ดาวเสี่ยงเธียร(ปาฏิหาริย์รักในคืนฝนดาวตก)
8.1
เขียนโดย มะมาย
วันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2556 เวลา 11.02 น.
8 ตอน
5 วิจารณ์
12.90K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 18.34 น. โดย เจ้าของนิยาย
6) ผลของการบุกรุกเขตหวงห้าม
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความหลายวันที่เกาหลีได้เข้ามาอยู่ที่สหสมุทรฉันก็คอยดูแลประคบประหงมอย่างใกล้ชิดให้ทั้งความรักความอบอุ่นอย่างที่มันควรจะได้แต่ก็อาจจะมากเกินไปก็เลยทำให้มันกลายเป็นแมวน้อยอ้วนท้วนสมบูรณ์ร่าเริงขี้เล่น ดูแข็งแรงขึ้นเป็นกองต่างจากวันแรกที่เจอมันลิบลับ วันนี้เป็นเหมือนเช่นทุกเช้าที่ฉันจะพาเกาหลีแมวน้อยซุกซนลงไปวิ่งเล่นที่สนามหญ้าหน้าบ้าน ทว่าพอมาถึงบันไดมันกลับกระโดดออกจากอ้อมอกฉันและวิ่งขึ้นไปยังชั้นสามซึ่งเป็นเขตหวงห้ามของ…..เอ่อ(น่าจะรู้กันดี) นั่นก็เท่ากับว่าฉันจะต้องขึ้นไปตามเกาหลีให้เจอแต่ถือว่ายังโชคดีอยู่บ้างที่เขาไม่ใช่คนตื่นเช้าอะไรมากมาย ฉันจึงค่อยๆก้าวเท้าขึ้นบันไดอย่างช้าๆและเบาที่สุดกระทั่งถึงชั้นสาม นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ฉันได้ขึ้นมาเหยียบบนนี้ซึ่งมีเพียงแค่ห้องเดียวและเป็นห้องที่ประตูเปิดแง้มไว้ฉันจึงแน่ใจว่าเกาหลีจะต้องอยู่ในห้องนี้แน่ไม่ผิด เมื่อก้าวเท้าเข้าไปฉันก็ต้องตกตะลึงกับภาพวาดนับสิบนับร้อยที่วางเรียงรายเต็มไปหมดเรียกว่าเป็นนิทรรศการขนาดใหญ่ๆเลยก็ว่าได้ ที่แท้สิ่งที่เขาหวงนักหวงหนาก็เป็นเพียงภาพวาดเท่านั้นแต่ฉันสะดุดตาเข้ากับภาพผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งไม่ว่าจะหันมองไปทางไหนก็จะเห็นเธอปรากฏอยู่ในแทบทุกภาพ ฉันเองจึงเริ่มแน่ใจว่าเธอคนนี้น่าจะเป็นแม่ของเขา แต่ที่ยิ่งทำให้ฉันแปลกใจก็คือรูปวาดของหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งเป็นอีกคนอยู่บนกระดานวาดภาพซึ่งยังวาดไม่เสร็จ ฉันเดินเพื่อเข้าไปดูมันใกล้ๆจะว่าไปก็คับคล้ายคับคลาฉันเหมือนกันนะเนี่ยแต่เพราะยังวาดไม่เสร็จฉันจึงไม่ควรคิดเข้าข้างตัวเองว่าผู้หญิงในภาพนั่นเป็นฉัน อีกอย่างอีตาคุณเธียรจะวาดฉันไปเพื่ออะไรเขาเกลียดเราจะตายไป ฉันละสายตาจากสิ่งตรงหน้าเมื่อได้ยินเสียงเกาหลีร้องขึ้น ฉันว่าจะต้องรีบตามหามันให้เจอและรีบออกไปจากที่นี่โดยเร็ว ฉันร้องเรียกมันเบาๆ(เพราะถ้าดังเกินไปเขาจะตื่นมาแหกอกฉันได้)และก็พบว่ามันหมอบอยู่ใต้โต๊ะฉันจึงอุ้มมันขึ้นมาก่อนที่จะรีบเดินไปที่ประตู ทว่าประตูกลับเปิดสวนเข้ามาข้างใน ว๊ากกกกกหายนะมาเยือนเข้าให้แล้ว!
ฉันหันซ้ายหันขวาซอยเท้าก้าวถอยหลังฉับๆเลยไม่ทันระวังจึงชนเข้ากับภาพของเขาแล้วที่ยิ่งซวยไปกว่านั้นภาพนั้นดันเซล้มลงไปเกี่ยวกับภาพอื่นตามๆกันทำให้ทั้งหมดล้มตามกันเป็นโดมิโน่ ไม่นะ!นี่มันอะไรกันเนี่ยO^O;
เมื่อสองสายตาประสานกัน “เธอ!เข้ามาทำอะไรที่นี่!!!!!!”
น้ำเสียงที่แข็งกร้าวประกอบกับแววตาที่ดุดันของเขา ณ ตอนนี้ มันช่างน่ากลัวเหลือเกิน
“ชะฉันอธิบายได้ คือเกาหลีตกใจอะไรไม่รู้แล้วก็วิ่งขึ้นมาที่นี่ฉันก็เลยต้องตามมา ไม่ได้มีเจตนาอย่างอื่นแอบแฝง”
หมอนั่นมองหน้าฉันอย่างเอาเรื่องก่อนจะเลื่อนไปเพ่งเล็งที่เกาหลี
“ไอ้แมวเจ้าปัญหานี่เอง ฉันบอกเธอแล้วใช่ไหมว่าถ้าเอามาเลี้ยงแล้วอย่ามาทำให้ฉันวุ่นวาย!...เอามานี่ฉันจะเป็นคนจัดการกับมันเอง!”
“ไม่นะ”
ฉันขยับถอยเมื่อเขายื่นมือเข้ามาและทำท่าจะแย้งเกาหลีไปจากฉัน แต่ฉันคงจะยอมไม่ได้ขืนให้เขาไปมีหวังเขาคงเอามันไปปล่อยแน่หรือถ้ามากไปกว่านั้นก็อาจจะ…(O.O’)เราทั้งคู่ยื้อยุดฉุดกระชากเกาหลีกันไปมากระทั่งมันตื่นตกใจกระโดดออกจากอ้อมแขนฉันและวิ่งหนีเตลิดไปจากห้องเหลือแต่แขนของฉันที่เขายังกำอยู่แน่นเต็มไม้เต็มมือ
“นายทำให้มันตกใจ ฉันจะไปตามเกาหลีกลับมา”
ฉันพยายามแกะมือเขาที่ยังกำแขนฉันไว้แน่นอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่เขากลับกระชากตัวฉันเอาไว้แล้วยิ่งบีบมันแรงขึ้นอีกจนฉันเริ่มรู้สึกเจ็บ
“โอ๊ยฉันเจ็บนะ!”
