Time Crime บทเพลงและกาลเวลา
เขียนโดย HirariYurari
วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556 เวลา 17.25 น.
แก้ไขเมื่อ 16 กันยายน พ.ศ. 2556 09.24 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) บทเพลงเพื่อเธอ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
-02-
บทเพลงเพื่อเธอ
“อ่า ฮะๆๆๆๆ ขอบใจมากนะที่ช่วยพามาส่งถึงบ้านให้เนี่ย...แหม...ฉันเองก็รู้สึกลำบากใจอยู่เลยว่าถ้าเธอไม่มาเจอฉันในตอนนั้นแล้วฉันจะทำยังไงดีน่ะ....ฮะๆๆๆ” หลังฟื้นจากอาการป่วยชั่วขณะของตัวเองแล้ว เพสก็เพิ่งมารู้สึกตัวว่าตัวเองได้กลับมาอยู่ที่บ้านแล้ว...เมื่อเขาลืมตาตื่นขึ้นเขาก็ได้เห็นสีหน้าแสดงความเป็นห่วงเป็นใยของผู้เป็นแม่ กับสีหน้าโกรธขึงของผู้เป็นเพื่อนสมัยเด็กของเขา ทว่าเจโล เพื่อนสมัยเด็กของเขากลับขำไม่ออกเลย “โถ่! ก็บอกแล้วไงว่าร่างกายแบบนั้นน่ะอย่าออกไปเดินเล่นสุ่มสี่สุ่มห้าสิ!! แถมยังไปตั้งไกลถึงที่นั่นอีก นี่ฉันไม่รู้เลยว่านายรู้สึกกลัวตายอยู่จริงๆ หรือไม่ได้รู้สึกอะไรกันแน่...”
“อ่า...ฮะๆๆๆๆ ขอโทษ ขอโทษจริงๆ น่า คราวหน้าคราวหลังฉันไม่ทำแล้วน่า เพราะฉะนั้นคราวนี้ฉันขอโทษ!!”
“เหอะ!!” เพสยกมือขึ้นประกบกัน ขอขมาเพื่อนสมัยเด็กของเขาอย่างจริงจัง ทว่าเจโลก็ยังไม่เชื่อ
เขาเคยพูดประโยคนี้ออกมาก็ตั้งหลายหนแล้ว...ทว่าหลังจากนั้นเขาก็มักจะผิดสัญญาวิ่งหนีออกไปจากบ้านเสียทุกที!!
“แม่เป็นห่วงนะลูก...ยังไงก็ผ่อนๆ ลงบ้างหน่อยก็น่าจะดีเหมือนกันนะ...”
“โถ่...แม่...ผมเองก็อยากจะออกไปข้างนอกเหมือนกันนะครับ!! อยู่แต่ในบ้านอุดอู้จะตาย”
“เพส.......”
“.....” เมื่อได้ยินเสียงทุ้มต่ำของเจโล เพสก็จำใจต้องหยุดปากตัวเองลง ส่งเสียงผิวปาก หันไปมองทางโน้นทีทางนี้ทีเหมือนไม่รู้ไม่เห็นเรื่องอะไร...เจโลเห็นท่าทางเช่นนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจ...นี่แหละ คือเพื่อนสมัยเด็กที่แสนจะน่าปวดหัวของเธอ...
“ว่าแต่เพส...ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครน่ะ?”
“เอ๋?” ระหว่างที่กำลังทำหน้าเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ อยู่ดีๆ เจโลก็เอ่ยถามขึ้นมา เพสจึงเผลอหันกลับไปมองเธอด้วยความสงสัย “หมายถึงผู้หญิงคนที่...ผมสีทองๆ น่ะเหรอ?”
“อ่า คนนั้นนั่นแหละ” เจโลตอบ เธอขมวดคิ้วไปเล็กน้อย รอให้เพสเอ่ยตอบกลับมา ทว่าไม่เพียงเขาจะตอบเธอกลับมาเท่านั้น เขายังได้หันกลับมาทำสีหน้าเป็นประกายใส่เธออีกด้วย “นี่ เจโล เธอรู้ไหม? โลกนี้น่ะมีภูติตัวจริงเสียงจริงอยู่ด้วยแหละ!!”
“หา?” แวบแรกที่เธอได้ยินคำพูดของเขา เธอเกิดอาการอึ้งค้างไป...ไม่เพียงแต่เธอเท่านั้น ทว่าผู้เป็นแม่ของเขาเองก็ยังนิ่งอึ้งไปทำอะไรไม่ถูกไปด้วย...
“เพสเนี่ย....ชอบพวกเรื่องนิทานปรัมปราสินะ...” ผู้เป็นแม่ของเขายกมือขึ้นทาบแก้ม ขมวดคิ้วด้วยความหนักใจ
“ไม่ใช่แค่นิทานปรัมปรานะฮะ! เป็นภูติตัวจริงเสียงจริงเลย ผมไปเจอมาจริงๆ นะ!!”
“อ้อ! งั้นนายก็กำลังจะบอกว่าเธอคนนั้นเป็นภูติอย่างนั้นสินะ?”
“อื้ม!!”
