ดาวเสี่ยงเธียร(ปาฏิหาริย์รักในคืนฝนดาวตก)

8.1

เขียนโดย มะมาย

วันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2556 เวลา 11.02 น.

  8 ตอน
  5 วิจารณ์
  13.09K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 18.34 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) ผลของการบุกรุกเขตหวงห้าม

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

หลายวันที่เกาหลีได้เข้ามาอยู่ที่สหสมุทรฉันก็คอยดูแลประคบประหงมอย่างใกล้ชิดให้ทั้งความรักความอบอุ่นอย่างที่มันควรจะได้แต่ก็อาจจะมากเกินไปก็เลยทำให้มันกลายเป็นแมวน้อยอ้วนท้วนสมบูรณ์ร่าเริงขี้เล่น ดูแข็งแรงขึ้นเป็นกองต่างจากวันแรกที่เจอมันลิบลับ  วันนี้เป็นเหมือนเช่นทุกเช้าที่ฉันจะพาเกาหลีแมวน้อยซุกซนลงไปวิ่งเล่นที่สนามหญ้าหน้าบ้าน  ทว่าพอมาถึงบันไดมันกลับกระโดดออกจากอ้อมอกฉันและวิ่งขึ้นไปยังชั้นสามซึ่งเป็นเขตหวงห้ามของ…..เอ่อ(น่าจะรู้กันดี)  นั่นก็เท่ากับว่าฉันจะต้องขึ้นไปตามเกาหลีให้เจอแต่ถือว่ายังโชคดีอยู่บ้างที่เขาไม่ใช่คนตื่นเช้าอะไรมากมาย  ฉันจึงค่อยๆก้าวเท้าขึ้นบันไดอย่างช้าๆและเบาที่สุดกระทั่งถึงชั้นสาม  นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ฉันได้ขึ้นมาเหยียบบนนี้ซึ่งมีเพียงแค่ห้องเดียวและเป็นห้องที่ประตูเปิดแง้มไว้ฉันจึงแน่ใจว่าเกาหลีจะต้องอยู่ในห้องนี้แน่ไม่ผิด  เมื่อก้าวเท้าเข้าไปฉันก็ต้องตกตะลึงกับภาพวาดนับสิบนับร้อยที่วางเรียงรายเต็มไปหมดเรียกว่าเป็นนิทรรศการขนาดใหญ่ๆเลยก็ว่าได้  ที่แท้สิ่งที่เขาหวงนักหวงหนาก็เป็นเพียงภาพวาดเท่านั้นแต่ฉันสะดุดตาเข้ากับภาพผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งไม่ว่าจะหันมองไปทางไหนก็จะเห็นเธอปรากฏอยู่ในแทบทุกภาพ  ฉันเองจึงเริ่มแน่ใจว่าเธอคนนี้น่าจะเป็นแม่ของเขา  แต่ที่ยิ่งทำให้ฉันแปลกใจก็คือรูปวาดของหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งเป็นอีกคนอยู่บนกระดานวาดภาพซึ่งยังวาดไม่เสร็จ  ฉันเดินเพื่อเข้าไปดูมันใกล้ๆจะว่าไปก็คับคล้ายคับคลาฉันเหมือนกันนะเนี่ยแต่เพราะยังวาดไม่เสร็จฉันจึงไม่ควรคิดเข้าข้างตัวเองว่าผู้หญิงในภาพนั่นเป็นฉัน อีกอย่างอีตาคุณเธียรจะวาดฉันไปเพื่ออะไรเขาเกลียดเราจะตายไป  ฉันละสายตาจากสิ่งตรงหน้าเมื่อได้ยินเสียงเกาหลีร้องขึ้น  ฉันว่าจะต้องรีบตามหามันให้เจอและรีบออกไปจากที่นี่โดยเร็ว  ฉันร้องเรียกมันเบาๆ(เพราะถ้าดังเกินไปเขาจะตื่นมาแหกอกฉันได้)และก็พบว่ามันหมอบอยู่ใต้โต๊ะฉันจึงอุ้มมันขึ้นมาก่อนที่จะรีบเดินไปที่ประตู  ทว่าประตูกลับเปิดสวนเข้ามาข้างใน  ว๊ากกกกกหายนะมาเยือนเข้าให้แล้ว!