“ในเมื่อแมวมันหนีไปแล้ว งั้นเธอจะต้องรับผิดชอบกับเหตุการณ์ครั้งนี้”
“อะไรกันฉันอธิบายให้นายฟังไปหมดแล้วนายยังคิดว่าฉันตั้งใจแอบเข้ามาที่นี้อีกงั้นเหรอ ทำไมนายถึงเข้าใจอะไรยากเย็นแบบนี้นะ”
“หุบปาก!”
เสียงคำรามของเขาทำให้ฉันเม้มปากแน่นแล้วทั้งตัวก็เริ่มสั่น
“ดี ถ้าเธอบอกว่าไอ้การที่เธอแอบเข้ามาที่นี่เธอไม่ได้ตั้งใจ...งั้นถ้าฉันพลั้งจูบเธอขึ้นมาแล้วบอกว่าไม่ได้ตั้งใจล่ะเธอจะว่ายังไง”
เขาส่งสายตาอุบาทห์ยั่ว มันบ่งบอกเลยว่าเขาเอาจริงแน่ฉันเฝ้ามองท่าทีของเขาอย่างระแวดระวังตัวระหว่างนั้นก็สอดส่องสายตาเพื่อมองหาทางเอาตัวรอด ใช่ ต้องวิ่ง วิ่ง ฉันวิ่งและเสียงฝีเท้าของเขาก็ดังไล่ตามหลังมา หมับ!เขาคว้าแขนฉันเอาไว้
“ปล่อยนะ!!”
ฉันดิ้นสุดพลังแรงเกิดแต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผล เขามองหน้าฉันด้วยสีหน้าราบเรียบรอจนฉันเหนื่อยแล้วก็หยุดไปเอง แห่กๆๆฉันหอบจนลิ้นห้อย
“ปล่อยฉันสิ”
“ปล่อยเธองั้นหรอ”
เธียรทัดแสยะยิ้มชั่วร้ายว่าแล้วเขาก็ดันร่างของประกายดาวไปชิดติดกับผนังห้อง มือทั้งสองข้างถูกชายหนุ่มขึงตรึงไว้กับที่ แล้วเขาโน้มหน้าเข้ามาใกล้ หญิงสาวสะบัดหน้าเพื่อหนี้ริมฝีปากของเขา
“คุณเธียรอย่าทำแบบนี้ได้โปรด”
น้ำเสียงสั่นเครือไม่ได้ช่วยให้ชายหนุ่มหยุดในสิ่งที่เขากำลังจะทำต่อจากนี้
ไอร้อนระอุที่ฉันสัมผัสได้จากตัวเขาทำให้ใจฉันเริ่มเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ ทว่านั่นไม่ได้ทำให้ฉันเคลิบเคลิ้มไปด้วยได้เลย
“แน่ใจใช่ไหมว่านายจะทำอย่างที่พูด”
ฉันสบสายตาเขาทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่รู้จะซุกลูกตาไว้ที่ไหนดี ก่อนจะลงมือทำอะไรบางอย่างที่เรียกว่าทำให้เขานั่งฟุบลงไปกองอยู่ที่พื้น เครื่องช็อตไฟฟ้า โชกดีที่ตัดสินใจหยิบติดตัวมาด้วย จากนั้นฉันก็พยายามจะวิ่งไปที่ประตูแต่เขาที่นั่ง
จุ่มปุ๊กอยู่ที่พื้นก็ไม่วายคว้าขาฉันเอาไว้ ทำให้เครื่องช็อตไฟฟ้ากระเด็นหลุดออกจากมือฉันไป
“คิดจะหนีเหรอห๊ะ!”
“เออน่ะสิถามได้ ปล่อยฉันนะ.....ไม่ปล่อยใช่ไหม…”
“เออไม่ปล่อยโว๊ย”
เห็นทีเครื่องช็อตไฟฟ้าจะทำอะไรเขาไม่ได้ซะแล้วฉันจึงมองหาสิ่งที่พอจะทำเป็นอาวุธได้ทันใดนั้นฉันก็เหลือบเห็นกองประดาษวาดรูปปึ๊งใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลมือนักและนั่นก็คือสิ่งที่ฉันจะใช้หยุดเขา ฉันหยิบมันขึ้นมาแล้วก็ฟาดไปที่หัวเขาอย่างจังโดยที่ไม่ได้มีเจตนาจะทำให้เขาเลือดตกยางออกแต่อย่างใด โป๊ก! ขาฉันหลุดจากมือของเขาที่พันธนาการไว้ ฉันฟาดไปขนาดนี้ไม่สลบแต่ก็คงพอที่จะทำให้เขานับดาวเล่นได้หลายสิบดวง และเวลานี้เองฉันจึงรีบวิ่งสุดแรงเกิดออกจากที่นี่ไป
“โถ่โว้ยฉันไม่ปล่อยเธอไว้แน่ยัยตัวแสบ” เสียงของเขาดังไล่ตามฉันมาติดๆ
เรียกว่ารอดมาได้อย่างฉิวเฉียด และสถานที่ปลอดภัยสำหรับผู้อาศัยอย่างฉันคงหนีไม่พ้นห้องนอนที่พอเอาตัวเองเข้าเขตมาได้ก็รีบล็อกประตูทันที และก็พบว่าเกาหลีเองก็อยู่ในนี้ด้วยฉันโผเข้ากอดอย่างดีใจจนน้ำตาคอเบ้า เกาหลีเองก็ร้องและคลอเคลียกับฉันเหมือนสื่อถึงการขอโทษ วันนี้เราคงจะต้องอยู่แต่ในห้องนี้ก่อนเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับเขา ฉันหวังว่าเวลาจะทำให้เขาใจเย็นขึ้นและใช้เหตุผลไม่ใช่ใช้อารมณ์ในการพูดจากัน ฉันนั่งคิดแล้วก็นอนคิดว่าจะทำยังไงต่อไปเรื่องเกาหลีดูเหมือนว่าจะมีอยู่ทางเดียวคือฉันคงจะต้องพามันไปฝากพ่อเลี้ยงไว้ที่บ้านก่อนถึงจะไม่อยากทำแต่ฉันก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ระหว่างที่ที่รอเวลาให้เดินผ่านไปฉันก็นึกขึ้นได้ถึงเรื่องโปรเจ็กงานที่คุณลุงมอบหมายมาซึ่งเราก็ช่วยกันทำมาจนเกือบจะเสร็จสมบูรณ์แล้วฉันใช้เวลาทั้งวันอยู่กับงานเหล่านี้จนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาถึงค่ำ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงประตูดังขึ้น
หัวสมองฉันที่กำลังวนเวียนแต่งานจนลืมนึกถึงว่าใครกันที่ยืนอยู่หน้าประตู ตาฉันเบิกโตจนแทบทะลักออกมาจากเบ้าเพราะคนที่อยู่ตรงนี่ก็คือ เขา เขาที่โมโหร้าย เขาคนที่เกือบจะแหกอกฉันเมื่อสาย แล้วนั่นเขาเอาอะไรมาด้วยกระนั้นฉันเองก็รีบจะปิดประตูกลับให้ได้ ทว่าเขาใช้มือดันประตูเอาไว้แรงผู้ชายน่ะฉันสู้ไม่ได้อยู่แล้ว
“นายมีอะไรก็ว่ามา แต่ถ้าจะมาเรื่องเมื่อเช้าฉัน....”