“....” เจโลผงะไป จากสีหน้าไม่ค่อยใส่ใจได้แปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าตื่นตระหนก...เธอไม่คิดว่าเขาจะตอบคำถามเธอกลับมาอย่างหนักแน่นเช่นนี้...ยิ่งเมื่อโดนตอบกลับมาเช่นนี้เธอยิ่งรู้สึกทำอะไรไม่ถูกไปเสียพักใหญ่
“เหอะ!! ยังไงเธอคนนั้นก็คงจะโกหกนายอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ? ภูติอะไรนั่นจะไปมีอยู่จริงได้ยังไงกัน ไม่เห็นจะเป็นเหตุผลเลย...”
“เธอคนนั้นพิสูจน์ให้ฉันเห็นด้วยนะ เธอลอยอยู่บนอากาศได้ด้วยล่ะ แถมยังมีปีกอีกต่างหาก”
“หา?” เจโลส่งเสียงร้องออกมา เธอไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูดเลย...มีปีกงั้นเหรอ? เรื่องอะไรกัน....
ทั้งที่ตอนที่เธอไปนั้น...เธอคนนั้นก็ยังคงเหมือนคนธรรมดาทั่วไปแท้ๆ...
“เฮ้อ...แต่ถึงยังไงก็เถอะ...ยังไงนายก็ไม่มีทางได้เจอเธอคนนั้นอีกครั้งอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? แล้วจะมาพูดเรื่องอะไรอีก”
“มะ...ไม่ได้เจออะไรกัน.......!!” ในคราวแรกเพสตั้งใจจะเถียง ทว่าเมื่อเจโลยื่นหน้าเข้ามาใกล้เขาด้วยสีหน้าบึ้งทึ่ง เขาก็ต้องเงียบปากแล้วเบียดตัวเข้าไปชิดหัวเตียงด้วยรอยยิ้มแหย่ๆ อย่างหวาดกลัว
“ฉัน-บอก-นาย-ไป-แล้ว-ใช่-ไหม-ว่า-ห้าม-ออก-ไป-ข้าง-นอก”
“......” เพสพยักหน้าหงึกหงัก...ความถี่ของการพยักหน้านั้นรัวและเร็วเสียจนเขาเกือบจะได้ยินเสียงกระดูกคอของตัวเองส่งเสียงร้องออกมาอยู่ร่อมร่อ ท้ายที่สุดเจโลก็ได้เผยยิ้มด้วยสีหน้าพอใจและถอนใบหน้าออกไป “แบบนี้สิถึงจะเป็นเพื่อนสมัยเด็กที่น่ารักของฉัน”
“.....” เพสนิ่งเงียบไป ก้มหน้าลงพึมพำบางสิ่งบางอย่างอยู่ภายในลำคอตัวเองด้วยความไม่พอใจ ทว่าเจโลก็ยังคงเผยยิ้มเริงร่า จ้องมองเขาราวนางฟ้า....ทว่าสำหรับเพสแล้ว รอยยิ้มนั้นกลับดูเหมือนรอยยิ้มของนางมารร้ายเสียมากกว่า...
“ว่าแต่...อาการของนายไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
“....?” เมื่อถูกถามขึ้นมาเช่นนั้นเพสก็ได้เงยหน้าขึ้นไปมองเพื่อนสมัยเด็กของตัวเองอีกครั้ง ตอนนี้ผู้เป็นแม่ของเขาได้เดินออกไปเตรียมอาหารในครัวแล้ว...เนื่องจากตั้งแต่เช้าตัวเขายังไม่ได้ทานอะไรเลย ดังนั้นในตอนนี้จึงเหลืออยู่เพียงแค่เขากับเธอสองคนเท่านั้น
“อ่า...ก็ไม่มีอะไรมากหรอก แค่อาการปกติ อยู่ดีๆ ก็เจ็บแปลบขึ้นมาก็เท่านั้นเอง”
“มันไม่ใช่อาการปกติแล้วไม่ใช่เหรอ? อาการแบบนั้น...ถ้าเกิดฝืนมากเกินไปนายจะตายเอาได้นะ...”
“....” เพสเบิกตากว้าง ตกใจเสียงร้องที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของเจโล เขาเงยหน้าขึ้นไปมองใบหน้าของเพื่อนสมัยเด็กของตัวเองตรงๆ...แม้จะไม่เห็นอะไรเลยภายใต้ผมหน้าที่ปรกลงมาปิดบังใบหน้านั้น แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังพอจะคาดเดาความรู้สึกของตัวเธอในตอนนี้ได้...
“เจโล....?” เพสเอ่ยเรียกชื่อนั้นออกมาเบาๆ...เมื่อนั้นเขาจึงได้ยินเสียงสะอื้นไห้...เจโลเงยหน้าขึ้นมาแล้ว แม้บนใบหน้าจะไม่มีน้ำตา ทว่าคิ้วที่ขมวดเป็นปมนั้นกลับทำให้เขารู้สึกใจหาย
“ถ้านายตายขึ้นมา...ฉันจะทำยังไงล่ะ?”
“......” ตัวเขาตอบไม่ได้....ตอบอะไรไม่ได้ ได้แต่เพียงก้มหน้าลงไปไม่พูดอะไรเลยเพียงเท่านั้น...