ฉันหันซ้ายหันขวาซอยเท้าก้าวถอยหลังฉับๆเลยไม่ทันระวังจึงชนเข้ากับภาพของเขาแล้วที่ยิ่งซวยไปกว่านั้นภาพนั้นดันเซล้มลงไปเกี่ยวกับภาพอื่นตามๆกันทำให้ทั้งหมดล้มตามกันเป็นโดมิโน่  ไม่นะ!นี่มันอะไรกันเนี่ยO^O;

เมื่อสองสายตาประสานกัน  “เธอ!เข้ามาทำอะไรที่นี่!!!!!!”                                                                                                         

น้ำเสียงที่แข็งกร้าวประกอบกับแววตาที่ดุดันของเขา  ณ  ตอนนี้  มันช่างน่ากลัวเหลือเกิน

“ชะฉันอธิบายได้  คือเกาหลีตกใจอะไรไม่รู้แล้วก็วิ่งขึ้นมาที่นี่ฉันก็เลยต้องตามมา  ไม่ได้มีเจตนาอย่างอื่นแอบแฝง” 

หมอนั่นมองหน้าฉันอย่างเอาเรื่องก่อนจะเลื่อนไปเพ่งเล็งที่เกาหลี

“ไอ้แมวเจ้าปัญหานี่เอง  ฉันบอกเธอแล้วใช่ไหมว่าถ้าเอามาเลี้ยงแล้วอย่ามาทำให้ฉันวุ่นวาย!...เอามานี่ฉันจะเป็นคนจัดการกับมันเอง!”

“ไม่นะ” 

ฉันขยับถอยเมื่อเขายื่นมือเข้ามาและทำท่าจะแย้งเกาหลีไปจากฉัน  แต่ฉันคงจะยอมไม่ได้ขืนให้เขาไปมีหวังเขาคงเอามันไปปล่อยแน่หรือถ้ามากไปกว่านั้นก็อาจจะ…(O.O’)เราทั้งคู่ยื้อยุดฉุดกระชากเกาหลีกันไปมากระทั่งมันตื่นตกใจกระโดดออกจากอ้อมแขนฉันและวิ่งหนีเตลิดไปจากห้องเหลือแต่แขนของฉันที่เขายังกำอยู่แน่นเต็มไม้เต็มมือ

“นายทำให้มันตกใจ  ฉันจะไปตามเกาหลีกลับมา”

ฉันพยายามแกะมือเขาที่ยังกำแขนฉันไว้แน่นอย่างเอาเป็นเอาตาย  แต่เขากลับกระชากตัวฉันเอาไว้แล้วยิ่งบีบมันแรงขึ้นอีกจนฉันเริ่มรู้สึกเจ็บ

“โอ๊ยฉันเจ็บนะ!” 

“ในเมื่อแมวมันหนีไปแล้ว  งั้นเธอจะต้องรับผิดชอบกับเหตุการณ์ครั้งนี้” 

“อะไรกันฉันอธิบายให้นายฟังไปหมดแล้วนายยังคิดว่าฉันตั้งใจแอบเข้ามาที่นี้อีกงั้นเหรอ  ทำไมนายถึงเข้าใจอะไรยากเย็นแบบนี้นะ”

 “หุบปาก!” 

เสียงคำรามของเขาทำให้ฉันเม้มปากแน่นแล้วทั้งตัวก็เริ่มสั่น

“ดี  ถ้าเธอบอกว่าไอ้การที่เธอแอบเข้ามาที่นี่เธอไม่ได้ตั้งใจ...งั้นถ้าฉันพลั้งจูบเธอขึ้นมาแล้วบอกว่าไม่ได้ตั้งใจล่ะเธอจะว่ายังไง”

เขาส่งสายตาอุบาทห์ยั่ว  มันบ่งบอกเลยว่าเขาเอาจริงแน่ฉันเฝ้ามองท่าทีของเขาอย่างระแวดระวังตัวระหว่างนั้นก็สอดส่องสายตาเพื่อมองหาทางเอาตัวรอด  ใช่  ต้องวิ่ง  วิ่ง  ฉันวิ่งและเสียงฝีเท้าของเขาก็ดังไล่ตามหลังมา  หมับ!เขาคว้าแขนฉันเอาไว้

“ปล่อยนะ!!”

