Time Crime บทเพลงและกาลเวลา
10.0
เขียนโดย HirariYurari
วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556 เวลา 17.25 น.
15 chapter
6 วิจารณ์
18.36K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 16 กันยายน พ.ศ. 2556 09.24 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) ยามเมื่อต้องเล่าความจริง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ-03-
ยามเมื่อต้องเล่าความจริง
หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา แม้ว่าจะไม่ใช่วันที่นัดกัน เพสก็มักจะวิ่งไปหาคุนทาเร่อยู่เป็นประจำ
ทุกๆ เวลาที่เขาไปหาเธอ เขามักจะพยายามส่งเสียงร้องบอกเธอก่อนเพื่อไม่ให้เธอตกใจ และเธอเองก็มักจะหันกลับมามองเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม...เป็นรอยยิ้มที่ทำให้เขารู้สึกมีความสุข และอยากเดินเข้าไปนั่งอยู่ข้างเธอทันทีที่ได้เห็นรอยยิ้มนั้น
“จะว่าไปแล้ว...พวกคนอื่นๆ เขายังไม่รู้ว่านายเป็นอะไรไม่ใช่เหรอ...แล้วหนีออกมาแบบนี้เขาจะไม่เป็นห่วงแย่เหรอ?”
“อ่า...จะว่าไปก็ลืมเรื่องนั้นไปเสียสนิทเลยแฮะ...” เมื่อคุนทาเร่เอ่ยเตือนเขาด้วยสีหน้าเป็นห่วง เขาก็เหลือบตาขึ้น เอ่ยออกมาด้วยสีหน้าตื่นตระหนกเล็กน้อย
“ฮะๆๆๆๆๆ เรื่องแบบนี้มันก็ต้องมีพลาดบ้างสิเนอะ”
“อ่า...ถึงมันจะเป็นเรื่องที่พลาดกันได้ก็เถอะ...แต่พอโดนพูดตรงๆ แบบนี้แล้วมันรู้สึกหงุดหงิดจริงๆ...” เพสบู้ปากเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ทว่ามันกลับเรียกเสียงหัวเราะให้กับคุนทาเร่ได้มากขึ้นไปอีก
“ไปบอกพวกเขาก่อนดีไหม...? ตอนนี้พวกเขาคงจะตามหากันให้ทั่วแล้วนะ”
“ไปตอนนี้...จะดีเหรอ?” เพสขมวดคิ้วด้วยสีหน้าไม่มั่นใจ ในตอนนั้นตัวเขาได้หวนนึกไปถึง...ใบหน้าโกรธเคืองของเด็กสาวเพื่อนสนิทของเขาที่พร้อมจะฆ่าเขาได้ทุกเมื่อยามเมื่อพบเจอเขา...เขารู้สึกกลัวใบหน้าของเธอ ไม่อยากจะลงไปหาและบอกเธอตอนนี้ อีกทั้งยังรู้สึกกลัวด้วยว่าเธอจะเข้าใจเรื่องที่เขาต้องการสื่อหรือเปล่า
ทว่าคุนทาเร่กลับส่ายหน้าเบาๆ เงยหน้าขึ้นมองเขาก่อนจะเอ่ยปากพูดออกมา “มันเป็นเรื่องที่จำเป็นนี่นา...ฉันไม่หนีไปไหนหรอก แต่พวกเขาจะเป็นห่วงนายมากนะ เพราะฉะนั้น...ไปเถอะ”
“งั้นเหรอ...แต่ถึงยังไงยัยเจโลก็ต้องมาที่นี่อยู่แล้วนี่นา...รออีกหน่อยก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยนี่”
“ปล่อยให้เขามากับไปหาเองมันให้ความรู้สึกต่างกันนะ...”
“....” คุนทาเร่หันมามองเพสนิ่ง เพสเองก็ยกมือขึ้นไพล่หัวพลางหันไปจ้องมองคุนทาเร่นิ่งเช่นเดียวกัน...พวกเขานั่งจ้องตากันเช่นนั้นอยู่นาน ในที่สุดเพสก็ต้องเป็นฝ่ายแพ้...
“เฮ้อ...แค่ไปก็พอแล้วใช่ไหมล่ะ? แค่ไปน่ะ...” เขาถอนหายใจออกมาแล้วยันตัวลุกขึ้นจากก้อนหินอย่างเหนื่อยอ่อน
“อื้ม! แบบนั้นน่ะถึงจะดีกว่านะ” คุนทาเร่พยักหน้า เธอหัวเราะให้กับท่าทางเหนื่อยอ่อนของเขา หลังจากยืนนิ่งฟังเสียงหัวเราะของคุนทาเร่อยู่ได้สักพัก เขาก็ได้ตัดสินใจเดินออกจากบริเวณนั้นไป
ตอนก่อนจะมาที่นี่เขาได้ใช้ทริคแบบเดิมๆ ในการล่อให้เธอไปที่อื่นก่อน...เพราะฉะนั้นถ้าเขาต้องการหาเธอก็คงต้องไปหาเธอในหมู่บ้านไม่ก็รอเธออยู่ในบ้าน...เข้าไปในหมู่บ้านงั้นเหรอ...ไม่ใช่แค่โดนเจโลตวาด แต่เขายังจะโดนพวกคนในหมู่บ้านไล่จับและตวาดจนหูชากันหมดแน่...
“เอาเป็นว่ารออยู่ที่บ้านแล้วกัน...” เขาตัดสินใจด้วยสีหน้าเหยเก อีกใจหนึ่งก็คิดว่าจะไปอธิบายเรื่องราวให้ผู้เป็นแม่เขาฟังด้วย แบบนั้นจะได้ถือว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวไปในตัว...
ทว่าเขากลับคิดผิดโดยสิ้นเชิง...เมื่อเขาเดินมาจนถึงหน้าทางลงหน้าผา เขาก็รู้สึกได้ถึง...เสียงฝีเท้าของใครบางคนที่คุ้นเคยมากเสียจนน่าประหลาดใจ
“เ-พ-ส-ส-ส-ส-ส-ส-ส-ส-ส อ-ยู่-ที่-นี่-เ-อ-ง-เ-ห-ร-อ-?”