ไม่ว่าเขาจะตอบสิ่งใดออกไป คำตอบนั้นก็คงจะผิดหมด...ไม่มีคำตอบไหนที่ถูกต้องในสถานการณ์เช่นนี้...
บอกว่าไม่เป็นไรงั้นเหรอ? ไม่เป็นอะไรอะไรกัน...คนที่ไม่เป็นไรก็มีอยู่แค่ตัวเขาคนเดียวเท่านั้นไม่ใช่หรือยังไง? ต่อให้เขาไม่รู้สึกลำบากใจหรือเสียใจอะไรที่ต้องตายจากไป ทว่าเธอคนนี้จะต้องเสียใจมากแน่ๆ...
เขารู้....รู้เรื่องนั้นดี เพราะเธอเคยพร่ำบอกกับเขาหลายครั้ง...
‘อย่าตายนะ...มีชีวิตอยู่ต่อไป...’
นั่นคือคำ...ที่เธอพร่ำบอกกับเขาอยู่เสมอ ทว่า...
“ไม่เป็นไรหรอก...ฉันไม่เป็นไร...” แม้จะฝืนทนเสียเท่าไร...แม้จะอยากเอ่ยตอบคำตอบอื่นๆ ออกไปเสียเท่าไร เขาก็ยังต้องฝืนความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้ เงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มให้เธอเพื่อให้เธอสบายใจ
“ฉันยังอยู่ตรงนี้ไง แค่นี้ก็ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?” เขาเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มที่คิดว่าอ่อนโยนที่สุด เท่านี้จะสามารถปลอบใจเธอได้แล้วหรือยังนะ?
ทว่าเธอคนนั้นกลับหน้าแดงขึ้นเรื่อยๆ น้ำตาเองก็เริ่มที่จะไหลเข้ามาคลอเบ้า...ตัวเขาตกอยู่ในอาการตื่นตะลึง ไม่รู้เลยว่าตัวเองได้พูดอะไรไม่ดีออกไป และไม่รู้เลยว่าตัวเองควรจะทำอะไรต่อไปดี...
ท้ายที่สุด...เธอก็ได้ปาดน้ำตาของเธอและพูดออกมา
“คนบ้า!!”
“!!”
ปึ้ง!!
จากนั้นเธอก็เปิดประตูห้องของเขาแล้วงับปิดลงอย่างแรง วิ่งจากไปโดยไม่คิดที่จะหันกลับมามองเขาอีกเป็นครั้งที่สอง
“แหมๆๆ...ทะเลาะอะไรกันอีกน่ะจ๊ะลูก...” เมื่อได้ยินเสียงร้องดังลั่นจากภายในห้องของเขา ผู้เป็นแม่ซึ่งน่าจะกำลังเตรียมอาหารอยู่ภายในครัวก็ได้เดินเข้ามาเปิดประตูห้องเขา เอ่ยถามด้วยความสงสัย เพสตอบอะไรไม่ได้...เขาไม่รู้จะตอบคำถามเช่นนั้นอย่างไร...ได้แต่เพียงก้มหน้าลงไป นิ่งเงียบครุ่นคิดถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่อย่างเลื่อนลอยเท่านั้น
“ไม่มีอะไร...หรอกฮะ...” เขาเอ่ยออกมาเบาๆ ล้มตัวลงไปพิงพนักหัวเตียง แล้วเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเลื่อนลอย ผู้เป็นแม่ของเขาส่งเสียงถอนหายใจออกมาเบาๆ ส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วจึงปิดประตูเดินจากไป
จากจุดที่เพสอยู่นี้ เขามองเห็นเจโลนั้นกำลังวิ่งจากเขาไป...ประตูหน้าบ้านของเขาอยู่ห่างจากหน้าต่างห้องของเขาไม่มากนัก อีกทั้งถนนซึ่งตัดผ่านไปยังบ้านของเจโลเองก็ยังมุ่งไปยังทิศที่อยู่หน้าห้องนอนของเขาด้วย ในตอนนี้เขาจึงสามารถมองเห็นเธอได้อย่างชัดเจน
เราทำอะไร...ผิดไปหรือเปล่านะ?
เขารู้สึกตัวว่าตัวเองทำผิด....รู้แม้กระทั่งว่าตัวเขาผิดเรื่องอะไร...
ผิดที่พูดโกหกความรู้สึกและความคิดของตัวเองออกไป...
ถ้าพูดออกไปตามตรงตัวเขาจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่านี้ไหมนะ?
ถ้าบอกเธอไปตามตรงว่าเขาไม่เคยสนใจเรื่องนั้น...ไม่เคยสนใจเรื่องโรคอะไรของเขาเลย...เขาเพียงแค่อยากจะมีชีวิตอย่างเป็นอิสระเท่านั้น...ถ้าพูดออกไปเช่นนั้นเธอจะโกรธเขาไหมนะ...?
ชีวิตคนเรามีค่าเท่าไหนกัน? อยู่ๆ ไป แม้จะแข็งแรงไม่มีโรคภัยใดๆ มาแทรกแซง แต่สักวันชีวิตของคนก็จะต้องร่วงโรยไปดุจดั่งกลีบดอกไม้ที่ย่อมมีวันโรยรา...