ฉันดิ้นสุดพลังแรงเกิดแต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผล  เขามองหน้าฉันด้วยสีหน้าราบเรียบรอจนฉันเหนื่อยแล้วก็หยุดไปเอง  แห่กๆๆฉันหอบจนลิ้นห้อย

“ปล่อยฉันสิ”

“ปล่อยเธองั้นหรอ” 

 เธียรทัดแสยะยิ้มชั่วร้ายว่าแล้วเขาก็ดันร่างของประกายดาวไปชิดติดกับผนังห้อง  มือทั้งสองข้างถูกชายหนุ่มขึงตรึงไว้กับที่  แล้วเขาโน้มหน้าเข้ามาใกล้ หญิงสาวสะบัดหน้าเพื่อหนี้ริมฝีปากของเขา

“คุณเธียรอย่าทำแบบนี้ได้โปรด”  

น้ำเสียงสั่นเครือไม่ได้ช่วยให้ชายหนุ่มหยุดในสิ่งที่เขากำลังจะทำต่อจากนี้ 

ไอร้อนระอุที่ฉันสัมผัสได้จากตัวเขาทำให้ใจฉันเริ่มเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ  ทว่านั่นไม่ได้ทำให้ฉันเคลิบเคลิ้มไปด้วยได้เลย

“แน่ใจใช่ไหมว่านายจะทำอย่างที่พูด”

ฉันสบสายตาเขาทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่รู้จะซุกลูกตาไว้ที่ไหนดี  ก่อนจะลงมือทำอะไรบางอย่างที่เรียกว่าทำให้เขานั่งฟุบลงไปกองอยู่ที่พื้น  เครื่องช็อตไฟฟ้า  โชกดีที่ตัดสินใจหยิบติดตัวมาด้วย  จากนั้นฉันก็พยายามจะวิ่งไปที่ประตูแต่เขาที่นั่ง

จุ่มปุ๊กอยู่ที่พื้นก็ไม่วายคว้าขาฉันเอาไว้  ทำให้เครื่องช็อตไฟฟ้ากระเด็นหลุดออกจากมือฉันไป

“คิดจะหนีเหรอห๊ะ!”

“เออน่ะสิถามได้  ปล่อยฉันนะ.....ไม่ปล่อยใช่ไหม…”

“เออไม่ปล่อยโว๊ย”

เห็นทีเครื่องช็อตไฟฟ้าจะทำอะไรเขาไม่ได้ซะแล้วฉันจึงมองหาสิ่งที่พอจะทำเป็นอาวุธได้ทันใดนั้นฉันก็เหลือบเห็นกองประดาษวาดรูปปึ๊งใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลมือนักและนั่นก็คือสิ่งที่ฉันจะใช้หยุดเขา  ฉันหยิบมันขึ้นมาแล้วก็ฟาดไปที่หัวเขาอย่างจังโดยที่ไม่ได้มีเจตนาจะทำให้เขาเลือดตกยางออกแต่อย่างใด  โป๊ก!  ขาฉันหลุดจากมือของเขาที่พันธนาการไว้ ฉันฟาดไปขนาดนี้ไม่สลบแต่ก็คงพอที่จะทำให้เขานับดาวเล่นได้หลายสิบดวง  และเวลานี้เองฉันจึงรีบวิ่งสุดแรงเกิดออกจากที่นี่ไป