ยังไม่สิ้นคำพูดของฉันเขาก็ดันตัวฉันเข้าไปในห้อง ไม่เท่านั้นยังปิดประตูห้องอีก
“ยืนบื้ออยู่ได้ นั่งลงสิ”
ก็เพราะไม่รู้ว่าเขาจะมาไม้ไหนอีกฉันเลยต้องยอมทำตามเขาดีกว่าจะขัดขืนที่เสมือนเป็นการยั่วให้เขาโมโหเหมือนปีศาจ ฉันเดินถอยหลังอย่างระแวดระวังไปนั่งที่เตียง
“ยื่นแขนมา” ???
“เฮ้อฉันล่ะเกียจเวลาที่เธอทำหน้าตาซื่อบื้อแบบนี้”
ว่าแล้วเขาจึงค่อยๆใช้มือจับมาที่แขนฉันเบาๆซึ่งฉันเองก็รับรู้ได้ว่าเขาก็พยายามจับเบาที่สุดแล้วแต่ทำไมฉันถึงรู้สึกเจ็บแป๊ปที่แขนขึ้นมาทั้งที่ผ่านมาฉันไม่ยักกะเจ็บมาก่อน จากนั้นเขาก็นำลูกประคบที่ติดตัวมาด้วยวางประคบไปที่แขนของฉันอย่างทะนุถนอม จริงสิที่ฉันเป็นแบบนี้ก็เพราะเขาอย่างนี้ก็สมควรแล้ว
“ที่มาทำดีกับฉันคิดจะง้อกันใช่มะ”
“เปล่า...แต่ถ้าเธอจะคิดเข้าข้างตัวเองแบบนั้นฉันก็ไม่ว่าอะไร”
“นายว่าฉันหลงตังเองงั้นหรอ!...นี่เคยได้ยินไหมว่าการกระทำมันบอกถึงความรู้สึก”
“แล้วเธอคิดว่าฉันรู้สึกยังไง” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นไปสบตาเธอแวบหนึ่ง
“ก็.........ก็สำนึกผิดไง”
“งั้นก็คิดถูกแล้ว เอาเป็นว่าเรื่องวันนี้เราไม่มีอะไรติดค้างต่อกัน”
“ก็คงงั้น...”
“เสร็จเรียบร้อย...คืนนี้เธอก็งดใช้แขนทำอะไรหนักๆให้มันได้พักพรุ่งนี้จะได้ไม่บวม เข้าใจไหม”
“อื้อ...ขอบใจนะ” (‘////’ )
ถึงแม้ว่านี่มันจะดึกมาแล้วแต่แต่ประกายดาวก็คงจะมัวแต่นอนพักตามที่เธียรทัดบอกไม่ได้ เหตุผลก็ง่ายแสนง่ายนั่นก็คือวันกำหนดส่งงานไล่จี้ตูดเธอมาทุกทีเลยทำให้ต้องนั่งปั่นงานจนตัวเองเผลอหลับไป และไฟที่เปิดค้างไว้ทั้งที่ปกติหญิงสาวจะปิดมันแต่หัวค่ำก็เป็นที่ผิดสังเกตของใครคนหนึ่งที่เดินผ่านมา
แปลกจังดึกป่านนี้แล้วทำไมยังไม่นอน...จะเป็นอะไรไปหรือเปล่า
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ประกายดาวเธอยังไม่นอนอีกเหรอ”
เงียบ~การไม่มีสัญญาณตอบรับให้กับการเคาะประตูสองถึงสามครั้งทำให้เขาแน่ใจว่าจะต้องมีอะไรบางอย่างผิดปกติแน่ เขาจึงตัดสินใจถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไป แล้วก็พบว่า
“โถ่ยัยขี้เซานั่งหลับคาโต๊ะนี่เอง บอกไม่เชื่อกันหรือไงว่าห้ามใช้แขนทำงานพรุ่งนี้แขนได้บวมสมใจแน่”
ชายหนุ่มยืนมองหญิงสาวอยู่ข้างๆ
แล้วอะไรที่ทำให้เธอกล้าขัดคำสั่งฉัน…งานโฆษณา…จริงสิอีกไม่กี่วันก็ถึงกำหนดส่งแล้ว
“เธอคงจะไม่ได้ทนนั่งเขียนมันขึ้นมาทั้งๆที่แขนตัวเองเจ็บขนาดนี้หรอกนะ”
ว่าแล้วชายหนุ่มก็อุ้มร่างของเธอที่หลับกินตายจากเก้าอี้ไปนอนที่เตียง และกลับออกไปพร้อมกับงานบนโต๊ะและไม่ลืมที่จะปิดไฟให้กับเธอ
~เช้าวันต่อมา
ประกายดาวตื่นขึ้นมาพร้อมๆกับความระบมของแขน แล้วนี่ฉันกลับมานอนที่เตียงตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? แต่เธอคงต้องเก็บความสงสัยไว้เท่านี้ เพราะจะต้องพาเกาหลีไปฝากปกรณ์ก่อนที่เขาจะออกไปขายบาร์บีคิว หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเธอก็อุ้มมันเดินออกมาจากห้อง
ทว่าก้าวไปได้ไม่เท่าไหร่เสียงอันคุ้นหูก็ดึงเธอไว้ไม่ให้กล้าขยับไปต่อ
“เธอจะไปไหนตั้งแต่เช้า”
“ฉันว่าจะเอาเกาหลีไปฝากพ่อเลี้ยงไว้ก่อน”
“ไม่ต้องพากันไปไหนทั้งนั้น”
สีหน้าและท่าทางของเขาทำให้ฉันนึกกลัวขึ้นมา ฉันกอดเกาหลีไว้แน่น
“ฉันอนุญาตให้เธอเลี้ยงมันได้แต่ไม่ใช่บนนี้ ฉันหมายถึงให้ไปฝากใครก็ได้เลี้ยงไว้ข้างล่าง”
อะไรนะ ฉันแทบไม่อยากเชื่อหูของตัวเองและนี่ก็ไม่ใช่ความฝันและเรื่องจริงก็คือเรากำลังเดินไปยังชั้นล่างเพื่อไปหาคุณกานดา ฉันเลือกเธอเพราะเธอเคยบอกว่าถ้าฉันมีปัญหาอะไรให้บอกเธอได้ทุกเรื่อง^^
“คุณดาวมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ...ตายจริงนี่มันมะ..แมววว!”