กับคนที่มีเรี่ยวแรงทำอะไรสักอย่างเพื่อคนอื่น...ทิ้งผลงานของตัวเองเอาไว้ให้ผู้อื่นสืบทอดต่อไป ก็อาจจะพูดได้ว่าเขาคนนั้น เป็นคนที่เกิดมาได้อย่างไม่เสียชาติเกิด...
ได้ทำประโยชน์ให้ผู้อื่น...ทำให้ชีวิตของตัวเองไม่ได้มีค่าเพียงแค่ ‘อยู่ไปวันๆ’ แม้จะไม่ใช่สิ่งที่มีค่าเสียจนคนทั่วทั้งโลกยังต้องสรรเสริญ ทว่าเขาก็ได้มีโอกาสใช้ชีวิตของตัวเองสร้างประโยชน์ให้คนอื่นแล้ว...
แล้วตัวเขาล่ะ? มีอะไรที่มากกว่าใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ บ้าง?
ป่วยไข้ออดๆ แอดๆ...ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากนอนอยู่บนเตียง...ถ้าอย่างนั้นตัวเขาที่เป็นเช่นนี้ก็ไม่อาจทำอะไรได้เลยไม่ใช่เหรอ?
โลกนี้ไม่เคยเที่ยงธรรม...มันอาจจะมีความเที่ยงธรรมอยู่ที่ไหนสักแห่ง เพียงแต่เราไม่รู้...เราไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน เพราะเรามองไม่เห็น...เพราะฉะนั้นมันจึงไม่มีความเที่ยงธรรม...
ถ้าโลกนี้มีความเที่ยงธรรมจริงๆ...แล้วทำไมผู้คนที่ไร้ค่าอย่างเช่นเขาจึงต้องถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกใบนี้ด้วย?
“ชีวิตของเรา...มันไร้ค่าถึงขนาดช่วยอะไรใครไม่ได้แล้วยังต้องคอยเป็นภาระให้คนอื่นอีกอย่างนั้นเหรอ?” เขาก้มหน้าลงไปมองมือของตัวเอง เขาตอบคำถามนั้นไม่ได้...ตอบไม่ได้เพราะตัวเขาไม่มีคำตอบให้เลือกตอบอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว...
ทุกคนเฝ้าแต่บอกให้เขามีชีวิตอยู่...มีชีวิตอยู่ต่อไปแม้จะรักษาโรคไม่หาย...มีชีวิตอยู่ต่อไปโดยไม่สามารถทำอะไรได้แบบนี้...
ตัวเขา...ไม่มีทางเลือกให้เลือกอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว ไม่สามารถเลือกที่จะอยู่อย่างมีค่าได้ตั้งแต่แรกแล้ว ทำได้แต่เพียงตอบสนองต่อความต้องการของคนอื่นเท่านั้น...
“อึก....” ท้ายที่สุดภายในอกของเขาก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาอีก...มันอาจจะไม่ใช่ความเจ็บแปลบที่แล่นพล่านไปอย่างรวดเร็วเหมือนตอนอยู่บนหน้าผา...ทว่ามันก็เป็นความเจ็บปวดที่ทำให้เขาถึงกับห่อตัวลงไปได้...
ถ้ายังฝืนต่อไป อีกไม่นานก็คงจะตาย...ถ้าไม่ฝืนและนอนไปเรื่อยๆ อีกไม่นานก็คงจะตายเช่นเดียวกัน...ทางเลือกของเขามีอยู่เพียงแค่ทางเดียวคืออยู่ไปเรื่อยๆ รอความตาย...นอนอยู่บนเตียงสีขาวนี้ชั่วชีวิตเพื่อรอความตาย...
สุดท้ายแล้ว...อิสรภาพอะไรนั่น ก็เป็นได้เพียงแค่จินตนาการของเขาเพียงเท่านั้น...
***************************************************
แม้เขาจะสัญญากับเจโลไปแล้วว่าจะไม่ออกมาจากบ้านอีก ทว่าเขากลับไม่สามารถทำตามที่สัญญาเอาไว้กับเธอได้...
ตัวเขายังคงรู้สึกติดใจเรื่องของเด็กสาวคนนั้น...เด็กสาวนาม ‘คุนทาเร่’ ซึ่งบอกว่าตัวเองเป็นภูติคนนั้น...
ตอนนี้เธอคนนั้นจะออกเดินทางไปแล้วหรือยังนะ?
เธอคนนั้นจะตกใจเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวันก่อนและยังรอเราอยู่หรือเปล่า?
แม้จะรู้สึกว่ามันไม่อาจเป็นไปได้ เพราะพวกเขาเองก็ไม่ได้สนิทกันถึงขนาดนั้น แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่สามารถตัดความกังวลใจของตัวเองออกไปได้....