“โถ่โว้ยฉันไม่ปล่อยเธอไว้แน่ยัยตัวแสบ”  เสียงของเขาดังไล่ตามฉันมาติดๆ

เรียกว่ารอดมาได้อย่างฉิวเฉียด  และสถานที่ปลอดภัยสำหรับผู้อาศัยอย่างฉันคงหนีไม่พ้นห้องนอนที่พอเอาตัวเองเข้าเขตมาได้ก็รีบล็อกประตูทันที  และก็พบว่าเกาหลีเองก็อยู่ในนี้ด้วยฉันโผเข้ากอดอย่างดีใจจนน้ำตาคอเบ้า  เกาหลีเองก็ร้องและคลอเคลียกับฉันเหมือนสื่อถึงการขอโทษ  วันนี้เราคงจะต้องอยู่แต่ในห้องนี้ก่อนเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับเขา ฉันหวังว่าเวลาจะทำให้เขาใจเย็นขึ้นและใช้เหตุผลไม่ใช่ใช้อารมณ์ในการพูดจากัน  ฉันนั่งคิดแล้วก็นอนคิดว่าจะทำยังไงต่อไปเรื่องเกาหลีดูเหมือนว่าจะมีอยู่ทางเดียวคือฉันคงจะต้องพามันไปฝากพ่อเลี้ยงไว้ที่บ้านก่อนถึงจะไม่อยากทำแต่ฉันก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว  ระหว่างที่ที่รอเวลาให้เดินผ่านไปฉันก็นึกขึ้นได้ถึงเรื่องโปรเจ็กงานที่คุณลุงมอบหมายมาซึ่งเราก็ช่วยกันทำมาจนเกือบจะเสร็จสมบูรณ์แล้วฉันใช้เวลาทั้งวันอยู่กับงานเหล่านี้จนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาถึงค่ำ

ก๊อก  ก๊อก  ก๊อก  เสียงประตูดังขึ้น

หัวสมองฉันที่กำลังวนเวียนแต่งานจนลืมนึกถึงว่าใครกันที่ยืนอยู่หน้าประตู  ตาฉันเบิกโตจนแทบทะลักออกมาจากเบ้าเพราะคนที่อยู่ตรงนี่ก็คือ  เขา เขาที่โมโหร้าย เขาคนที่เกือบจะแหกอกฉันเมื่อสาย แล้วนั่นเขาเอาอะไรมาด้วยกระนั้นฉันเองก็รีบจะปิดประตูกลับให้ได้  ทว่าเขาใช้มือดันประตูเอาไว้แรงผู้ชายน่ะฉันสู้ไม่ได้อยู่แล้ว

“นายมีอะไรก็ว่ามา  แต่ถ้าจะมาเรื่องเมื่อเช้าฉัน....”

ยังไม่สิ้นคำพูดของฉันเขาก็ดันตัวฉันเข้าไปในห้อง  ไม่เท่านั้นยังปิดประตูห้องอีก

“ยืนบื้ออยู่ได้  นั่งลงสิ”

ก็เพราะไม่รู้ว่าเขาจะมาไม้ไหนอีกฉันเลยต้องยอมทำตามเขาดีกว่าจะขัดขืนที่เสมือนเป็นการยั่วให้เขาโมโหเหมือนปีศาจ  ฉันเดินถอยหลังอย่างระแวดระวังไปนั่งที่เตียง

“ยื่นแขนมา”  ???

“เฮ้อฉันล่ะเกียจเวลาที่เธอทำหน้าตาซื่อบื้อแบบนี้”

ว่าแล้วเขาจึงค่อยๆใช้มือจับมาที่แขนฉันเบาๆซึ่งฉันเองก็รับรู้ได้ว่าเขาก็พยายามจับเบาที่สุดแล้วแต่ทำไมฉันถึงรู้สึกเจ็บแป๊ปที่แขนขึ้นมาทั้งที่ผ่านมาฉันไม่ยักกะเจ็บมาก่อน  จากนั้นเขาก็นำลูกประคบที่ติดตัวมาด้วยวางประคบไปที่แขนของฉันอย่างทะนุถนอม  จริงสิที่ฉันเป็นแบบนี้ก็เพราะเขาอย่างนี้ก็สมควรแล้ว

“ที่มาทำดีกับฉันคิดจะง้อกันใช่มะ”

“เปล่า...แต่ถ้าเธอจะคิดเข้าข้างตัวเองแบบนั้นฉันก็ไม่ว่าอะไร”

“นายว่าฉันหลงตังเองงั้นหรอ!...นี่เคยได้ยินไหมว่าการกระทำมันบอกถึงความรู้สึก

“แล้วเธอคิดว่าฉันรู้สึกยังไง”  ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นไปสบตาเธอแวบหนึ่ง

“ก็.........ก็สำนึกผิดไง”

“งั้นก็คิดถูกแล้ว  เอาเป็นว่าเรื่องวันนี้เราไม่มีอะไรติดค้างต่อกัน”

“ก็คงงั้น...” 