“!!” เขาตกใจเสียงร้องนั่น...เสียงที่เหมือนหลุดรอดออกมาจากห้วงลึกของนรกขุมสุดท้าย...ชั่วขณะนั้นหัวสมองของเขาพลันขาวโล่งไปชั่วขณะ และแล้วเขาก็โดนเจ้าของเสียงนั้นโจมตี
“บอกแล้วใช่ไหมว่าห้ามออกมาข้างนอกตามใจชอบแบบนี้น่ะ ถ้าเกิดอาการของนายดันทรุดขึ้นมาระหว่างที่คนอื่นไม่อยู่นายคิดจะทำยังไง!? นอนรอความตายอยู่ตรงนั้นจนกว่าฉันจะมาช่วยงั้นเหรอ!? อ้อ! หรือว่าจะนอนตายอยู่ตรงนั้นไปเลยกว่าจะพบศพก็พบว่านายตายไปแล้วงั้นเหรอ!? ชีวิตของนายไม่ได้เป็นของนายคนเดียวนะ!! เพราะฉะนั้นช่วยทำตัวเป็นเด็กดีแล้วกลับไปนอนนิ่งๆ อยู่ที่บ้านซะนะคะ ไอ้คุณเพื่อนสมัยเด็กสุดที่รัก...”
“จะ...เจ็บ!! โอ้ย!! นี่เจ็บจริงๆ นะเนี่ย ถ้าเธอไม่หยุดล่ะก็หัวของฉันได้แยกเป็นสองส่วนแน่ๆ เลยนะเนี่ย โอ้ย! เจ็บ!!”
“หนอยแน่!!!” เจโลตอนนี้ไม่ได้อยู่ในสภาวะที่จะสามารถพูดคุยได้ตามปกติแล้ว...เธอโกรธจนปรอทวัดอารมณ์แตกละเอียด...แตกในระดับที่ไม่สามารถเรียกร้องสติให้กลับมาทำความเข้าใจกันได้อีกเป็นครั้งที่สอง...ตัวเธอซึ่งปรอทแตกละเอียดยิบโดยสิ้นเชิงนั้น ได้ใช้กำปั้นของเธอหมุนควงไปบนหัวของเขาอย่างรวดเร็ว...ระดับความเจ็บปวดนั้นมีมากเพียงพอถึงขนาดทำให้หัวของเขาแยกได้ ซึ่งถ้าหากตัวเขายังคงเป็นตัวเขาอย่างเช่นตามปกตินั้น ตัวเขาก็คงจะเกิดอาการกระตุกชักดิ้นชักงอยืนไม่ขึ้นไปเป็นระยะเวลาหลายอาทิตย์หรืออาจจะชักตายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว...
“......วะ......ว้าย!!! ขอโทษทีเพส ฉันขอโทษ!! เธอไม่เป็นไรใช่ไหม!!?”
“อะ...อืม...เจ็บดิ ถามได้...” ตัวเขาค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นมาเมื่อเธอปล่อยเขาลงบนพื้น เพราะเป็นตัวเขาในตอนนี้เขาจึงไม่ได้รู้สึกอะไรไปมากกว่าเจ็บหัวทั่วไป...เป็นความรู้สึกที่เขาเองก็ยังไม่เคยคิดว่าจะได้สัมผัส...ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยประสบความรู้สึกเจ็บเช่นนี้...แต่เป็นเพราะเขาไม่มีโอกาสได้รู้สึกเจ็บแบบนี้ต่างหาก...
“พะ....เพส....ไม่เป็นอะไร....เหรอ?”
“?” เพสหันกลับไปมองเจโลด้วยความสงสัย ในคราวแรกเขาแอบรู้สึกสงสัยว่าเธอกำลังพูดเรื่องอะไร ทว่าเมื่อเขานึกสาเหตุนั้นได้ เขาก็เข้าใจ...
เธอ...ยังไม่รู้เรื่องการบำบัดที่คุนทาเร่เคยทำให้เขาเมื่อหลายวันที่แล้วนั่น...
“อ่า...ฉันไม่เป็นไรหรอก แล้วที่สำคัญเธอมาที่นี่ได้พอดีเลย ฉันมีเรื่องอะไรที่อยากจะบอกเธอหน่อยนะ”
“เรื่อง...อะไรงั้นเหรอ?” เจโลยังคงดูสับสนอยู่มาก...อาจจะเป็นเพราะความผิดพลาดร้ายแรงของเธอที่ได้ทำกับเพสเอาไว้ ทำให้เธอไม่กล้าที่จะพูดหรือคิดอะไรออกมาได้อย่างตรงไปตรงมาอีก...ทว่าเขากลับไม่ได้คิดมาก ส่งเสียงหัวเราะพร้อมเอื้อมมือไปจับมือเธอ
“ตามฉันมาสิ อยากรู้ใช่ไหมล่ะ? ทำไมเธอหมุนควงสว่านหัวฉันขนาดนั้นแล้วฉันถึงไม่เป็นอะไร”
“อะ...เอ๋?” เจโลเงยหน้าขึ้นพ่นถ้อยคำแสดงความสงสัยออกมา ทว่าเพสก็ยังไม่สนใจ ได้จับมือเธอดึงลากเข้าไปในป่าเบื้องหน้าแล้ว
พละกำลังที่เขาใช้ดึงเธอไปด้านหน้านั้นอาจจะไม่ได้แข็งแกร่งเท่าตัวเธอซึ่งถูกนำพาไป....มันก็แน่นอนอยู่แล้ว เพราะตามปกติเขานั้นมักจะนอนอยู่บนเตียงตลอด ส่วนตัวเธอนั้นมักจะวิ่งไปไหนมาไหนคอยดูแลเขาและพบปะกับผู้คนในหมู่บ้านอยู่เรื่อยๆ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่พละกำลังของพวกเขาจะต่างกันเช่นนั้น
ทว่าสิ่งที่เธอประหลาดใจไม่ใช่เรื่องนั้น...ไม่ใช่เรื่องที่เขามีพละกำลังน้อยกว่าเธอเช่นนั้น...
แต่เป็นเรื่องที่...ทำไมเขาถึงได้มีพละกำลังสามารถลากเธอเดินไปข้างหน้าได้ทั้งๆ ที่เขามักจะล้มลงไปนอนทุกครั้งที่ต้องออกแรงทำอะไรหนักๆ ต่างหาก...
เขาได้นำพาเธอมุ่งตรงเขาไปในป่าโดยไม่มีท่าทางแห่งความลังเล...และตัวเธอก็เข้าใจได้ในทันทีว่าเขากำลังนำพาเธอไปที่ไหน
ที่ที่เขากำลังพาเธอไป...ก็คือที่ที่เธอเคยเจอเขานอนล้มอยู่ในตอนนั้น...
“กลับมาแล้วคุนทาเร่!! ดูสิ ฉันพายัยนี่มาด้วยล่ะ!!”