เธอตกใจสุดขีดเมื่อเห็นว่าประกายดาวอุ้มแมวซึ่งเป็นสัตว์ที่เธียรทัดเกลียดแสนเกลียดมาด้วย
“รีบเอาออกไปเถอะค่ะ ก่อนที่คุณเธียรจะมาเห็นเข้า”
“คุณเธียรไม่ว่าหรอกค่ะ เพราะเขาบอกให้ดาวเอาเจ้านี้มาฝากคุณกานดาไว้”
“จริงหรอคะ?”
เธอทำหน้าตาประมาณว่าคำพูดฉันไม่น่าเชื่องั้นแหละ
“จริงๆนะคะถ้าไม่เชื่อเดินไปถามเขาได้เลยค่ะ”
กานดามองตามทิศสายตาของประกายดาวไปยังเธียรทัดซึ่งมองดูทั้งคู่อยู่ห่างๆ
หลังจากฝากฝังเกาหลีแล้ว
“เป็นไง”
“ทุกอย่างเรียบร้อยดี เออว่าแต่ทำไมนายถึงเกลียดแมวนักล่ะ”
“แล้วทำไมเธอถึงชอบมันล่ะ” เขาย้อน
“ก็เพราะแมวมันกินหนูไง ฉันเกลียดหนู ฉันก็เลยชอบแมว^^…ว่าแต่นายยังไม่ตอบคำถามฉันเลย”
“แล้วจะรู้ไปทำไม”
“อ้าวฉันก็จะได้ระวังตัวน่ะสิ เกิดทำอะไรไม่ถูกใจนายขึ้นมาแล้วนายลุกขึ้นมาแหกอก ฉันไม่ตายกันพอดีหรือไง”
“ถ้าฉันบอกไปแน่ใจหรอว่าจะทำได้” เขาหรี่ตาลง
“ไม่แน่ใจ แต่รู้ไว้ก็ไม่เสียหายนี่”
“ก็ได้ อย่าให้ฉันได้ยินเสียงร้องของมันเด็ดขาด ทำได้หรือเปล่าล่ะ”
“นายจะบ้าหรอไงใครจะห้ามไม่ให้แมวร้องได้”
“ก็ทำไม่ได้น่ะสิ เธอนี่ปัญญาอ่อนหรือไง”
หมอนี่หรอกด่าเก่งชะมัด สงสัยคนอย่างประกายดาวต้องสั่งสอนซะหน่อยแล้ว
“นายไม่ชอบแมวแต่ฉันกลับชอบมันแบบสุดๆไปเลยล่ะ โดยเฉพาะตอนที่มันร้องว่า เหมียวววว”
ฉันลากเสียงคำหลังยาวเหยียดจนเขาต้องหันมามอง แล้วก็เป็นอีกครั้งแต่คราวนี้ฉันตั้งใจครวญครางใกล้ๆหูของเขา
“หยุดร้องเดี๋ยวนี้นะ”
ท่าทีที่เขาหงุดหงิดยิ่งทำให้ประกายดาวได้ใจทำให้คำว่าเหมียวเล็ดรอดออกมาจากปากเธอไม่ขาดสาย หมับ! ชายหนุ่มรวบแขนเธอไว้เขากะแค่จะขู่ไม่คิดว่าจะทำให้เธอเจ็บจนถึงขั้นร้องออกมา
“โอ๊ยเจ็บ ฉันเจ็บ!!”
เมื่อเห็นว่าหญิงสาวดูจะเจ็บจริงชายหนุ่มจึงคลายมือออก แล้วเขาก็ถกแขนเสื้อของประกายดาวขึ้นจึงเห็นว่าสาเหตุที่ทำให้เธอร้องเป็นหมาโดนน้ำร้อนลวกก็คือแผลบวมแดงที่ข้อมือขวา หญิงสาวตกใจพอๆกันเพราะเมื่อเช้ายังไม่เป็นมากถึงขนาดนี้
“ว่าแล้วไม่มีผิดว่าต้องอักเสบ”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า”
ว่าพลางชักมือกลับมาแล้วกระตุกแขนเสื้อลงมาปิดไว้ตามเดิม
“ไปขึ้นรถฉันจะพาเธอไปหาหมอ”
“ไปหาหมอ! มะแหมฉันไม่ได้เป็นหนักถึงขั้นต้องไปหาหมอหรอก^^; อีกอย่างฉันก็ไม่เจ็บแล้วด้วย เห็นไหม…”
ฉันใช้มืออีกข้างบีบไปตรงที่บวมเพื่อจะแสดงว่าไม่เจ็บแต่มันดันเจ็บจนฉันกลั้นเสียงร้องไว้ไม่อยู่ T^T
“ร้องเสียงหลงแบบนี้ เธอไม่รอดหรอก”
เธียรทัดแสยะยิ้มก่อนจะล็อกคอประกายดาวแล้วลากตัวขึ้นรถต่อไป
คลินิกแห่งหนึ่ง
“คุณประกายดาวเชิญที่ห้องตรวจค่ะ”
พนักงานที่เคาเตอร์ประกาศขึ้นเสียงดังฟังชัดแต่ว่าเจ้าของชื่อยังไม่ยอมขยับตัวไปไหนจนเธียรทัดที่นั่งอยู่ข้างๆสะกิดเตือน
“มัวนั่งเฉยอยู่ทำไม เขาเรียกชื่อเธอแล้วนะ”
หญิงสาวนั่งตัวแข็งเหมือนเจ้ากำลังจะมาประทับ - -“ ทันใดนั้นก็ลุกขึ้นพรวดเธอมองประตูบานสีขาวตรงหน้าด้วยสายตามาดมั่นทว่าพอมาถึงเธอกลับเบี่ยงตัวจะวิ่งหนีแต่ก็ไปไหนไม่ได้เพราะเธียรทัดใช้ตัวมาขวางไว้ทันก่อนจะเปิดประตูและคุมเธอให้เดินเข้าไปโดยดี จากนั้นก็ใช้สายตาพิฆาตกดดันเธอให้นั่งลง