“เสร็จเรียบร้อย...คืนนี้เธอก็งดใช้แขนทำอะไรหนักๆให้มันได้พักพรุ่งนี้จะได้ไม่บวม  เข้าใจไหม”

“อื้อ...ขอบใจนะ”  (‘////’ )

ถึงแม้ว่านี่มันจะดึกมาแล้วแต่แต่ประกายดาวก็คงจะมัวแต่นอนพักตามที่เธียรทัดบอกไม่ได้  เหตุผลก็ง่ายแสนง่ายนั่นก็คือวันกำหนดส่งงานไล่จี้ตูดเธอมาทุกทีเลยทำให้ต้องนั่งปั่นงานจนตัวเองเผลอหลับไป  และไฟที่เปิดค้างไว้ทั้งที่ปกติหญิงสาวจะปิดมันแต่หัวค่ำก็เป็นที่ผิดสังเกตของใครคนหนึ่งที่เดินผ่านมา

แปลกจังดึกป่านนี้แล้วทำไมยังไม่นอน...จะเป็นอะไรไปหรือเปล่า

ก๊อก  ก๊อก ก๊อก

“ประกายดาวเธอยังไม่นอนอีกเหรอ”

เงียบ~การไม่มีสัญญาณตอบรับให้กับการเคาะประตูสองถึงสามครั้งทำให้เขาแน่ใจว่าจะต้องมีอะไรบางอย่างผิดปกติแน่  เขาจึงตัดสินใจถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไป  แล้วก็พบว่า

“โถ่ยัยขี้เซานั่งหลับคาโต๊ะนี่เอง  บอกไม่เชื่อกันหรือไงว่าห้ามใช้แขนทำงานพรุ่งนี้แขนได้บวมสมใจแน่”

ชายหนุ่มยืนมองหญิงสาวอยู่ข้างๆ

แล้วอะไรที่ทำให้เธอกล้าขัดคำสั่งฉัน…งานโฆษณา…จริงสิอีกไม่กี่วันก็ถึงกำหนดส่งแล้ว

เธอคงจะไม่ได้ทนนั่งเขียนมันขึ้นมาทั้งๆที่แขนตัวเองเจ็บขนาดนี้หรอกนะ

ว่าแล้วชายหนุ่มก็อุ้มร่างของเธอที่หลับกินตายจากเก้าอี้ไปนอนที่เตียง  และกลับออกไปพร้อมกับงานบนโต๊ะและไม่ลืมที่จะปิดไฟให้กับเธอ

~เช้าวันต่อมา

ประกายดาวตื่นขึ้นมาพร้อมๆกับความระบมของแขน  แล้วนี่ฉันกลับมานอนที่เตียงตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?  แต่เธอคงต้องเก็บความสงสัยไว้เท่านี้  เพราะจะต้องพาเกาหลีไปฝากปกรณ์ก่อนที่เขาจะออกไปขายบาร์บีคิว  หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเธอก็อุ้มมันเดินออกมาจากห้อง

ทว่าก้าวไปได้ไม่เท่าไหร่เสียงอันคุ้นหูก็ดึงเธอไว้ไม่ให้กล้าขยับไปต่อ

“เธอจะไปไหนตั้งแต่เช้า”

“ฉันว่าจะเอาเกาหลีไปฝากพ่อเลี้ยงไว้ก่อน”

“ไม่ต้องพากันไปไหนทั้งนั้น”

สีหน้าและท่าทางของเขาทำให้ฉันนึกกลัวขึ้นมา  ฉันกอดเกาหลีไว้แน่น

“ฉันอนุญาตให้เธอเลี้ยงมันได้แต่ไม่ใช่บนนี้  ฉันหมายถึงให้ไปฝากใครก็ได้เลี้ยงไว้ข้างล่าง”

อะไรนะ  ฉันแทบไม่อยากเชื่อหูของตัวเองและนี่ก็ไม่ใช่ความฝันและเรื่องจริงก็คือเรากำลังเดินไปยังชั้นล่างเพื่อไปหาคุณกานดา  ฉันเลือกเธอเพราะเธอเคยบอกว่าถ้าฉันมีปัญหาอะไรให้บอกเธอได้ทุกเรื่อง^^

“คุณดาวมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ...ตายจริงนี่มันมะ..แมววว!”