“!!” เมื่อวิ่งออกมาจนถึงด้านนอกป่าแล้ว เพสก็ส่งเสียงตะโกนร้องออกมาด้วยความยินดี เจโลหันไปมองหน้าเขาด้วยสีหน้าตกใจ แต่หลังจากนั้นไม่นานเธอก็สังเกตเห็น...ใครบางคนที่กำลังนั่งอยู่บนโขดหินริมเชิงผา หันหน้ามาทางนี้และจ้องมองพวกเธอด้วยรอยยิ้ม
“ดูเหมือนจะเจอกันตรงทางขึ้นหน้าผาสินะ...ฉันสัมผัสได้ตั้งแต่แรกแล้วน่ะว่ามีคนขึ้นมา ก็คิดอยู่แล้วว่าน่าจะเจอกันตรงนั้น...”
“อ่า...รู้สึกได้ถึงขนาดนั้นเลยเหรอ...เธอนี่มันสุดยอดจริงๆ ฮะๆๆๆๆ”
“?” เจโลเผยสีหน้าสงสัย เธอจ้องมองพวกเขาทั้งสองสลับกันด้วยความรู้สึกไม่เข้าใจ ท่าทางที่พวกเขาทั้งสองพูดคุยกันนั้น มันดูสนิทสนมกันมากเสียจนตัวเธอเองก็ยังไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นหรือเรื่องราวเป็นอย่างไร แต่แล้วในที่สุดเพสก็ได้หันกลับมาอธิบายเรื่องราวให้เธอ “เธอคนนี้...อ่า ฉันคิดว่าเธอคงจะเคยเจอกันมาก่อนหน้านั้นแล้วล่ะนะ...แล้วฉันเองก็เคยบอกด้วยว่าเธอเป็นภูติ...ถ้าจะให้พูดง่ายๆ ล่ะก็...เธอเป็นคนช่วยรักษาฉันจากโรคที่ฉันกำลังเป็นอยู่ล่ะ”
“เอ๋?” ฟังที่เพสพูดออกมาแล้วเจโลก็ยิ่งสงสัยหนัก เธอสะบัดหน้ากลับไปมองเขาอย่างละล่ำละลัก หลังจากนั้นสะบัดหน้ากลับไปมองเธอคนนั้นซึ่งนั่งอยู่บนโขดหินอีก...ในตอนนั้นเองเธอคนนั้นก็ได้ส่งเสียงหัวเราะออกมา “อธิบายแบบนั้นเขาคงจะไม่เข้าใจหรอกมั้ง ดูสิ...ท่าทางออกจะงงขนาดนี้เลยนี่นา”
“อ่า...อย่างนั้นเหรอ? แต่ฉันคิดว่าฉันอธิบายชัดเจนแล้วเชียวนะ...หรือว่านี่ฉันพูดอะไรกำกวมไปงั้นเหรอ?” เพสขมวดคิ้ว ยกมือขึ้นเท้าหัวของตัวเองหน้าบู้ไปด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ ทางคุนทาเร่นั้นกลับได้แต่ส่งเสียงหัวเราะออกมา ส่วนเจโลนั้น พวกเขาทั้งสองพูดคุยกันเรื่องอะไรอยู่ เธอกลับไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย...
“ถ้าอย่างนั้นขอให้ฉันช่วยเล่าให้ฟังแทนเขานะ...บางทีอาจจะมีเรื่องอะไรที่เขาเล่าไม่ค่อยเข้าใจด้วย แล้วเธอเองก็อาจจะทำใจเชื่ออะไรไม่ค่อยได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นขอฉันสาธิตให้เธอเห็นเป็นขวัญตาเลยน่าจะดีกว่า”
“อ่า....” เจโลพึมพำออกมา เธอยังคงไม่เข้าใจว่าพวกเขากำลังพูดอะไรกันอยู่ ในตอนนั้นคุนทาเร่ก็ได้เผยยิ้มออกมา แล้วลุกขึ้นยืน เตรียมทำอะไรบางอย่างที่เพสเองก็รู้อยู่แล้ว เพียงแต่เจโลนั้นยังไม่สามารถทำความเข้าใจอะไรได้...
“!!”
ปีกสีขาวสะอาดซึ่งมีเส้นใยสีชมพูอ่อนพันเกี่ยวกันไปมาค่อยๆ กางออกมาจากกลางแผ่นหลังของเธอคนนั้น...ปีกเหล่านั้นแผ่กางออกไปรอบตัวเธอ และแม้มันจะไม่ได้ขยับตัวเพื่อกระพือใดๆ ตัวเธอก็ยังค่อยๆ ลอยขึ้นไปบนฟ้าอย่างช้าๆ...
เพสเงยหน้าขึ้นจ้องมองคุนทาเร่ด้วยรอยยิ้มเหมือนผู้รู้ ในขณะเดียวกันเจโลกลับเงยหน้าขึ้นจ้องมองเธอด้วยสีหน้าของผู้ตื่นตะลึง
หลังจากลอยตัวขึ้นไปได้สักระยะคุนทาเร่ก็ได้สังเกตเห็นสีหน้าของเจโลและเผยยิ้มออกมาอย่างแสนจะงดงาม
“ขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการอีกครั้ง ฉันชื่อว่า ‘คุนทาเร่’ หรือจะเรียกฉันสั้นๆ ว่า ‘คุน’ ก็ได้...เป็นภูตินะ”
*************************************************
คุนทาเร่และเพสได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เจโลฟังต่อ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วคุนทาเร่จะเป็นผู้เล่าเรื่องให้ฟัง ส่วนเพสนั้นคอยต่อเติมเสริมส่วนที่สำคัญยามเมื่อเธอพูดพลาดจุดใดไป...เพราะได้เห็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อแก่สายตาเช่นที่คุนทาเร่ได้แสดงการลอยบนฟ้าให้เธอเห็น ดังนั้นเธอจึงได้เชื่อเรื่องที่ทั้งสองคนพูดเสียสนิทใจ
“นั่นก็หมายความว่า...ที่เพสไม่เป็นอะไรทั้งๆ ที่ฉันทำเขาไปขนาดนั้นก็เพราะ...เป็นเพราะเธอคนนี้ช่วยงั้นเหรอ?” เจโลยังคงไม่สามารถเรียกชื่อคุนทาเร่ออกมาอย่างสนิทใจได้ ด้วยเหตุนั้นเธอจึงยังคงใช้คำเรียกแบบห่างเหินอย่าง ‘เธอคนนี้’ ต่อไป...แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังคงพยายามทำความเข้าใจเรื่องที่คุนทาเร่เล่าให้ฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ คุนทาเร่เผยยิ้มอย่างไม่คิดมากแล้วจึงพยักหน้าออกไป “อืม...ถึงจะเรียกว่าเป็นการรักษาไม่ได้ก็เถอะ แต่ถ้าเกิดช่วยทำให้พวกเธอมีความสุขได้ฉันเองก็จะมีความสุขนะ”
“งั้นเหรอ....” เจโลเพียงพึมพำออกมาสั้นๆ เธอไม่ได้พูดอะไรอีกเลย ทำเพียงแค่หรี่ตาลงเล็กน้อย จ้องมองเธอด้วยสีหน้าไม่ใคร่พอใจอยู่บ้าง
“เห็นไหมล่ะ!? เท่านี้ฉันก็สามารถออกมาวิ่งเล่นได้เหมือนเด็กทั่วไปแล้วนะ!! ไม่จำเป็นต้องให้เธอกังวลด้วย เพราะฉะนั้นเธอไม่จำเป็นต้องวิ่งตามหาฉันทุกครั้งที่ฉันหนีออกมาแล้วล่ะ!!”