“อ้าวเธียร”
หญิงสาวในชุดกราวสีขาวทักขึ้นด้วยเนื้อเสียงแจ่มใส เธอคือผู้หญิงสายตาเศร้าคนนั้นฉันจำเธอได้
“สวัสดีค่ะ” เธอหันมาทักทายคนไข้สาว
“สวัสดีค่ะ^^”
แต่ที่น่าตกใจไปกว่านั้นก็คือเธอถือเข็มแหลมๆซึ่งฉันกลัวมากที่สุดในสามโลกมาด้วย
“เดี๋ยวนะคะถึงกลับต้องฉีดยาเลยหรอ” ฉันเบรกไว้
“ความจริงไม่ต้องก็ได้ค่ะ”
ได้ยินอย่างนั้นค่อยโล่งใจหน่อย แต่
“เห้ยได้ไงล่ะเธอเป็นน้อยๆซะทีไหนฉีดๆไปนั่นแหละดีแล้ว”
“นายก็ได้ยินนี่ว่าคุณหมอเขาบอกว่าไม่ฉีดก็ได้”
“แต่ฉันว่าฉีดก็ดีนะคะจะได้หายไวๆ” เกษราก็เห็นตรงกับเธียรทัด
หญิงสาวชักเริ่มใจเสียขึ้นมาเมื่อเห็นเข็มเข้ามาใกล้ๆ จนดูหน้าซีดแต่ทันใดนั้นเธอก็ถูกคนข้างๆดึงเข้าไปซุกที่อ้อมแขนอุ่นๆของเขา OoO!!! มันอุ่นจนลืมความเจ็บไปหมด
ฉันหันซ้ายหันขวาซอยเท้าก้าวถอยหลังฉับๆเลยไม่ทันระวังจึงชนเข้ากับภาพของเขาแล้วที่ยิ่งซวยไปกว่านั้นภาพนั้นดันเซล้มลงไปเกี่ยวกับภาพอื่นตามๆกันทำให้ทั้งหมดล้มตามกันเป็นโดมิโน่ ไม่นะ!นี่มันอะไรกันเนี่ยO^O;
เมื่อสองสายตาประสานกัน “เธอ!เข้ามาทำอะไรที่นี่!!!!!!”
น้ำเสียงที่แข็งกร้าวประกอบกับแววตาที่ดุดันของเขา ณ ตอนนี้ มันช่างน่ากลัวเหลือเกิน
“ชะฉันอธิบายได้ คือเกาหลีตกใจอะไรไม่รู้แล้วก็วิ่งขึ้นมาที่นี่ฉันก็เลยต้องตามมา ไม่ได้มีเจตนาอย่างอื่นแอบแฝง”
หมอนั่นมองหน้าฉันอย่างเอาเรื่องก่อนจะเลื่อนไปเพ่งเล็งที่เกาหลี
“ไอ้แมวเจ้าปัญหานี่เอง ฉันบอกเธอแล้วใช่ไหมว่าถ้าเอามาเลี้ยงแล้วอย่ามาทำให้ฉันวุ่นวาย!...เอามานี่ฉันจะเป็นคนจัดการกับมันเอง!”
“ไม่นะ”
ฉันขยับถอยเมื่อเขายื่นมือเข้ามาและทำท่าจะแย้งเกาหลีไปจากฉัน แต่ฉันคงจะยอมไม่ได้ขืนให้เขาไปมีหวังเขาคงเอามันไปปล่อยแน่หรือถ้ามากไปกว่านั้นก็อาจจะ…(O.O’)เราทั้งคู่ยื้อยุดฉุดกระชากเกาหลีกันไปมากระทั่งมันตื่นตกใจกระโดดออกจากอ้อมแขนฉันและวิ่งหนีเตลิดไปจากห้องเหลือแต่แขนของฉันที่เขายังกำอยู่แน่นเต็มไม้เต็มมือ
“นายทำให้มันตกใจ ฉันจะไปตามเกาหลีกลับมา”
ฉันพยายามแกะมือเขาที่ยังกำแขนฉันไว้แน่นอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่เขากลับกระชากตัวฉันเอาไว้แล้วยิ่งบีบมันแรงขึ้นอีกจนฉันเริ่มรู้สึกเจ็บ
“โอ๊ยฉันเจ็บนะ!”
“ในเมื่อแมวมันหนีไปแล้ว งั้นเธอจะต้องรับผิดชอบกับเหตุการณ์ครั้งนี้”
“อะไรกันฉันอธิบายให้นายฟังไปหมดแล้วนายยังคิดว่าฉันตั้งใจแอบเข้ามาที่นี้อีกงั้นเหรอ ทำไมนายถึงเข้าใจอะไรยากเย็นแบบนี้นะ”
“หุบปาก!”
เสียงคำรามของเขาทำให้ฉันเม้มปากแน่นแล้วทั้งตัวก็เริ่มสั่น
“ดี ถ้าเธอบอกว่าไอ้การที่เธอแอบเข้ามาที่นี่เธอไม่ได้ตั้งใจ...งั้นถ้าฉันพลั้งจูบเธอขึ้นมาแล้วบอกว่าไม่ได้ตั้งใจล่ะเธอจะว่ายังไง”
เขาส่งสายตาอุบาทห์ยั่ว มันบ่งบอกเลยว่าเขาเอาจริงแน่ฉันเฝ้ามองท่าทีของเขาอย่างระแวดระวังตัวระหว่างนั้นก็สอดส่องสายตาเพื่อมองหาทางเอาตัวรอด ใช่ ต้องวิ่ง วิ่ง ฉันวิ่งและเสียงฝีเท้าของเขาก็ดังไล่ตามหลังมา หมับ!เขาคว้าแขนฉันเอาไว้
“ปล่อยนะ!!”