เธอตกใจสุดขีดเมื่อเห็นว่าประกายดาวอุ้มแมวซึ่งเป็นสัตว์ที่เธียรทัดเกลียดแสนเกลียดมาด้วย

“รีบเอาออกไปเถอะค่ะ  ก่อนที่คุณเธียรจะมาเห็นเข้า”

“คุณเธียรไม่ว่าหรอกค่ะ  เพราะเขาบอกให้ดาวเอาเจ้านี้มาฝากคุณกานดาไว้”

“จริงหรอคะ?”

เธอทำหน้าตาประมาณว่าคำพูดฉันไม่น่าเชื่องั้นแหละ

“จริงๆนะคะถ้าไม่เชื่อเดินไปถามเขาได้เลยค่ะ”

กานดามองตามทิศสายตาของประกายดาวไปยังเธียรทัดซึ่งมองดูทั้งคู่อยู่ห่างๆ

หลังจากฝากฝังเกาหลีแล้ว

“เป็นไง”

“ทุกอย่างเรียบร้อยดี  เออว่าแต่ทำไมนายถึงเกลียดแมวนักล่ะ”

“แล้วทำไมเธอถึงชอบมันล่ะ”  เขาย้อน

ก็เพราะแมวมันกินหนูไง  ฉันเกลียดหนู  ฉันก็เลยชอบแมว^^…ว่าแต่นายยังไม่ตอบคำถามฉันเลย”

“แล้วจะรู้ไปทำไม”

“อ้าวฉันก็จะได้ระวังตัวน่ะสิ  เกิดทำอะไรไม่ถูกใจนายขึ้นมาแล้วนายลุกขึ้นมาแหกอก  ฉันไม่ตายกันพอดีหรือไง”

“ถ้าฉันบอกไปแน่ใจหรอว่าจะทำได้”  เขาหรี่ตาลง

“ไม่แน่ใจ  แต่รู้ไว้ก็ไม่เสียหายนี่”

“ก็ได้ อย่าให้ฉันได้ยินเสียงร้องของมันเด็ดขาด  ทำได้หรือเปล่าล่ะ”

“นายจะบ้าหรอไงใครจะห้ามไม่ให้แมวร้องได้”

“ก็ทำไม่ได้น่ะสิ  เธอนี่ปัญญาอ่อนหรือไง”

หมอนี่หรอกด่าเก่งชะมัด  สงสัยคนอย่างประกายดาวต้องสั่งสอนซะหน่อยแล้ว

“นายไม่ชอบแมวแต่ฉันกลับชอบมันแบบสุดๆไปเลยล่ะ  โดยเฉพาะตอนที่มันร้องว่า  เหมียวววว”

ฉันลากเสียงคำหลังยาวเหยียดจนเขาต้องหันมามอง  แล้วก็เป็นอีกครั้งแต่คราวนี้ฉันตั้งใจครวญครางใกล้ๆหูของเขา

“หยุดร้องเดี๋ยวนี้นะ”

ท่าทีที่เขาหงุดหงิดยิ่งทำให้ประกายดาวได้ใจทำให้คำว่าเหมียวเล็ดรอดออกมาจากปากเธอไม่ขาดสาย  หมับ! ชายหนุ่มรวบแขนเธอไว้เขากะแค่จะขู่ไม่คิดว่าจะทำให้เธอเจ็บจนถึงขั้นร้องออกมา

“โอ๊ยเจ็บ  ฉันเจ็บ!!”