“แล้วนายจะเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้คุณป้าฟังยังไง? คิดว่าคุณป้าเขาจะเชื่อเรื่องเหนือจินตนาการแบบนี้งั้นเหรอ? พวกคุณป้าเขาไม่ได้มาเห็นของพวกนี้ด้วยตาตัวเองเสียงเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้นจนกว่าคุณป้าเขาจะยอมเข้าใจ ยังไงนายก็ต้องคอยอยู่ที่บ้านต่อไปอยู่ดี”
“ทะ...ทำไมถึงเป็นแบบนั้นน่ะ!?”
“.....” เพสเบิกตากว้าง ตะโกนแย้งเจโลออกมาด้วยสีหน้าไม่พอใจ ทว่าคุนทาเร่กลับทำเพียงแค่เบิกตากว้าง หันไปมองทางเจโลด้วยสีหน้าไม่เข้าใจเท่านั้น
“แต่ถึงอย่างนั้น...เธอเองก็คงจะอยากให้เขาแข็งแรงขึ้นใช่ไหม?”
“แน่นอนอยู่แล้ว การให้เขาได้หายจากโรคที่รักษาไม่ได้นี่ถือเป็นความฝันอย่างหนึ่งของฉันเลยล่ะ แต่ว่าเรื่องของคุณป้านั้นแตกต่างกันออกไป...ถ้านายทำให้เธอเป็นห่วงมากจนล้มป่วยลงไปจะทำยังไง?....ที่เธอพูดก็คือเธอจะรักษาให้เขาทุกๆ สามวันสินะ...ถ้าอย่างนั้นในระหว่างนั้นต่อให้เขาไม่มาหาเธอเขาก็คงไม่เป็นอะไรสินะ?”
“อืม....มันก็ไม่เป็นอะไรอยู่หรอก...นะ...” คุนทาเร่เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงไม่ใคร่เข้าใจเล็กน้อย เมื่อได้ยินดังนั้นเจโลก็ทำความเข้าใจ สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วปล่อยออกมา
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็กลับกันเถอะ เรื่องรักษาบำบัดอะไรนั่นก็วันพรุ่งนี้ใช่ไหมล่ะ? หลังจากนั้นก็มาเฉพาะเวลาที่จะรักษาดีกว่า ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวคนอื่นจะเป็นห่วงเอานะ”
“ดะ....เดี๋ยวก่อนสิ!! ถ้าแบบนั้นฉันก็ไม่มีโอกาสได้มาคุยกับเธอเลยน่ะสิ แล้วแบบนี้จะรักษาไปเพื่ออะไรล่ะ!?”
“....”
“!!” เจโลหันกลับมามองเพสหลังจากจับมือลากเขาไปได้ชั่วระยะหนึ่ง เธอจ้องหน้าเขานิ่งเสียจนตัวเขาเองก็ยังเริ่มรู้สึกใจไม่ดี ทว่าท้ายที่สุดเธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยนอกจากหันกลับไปแล้วเอ่ยออกมาเบาๆ “งั้น...ถ้าเกิดนายทำให้คุณแม่ของนายเป็นห่วงจนต้องเจ็บไข้ได้ป่วย นายก็คงจะพอใจงั้นสินะ...”
“!!?” เพสตื่นตะลึง ถ้อยคำที่เธอเอ่ยออกมากรีดเฉือนเข้าไปภายในใจของเขาอย่างรุนแรง ทำเอาตัวเขาถึงกับเผลอพุ่งตัวเข้าไปจับไหล่เธอเอาไว้ด้วยไม่ได้ตั้งใจ “นี่เธอพูดเรื่องอะไรน่ะ!? ฉันไม่มีทางคิดแบบนั้นอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ!!?”
“ก็มันเป็นความจริงนี่นา...ฉันเห็นยังไงฉันก็เอามาพูดออกมาแบบนั้นก็เท่านั้นเอง” เจโลเอ่ยตอบด้วยสีหน้านิ่งเรียบ เธอไม่ได้ปัดมือเขาทิ้งไป แต่กลับเงยหน้าขึ้น จ้องตาเขาอย่างไม่คิดจะยอมแพ้
“อะ...เอาเถอะน่าทั้งสองคน...เอาเป็นว่าค่อยพยายามอธิบายให้พวกคนอื่นๆ ฟังแล้วค่อยมาเจอกันที่นี่อีกครั้งจะดีกว่านะ...”
“ตะ...แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นพวกเราก็จะได้เจอกันแค่ช่วงที่ฉันมาฟังเพลงของเธอเท่านั้นเองนะ!!”
“.....” คุนทาเร่ส่ายหน้ากลับมาเบาๆ เงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วจึงยิ้มออกมา “หลังจากอธิบายให้คนอื่นๆ ฟังได้....นะ”
“.....” เพสพูดอะไรไม่ออก เขาได้แต่ยืนนิ่งเงียบไปตอบหรือพูดอะไรกลับไปไม่ถูกเลย...
ทว่าท้ายที่สุดเขาก็ได้หันกลับไปมองเจโล เขาเห็นเธอยืนนิ่งจ้องมองเขาด้วยสีหน้าเฉยชา แม้สีหน้าของเธอจะทำให้เขารู้สึกทั้งโกรธทั้งเจ็บปวด ทว่าท้ายที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้
“โอเค...ถ้าอย่างนั้นฉันจะพยายามอธิบายให้พวกเขาเข้าใจได้ให้ไวที่สุด!!”