ฉันดิ้นสุดพลังแรงเกิดแต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผล เขามองหน้าฉันด้วยสีหน้าราบเรียบรอจนฉันเหนื่อยแล้วก็หยุดไปเอง แห่กๆๆฉันหอบจนลิ้นห้อย
“ปล่อยฉันสิ”
“ปล่อยเธองั้นหรอ”
เธียรทัดแสยะยิ้มชั่วร้ายว่าแล้วเขาก็ดันร่างของประกายดาวไปชิดติดกับผนังห้อง มือทั้งสองข้างถูกชายหนุ่มขึงตรึงไว้กับที่ แล้วเขาโน้มหน้าเข้ามาใกล้ หญิงสาวสะบัดหน้าเพื่อหนี้ริมฝีปากของเขา
“คุณเธียรอย่าทำแบบนี้ได้โปรด”
น้ำเสียงสั่นเครือไม่ได้ช่วยให้ชายหนุ่มหยุดในสิ่งที่เขากำลังจะทำต่อจากนี้
ไอร้อนระอุที่ฉันสัมผัสได้จากตัวเขาทำให้ใจฉันเริ่มเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ ทว่านั่นไม่ได้ทำให้ฉันเคลิบเคลิ้มไปด้วยได้เลย
“แน่ใจใช่ไหมว่านายจะทำอย่างที่พูด”
ฉันสบสายตาเขาทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่รู้จะซุกลูกตาไว้ที่ไหนดี ก่อนจะลงมือทำอะไรบางอย่างที่เรียกว่าทำให้เขานั่งฟุบลงไปกองอยู่ที่พื้น เครื่องช็อตไฟฟ้า โชกดีที่ตัดสินใจหยิบติดตัวมาด้วย จากนั้นฉันก็พยายามจะวิ่งไปที่ประตูแต่เขาที่นั่ง
จุ่มปุ๊กอยู่ที่พื้นก็ไม่วายคว้าขาฉันเอาไว้ ทำให้เครื่องช็อตไฟฟ้ากระเด็นหลุดออกจากมือฉันไป
“คิดจะหนีเหรอห๊ะ!”
“เออน่ะสิถามได้ ปล่อยฉันนะ.....ไม่ปล่อยใช่ไหม…”
“เออไม่ปล่อยโว๊ย”
เห็นทีเครื่องช็อตไฟฟ้าจะทำอะไรเขาไม่ได้ซะแล้วฉันจึงมองหาสิ่งที่พอจะทำเป็นอาวุธได้ทันใดนั้นฉันก็เหลือบเห็นกองประดาษวาดรูปปึ๊งใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลมือนักและนั่นก็คือสิ่งที่ฉันจะใช้หยุดเขา ฉันหยิบมันขึ้นมาแล้วก็ฟาดไปที่หัวเขาอย่างจังโดยที่ไม่ได้มีเจตนาจะทำให้เขาเลือดตกยางออกแต่อย่างใด โป๊ก! ขาฉันหลุดจากมือของเขาที่พันธนาการไว้ ฉันฟาดไปขนาดนี้ไม่สลบแต่ก็คงพอที่จะทำให้เขานับดาวเล่นได้หลายสิบดวง และเวลานี้เองฉันจึงรีบวิ่งสุดแรงเกิดออกจากที่นี่ไป
“โถ่โว้ยฉันไม่ปล่อยเธอไว้แน่ยัยตัวแสบ” เสียงของเขาดังไล่ตามฉันมาติดๆ
เรียกว่ารอดมาได้อย่างฉิวเฉียด และสถานที่ปลอดภัยสำหรับผู้อาศัยอย่างฉันคงหนีไม่พ้นห้องนอนที่พอเอาตัวเองเข้าเขตมาได้ก็รีบล็อกประตูทันที และก็พบว่าเกาหลีเองก็อยู่ในนี้ด้วยฉันโผเข้ากอดอย่างดีใจจนน้ำตาคอเบ้า เกาหลีเองก็ร้องและคลอเคลียกับฉันเหมือนสื่อถึงการขอโทษ วันนี้เราคงจะต้องอยู่แต่ในห้องนี้ก่อนเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับเขา ฉันหวังว่าเวลาจะทำให้เขาใจเย็นขึ้นและใช้เหตุผลไม่ใช่ใช้อารมณ์ในการพูดจากัน ฉันนั่งคิดแล้วก็นอนคิดว่าจะทำยังไงต่อไปเรื่องเกาหลีดูเหมือนว่าจะมีอยู่ทางเดียวคือฉันคงจะต้องพามันไปฝากพ่อเลี้ยงไว้ที่บ้านก่อนถึงจะไม่อยากทำแต่ฉันก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ระหว่างที่ที่รอเวลาให้เดินผ่านไปฉันก็นึกขึ้นได้ถึงเรื่องโปรเจ็กงานที่คุณลุงมอบหมายมาซึ่งเราก็ช่วยกันทำมาจนเกือบจะเสร็จสมบูรณ์แล้วฉันใช้เวลาทั้งวันอยู่กับงานเหล่านี้จนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาถึงค่ำ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงประตูดังขึ้น
หัวสมองฉันที่กำลังวนเวียนแต่งานจนลืมนึกถึงว่าใครกันที่ยืนอยู่หน้าประตู ตาฉันเบิกโตจนแทบทะลักออกมาจากเบ้าเพราะคนที่อยู่ตรงนี่ก็คือ เขา เขาที่โมโหร้าย เขาคนที่เกือบจะแหกอกฉันเมื่อสาย แล้วนั่นเขาเอาอะไรมาด้วยกระนั้นฉันเองก็รีบจะปิดประตูกลับให้ได้ ทว่าเขาใช้มือดันประตูเอาไว้แรงผู้ชายน่ะฉันสู้ไม่ได้อยู่แล้ว
“นายมีอะไรก็ว่ามา แต่ถ้าจะมาเรื่องเมื่อเช้าฉัน....”
ยังไม่สิ้นคำพูดของฉันเขาก็ดันตัวฉันเข้าไปในห้อง ไม่เท่านั้นยังปิดประตูห้องอีก
“ยืนบื้ออยู่ได้ นั่งลงสิ”
ก็เพราะไม่รู้ว่าเขาจะมาไม้ไหนอีกฉันเลยต้องยอมทำตามเขาดีกว่าจะขัดขืนที่เสมือนเป็นการยั่วให้เขาโมโหเหมือนปีศาจ ฉันเดินถอยหลังอย่างระแวดระวังไปนั่งที่เตียง
“ยื่นแขนมา” ???
