก็พบว่าอีกวงเป็นตัวที และอีกวงเป็นตัววี แถมมันยังสวยจะผมต้องรีบยื่นให้อีกคนดู
"มึงๆ พ่อเขาทำแหวนให้เราด้วย"
"อะไรนะ" คนตัวสูงรีบเงยหน้าออกจากหลังผมก่อนจะมาคว้าแหวนสองวงนั้นมาดู
"สวยมั้ย"
"อืม" มันพลิกแหวนวงนั้นไปมาเหมือนสำรวจอะไรสักอย่าง ผมเลยรีบแย่งแหวนมาแล้วแยกออกจากกัน
"เอานิ้วมา" ผมยื่นมือไปหามันก่อนมือใหญ่จะยอมวางบนมือผม ผมเลยค่อยๆหยิบแหวนตัววีสวมให้มันตรงนิ้วนางข้างซ้าย ก่อนจะยื่นตัวทีให้อีกคน
"สวมให้กูสิ" มันเองก็รีบรับแหวนมาแล้วสวมลงบนนิ้วนางข้างซ้ายให้เหมือนกันก่อนฝีปากบางจะกดจูบลงบนหลังแหวนนั้นช้าๆ
"ผมยินดีรับนายรฏาเป็นภรรยาครับ แล้วนายรฏายินดีจะรับนายทิวากรเป็นสามีหรือไม่"
ตึกตักๆ
"พูดบ้าอะไรเนี่ย!" ให้ตายเถอะ ผมเขินจริงๆนะ อยู่ๆก็มาพูดแบบนี้...เหมือนคำสัญญาระหว่างชีวิตคู่
"ตอบสิ นายรฏายินดีรับนายทิวากรเป็นสามีหรือไม่"
สามี...งั้นหรอ
"รับครับ" ยินดีรับอย่างยิ่ง
"เชิญเจ้าบ่าวจูบเจ้าสาวได้"
สิ้นเสียงทุ้มนั้น มือหนาก็ค่อยเชยคางผมให้แหงนขึ้นก่อนจะจุมพิตลงมาช้าๆ แล้วค่อยๆถอนออกอย่างอ้อยอิ่ง
"ชีวิตคู่มันศักดิ์สิทธิ์นะ อย่าทิ้งกันล่ะไอ้หมาเล็ก"
"แน่นอนอยู่แล้วไอ้หมาใหญ่"
รักกันขนาดนี้ใครจะทิ้งกันลง
จุ๊บ
น้องหมาเล็กกับพี่หมาใหญ่
EnD
++++++++++++++++++++++++++++++++
140103
จบ สัก ที เห้อ...
ต่อไปจะได้ลุยเรื่องพี่ฟินย์สักที นานมาก55
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