“หนีออกไปอีกแล้วเหรอ!!?” เขาได้ยินเสียงตะโกนร้องของเจโลดังออกมาจากบ้านเขาในขณะที่เขากำลังคิดที่จะหลบหนีไป...ดูเหมือนเขาจะคิดหลีกหนีเธอผิดเวลาไปหน่อย ในตอนนี้เจโลได้มาที่บ้านของเขาแล้ว...ถ้าอย่างนั้นตัวเขาควรจะทำอย่างไรต่อไปดี?
คำตอบก็คือหลบอยู่ในบริเวณที่เธอคาดไม่ถึงสักพัก รอจนเธอตามหาจนทั่วไม่พบเขาแล้วเขาจึงค่อยหนีออกไปค่อยเป็นการดีกว่า...
เพสได้ใช้เวลาราวหนึ่งถึงสองชั่วโมง แอบหลบอยู่หลังก้อนหินแถวๆ บริเวณใกล้บ้านตัวเขาเอง...เขาเห็นและได้ยินเสียงเจโลวิ่งผ่านเขาไปรอบหนึ่ง ดูเหมือนจะกำลังมุ่งตรงไปยังหน้าผาเดิมที่เขาชอบไปนั้น ทว่าหลังจากนั้นไม่นานเธอก็กลับมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่เธอจะตามหาเขาเจอที่นั่น...
“โถ่เอ้ย!! คราวนี้หนีไปอยู่ที่ไหนอีกนะ!!” เจโลส่งเสียงตะโกนร้องออกมาอย่างหัวเสีย จากนั้นก็ตัดสินใจวิ่งเข้าหมู่บ้านไป...ต่อให้ในหมู่บ้านนั้นเป็นตัวเลือกที่เขาไม่เคยคิดอยากจะเข้าไปหลบเสียเท่าไรก็ตาม ทว่าดูเหมือนว่าในสถานการณ์เช่นนี้ เธอจะไม่คิดถึงเรื่องความเป็นไปได้อะไรนั่นอีกแล้ว...ท้ายที่สุดเธอคนนั้นก็ได้วิ่งจากไป
“หัวเสียอยู่ตลอดเลยนะเจโลเนี่ย...อีกเดี๋ยวก็แกหงำเหงือกก่อนวัยอันควรหรอก...” เพสยื่นหน้าออกมาจากก้อนหินใหญ่แถวนั้น หันไปมองตามทิศที่เจโลวิ่งจากไป หลังจากหยุดถอนหายใจออกมาครู่หนึ่งเขาก็กระโดดออกมาและรีบมุ่งหน้าตรงไปยังบริเวณหน้าผาเหมือนเช่นทุกที...
จะว่าไปเจโลเองก็เพิ่งไปที่นั่นเมื่อครู่นี่นา...เธอจะไปเจอเธอคนนั้นที่นั่นหรือเปล่านะ...
ถ้าหากไม่เจอเธอคนนั้นก็คงจะไปแล้วล่ะมั้ง...ถึงจะรู้สึกเหงานิดหน่อยที่ไม่ได้บอกลาก็เถอะ...แต่ยังไงมันก็เป็นเรื่องที่ช่วยอะไรไม่ได้อยู่แล้วนี่นา...
แต่ถึงยังไงเขาก็หนีออกมาแล้ว ต่อให้เธอคนนั้นจากไปแล้ว เขาก็ขอใช้โอกาสนี้หนีไปเที่ยวตามที่ต่างๆ ให้มากที่สุดก็แล้วกัน
“เอ๋?” ทว่าหลังจากปีนหน้าผาขึ้นมาแล้ว เขาก็ได้ยินเสียงร้องเพลงดังขึ้นอีก...
เสียงร้องเพลงที่เปรียบประดุจดั่งสายลม...เป็นเสียงร้องเพลงที่เขาเคยได้ยินมาก่อน...
“คุนทาเร่?”
“!?” หลังจากเดินแหวกฝ่าพุ่มไม้ไปได้เพียงเล็กน้อย เขาก็ได้โผล่หน้าออกไปยังบริเวณที่เธอนั่งอยู่ได้ในที่สุด...เด็กสาวคนหนึ่งซึ่งเขาเคยพบเห็นมาก่อนได้หันกลับมามองเขาด้วยสีหน้าตกใจ ทว่าเมื่อสังเกตเห็นว่าเป็นเขาเธอก็เผยยิ้มออกมา “โถ่...โผล่ออกมาแบบไม่ให้ตั้งตัวทุกทีเลย เพสคุงเนี่ยขี้แกล้งจังเลยนะ...”
“....” เพสไม่ตอบอะไร...อันที่จริงเขาเองก็เรียกเธอแล้ว เพียงแต่ว่าเธอไม่รู้สึกตัวเองก็เท่านั้นเอง ดังนั้นถ้าจะบอกว่าการส่งเสียงเรียกของเขาเป็นการแกล้งเธอ มันก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องตลกร้ายไปเสียหน่อย...