“เฮ้อฉันล่ะเกียจเวลาที่เธอทำหน้าตาซื่อบื้อแบบนี้”
ว่าแล้วเขาจึงค่อยๆใช้มือจับมาที่แขนฉันเบาๆซึ่งฉันเองก็รับรู้ได้ว่าเขาก็พยายามจับเบาที่สุดแล้วแต่ทำไมฉันถึงรู้สึกเจ็บแป๊ปที่แขนขึ้นมาทั้งที่ผ่านมาฉันไม่ยักกะเจ็บมาก่อน จากนั้นเขาก็นำลูกประคบที่ติดตัวมาด้วยวางประคบไปที่แขนของฉันอย่างทะนุถนอม จริงสิที่ฉันเป็นแบบนี้ก็เพราะเขาอย่างนี้ก็สมควรแล้ว
“ที่มาทำดีกับฉันคิดจะง้อกันใช่มะ”
“เปล่า...แต่ถ้าเธอจะคิดเข้าข้างตัวเองแบบนั้นฉันก็ไม่ว่าอะไร”
“นายว่าฉันหลงตังเองงั้นหรอ!...นี่เคยได้ยินไหมว่าการกระทำมันบอกถึงความรู้สึก”
“แล้วเธอคิดว่าฉันรู้สึกยังไง” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นไปสบตาเธอแวบหนึ่ง
“ก็.........ก็สำนึกผิดไง”
“งั้นก็คิดถูกแล้ว เอาเป็นว่าเรื่องวันนี้เราไม่มีอะไรติดค้างต่อกัน”
“ก็คงงั้น...”
“เสร็จเรียบร้อย...คืนนี้เธอก็งดใช้แขนทำอะไรหนักๆให้มันได้พักพรุ่งนี้จะได้ไม่บวม เข้าใจไหม”
“อื้อ...ขอบใจนะ” (‘////’ )
ถึงแม้ว่านี่มันจะดึกมาแล้วแต่แต่ประกายดาวก็คงจะมัวแต่นอนพักตามที่เธียรทัดบอกไม่ได้ เหตุผลก็ง่ายแสนง่ายนั่นก็คือวันกำหนดส่งงานไล่จี้ตูดเธอมาทุกทีเลยทำให้ต้องนั่งปั่นงานจนตัวเองเผลอหลับไป และไฟที่เปิดค้างไว้ทั้งที่ปกติหญิงสาวจะปิดมันแต่หัวค่ำก็เป็นที่ผิดสังเกตของใครคนหนึ่งที่เดินผ่านมา
แปลกจังดึกป่านนี้แล้วทำไมยังไม่นอน...จะเป็นอะไรไปหรือเปล่า
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ประกายดาวเธอยังไม่นอนอีกเหรอ”
เงียบ~การไม่มีสัญญาณตอบรับให้กับการเคาะประตูสองถึงสามครั้งทำให้เขาแน่ใจว่าจะต้องมีอะไรบางอย่างผิดปกติแน่ เขาจึงตัดสินใจถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไป แล้วก็พบว่า
“โถ่ยัยขี้เซานั่งหลับคาโต๊ะนี่เอง บอกไม่เชื่อกันหรือไงว่าห้ามใช้แขนทำงานพรุ่งนี้แขนได้บวมสมใจแน่”
ชายหนุ่มยืนมองหญิงสาวอยู่ข้างๆ
แล้วอะไรที่ทำให้เธอกล้าขัดคำสั่งฉัน…งานโฆษณา…จริงสิอีกไม่กี่วันก็ถึงกำหนดส่งแล้ว
“เธอคงจะไม่ได้ทนนั่งเขียนมันขึ้นมาทั้งๆที่แขนตัวเองเจ็บขนาดนี้หรอกนะ”
ว่าแล้วชายหนุ่มก็อุ้มร่างของเธอที่หลับกินตายจากเก้าอี้ไปนอนที่เตียง และกลับออกไปพร้อมกับงานบนโต๊ะและไม่ลืมที่จะปิดไฟให้กับเธอ
~เช้าวันต่อมา
ประกายดาวตื่นขึ้นมาพร้อมๆกับความระบมของแขน แล้วนี่ฉันกลับมานอนที่เตียงตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? แต่เธอคงต้องเก็บความสงสัยไว้เท่านี้ เพราะจะต้องพาเกาหลีไปฝากปกรณ์ก่อนที่เขาจะออกไปขายบาร์บีคิว หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเธอก็อุ้มมันเดินออกมาจากห้อง
ทว่าก้าวไปได้ไม่เท่าไหร่เสียงอันคุ้นหูก็ดึงเธอไว้ไม่ให้กล้าขยับไปต่อ
“เธอจะไปไหนตั้งแต่เช้า”
“ฉันว่าจะเอาเกาหลีไปฝากพ่อเลี้ยงไว้ก่อน”
“ไม่ต้องพากันไปไหนทั้งนั้น”
สีหน้าและท่าทางของเขาทำให้ฉันนึกกลัวขึ้นมา ฉันกอดเกาหลีไว้แน่น
“ฉันอนุญาตให้เธอเลี้ยงมันได้แต่ไม่ใช่บนนี้ ฉันหมายถึงให้ไปฝากใครก็ได้เลี้ยงไว้ข้างล่าง”
อะไรนะ ฉันแทบไม่อยากเชื่อหูของตัวเองและนี่ก็ไม่ใช่ความฝันและเรื่องจริงก็คือเรากำลังเดินไปยังชั้นล่างเพื่อไปหาคุณกานดา ฉันเลือกเธอเพราะเธอเคยบอกว่าถ้าฉันมีปัญหาอะไรให้บอกเธอได้ทุกเรื่อง^^
“คุณดาวมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ...ตายจริงนี่มันมะ..แมววว!”
เธอตกใจสุดขีดเมื่อเห็นว่าประกายดาวอุ้มแมวซึ่งเป็นสัตว์ที่เธียรทัดเกลียดแสนเกลียดมาด้วย
“รีบเอาออกไปเถอะค่ะ ก่อนที่คุณเธียรจะมาเห็นเข้า”
“คุณเธียรไม่ว่าหรอกค่ะ เพราะเขาบอกให้ดาวเอาเจ้านี้มาฝากคุณกานดาไว้”
“จริงหรอคะ?”
เธอทำหน้าตาประมาณว่าคำพูดฉันไม่น่าเชื่องั้นแหละ
“จริงๆนะคะถ้าไม่เชื่อเดินไปถามเขาได้เลยค่ะ”
กานดามองตามทิศสายตาของประกายดาวไปยังเธียรทัดซึ่งมองดูทั้งคู่อยู่ห่างๆ
หลังจากฝากฝังเกาหลีแล้ว
“เป็นไง”
“ทุกอย่างเรียบร้อยดี เออว่าแต่ทำไมนายถึงเกลียดแมวนักล่ะ”
“แล้วทำไมเธอถึงชอบมันล่ะ” เขาย้อน
“ก็เพราะแมวมันกินหนูไง ฉันเกลียดหนู ฉันก็เลยชอบแมว^^…ว่าแต่นายยังไม่ตอบคำถามฉันเลย”
“แล้วจะรู้ไปทำไม”
“อ้าวฉันก็จะได้ระวังตัวน่ะสิ เกิดทำอะไรไม่ถูกใจนายขึ้นมาแล้วนายลุกขึ้นมาแหกอก ฉันไม่ตายกันพอดีหรือไง”
“ถ้าฉันบอกไปแน่ใจหรอว่าจะทำได้” เขาหรี่ตาลง
“ไม่แน่ใจ แต่รู้ไว้ก็ไม่เสียหายนี่”
“ก็ได้ อย่าให้ฉันได้ยินเสียงร้องของมันเด็ดขาด ทำได้หรือเปล่าล่ะ”
“นายจะบ้าหรอไงใครจะห้ามไม่ให้แมวร้องได้”
“ก็ทำไม่ได้น่ะสิ เธอนี่ปัญญาอ่อนหรือไง”
หมอนี่หรอกด่าเก่งชะมัด สงสัยคนอย่างประกายดาวต้องสั่งสอนซะหน่อยแล้ว
“นายไม่ชอบแมวแต่ฉันกลับชอบมันแบบสุดๆไปเลยล่ะ โดยเฉพาะตอนที่มันร้องว่า เหมียวววว”
ฉันลากเสียงคำหลังยาวเหยียดจนเขาต้องหันมามอง แล้วก็เป็นอีกครั้งแต่คราวนี้ฉันตั้งใจครวญครางใกล้ๆหูของเขา
“หยุดร้องเดี๋ยวนี้นะ”
ท่าทีที่เขาหงุดหงิดยิ่งทำให้ประกายดาวได้ใจทำให้คำว่าเหมียวเล็ดรอดออกมาจากปากเธอไม่ขาดสาย หมับ! ชายหนุ่มรวบแขนเธอไว้เขากะแค่จะขู่ไม่คิดว่าจะทำให้เธอเจ็บจนถึงขั้นร้องออกมา
“โอ๊ยเจ็บ ฉันเจ็บ!!”
เมื่อเห็นว่าหญิงสาวดูจะเจ็บจริงชายหนุ่มจึงคลายมือออก แล้วเขาก็ถกแขนเสื้อของประกายดาวขึ้นจึงเห็นว่าสาเหตุที่ทำให้เธอร้องเป็นหมาโดนน้ำร้อนลวกก็คือแผลบวมแดงที่ข้อมือขวา หญิงสาวตกใจพอๆกันเพราะเมื่อเช้ายังไม่เป็นมากถึงขนาดนี้
“ว่าแล้วไม่มีผิดว่าต้องอักเสบ”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า”
ว่าพลางชักมือกลับมาแล้วกระตุกแขนเสื้อลงมาปิดไว้ตามเดิม
“ไปขึ้นรถฉันจะพาเธอไปหาหมอ”
“ไปหาหมอ! มะแหมฉันไม่ได้เป็นหนักถึงขั้นต้องไปหาหมอหรอก^^; อีกอย่างฉันก็ไม่เจ็บแล้วด้วย เห็นไหม…”
ฉันใช้มืออีกข้างบีบไปตรงที่บวมเพื่อจะแสดงว่าไม่เจ็บแต่มันดันเจ็บจนฉันกลั้นเสียงร้องไว้ไม่อยู่ T^T
“ร้องเสียงหลงแบบนี้ เธอไม่รอดหรอก”
เธียรทัดแสยะยิ้มก่อนจะล็อกคอประกายดาวแล้วลากตัวขึ้นรถต่อไป
คลินิกแห่งหนึ่ง
“คุณประกายดาวเชิญที่ห้องตรวจค่ะ”
พนักงานที่เคาเตอร์ประกาศขึ้นเสียงดังฟังชัดแต่ว่าเจ้าของชื่อยังไม่ยอมขยับตัวไปไหนจนเธียรทัดที่นั่งอยู่ข้างๆสะกิดเตือน
“มัวนั่งเฉยอยู่ทำไม เขาเรียกชื่อเธอแล้วนะ”
หญิงสาวนั่งตัวแข็งเหมือนเจ้ากำลังจะมาประทับ - -“ ทันใดนั้นก็ลุกขึ้นพรวดเธอมองประตูบานสีขาวตรงหน้าด้วยสายตามาดมั่นทว่าพอมาถึงเธอกลับเบี่ยงตัวจะวิ่งหนีแต่ก็ไปไหนไม่ได้เพราะเธียรทัดใช้ตัวมาขวางไว้ทันก่อนจะเปิดประตูและคุมเธอให้เดินเข้าไปโดยดี จากนั้นก็ใช้สายตาพิฆาตกดดันเธอให้นั่งลง
“อ้าวเธียร”
หญิงสาวในชุดกราวสีขาวทักขึ้นด้วยเนื้อเสียงแจ่มใส เธอคือผู้หญิงสายตาเศร้าคนนั้นฉันจำเธอได้
“สวัสดีค่ะ” เธอหันมาทักทายคนไข้สาว
“สวัสดีค่ะ^^”
แต่ที่น่าตกใจไปกว่านั้นก็คือเธอถือเข็มแหลมๆซึ่งฉันกลัวมากที่สุดในสามโลกมาด้วย
“เดี๋ยวนะคะถึงกลับต้องฉีดยาเลยหรอ” ฉันเบรกไว้
“ความจริงไม่ต้องก็ได้ค่ะ”
ได้ยินอย่างนั้นค่อยโล่งใจหน่อย แต่
“เห้ยได้ไงล่ะเธอเป็นน้อยๆซะทีไหนฉีดๆไปนั่นแหละดีแล้ว”
“นายก็ได้ยินนี่ว่าคุณหมอเขาบอกว่าไม่ฉีดก็ได้”
“แต่ฉันว่าฉีดก็ดีนะคะจะได้หายไวๆ” เกษราก็เห็นตรงกับเธียรทัด
หญิงสาวชักเริ่มใจเสียขึ้นมาเมื่อเห็นเข็มเข้ามาใกล้ๆ จนดูหน้าซีดแต่ทันใดนั้นเธอก็ถูกคนข้างๆดึงเข้าไปซุกที่อ้อมแขนอุ่นๆของเขา OoO!!! มันอุ่นจนลืมความเจ็บไปหมด
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.3 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