“อืม...ไม่จำเป็นต้องหักโหมมากก็ได้นะ ฉันไม่หนีไปไหนหรอก” คุนทาเร่เอ่ยออกมา เผยยิ้มให้เขาแล้วยกมือขึ้นโบกเล็กน้อย
“ขอบคุณสำหรับความกรุณาที่ช่วยพวกเรา...หลังจากนี้ฉันสัญญาว่าฉันจะหาสิ่งตอบแทนมาให้คุณแน่ จนถึงตอนนั้นได้โปรด...กรุณาช่วยเพสของฉันด้วย”
“อะไรกัน ของตอบแทนอะไรนั่นฉันไม่เอาหรอก!” คุนทาเร่เลิกลัก เธอยกมือขึ้นป่ายไปมาเหมือนจะบอกว่าเธอไม่ได้ต้องการอะไรทั้งนั้น ทว่าเจโลก็ยังคงยืนยันเสียงแข็งว่าจะมอบให้เธอ พร้อมจับมือลากพาเพสเดินเข้าป่าไป
“นี่ เจโล...ที่เธอบอกว่าฉันเป็นของเธอนั่นมันหมายความว่ายังไง? ฉันไม่ได้เป็นของเธอเสียหน่อย” เมื่อเดินออกมาพ้นบริเวณสายตาของคุนทาเร่แล้ว เพสก็เอ่ยแย้งออกมาด้วยสีหน้าไม่พอใจ แต่ถึงกระนั้นเจโลก็ยังคงจับมือเขา ลากตรงไปเบื้องหน้าโดยไม่คิดจะหันกลับมามองเขาเลย
“เรื่องนั้น...ฉันก็แค่หลุดปากไปก็เท่านั้นแหละ”
“นั่นสินะ...ฉันจะเป็นของเธอไปได้ยังไงจริงไหมล่ะ?” เพสถอนหายใจออกมา สีหน้าดูโล่งอกเล็กน้อยที่เธอไม่ได้สนใจอะไร
และแล้วพวกเขาทั้งสอง...ก็ได้เดินมุ่งหน้ากลับบ้านไปด้วยกัน...
**************************************************
หลังจากกลับมาที่บ้านในวันนั้น ตัวเขาก็คิดที่จะอธิบายเรื่องราวต่างๆ ให้แม่ของเขาได้รับรู้...ทว่าเขากลับไม่ทันได้คิดเลย...ถึงปัญหาที่กำลังรอเขาอยู่เบื้องหน้า...
“แม่! ผมมีเรื่องจะคุยด้วยครับ!!”
“เพส! กลับมาแล้วเหรอ ช่วงนี้ลูกชอบหนีออกไปอยู่ตลอดเลยนะ ถ้าเกิดอาการลูกแย่ขึ้นมาจะทำยังไง!?”
“!!” ทันทีที่เขาเปิดประตูวิ่งเข้าไปในบ้าน ผู้เป็นแม่ของเขาก็ได้หันกลับมาตวาดใส่เขาพร้อมกอดเขาเอาไว้แน่น ตัวเขาไม่เคยได้ยินเสียงตวาดของแม่เขาเลย เมื่อเป็นเช่นนี้เขาจึงได้แต่ยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูกไปครู่ใหญ่
“มะ....แม่...ผมไม่เป็นไรหรอกน่า เพราะฉะนั้นปล่อยผมเถอะ...” เขาพยายามจะเอ่ยปลอบแม่เขาแล้วยันตัวถอยออกมา ทว่าเมื่อเขาทำเช่นนั้นแม่ของเขากลับยิ่งดึงตัวเขาเข้ามากอดแน่นมากขึ้นไปอีก
“ไม่เป็นอะไรที่ไหนล่ะ!? ตั้งแต่เกิดมาลูกก็มักจะเจ็บป่วยออดๆ แอดๆ อยู่ตลอดแท้ๆ ทั้งขยับตัวหรือทำอะไรนิดหน่อยลูกก็มักจะเจ็บจนต้องนอนซมตลอดเป็นเวลาหลายสัปดาห์แท้ๆ!! แค่อาการดีขึ้นหน่อยชั่วระยะหนึ่งอย่าคิดว่าทุกอย่างมันจะดีขึ้นนะ!! แม่ยังไม่อยากเสียลูกไป....แม่ยังไม่อยากเสียลูกไป เข้าใจไหม!!?”
“มะ...แม่!! ผมไม่เป็นอะไรหรอกน่า!! เพราะฉะนั้นไม่ต้องร้องไห้ไปหรอก!!”
“ฮึก....ฮึก....ฮือ....”
“......” เพสทำอะไรไม่ถูก...ยามเมื่อเขาได้ยินเสียงร้องไห้ของแม่เขา ตัวเขากลับรู้สึกชาไปถึงขั้วหัวใจ....คิดอะไรก็ไม่ออก จะทำอะไรก็ไม่ได้...เป็นอาการที่ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจ...ไม่เข้าใจว่าได้เกิดอะไรขึ้นกับตัวเขากันแน่...
“คุณป้า ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ ถ้าเขาอยู่กับฉันฉันไม่มีทางปล่อยให้เขาออกไปเป็นอันตรายแน่นอน”
“จะ....เจโล....”
“!?” ในจังหวะนั้นเจโลก็ได้เอ่ยแทรกขึ้นมา เธอก้าวเดินเข้าไปเอ่ยพูดกับผู้เป็นแม่ของเพสด้วยท่าทางนอบน้อม เมื่อนั้นแม่ของเพสจึงได้เงยหน้าขึ้นไปมองเธอบ้าง
“คุณป้าเองก็น่าจะสังเกตเห็นแล้วนะคะ...ว่าตัวเขาทั้งๆ ที่ออกไปวิ่งโน่นวิ่งนี่บ่อยๆ ในช่วงนี้แต่กลับไม่เป็นอะไรเลย...ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนแค่ออกแรงนิดหน่อยเขาก็ล้มลงไปกองแล้วแท้ๆ ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องแปลกบ้างเหรอคะ?”
“จะ...จะว่าไปมันก็จริงนะ...พะ...เพส...ตอนนี้ไม่เจ็บอะไรใช่ไหม?”
“......” เพสเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา เขาหันไปมองทางเจโล แปลกใจที่เธอยอมช่วยเอ่ยพูดแทนเขาให้ เธอเพียงก้มหน้าลงไปเล็กน้อย ไม่มองเขาที่หันมามองเธอด้วยสีหน้าตกใจ จากนั้นจึงเอ่ยต่อ
“ไม่เจ็บใช่ไหมล่ะ? ทั้งๆ ที่ออกไปวิ่งมาขนาดนั้นแท้ๆ”
“อ่า....อืม....ไม่ได้เจ็บอะไรหรอก...”
“ทั้งๆ ที่อุตส่าห์ปีนขึ้นไปบนหน้าผาสูงชันขนาดนั้นตั้งหลายครั้ง แต่นายก็ไม่ได้เจ็บอะไรใช่ไหมล่ะ?”
“!!!” ผู้เป็นแม่ของเพสเบิกตาของเธอกว้าง เพสสังเกตเห็นสีหน้าของแม่ตนก็เผยสีหน้าตกใจ หันไปมองเจโลด้วยความคิดที่จะตะโกนด่าเธอกลับไป
“!!” ทว่าดวงตาคู่นั้นของเธอกลับเย็นเฉียบ...มันเป็นดวงตาที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน...
ราวกับกำลังบอกให้เขายอมทำตามที่เธอพูดแต่โดยดี...ราวกับกำลังปฏิเสธถ้อยคำทุกอย่างที่เขาต้องการเอ่ยแย้งเธอไป...
“อะ....อืม...ไม่เจ็บ...หรอก...” เพสเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าติดอึ้ง เขาจับจ้องมองเจโลนิ่ง ได้เพียงแต่จ้องตาเธอนิ่งไม่ละสายตาไปมองทางไหนอีกเลย
“จะ...จริงๆ ใช่ไหมที่ว่าไม่เจ็บน่ะ? ไม่เป็นอะไรจริงๆ งั้นเหรอ!!?”
“อะ...อื้ม!! ผมไม่เจ็บอะไรเลยครับ!!” เพสตกใจเสียงและมือของแม่เขาที่ยื่นมาเขย่าตัวเขา เอ่ยตอบเธอกลับไปด้วยอาการติดผวา และเมื่อได้ยินดังนั้นแม่ของเขาก็ได้เผยสีหน้าโล่งใจออกมา
“แต่ว่าที่เขากลับมาแข็งแรงแบบนี้ได้มันไม่ได้เป็นแค่เรื่องบังเอิญแต่อย่างใด...ทุกอย่างมันเป็นเพราะว่าเขาได้ขึ้นไปบนหน้าผานั่นและได้ไปพบเจอกับต้นไม้ต้นหนึ่งที่ได้ช่วยเขาเอาไว้ น่าเสียดาย...ที่ตัวฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าต้นไม้ต้นนั้นเป็นต้นไม้อะไร...”
“มะ....มีต้นไม้แบบนั้นอยู่ด้วยงั้นเหรอ!? ละ...แล้วทำไมตลอดมานี้พวกเราถึงไม่เคยรู้เลยล่ะ!!?”
“!!” เพสเบิกตาโตด้วยสีหน้าประหลาดใจ ในตอนนี้แม่ของเขาได้หันไปคาดคั้นกับเจโลแล้ว ดังนั้นตัวเขาจึงสามารถหันไปจ้องมองเจโลและเอ่ยถามเธอทางสายตาตรงๆ ได้โดยไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลว่าจะโดนแม่ของเขารู้
เพราะอะไร...ทำไมเจโลต้องโกหก...
เพราะอะไรเธอถึงไม่บอกเรื่องคุนทาเร่ให้แม่ของเขารู้?
เพราะคุนทาเร่เป็นตัวตนที่อยู่นอกเหนือความเชื่อของพวกผู้ใหญ่อย่างนั้นเหรอ หรือว่าจะเป็น....อย่างอื่น?
“แต่ต้นไม้นั้นสามารถบรรเทาอาการของเขาได้แค่ชั่วระยะหนึ่งเท่านั้นค่ะ เพราะฉะนั้นภายในสามวันหลังจากที่เขาได้รับการรักษาไป เขาจะต้องกลับไปที่ต้นไม้ต้นนั้นใหม่เพื่อไปกินผลของต้นนั้น แล้ววันนั้นก็คือวันพรุ่งนี้ค่ะ”
“มะ...ไม่ได้รักษาให้หายได้ตั้งแต่แรกงั้นเหรอ? ถะ...ถ้าอย่างนั้นมันคือต้นแบบไหนล่ะ? บอกหน่อยได้ไหมเพส แม่จะไปเด็ดมันมาให้ลูกเอง!!”
“อะ...เอ๊ะ!?” อยู่ดีๆ ผู้เป็นแม่ของเขาก็เบี่ยงเบนความสนใจกลับมาที่เขา เธอพุ่งตรงเข้ามาจับไหล่เขา คาดคั้นเขาด้วยสีหน้าตื่นตระหนกสุดๆ...เป็นสีหน้าที่เขาพบเห็นได้ในเวลาที่อาการของเขาทรุดแย่ลง...และเป็นสีหน้าที่ไม่ได้ทำให้เขา...รู้สึกสบายใจเลยแม้แต่น้อย...
“คงจะทำแบบนั้นไม่ได้หรอกค่ะคุณป้า เพราะเพสเองก็จำต้นไม้ต้นนั้นไม่ได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเขาคงจะบอกอะไรคุณป้าไม่ได้หรอกค่ะ”
“อะไรกัน!!?” ผู้เป็นแม่ของเขาส่งเสียงร้องครางออกมาด้วยความตื่นตกใจ ดวงตาเบิกโพล่งรีบพุ่งตรงเข้าไปหาเจโลอีก “ถะ...ถ้าอย่างนั้น...ถ้าอย่างนั้นลูกของฉันก็จะกลับกลายเป็นเหมือนเดิมอีกเมื่อถึงวันพรุ่งนี้น่ะสิ...ทะ...ทั้งๆ ที่อุตส่าห์หาวิธีการรักษาได้แล้วแท้ๆ ทำไม...ทำไมมันถึงได้เป็นแบบนี้!!”
“ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกค่ะคุณป้า...เรื่องนั้นน่ะมันมีทางออกอยู่แล้วล่ะค่ะ”
“!!” แม่ของเพสเงยหน้าขึ้นไปมองเธอ เพสเองก็จับตามองเธอด้วยความสงสัย เขาไม่รู้ว่าเธอจะงัดลูกไม้ไหนออกมาใช้อีก ทว่าเขาก็ไม่สามารถเอ่ยแย้งเธอออกไปได้ จึงได้แต่ยืนนิ่งๆ จับตามองเธอด้วยความรู้สึกไม่ใคร่พอใจเท่านั้น...
ทว่าเขากลับไม่ทันได้คิดเลย...ว่าเธอนั้นจะเป็นคนที่ร้ายกาจได้ถึงเพียงนี้...
“คุณป้าเองก็เคยได้ยินเหมือนกันใช่ไหมคะ? เรื่องปาฏิหาริย์ของป่าที่อยู่บนเนินเขานั่น...”
“!!”
“.....” เมื่อได้ยินเช่นนั้นเพสก็เงยหน้าขึ้นแล้วเผยสีหน้าเข้าใจ เขาได้หวนนึกไปถึง...สิ่งที่เธอกำลังพูดถึงนั่น...
ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ไม่ว่าจะเป็นดินแดนที่ไหนก็ย่อมมีเรื่องเล่าลึกลับต่างๆ ที่คอยเล่าต่อสู่กันฟังมา...สำหรับหมู่บ้านริมผาของเขาก็คือเรื่องของป่าบนเชิงเขานั่น
เขาว่ากันว่าในป่านั้นมีอะไรบางอย่างแปลกประหลาดอยู่...หากหลงเข้าไปยามค่ำคืนจะไม่มีโอกาสได้กลับออกมาอีก...แต่มันก็เป็นเพียงแค่ตำนานผีลักซ่อนธรรมดาเท่านั้น
“ในตอนกลางคืนนั้นฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ทว่าตอนที่เพสหลงเข้าไปที่นั่นเขาได้ไปเจอเข้าล่ะค่ะ...ทางเข้าปริศนาแห่งหนึ่ง...”
“.....” เพสที่ยืนห่างออกมาเล็กน้อยได้แต่เผยสีหน้าเหยเกออกมา เขาไม่คิดเลยว่าเธอจะใช้มุกเส้นตื้นแบบนี้เพื่อหลอกแม่ของเขา
อันที่จริงเล่าความจริงทั้งหมดให้ฟังตั้งแต่แรกก็จบเรื่อง...เขาคิดเช่นนั้นพลางคิดว่าวิธีการของเธอนั้นมันช่างไร้สาระ แต่ถึงกระนั้นแม่ของเขาก็ดูเหมือนจะเชื่อเรื่องนั้นมากกว่าที่คิด
“มะ...มันมีของแบบนั้นอยู่...จริงๆ เหรอ?” แม่ของเขาเงยหน้าขึ้น เอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเหมือนไม่ใคร่เชื่อใจ ทว่าเมื่อเธอหันกลับมามองตัวเขาที่ยืนอยู่ด้านหลัง เธอก็เผยสีหน้าลังเลออกมาอีกครั้ง
“ต้นไม้ที่ไม่เคยมีใครพบเห็นนะคะ...ถ้าเกิดเขาไม่เข้าไปพบโดยบังเอิญในป่าที่เป็นปริศนานั่นเขาก็คงไม่มีโอกาสได้กินผลของมันหรอกค่ะ...แต่ก็เพราะเป็นปริศนาเขาจึงจำไม่ได้ว่าต้นไม้ต้นนั้นหรือผลนั้นเป็นผลอะไร...ตอนแรกฉันเองก็ไม่ค่อยเชื่อหรอกค่ะ แต่ในเมื่อมันเป็นอย่างนี้ฉันเองก็คงไม่เชื่อไม่ได้...”
“จะ...จริงๆ เหรอ? เพส!!”
“!!” แม่ของเขาได้หันกลับมาถามเขาอีกครั้ง เขาสะดุ้งตกใจเล็กน้อยแต่หลังจากนั้นก็ได้พยักหน้าตอบกลับไป เมื่อนั้นเจโลจึงได้หยุดนิ่งไปชั่วครู่ ปล่อยให้แม่ของเขาได้พักผ่อนหายใจไปเล็กน้อย หลังจากนั้นจึงได้เอ่ยพูดต่อ
“แล้วดูเหมือนว่าถ้าถึงเวลาที่กำหนดแล้วเขาจะจำทางเข้าไปในป่านั้นได้ และดูเหมือนว่าเขาจะต้องไปคนเดียวด้วย...มีอยู่ครั้งหนึ่งฉันเคยไปกับเขา เขาจำทางเข้าไปที่นั่นไม่ได้ จนกระทั่งเมื่อฉันเดินลงจากเขาไป เขาถึงกลับมาหาฉันแล้วได้บอกว่าเขาเข้าไปในนั้นแล้ว...”
“จะ...จริงเหรอ...เป็นความจริงเหรอ...?”
“.....” คราวนี้เพสได้แต่พยักหน้าให้แม่ของเขาเงียบๆ แม้เขาจะรู้สึกผิดที่ต้องโกหกแม่ ทว่าในเมื่อเจโลนั้นเป็นคนจัดการเรื่องต่างๆ ให้เขาแล้ว...เขาเองจะไปทำลายแผนการของเธอก็ไม่ได้
“เพราะฉะนั้นไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ เมื่อถึงเวลานั่นแค่ให้เขาไปที่ป่านั้นคนเดียวอีกครั้งก็พอ...เดี๋ยวเขาก็จำทางเข้าไปที่นั่นได้ แล้วก็จะกลับออกมาอย่างปลอดภัยได้...เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นจะต้องกังวลหรอกค่ะ”
“อ่า...ถึงจะมีวิธีการรักษาก็เถอะ...แต่ต้องให้เพสปีนขึ้นไปคนเดียวแบบนั้นมันก็อันตรายอยู่ดี...ไม่มีวิธีอะไรมากไปกว่านี้อีกแล้วเหรอ...?”
“.....” เจโลนิ่งเงียบไปจ้องมองผู้เป็นแม่ของเพสเงียบ เมื่อนั้นผู้เป็นแม่ของเขาจึงถอนหายใจออกมา
“นั่นสินะ...คงไม่มีทางที่จะมีวิธีแบบนั้นสินะ...” หญิงสาวถอนหายใจ...ก้มหน้าลงสีหน้าดูเป็นกังวลมาก...ทว่าหลังจากนั้นเธอก็เผยยิ้มออกมา
“เพส...ในเมื่อมันมีเพียงวิธีนี้วิธีเดียวเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นแม่ก็จะไม่ห้ามลูกหรอก”
“แม่....” เพสเงยหน้าขึ้นมองแม่เขา เริ่มรู้สึกดีใจขึ้นมาเมื่อสามารถทำให้แม่ของเขาเข้าใจและหายเป็นห่วงเขาได้ แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่เจโลกุขึ้นมาเองทั้งหมดก็ตาม...
“เท่านี้ก็ทำตัวเหมือนเด็กปกติได้แล้วนะ...จะออกไปวิ่งเล่นที่ไหนก็ดูแลตัวเองดีๆ ล่ะ......อย่าให้บาดเจ็บกลับมาเด็ดขาดเลยนะ”
“..................!!” ในคราวแรกเพสไม่สามารถทำความเข้าใจประโยคนั้นได้ ทว่าเมื่อเขานิ่งคิดไปสักพัก รอยยิ้มของเขาก็เริ่มปรากฏขึ้นบนใบหน้าอย่างช้าๆ
อิสระของเขา...สิ่งที่เขาต้องการมานานแสนนาน....ในตอนนี้...มันได้มาอยู่เบื้องหน้าของเขาแล้ว!!
“........คะ.......ครับแม่!!!” เขาตะโกนออกมาสุดเสียง...เปล่งเสียงร้องด้วยความดีใจแล้วส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน...ทุกความรู้สึกที่เก็บกลั้นอยู่ภายในใจเขามานาน...ในตอนนี้ได้รับการปลดปล่อยออกมาแล้ว...
ความรู้สึกแบบนี้มันคืออะไรกันนะ....อ่า....บางทีมันอาจจะเป็น...สิ่งที่เรียกกันว่า ‘ความตื้นตันใจ’ ก็เป็นได้....
“ทว่าถ้าหากเขาเดินเข้าไปในเขานั้นแล้วเกิดหลงเข้าไปในบริเวณนั้นเองในเวลาที่ไม่ใช่เวลาที่ถูกต้อง...ฤทธิ์ของผลไม้นั้นจะสูญสิ้นลงไปและต้องรอจนกว่าจะถึงเวลาที่แท้จริงจึงจะสามารถรักษาให้กลับเป็นเหมือนเดิมได้ นั่นเป็น....เรื่องที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อคราวก่อนค่ะ”
“!!!”
“!!!” ท่ามกลางความดีใจที่กำลังเบ่งบานอยู่ภายในบ้านของเขา ประโยคที่หลุดออกมาจากปากของเจโลนั้นได้แช่แข็งทุกสิ่งทุกอย่างให้จมอยู่ภายใต้ความเงียบสงบในพริบตา...
เพสเบิกตากว้าง หันไปจ้องมองเจโลด้วยสีหน้าตื่นตะลึงไม่เข้าใจ ผู้เป็นแม่ของเขาเองก็เช่นเดียวกัน ทว่าด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป
“นั่นก็หมายความว่า...ในช่วงเวลาระหว่างนั้น ขอแค่เขาไม่ขึ้นไปบนเนินเขานั่นอีกครั้ง แค่นั้นก็เป็นพอสินะ...”
“.......ก็ราวๆ นั้นแหละค่ะ”
“จะ...เจโล! นี่เธอพูดอะไร.....!!” ในจังหวะที่เพสกำลังคิดจะเอ่ยออกมาตะโกนตอบโต้เจโลอย่างไม่เข้าใจ แม่ของเขาก็ได้หันมาจับไหล่ของเขาเอาไว้แน่น
“เพส....ลูกห้ามขึ้นไปบนหน้าผานั่นนอกจากเวลาที่ต้องขึ้นไปกินผลที่ว่านั้นนะ เข้าใจไหม?”
“มะ...แม่!!” เพสตื่นตะลึง เขาตกตะลึงกับสถานการณ์ที่ไหลวนกลับกะทันหันเช่นนั้น ราวกับเล่นตลก...ราวกับกำลังหยอกล้อในอิสรภาพอันฉาบฉวยที่เขาได้รับมาภายในเวลาเพียงไม่กี่วินาทีนั้น...
“เจโล! บอกแม่ไปสิว่ามันไม่จริง!!” ท้ายที่สุดเพราะจนความคิด เขาจึงไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากหันไปตะโกนบอกเจโลเท่านั้น ทว่าเจโลกลับหันมามองเขาด้วยดวงตาที่เย็นชาเหมือนเช่นเคย...เอ่ยตอบกลับไปเหมือนไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องจัดการ
“ฉันพูดความจริง...แล้วทำไมฉันจะต้องพูดแก้ต่างให้นายด้วย....”
“!!!”
ชั่วขณะนั้นเพสไม่เข้าใจเลย....ไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้น...
เพราะอะไรเธอจึงต้องโกหกเช่นนั้น...เพราะอะไรเธอจึงต้องบอกแม่ของเขาเช่นนี้ด้วย...
จนถึงตอนนี้เขาเองก็ยังไม่เข้าใจ ทว่าสิ่งที่เขาเข้าใจก็มีอยู่เพียงแค่อย่างเดียว...
เธอไม่ต้องการให้เขา...ขึ้นไปบนหน้าผานั่น...
“บอกแม่มาสิว่าลูกจะไม่ขึ้นไปในเวลานั้น...บอกแม่มาสิ!!”
“.......” เพสก้มหน้าเลิกลัก ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วครู่ใหญ่ ทว่าเมื่อโดนแม่ของเขาคาดคั้นอีกเขาก็ยิ่งรู้สึกตื่นกลัวขึ้นไปใหญ่
จะทำอย่างไร...เขาควรจะทำอย่างไรดี ควรจะบอกแม่ของเขาไปอย่างไรดี?
บอกว่าจะไม่ขึ้นไปงั้นเหรอ...เป็นไปไม่ได้! เขาสัญญากับคุนทาเร่เอาไว้แล้วนี่นา...สัญญาว่าจะจัดการปัญหาให้เสร็จแล้วขึ้นไปหาเธอเอง
ทว่าถ้าเป็นแบบนี้....เขาก็ไม่อาจขึ้นไปหาเธอได้นอกจากเวลาที่ต้องฟังเพลงจากเธอน่ะสิ...
“เขาบอกว่าเขาจะไม่ขึ้นไปค่ะ...และถึงแม้เขาพยายามจะขึ้นไป ฉันก็จะเป็นคนลากเขากลับมาเอง” เจโลเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง จนกระทั่งถึงตอนนี้เพสนั้นไม่สามารถเอ่ยถ้อยคำโต้แย้งใดๆ ออกมาได้อีกแล้ว...
และแล้วเรื่องราวก็ได้สิ้นสุดลง ณ จุดนั้น...แม่ของเขาบอกให้เขาห้ามขึ้นไปบนเขาเวลาที่ไม่ใช่ช่วงต้องไปกินผลประหลาดที่เจโลกุขึ้นมาเองนั่น...ส่วนตัวเขาก็ทำอะไรไม่ได้และต้องตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเจโลอย่างไร้เหตุผล....นี่คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้...
แล้วพรุ่งนี้...ตัวเขาจะเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้คุนทาเร่ฟังอย่างไรดีนะ...
**************************************************
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