“เมื่อกี้นี้เธอได้เจอเจโลด้วยสินะ...เพื่อนสมัยเด็กของฉันที่เป็นผู้หญิงน่ะ”
“อ้า...เธอคนนั้นที่เคยโผล่มาก่อนหน้านั้นน่ะเหรอ...? ฉันเจอเธออยู่หรอก แต่เธอคงไม่ได้เจอฉันหรอกมั้ง”
“เอ๋?” เพสเผยสีหน้าสงสัยออกมา หันไปจ้องมองคุนขณะที่กำลังล้มตัวลงไปนั่งบนโขดหินด้านข้างตัวเธอ
“หมายความว่ายังไงน่ะว่าเธอเจอเขา แต่เขาไม่เจอเธอ”
“ก็...ฉันก็บอกตั้งแต่ตอนแรกแล้วใช่ไหมล่ะ ว่านายน่ะชอบโผล่มาให้ตกใจอยู่เรื่อย...แต่เธอคนนั้นน่ะแตกต่างจากนายนะ”
“หา?” เพสงุนงงไปชั่วครู่ เขาไม่เข้าใจเรื่องที่เธอกำลังต้องการสื่อเลย ทว่าหลังจากนั้นเธอก็ได้ส่งเสียงหัวเราะและยอมเฉลยออกมา “รู้สึกได้น่ะว่ามีคนมา...ปกติฉันจะสัมผัสได้ก่อนว่ามีคนเข้ามาใกล้ตัวเอง เพราะฉะนั้นฉันจึงสามารถหลบพวกเขาได้ก่อนเสมอ แต่ตัวนายเนี่ย...ไม่มีเค้าสัมผัสอะไรแบบนั้นเลยนะ...มันก็เลยทำให้ฉันไม่รู้ตัวไงเวลาที่นายโผล่ออกมา”
“เอ๋?” เพสเบิกตากว้าง ในคราวนี้เขาเกิดความรู้สึกประหลาดใจขึ้นมา เธอบอกว่าเขาไม่มีเค้าไอของคนธรรมดางั้นเหรอ...หมายความว่ายังไง?
“.....” แต่แล้วเขาก็ได้หวนนึกไปถึง...เรื่องสิ่งที่เขากำลังเป็นอยู่...
โรคร้ายที่เขากำลังเป็นอยู่...โรคที่บั่นทอนพละกำลังของเขาและทำลายทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเขาลงไป...
เธอกำลังจะบอกว่าโรคร้ายของเขาเป็นสิ่งที่ทำลายความเป็นมนุษย์ของเขาลงไปอย่างนั้นเหรอ?
“จะว่าไป....เมื่อวันก่อนนั่นเห็นนายล้มลงไปด้วยนี่นา...นายเป็นอะไรไปเหรอ?”
“!?” ถามออกมาแล้ว...ในที่สุดเธอก็ได้ถามออกมาแล้ว...
สิ่งที่เขาพยายามหลีกเลี่ยงที่จะพูดมาตลอด...และถึงแม้จะอยากพูดอธิบายความรู้สึกออกไปเสียเท่าไร มันก็ยากเกินกว่าที่เขาจะสามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้อยู่ดี...
“สิ่งที่เรียกว่า ‘โรคภัย’ ของมนุษย์....งั้นสินะ?”
“!!?” ทว่าเธอกลับตอบคำถามนั้นออกมาเองโดยที่เขาไม่จำเป็นต้องเอ่ยตอบก่อน เขาหันกลับไปมองเธอด้วยสีหน้าตกใจ เห็นเธอก้มหน้าลงไป สีหน้าคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง จากนั้นก็ได้เงยหน้าขึ้นมา “ถ้าเป็นอย่างนั้น ฉันก็พอจะช่วยอะไรนายได้บ้างนะ”
“....เอ๋?” เพสเบิกตากว้าง นิ่งอึ้งไปไม่เข้าใจสิ่งที่เธอพูด ในขณะเดียวกัน เธอก็ยังคงจ้องหน้าเขา เผยยิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มที่ชวนให้รู้สึกผ่อนคลายอย่างน่าประหลาด
“นายจำที่ฉันบอกนายไปเมื่อวานได้ไหม? ที่บอกว่าฉันกำลังฝึกวิชาของสายลมอยู่น่ะ”
“เอ๋?” อ่า...อืม...”
“ความจริงแล้ววิชานั้นมันไม่ได้มีส่วนดีอยู่เพียงแค่สามารถสร้างเสียงคลอตามสายลมกับธรรมชาติได้เท่านั้นหรอก แต่มันยังสามารถใช้ทำอะไรอย่างอื่นได้อีกหลายอย่างน่ะ...ถึงจะฟังดูน่าประหลาดก็เถอะ...แต่มันก็เป็นไปได้นะ...”
“....?” เพสเงยหน้าขึ้นมองเธอขมวดคิ้วมุ่น ไม่เข้าใจเรื่องที่เธอต้องการสื่อ เธอคนนั้นก้มหน้าลงไปเล็กน้อยคล้ายลังเลใจ แต่หลังจากนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้น ส่งเสียงหัวเราะออกมาแล้วเอ่ยตอบเขากลับไป “ถ้าเธอมาหาฉันที่นี่ทุกวันได้ ฉันจะสามารถร้องเพลงรักษาอาการของนายได้นะ”
*******************************************************
รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงสายลมพัดผ่านไป...สิ่งที่คุนทาเร่พูดออกมาดังเข้าไปในหูของเขา สะท้อนก้องอยู่ภายในนั้น แล้วจึงค่อยซึมซับเข้าไปสู่ส่วนรับรู้ความเข้าใจ
ความหมายของสิ่งที่เธอเอ่ยออกมานั้นทำเอาเขาทำอะไรไม่ถูกไปเสียครู่ใหญ่ หลังจากนั้นสิ่งที่เขาเอ่ยออกมาได้ก็มีอยู่เพียงแค่ประโยคเดียว “หา?”
“......” คุนทาเร่ก้มหน้าลงไป ใบหน้าแดงเรื่อ เขี่ยนิ้วของตัวเองไปมาด้วยสีหน้าเอียงอาย หลังจากนั้นเธอจึงค่อยๆ ช้อนตาขึ้นมามองเขาพร้อมส่งเสียงหัวเราะออกมา “ฟังดู....ประหลาด....ใช่ไหมล่ะ?”
“อะ....อืม....ไม่เคยคิดว่าจะเป็นเรื่องจริงนะ....” เพสพึมพำตอบกลับไป ทว่าหลังจากนั้นเขาก็รู้สึกตัว “เธอสามารถทำแบบนั้นได้ด้วยเหรอ!!?”
“อ่า...แต่ก็ยังทำได้แค่ช่วยบรรเทาอาการไปเรื่อยๆ เท่านั้นแหละ รักษาจริงๆ ยังไม่ได้หรอก”
“รักษาจริงๆ ยังไม่ได้...นี่หมายถึงถ้าฝึกไปเรื่อยๆ รักษาจริงๆ ก็คงได้สินะ...ทำได้จริงๆ เหรอ? กับโรคที่ไม่มีใครรู้จักและไม่มีใครรักษาหายได้นี่น่ะเหรอ?”
“ฉันไม่รู้เหมือนกันนะว่าโรคไหนเป็นโรคที่ใครรู้จักหรือเปล่า หรือเป็นโรคที่ไม่มีวันรักษาหายหรือเปล่า...เพราะสำหรับภูติอย่างพวกเราไม่มีโรคอะไรแบบนั้นอยู่แล้ว...ถ้าจะรักษาก็สามารถรักษาได้ทุกโรค ถ้ารักษาไม่ได้ก็คือรักษาไม่ได้ทุกโรค”
“ถะ...ถ้าอย่างนั้นแล้วกรณีของเธอนี่เป็นแบบไหนล่ะ?” เพสเอ่ยถาม เขารู้สึกกังวลใจ...กลัวว่าเธอจะบอกออกมาว่าสำหรับเธอนั้น เธอเป็นกรณี ‘รักษาไม่ได้ทุกโรค’ ว่าเธอคนนั้นกลับยิ้มและตอบเขากลับมา...แม้มันอาจจะไม่ใช่คำตอบที่เขาต้องการ แต่มันก็ไม่ใช่คำตอบที่เขาไม่ต้องการเช่นเดียวกัน....
“ถ้าฝึกไปเรื่อยๆ ก็คงรักษาได้จ้า! แต่ตอนนี้ฉันกำลังฝึกวิชานั้นอยู่นะ เพราะฉะนั้นยังใช้จริงไม่ได้หรอก เกิดนายเป็นอะไรไประหว่างที่ฉันกำลังใช้นายทดลองนี่ยุ่งเลยนะ...”
“ถะ....ถ้าอย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องรีบรักษาอะไรแบบนั้นก็ได้...ตะ...แต่ถ้าอย่างนั้นเธอจะบอกฉันว่า...เธอสามารถใช้พลังบำบัดอะไรนั่นช่วยฉันได้จริงๆ งั้นเหรอ?”
“.....” คุนทาเร่พยักหน้า ยิ้มออกมาพร้อมเอ่ยตอบออกมาอย่างไม่ลังเล “ถ้าเกิดมาทุกวันนะ แต่ก็แค่บำบัดเท่านั้นแหละ...ทำให้ไม่เกิดอาการเช่นนั้นไปชั่วระยะหนึ่ง...สำหรับกรณีของฉันก็คงจะราวๆ สองถึงสามวันมั้ง...เพราะฉะนั้นภายในระยะเวลาสองถึงสามวันก็ค่อยมาหาฉันที่นี่ก็ได้ ฉันจะช่วยร้องเพลงบำบัดให้นายเอง!”
“ทะ...ทำได้จริงๆ เหรอ!? ขะ...ขอบใจมาก!! ขอบใจเธอมากจริงๆ ฉันไม่รู้เลยว่าจะตอบแทนอะไรเธอได้ยังไงดี!!”
“หวา!!? อ่า....ฮะๆๆๆๆ...” คุนทาเร่ตกใจท่าทางดีใจเกินเหตุของเพสเข้าไป แต่หลังจากนั้นเธอก็ตั้งตัวได้และส่งเสียงหัวเราะแหย่ๆ ออกมา...
เธอบอกเขาว่าเธอไม่ต้องการอะไร แต่ถ้าเกิดเขาอยากจะให้เธอก็จะรับมันไว้ เพราะเธอไม่อยากให้เขารู้สึกผิด...เขาได้ยินเช่นนั้นแล้วจึงได้ครุ่นคิดอย่างหนัก หลังจากนั้นก็ได้นึกออกและหยิบนาฬิกาเรือนหนึ่งออกมา
“นาฬิกาเรือนนี้มัน....” คุนทาเร่เผยสีหน้าสงสัยออกมา จ้องมองนาฬิกาเรือนนั้นนิ่งๆ ในขณะที่เพสนั้นเริ่มมีสีหน้าลำบากใจมากขึ้น
“อ่า...เจ้านี่ก็คงไม่ได้สินะ...ไม่ใช่ของของเราด้วยสิ จะเอาให้เป็นของตอบแทนไปก็คงไม่ได้ซะด้วย...”
“?” คุนทาเร่เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา เงยหน้าขึ้นมองเพสที่กำลังถอนหายใจออกมา จากนั้นก็ก้มหน้าลงไปมองนาฬิกาเรือนนั้นอีกครั้ง
หลังจากนั้น...เธอก็ได้เผยยิ้มบางๆ ที่แสนอบอุ่นออกมา...
“นาฬิกาเรือนนี้น่ะ...ท่าทางจะสำคัญสำหรับนายมากๆ นะ”
“เอ๋? อ่า...มันก็ไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้นหรอกนะ...” เพสพึมพำออกมา ยกมือขึ้นเกาหัวตัวเองด้วยความรู้สึกลำบากใจ คุนทาเร่ส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างชอบยกชอบใจ ยื่นมือทั้งสองข้างไปกำมือข้างที่ถือนาฬิกาของเขาไว้...จากนั้นก็นำพามันไปวางไว้บนอกของเขา
“เธอเก็บมันเอาไว้เถอะ ต่อให้เธอมอบนาฬิกานี้ให้ฉันแต่ฉันก็ไม่เอามันหรอก”
“อะ...เอ๋?” เพสเผยสีหน้าประหลาดใจ เขาลนลานไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก้มหน้าลงมองนาฬิกา ไม่รู้ว่ามันไม่มีดีอย่างไรเธอจึงตอบปฏิเสธเขา ทว่าเธอกลับส่งเสียงหัวเราะออกมา
“เพราะมันเป็นของสำคัญสำหรับเธอ...ใช่ไหมล่ะ?”
“....” เพสนิ่งเงียบไป...แม้เขาจะรู้สึกว่ามันไม่ใช่ของสำคัญอะไรขนาดนั้น ทว่าเขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามันไม่ใช่ของสำคัญสำหรับเขา...
“ถะ...ถ้าอย่างนั้นวันหลังเดี๋ยวฉันจะไปหาของอะไรมาตอบแทนเธอก็แล้วกัน...ธะ....เธอต้องรับมันเอาไว้นะ!!”
“อื้ม! ถ้ามันไม่ใช่ของที่สำคัญของเธอ ฉันจะยินดีรับไว้แน่นอนจ๊ะ” คุนทาเร่เผยยิ้มแล้วพยักหน้ารับเอ่ยตอบ เพสเงยหน้าขึ้นไปมองคุนทาเร่ด้วยรอยยิ้มดีอกดีใจ หลังจากนั้นเขาก็ส่งเสียงถอนหายใจออกมา
เท่านี้...ตัวเขาก็จะได้ไม่ต้องติดค้างหนี้บุญคุณอะไรเธอแล้ว...
“ถ้าอย่างนั้นพวกเรามาลองดูกันเถอะ วิธีการร้องเพลงบำบัดอาการของฉัน”
“เอ๋? อะ...อ่า...” เมื่อได้ยินคุนทาเร่เอ่ยพูดออกมาเช่นนั้น ตัวเขาก็ส่งเสียงร้องอย่างมึนงงออกมาครู่หนึ่ง...
ทว่าหลังจากนั้นเขาก็รู้สึกตัว เผยยิ้มออกมาอย่างดีอกดีใจ แล้วจึงยืดตัวขึ้นมา ตั้งใจฟัง ‘บทเพลง’ ที่เธอตั้งใจจะร้องให้เพื่อเขา...
บทเพลงคลอสายลมได้ถูกเปล่งออกมาจากปากของเธอ...จากลำคอของเธอ...จากในปอดของเธอ...ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำงานอยู่โดยพร้อมเพียงกันได้ก่อกำเนิดขึ้นเป็นเสียงร้องที่ใสกระจ่างดุจดั่งเวทย์มนต์ที่ไม่รู้จักชื่อ...
เวทย์มนต์ที่ชวนให้รู้สึกหลงใหล...ขับกล่อมให้เคลิบเคลิ้มไปกับท่วงทำนองที่คนทั่วไปไม่อาจทำความเข้าใจได้...
มันเป็นเสียงที่เหมือนกับสายลม ทว่าในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงคลื่นทะเลและเสียงนกร้องดังแว่วมาจากภายในท่วงทำนองนั้นอีกด้วย...แม้มันจะเป็นเพียงแค่ความรู้สึกไปเองของเขา ทว่ามันกลับทำให้เขารู้สึกสบายใจมาก...
และแล้ว...เขาก็รู้คล้ายร่างกายของตัวเขานั้น...จะรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ...
**************************************************
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