เมื่อเห็นว่าหญิงสาวดูจะเจ็บจริงชายหนุ่มจึงคลายมือออก  แล้วเขาก็ถกแขนเสื้อของประกายดาวขึ้นจึงเห็นว่าสาเหตุที่ทำให้เธอร้องเป็นหมาโดนน้ำร้อนลวกก็คือแผลบวมแดงที่ข้อมือขวา  หญิงสาวตกใจพอๆกันเพราะเมื่อเช้ายังไม่เป็นมากถึงขนาดนี้

“ว่าแล้วไม่มีผิดว่าต้องอักเสบ”

“ไม่เป็นไรหรอกน่า”

ว่าพลางชักมือกลับมาแล้วกระตุกแขนเสื้อลงมาปิดไว้ตามเดิม

“ไปขึ้นรถฉันจะพาเธอไปหาหมอ”

“ไปหาหมอ!  มะแหมฉันไม่ได้เป็นหนักถึงขั้นต้องไปหาหมอหรอก^^;  อีกอย่างฉันก็ไม่เจ็บแล้วด้วย  เห็นไหม…”

ฉันใช้มืออีกข้างบีบไปตรงที่บวมเพื่อจะแสดงว่าไม่เจ็บแต่มันดันเจ็บจนฉันกลั้นเสียงร้องไว้ไม่อยู่  T^T

“ร้องเสียงหลงแบบนี้  เธอไม่รอดหรอก”

เธียรทัดแสยะยิ้มก่อนจะล็อกคอประกายดาวแล้วลากตัวขึ้นรถต่อไป

คลินิกแห่งหนึ่ง

“คุณประกายดาวเชิญที่ห้องตรวจค่ะ”

พนักงานที่เคาเตอร์ประกาศขึ้นเสียงดังฟังชัดแต่ว่าเจ้าของชื่อยังไม่ยอมขยับตัวไปไหนจนเธียรทัดที่นั่งอยู่ข้างๆสะกิดเตือน

“มัวนั่งเฉยอยู่ทำไม  เขาเรียกชื่อเธอแล้วนะ”

หญิงสาวนั่งตัวแข็งเหมือนเจ้ากำลังจะมาประทับ - -“  ทันใดนั้นก็ลุกขึ้นพรวดเธอมองประตูบานสีขาวตรงหน้าด้วยสายตามาดมั่นทว่าพอมาถึงเธอกลับเบี่ยงตัวจะวิ่งหนีแต่ก็ไปไหนไม่ได้เพราะเธียรทัดใช้ตัวมาขวางไว้ทันก่อนจะเปิดประตูและคุมเธอให้เดินเข้าไปโดยดี  จากนั้นก็ใช้สายตาพิฆาตกดดันเธอให้นั่งลง

“อ้าวเธียร”

หญิงสาวในชุดกราวสีขาวทักขึ้นด้วยเนื้อเสียงแจ่มใส  เธอคือผู้หญิงสายตาเศร้าคนนั้นฉันจำเธอได้

“สวัสดีค่ะ”  เธอหันมาทักทายคนไข้สาว

“สวัสดีค่ะ^^”

แต่ที่น่าตกใจไปกว่านั้นก็คือเธอถือเข็มแหลมๆซึ่งฉันกลัวมากที่สุดในสามโลกมาด้วย

“เดี๋ยวนะคะถึงกลับต้องฉีดยาเลยหรอ”  ฉันเบรกไว้

“ความจริงไม่ต้องก็ได้ค่ะ”

ได้ยินอย่างนั้นค่อยโล่งใจหน่อย  แต่

“เห้ยได้ไงล่ะเธอเป็นน้อยๆซะทีไหนฉีดๆไปนั่นแหละดีแล้ว” 

“นายก็ได้ยินนี่ว่าคุณหมอเขาบอกว่าไม่ฉีดก็ได้”

“แต่ฉันว่าฉีดก็ดีนะคะจะได้หายไวๆ”  เกษราก็เห็นตรงกับเธียรทัด

หญิงสาวชักเริ่มใจเสียขึ้นมาเมื่อเห็นเข็มเข้ามาใกล้ๆ  จนดูหน้าซีดแต่ทันใดนั้นเธอก็ถูกคนข้างๆดึงเข้าไปซุกที่อ้อมแขนอุ่นๆของเขา  OoO!!!  มันอุ่นจนลืมความเจ็บไปหมด

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.3 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา