Forever ความรัก กาลเวลาและการรอคอย
-
เขียนโดย Zindy
วันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2556 เวลา 21.12 น.
9 ตอน
2 วิจารณ์
12.44K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2556 21.34 น. โดย เจ้าของนิยาย
7)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความหลังจากได้รับคำตอบตกลงไม่นานงานหมั้นอย่างเป็นพิธีการก็ได้ถูกจัดขึ้น ด้วยความที่คฤหาสน์ของทั้งสองตระกูลอยู่ใกล้กันมากจนรั้วแทบจะติดกัน งานเลี้ยงจึงถูกจัดขึ้น ณ สวนหน้าบ้านของทั้งสองสถานที่ แต่งานที่เป็นพิธีการนั้นจะถูกจัดที่ห้องโถงของตระกูลฝ่ายหญิง
หลังจากหมั้นกันแล้วตามธรรมเนียมคือให้คู่หมั้นทั้งสองสลับบ้านกันอยู่ นั่นก็คือการให้ฝ่ายหญิงไปอาศัยบ้านฝ่ายชาย และด้านฝ่ายชายก็มาอาศัยบ้านฝ่ายหญิงทั้งนี้เพื่อทดสอบว่าทั้งสองจะสามารถเข้ากับฝ่ายพ่อตาแม่ยายทั้งหลายได้หรือเปล่า ซึ่งจากความที่ทั้งสองบ้านเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกันเสมอมาจนเรียกได้ว่าสนิทกัน เรื่องเหล่านี้จึงไม่เป็นปัญหา โดยการทดสอบนี้จะกินเวลาราวๆครึ่งเดือนตามแต่เห็นสมควร ส่วนในเรื่องการแต่งงานนั้นก็เป็นเรื่องที่ต้องว่ากันอีกที
งานเลี้ยงถูกจัดขึ้นแบบค็อกเทลที่มีอาหารเรียงรายมากมายตามโต๊ะต่างๆทั้งคาวหวานรวมถึงเครื่องดื่ม งานถูกจัดขึ้นอย่างไม่เอิกเกริกแต่เป็นกันเองและหรูหรามากซะจนเอเวอร์อยากจะถามผู้ใหญ่ที่จัดงานให้ว่านี่งานหมั้นหรืองานแต่งกันแน่ แล้วถ้านี่เรียกงานหมั้น งานแต่งจะขนาดไหน
เสียงดังเซ็งแซ่เรียกความสนใจของเอเวอร์ที่ดูเหตุการณ์จากห้องของเธอที่อยู่บนชั้นสองมาตลอด ความจริงเธออยากออกไปร่วมงานนานแล้วแต่เอวายังแต่งตัวไม่เสร็จเลยคิดว่าลงไปงานพร้อมๆกันจะดีกว่า
เอเวอร์กวาดตามองหาต้นตอของเสียง เธอพบว่าสายตาของแขกทั้งหลายต่างเบนไปยังทางเข้า เธอจึงเลื่อนสายตาไปทางนั้นบ้าง แล้วเธอก็พบกับสิ่งที่ทำให้หัวใจของเธอเต้นรัวอย่างช่วยไม่ได้
ชายหนุ่มคุ้นหน้าที่วันนี้อยู่ในชุดสูทขาวและเนคไทสีน้ำเงินที่เข้ากับดวงตาสีฟ้า ผมสีทองที่มักจะยาวจนปรกหน้าผากนิดๆวันนี้ถูกจัดให้ปัดไปอีกด้านหนึ่งจนดูเรียบร้อยผิดปกติ
ข้างๆกันนั้นมีบุรุษผมสีทองอีกคน หากแต่ดวงตาสีเขียวเท่านั้นที่ต่างออกไป เฟเรสอยู่ในชุดสูทสีดำโดยเสื้อตัวในเป็นสีขาว ผมสีทองที่เจ้าตัวไว้ให้ยาวเลยบ่ามานิดหน่อยถูกมัดหลวมๆด้วยริบบิ้นสีขาวเล็ก
ทั้งสองเรียหได้ว่าทั้งสง่าและดูดีจนสะกดสายตาทุกคู่ที่อยู่ในงานได้ไม่ยาก แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นก็สะกดสายตาของคนที่จ้องลงมาจากข้างบนด้วยเช่นกัน
แขกในงานต่างพากันเข้าไปทักทายชายหนุ่มทั้งสองคนที่เพิ่งย้ายจากงานฝั่งนู้นมาฝั่งนี้พร้อมการเปิดตัวที่เรียกเสียงฮือฮาได้โดยที่ไม่ต้องทำอะไร ซึ่งแน่นอนว่าเฟเรสและฟอร์เซสต์ก็รับการทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
เอเวอร์นั่งมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยที่ยังไม่อาจจะละสายตาจากร่างสูงของใครบางคนได้ แต่แล้วการกระทำของเธอก็ราวจะสามารถส่งถึงใครคนนั้น ดวงตาสีฟ้าที่กำลังให้ความสนใจกับผู้ที่เข้ามาหา เหมือนจะมีเพียงเสี้ยววินาทีที่มันช้อนขึ้นมามองหน้าต่างบานที่เธอใช้ดูเหตุการณ์อย่างแม่นยำ เวลาเสี้ยววินาทีนั้นเหมือนกับว่าถูกหยุดทันทีที่ดวงตาของสองคนสบกัน รอยยิ้มหนึ่งจากชายหนุ่มถูกส่งมาแล้วหายไปจนเกือบจะคิดว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่ก็แน่ใจว่าไม่ใช่อย่างนั้น
แล้วเวลาที่ถูกหยุดไว้ในภวังค์ที่แสนเนิ่นนานก็ถูกทำให้เดินต่อไปด้วยการที่ดวงตาสีฟ้าหันไปมองข้างหน้าเช่นเดิมเหมือนเหตุการณ์เมื่อกี้ไม่เคยเกิดขึ้น แต่ใครจะรู้ว่าเวลาที่กลับมาเดินนั้น มันกลับมาพร้อมหัวใจสองดวงที่เต้นผิดจังหวะไปจากเดิม
ก๊อก! ก๊อก!
เสียงเคาะประตูดังขี้นพร้อมกับเสียงเอวาที่ดังลอดเข้ามา
“พี่คะ น้องเตรียมตัวเสร็จแล้ว พี่จะลงไปเข้างานเลยมั้ย”
เอเวอร์รีบดึงสติทีมันลอยไปอยู่กับคนๆนั้นแล้วให้กลับมาก่อนจะเดินไปที่ประตูแล้วเปิดออก
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ”
ฟอร์เซสต์เดินเข้างานมาพร้อมกับเฟเรส ทั้งคู่ตกเป็นเป้าสายตาทันทีจนชายหนุ่มนึกหงุดหงิดนิดหน่อย เพราะยิ่งคนมารุมเยอะเท่าไรก็ยิ่งมองหาเอเวอร์ยากเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ยีงไม่ละความพยายามที่จะกวาดสายตาไปทั่วงานอย่างแนบเนียน
‘เธอไม่ได้อยู่ในงาน’นี่คือสิ่งที่ฟอร์เซสต์สรุปได้ขณะที่ทักทายแขกคนแล้วคนเล่า แต่แล้วก็เหมือนมีความรู้สึกเหมือนมีความรู้สึกเหมือนถูกจับจ้องส่งมา คงเป็นเพราะลางสังหรณ์ล่ะมั้งทีทำให้เขาต้องเหลือบตาขึ้นไปตามความรู้สึกนี้
แล้วเขาก็พบว่าคิดไม่ผิดที่เชื่อลางสังหรณ์ตัวเองเมื่อเขาได้ประสานตากับดวงตาสีดำอีกคู่ รอยยิ้มผุดขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ก่อนที่จำต้องละสายตาไปแม้ไม่อยากก็ตามถึงจะเป็นเวลาเพียงเล็กน้อยจนคนอื่นไม่สังเกตด้วยซ้ำว่าเขาเบนสายตาไปยังชั้นสอง แต่เขาเชื่อว่าเธอจะต้องเห็นมันแน่นอนและเห็น...อย่างชัดเจน
‘รีบลงมาเร็วๆเถอะ...เจ้าหญิงของฉัน’
“พี่ฟอร์ซมาแล้วใช่มั้ยคะ”
“อื้อ”เอเวอร์พยักหน้ารับคำถามของเอวาขณะที่เดินลงบันไดเพื่อไปยังห้องโถงที่ต่อกับสวนที่จัดงาน
เมื่อไปถึงประตูใหญ่ที่ห้องโถง มีคนใช้สองคนยืนอยู่ที่ข้างประตูทั้งสองด้าน พวกเขาโค้งให้เอเวอร์และเอวาครั้งหนึ่งก่อนจะเปิดมันพร้อมกับเสียงพูดคุยต่างๆนานาจากงานเลี้ยงที่อยู่ภายนอกดังเข้ามา แต่ทำไมเสียงดังๆพวกนั้นมันถึงเงียบลงทันทีที่หญิงสาวที่หญิงสาวทั้งสองคนเดินเข้างานนะ
การเงียบลงไม่เว้นแม้แต่ฟอร์เซสต์ที่กำลังนิ่งงันเพราะคนๆหนึ่งที่เข้างานมาใบหน้าที่ปกติจะหวานน่ารักอยู่แล้ว ในตอนนี้กลับถูกแต่งอย่างสวยงานจนเรียกได้ว่าสวยมาก ชุดราตรีสีแซมเงินกลอมเท้าที่เธอสวมใส่อยู่ ทำให้อยากชมคนจัดชุดจริงๆว่าช่างเลือกชุดที่เข้ากับเขาได้อย่างเหมาะเจาะ
เป็นอีกครั้งที่รอยยิ้มปรากฏขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ผู้คนต่างแหวกออกเป็นสองทางเมื่อเขาก้าวไปทางที่เอเวอร์ยืนอยู่ด้วยย่างก้าวอันมั่นคง
ดวงตาสีดำกลมโตฉายแววตกใจระคนสงสัยเล็กน้อยที่คนที่คิดว่าอาจจะต้องเสียเวลาตามตัวหากลับเดินเข้ามาเองแบบนี้
เมื่อฟอร์เซสต์เอนมาหยุดตรงหน้า ด้วยความสูงที่มากกว่าเล็กน้อยทำให้เอเวอร์กต้องเงยหน้าเพื่อสบตา ถ้าดูไม่ผิดเขาเห็นสีระเรื่อขึ้นที่ใบหน้านั้นด้วย...เป็นใบหน้าที่เขามองได้ไม่เบื่อเลยจริงๆ
เอเวอร์สะดุ้งเล็น้อยเมื่อฟอร์เซสต์เชยมือข้างหนึ่งของเธอที่อยู่ข้างลำตัวให้สูงขึ้นสงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำแบบนี้ไปทำไม แต่ความสงสัยนั่นก็ถูกไขกระจ่างในเวลาไม่นานเมื่อฟอร์เซสต์ยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยนก่อนจะโน้มใบหน้าต่ำ ประทับจุมพิตที่หลังฝ่ามือหญิงสาวอย่างแผ่วเบา
การกระทำทั้งหมดตกอยู่ในสายตาของทุกคนที่อยู่ในงาน มันคงจะเป็นเพียงการทักทายธรรมดาที่สุดที่สุภาพบุรุษพึงกระทำต่อสุภาพสตรี หากว่าทั้งสองคนไม่ใช่คนที่จะกลายเป็นคู่หมั้นกันแล้วล่ะก็นะ เราะเหตุนั้นจึงเป็นเหตุให้ทั้งเสียงเชียร์และเสียงกรี๊ดดังมาจากแขกที่เป็นวัยรุ่นเกือบทุกคน...นับว่าเป็นการเปิดตัวเจ้าหญิงของงานนี้ที่ดีสินะ
...แต่ทำไมเอเวอร์ถึงรู้สึกอยากแทรกแผ่นดินหนีไปไกลๆซะงั้นกันล่ะ
ตั้งแต่เจอกันในงานเลี้ยงดูเหมือนว่าเอเวอร์และฟอร์เซสต์จะตัวติดกันตลอดเวลาเดินไปไหนมาไหนด้วยกันสองคน ไม่ใช่ว่าเอเวอร์จะรังเกียจหรอกนะแต่ว่าเธออยากอยู่ใกล้เขาแบบสองต่อสองเลยมากกว่า แต่ดูเหมือนทางฟอร์เซสต์จะไม่มีความคิดแบบนั้นอยู่ในหัวเลย และเหมือนเขาจะติดอารมณ์ดีซะด้วยที่หญิงสาวข้างกายหน้าขึ้นสีเป็นพักๆจากการกระทำเล็กๆน้อยๆของชายหนุ่มและสายตาของแขกในงาน
หลังจากที่เด็กๆรับกน้าแขกอยู่นานสองนานพ่อและแม่ของทั้งสองฝ่ายหญิงและฝ่ายชายก็มาถึง พิธีแลกแหวนถูกจัดขึ้นในห้องโถงตามกำหนดการโดยมีบรรดาผู้มาเยือนทั้งหลายเป็นพยานท่ามกลางสายตาแสดงความยินดีทุกคู่
แล้วหลังจากนั้นงานเลี้ยงก็เริ่มดำเนินต่อด้วยความรื่นเริงกว่าเดิมจนไม่มีใครสังเกตว่าเจ้าของงานทั้งสองหายไปนอกจากพี่น้องของพวกเขา
“พี่เฟเรสคะ”เสียงที่คุ้นเคยของเอวาทำให้คนถูกเรียกต้องหันไปตามเสียง
“ว่าไง”
“พี่เห็นพี่เอเวอร์บ้างมั้ยคะ”เอวาเอียงคอถามเสียงใส เฟเรสยิ้มให้กับคำถามนั้นและเอ่ยตอบด้วยอารมณ์กึ่งขบขัน
“เอเวอร์โดนฟอร์เซสต์ลากออกไปแล้วล่ะ”
“ไปไหนคะ”
“ไม่รู้สิ”ถึงจะตอบอย่างนั้นแต่ใบหน้ากลับมีรอยยิ้มที่ออกจะเจ้าเล่ห์นั่นทำให้เอวาเกือบเข้าใจใจทันที แล้วทั้งสองก็ส่งยิ้มให้กันอย่างรู้ความนัยก่อนเอวาจะขอตัวออกไปเพราะรู้คำตอบของคำถามที่ต้องการแล้ว
ที่สวนหลังบ้านที่ตรงข้ามกับที่จัดงาน บรรยากาศในยามกลางคืนช่างเงียบสงัดที่เก้าอี้ยาวมีร่างของคนสองคนที่อยู่ด้วยกัน
“ลากออกมาทำไมเนี่ย”เอเวอร์เปรยเพื่อกลบความเขินอายของตัวเองที่โดนจ้องนานๆ แต่คำตอบที่ได้รับกลับเป็นคำชมอย่างออกนอกหน้า
“วันนี้เธอสวยมากเลยรู้มั้ย”ไม่พูดเปล่า เขายังดึงมือขวาของเธอไปกุมไว้สร้างสถานะการณ์ที่เอเวอร์ไม่ไว้วางใจอย่างที่สุด
“วันนี้ห้ามจูบนะ”เอเวอร์เอ่ยดักทางอย่างรู้ทันนั่นทำให้ฟอร์เซสต์กระพริบตาปริบๆ
“ก็...เพิ่งจูบไปไม่ใช่หรอ จะบ่อยอะไรมากมาย”ใบหน้าของหญิงสาวเสมองไปทางอื่นอย่างเขินอายเมื่อนึกถึงตอนปกติที่เขาทำแบบนั้นกับเธอ นึกถึงตอนปกติที่เขาจะกักเธอไว้ในวงแขนอย่างใกล้ชิดเพื่อไม่ให้เธอหนีไปไหน นึกถึงตอนปกติที่เขาจะกักเธอไว้ในวงแขนอย่างใกล้ชิดเพื่อไม่ให้เธอหนีไปไหน โน้มใบหน้าลงมาให้อยู่ระดับเดียวกันก่อนจะใช้ริมฝีปากนั่นปิดปากของเธออย่างนิ่มนวลและอ่อนหวานในทุกๆครั้ง...แค่คิดก็อายแล้วจริงๆนะ แล้วอีกอย่างที่เธอไม่อยากให้เขาจูบตอนนี้ก็เพราะว่ายังมีเรื่องที่ต้องคุยกัน เชื่อเถอะว่าหากเขาเริ่มเมื่อไรคำพูดพวกนั้น ต้องหายไปทั้งหมดแน่ๆ ดังนั้นถึงห้ามเด็ดขาด
ฟอร์เซสต์พอได้ยินคำห้ามก็ยิ้ม
“อื้ม...ห้ามเฉพาะวันนี้”เขาตอบรับอย่างแกล้งใสซื่อแต่คำพูดกลับเจ้าเล่ห์อย่างเห็นได้ชัดแต่หลังจากนั้นกลับถอนหายใจ “เอาเถอะ...ไม่จูบก็ไม่จูบ”
เอเวอร์ถูกดีงไปกอดอย่างเบามือ เขาดึงเธอให้อยู่แนบอกของเขาก่อนก้มหน้าลงพึมพำข้างหูด้วยน้ำเสียงแง่งอนว่า
“ใจร้ายจังนะ ทั้งๆที่เธอน่ารักขนาดนี้แท้ๆ”
เอเวอร์ยิ้มให้กับน้ำเสียงแบบนั้นพร้อมกับเกิดความคิดแผลงๆขึ้นจึงยันตัวออกจากอ้อมกอดนั้น ใช้นิ้วแตะที่ปากตัวเองเบาๆแกล้งหน้าแดงและส่งสายตาที่คิดว่าออดอ้อนที่สุดไปให้
“ฉันน่ารักขนาดนั้น...เลยหรอ”เธอยอมรับก็ได้ว่าแกล้งยั่วเขาเล็กๆ...แค่อยากรู้ว่าเขาจะยอมทำตามที่เธอพูดได้มั้ย...ก็เท่านั้นเอง
ยังไม่ทันไรเอเวอร์ก็โดนดึงเข้าไปกอดอีกทีหนึ่งแต่คราวนี้รุนแรงกว่าเดิมเล็กน้อย
“แกล้งกันแบบนี้...เด็กไม่ดี สำหรับฉันเธอก็ต้องน่ารักที่สุดอยู่แล้วสิ”น้ำเสียงของเขาออกอาการน้อยใจกว่าเดิมมาก ถ้าเขาค้อนเธอได้คงทำไปแล้ว เอเวอร์จึงหัวเราะออกมาด้วยแผนการที่สำเร็จ ด้านนี้ของฟอร์เซสต์ไม่เห็นบ่อยนักหรอกเพราะปกติเขาจะมีความมั่นใจในตัวเอง...สูงไปหน่อย
เอเวอร์ปล่อยให้เขากอดอีกซักพักจนคิดว่าได้เวลาที่จะพูดเรื่องสำคัญแล้วจึงดันตัวออกห่าง
“มีของจะให้”เธอพูดสั้นๆเพียงเท่านั้น ฟอร์เซสต์ก็คลายอ้อมกอดเพียงเล็กน้อยแต่ก็ไม่ยอมปล่อยให้เธอเป็นอิสระ ถึงอย่างนั้น...ระยะห่างเท่านี้ก็เพียงพอแล้วและดูเหมือนว่าเอเวอร์เองก็ไม่ได้อยากเพิ่มระยะห่างมากไปกว่านี้ด้วยเช่นกัน
ฟอร์เซสต์จับจ้องที่เธออย่างสงสัยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“หลับตาก่อน”เขาจ้องที่เธออีกสักพักก่อนจะทำตามที่บอก
ใบหน้ายามหลับตาของเขาทำให้เอเวอร์เผลอจ้องไปโดยไม่รู้ตัว พินิจพิเคราะห์ใบหน้าของเขายามเมื่อดวงตาสีฟ้าใสที่เขามักจะใช้มันสื่อความรู้สึกต่างๆได้ถูกเก็บไว้หลังเปลือกตาที่ปิดสนิทกับใบหน้าหล่อเหลาที่ดูดีกว่าชายใดๆที่เธอเคยพบ
ราวกับต้องมนตร์สะกดที่ทำให้เอเวอร์ยกฝ่ามือขึ้นไล้ใบหน้าชายคนรักอย่างหลงใหลพลางนึกเข้าใจว่าทำไมเขาเองก็ทำแบบนี้กับเธอบ่อยๆ
ฝ่ามือนุ่มสัมผัสแก้มเนียนขาวของอีกฝ่ายลากลงมายังระดับริมฝีปากที่ใช้เอื้อนเอ่ยวลีหวานหูให้เธอบ่อยๆ นิ้วเรียวบรรจงแตะลงที่ริมฝีปากอย่างนิ่มนวล แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อเขาคว้ามือเธอไว้ก่อนที่จะได้ทำอะไรมากกว่านั้น
“อย่าซนสิแม่สาวน้อย‘ของฉัน’”รอยยิ้มพึงพอใจปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา คำพูดของเขาเน้นคำว่า ‘ของฉัน’ เป็นพิเศษก่อนจะกดจมูกหนักๆลงมาที่ฝ่ามือ เอเวอร์รีบชักมือกลับอย่างรวดเร็ว
‘เราทำอะไรลงไปเนี่ย!’
“ว่าแต่มีอะไรล่ะ”เขาเอ่ยเร่ง คงไม่ดีแน่ถ้าเขาปล่อยให้เธอทำแบบเมื่อกี้อีกที ไม่ดี...ต่อตัวเธอเองล่ะนะ
หลังจากที่เอ่ยเร่งฟอร์เซสต์ก็ได้ยินเสียงกรุ๊งกริ๊งเหมือนโลหะกระทบกัน แต่ยังไม่ทันจะได้คิดมากกว่านั้นมือของเขาก็ถูกจับให้แบออก วัตถุชิ้นหนึ่งถูกวางลงมาในมือของเขาความเย็นและเหลี่ยมมุมทำให้รู้ว่าเขาเดาไม่ผิด
“เปิดตาสิ”เธอส่งคำพูดมาอย่างแผ่วเบา
ฟอร์เซสต์ค่อยๆลืมตาขึ้นสิ่งแรกที่เขาเห็นคือดวงตาสีนิลกลมโตกำลังจ้องเขาอยู่ ดวงตาคู่นั้นไหววูบเล็กน้อยก่อนที่จะเสหลบไปทางอื่น ต่อมาเขาก็เลื่อนสายตาลงมาที่ฝ่ามือที่ถูกประคองไว้ด้วยมือข้างหนึ่งของเอเวอร์
สายสร้อยสีทองที่มีจี้เป็นนาฬิกาเรือนเล็กขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณหนึ่งเซนติเมตร หน้าปัดเป็นสีขาวตัดกับเข็มสีดำ มีเพียงเลขสาม หก เก้า และสิบสองเท่านั้นที่ถูกระบุไว้ในรูปเลขโรมัน
“ตอนที่สั่งทำบอกเขาไปว่าอย่างได้จี้เป็นนาฬิกาที่เดินได้จริงๆ ก็เลยทำได้ออกมาเรือนเท่านี้รายละเอียดเลยเก็บได้น้อยไปหน่อย แต่ฉันว่าออกมามันก็สวยดีนะ”
เขาเพิ่งสังเกตว่าที่มืออีกข้างหนึ่งของเธอก็มีสายสร้อยแบบเดียวกัยอยู่ เธอใช้สายสร้อยพันไว้กับมือแล้วปล่อยให้ตัวนาฬิกาลอยคว้างอย่างอิสระ
ด้วยความที่ตาดีเกินเหตุหรือไงก็ไม่รู้ทำให้เขาเหลือบเห็นตัวอักษรสลักหลังเรือนนาฬิกาที่ลอยอยู่
…Ever…
เมื่อพลิกดูนาฬิกาในมือตัวเองบ้างก็พบตัวอักษรสลักในคำที่ต่างออกไป
…Forceit…
เจ้าของชื่อหลังนาฬิกาที่อยู่ในมือตัวเองยิ้มออกมาอย่างเข้าใจความหมายที่เอเวอร์ต้องการจะสื่อด้วยนาฬิกาสองเรือนนี้
“รู้มั้ยว่ามันหมายความว่าอะไร”หลังจากที่แน่ใจว่าฟอร์เซสต์เห็นตัวอักษรข้างหลังนาฬิกาแน่ๆแล้วก็มีคำถามดังหัวเราะเบาๆ ทำไมเขาจะไม่รู้ล่ะ...แต่ว่านะ...
“ขอทำตัวไม่ฉลาดซักวันแล้วกัน”
เอเวอร์หัวเราะออกมาเบาๆเป็นครั้งแรกตั้งแต่ได้พบกันวันนี้ให้กับคนที่แกล้งโง่เฉพาะกิจเพราะคงอยากได้ยินความหมายของมันจากปากของเธอเอง
เมื่อคิดได้ดังนั้นสร้อยนาฬิกาสีทองของหญิงสาวจึงถูกยกขึ้นไประดับคอของชายหนุ่ม ตะขอเกี่ยวสร้อยถูกปลดออกก่อนหน้านี้ทำให้สายสร้อยเป็นสายเส้นโค้ง แขนเรียวเล็กของเอเวอร์โอบรอบคอของชายหนุ่มหลวมๆ เกี่ยวตะขอเชื่อมสายสร้อยใหม่ให้ต่อกัน เมื่อเสร็จก็มองดูผลงานตัวเองอย่างพึงพอใจ
“ถ้าจะเปรียบนาฬิกาก็คือ ‘เวลา’ ฉันเป็นเจ้าของนาฬิกาเรือนนั้นก็เท่ากับว่านั่นคือ‘เวลา’ของฉัน ดังนั้น...ฉันก็ขอมอบมันให้นาย ‘เวลา’ของฉันในตอนนี้มันเป็นของนาย...มีไว้ก็เพื่อนายนะฟอร์ซ”
ถึงจะรู้ความหมายอยู่แล้วแต่หัวใจก็อดเต้นไม่ได้เมื่อได้ยินประโยคนั้น เขาจะคิดเข้าข้างตัวเองเกินไปหรือเปล่าหากจะตีความว่า ‘เธอเป็นของเขา’
“ใช่ เวลาของเธอเป็นของฉัน เหมือนกับที่เวลาของฉันเป็นของเธอ มันจะเดินไปก็เพราะเธอหรือจะหยุดก็เพื่อเธอ เวลาของ‘เรา’จะเป็นของ‘กันและกัน’”ฟอร์เซสต์พูดไปเรื่อยๆพลางสวมสร้อมนาฬิกาของเขาให้เอเวอร์เช่นกัน
ทั้งสองสบตากันเนิ่นนานภายใต้บรรยากาศอันเงียบสงบ ก่อนที่ชายหนุ่มจะทำลายความเงียบงันนั้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลและอ่อนโยนในถ้อยคำที่เธออยากฟังจากปากเขามานาน
“ฉันรักเธอนะ...”
บรรยากาศเงียบลงอีกครั้งแต่คราวนี้มีสิ่งอื่นที่มีค่ายิ่งกว่าคำพูดใดๆ ร่างสองร่างแนบชิดกันปล่อยให้ตัวเองอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างไม่คิดจะขัดขืน แต่แล้วบรรยากาศนี้ก็ต้องถูกทำลายลงด้วยน้ำเสียงใสๆของใครบางคน
“พี่เอเวอร์อยู่ตรงนี้เอง หาตั้งนาน”เอวาโผล่มาอย่างกะทันหัน หรือไม่เธอไม่ได้มาอย่างกะทันหัน แต่เป็นพวกเขาเองที่ไม่สนใจเรื่องอื่น
เอเวอร์รีบผละตัวเองออกจากฟอร์เซสต์ทันทีด้วยความเขินอายต่อน้องสาวตัวเอง โดยไม่รู้เลยว่านั่นทำให้ฟอร์เซสต์อารมณ์เสียมากแค่ไหนที่เธอเป็นฝ่ายออกห่างเหมือนการที่เขากอดเธอเป็นเรื่องไม่ปกติที่ต้องทำในที่ส่วนตัว แล้วดูสายตาของเอวาสิ ดูอีกกี่ทีๆก็ตีความได้ว่าตั้งใจขัดจังหวะชัดๆ
“พี่เอเวอร์ไปเดินในงานเลี้ยงเป็นเพื่อนน้องหน่อยนะคะ น้อยไม่อยากอยู่คนเดียวเลย”เอวาเดินเข้ามาหาผู้เป็นพี่ด้วยสายตาและน้ำเสียงออดอ้อนและใช้แรงน้อยๆดึงตัวเอเวอร์ให้ลุกขึ้น
ฝ่ายเอเวอร์เองก็ใจอ่อนไปกับน้องด้วย จึงหันมาพูดกับฟอร์เซสต์เป็นเชิงขอโทษ
“เอ่อ...ขอตัวก่อนนะฟอร์ซ ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันวันนี้”
...เอวากึ่งลากเอเวอร์ออกไปแล้ว ทิ้งฟอร์เซสต์ให้นั่งอยู่คนเดียวที่เดิมในอารมณ์ที่หากใครก็ตามที่อาจจะเข้ามาเห็นต้องขนลุกรีบเดินหนีเลยทีเดียว
“...ให้ตายเถอะ!”
_________________________________________________________________
จากแถวนี้ไปเนื้อเรื่องจะดำเนินช้าถึงช้ามาก ขอเตือนว่าต่างจากช่วงแรกนะคะ
หลังจากหมั้นกันแล้วตามธรรมเนียมคือให้คู่หมั้นทั้งสองสลับบ้านกันอยู่ นั่นก็คือการให้ฝ่ายหญิงไปอาศัยบ้านฝ่ายชาย และด้านฝ่ายชายก็มาอาศัยบ้านฝ่ายหญิงทั้งนี้เพื่อทดสอบว่าทั้งสองจะสามารถเข้ากับฝ่ายพ่อตาแม่ยายทั้งหลายได้หรือเปล่า ซึ่งจากความที่ทั้งสองบ้านเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกันเสมอมาจนเรียกได้ว่าสนิทกัน เรื่องเหล่านี้จึงไม่เป็นปัญหา โดยการทดสอบนี้จะกินเวลาราวๆครึ่งเดือนตามแต่เห็นสมควร ส่วนในเรื่องการแต่งงานนั้นก็เป็นเรื่องที่ต้องว่ากันอีกที
งานเลี้ยงถูกจัดขึ้นแบบค็อกเทลที่มีอาหารเรียงรายมากมายตามโต๊ะต่างๆทั้งคาวหวานรวมถึงเครื่องดื่ม งานถูกจัดขึ้นอย่างไม่เอิกเกริกแต่เป็นกันเองและหรูหรามากซะจนเอเวอร์อยากจะถามผู้ใหญ่ที่จัดงานให้ว่านี่งานหมั้นหรืองานแต่งกันแน่ แล้วถ้านี่เรียกงานหมั้น งานแต่งจะขนาดไหน
เสียงดังเซ็งแซ่เรียกความสนใจของเอเวอร์ที่ดูเหตุการณ์จากห้องของเธอที่อยู่บนชั้นสองมาตลอด ความจริงเธออยากออกไปร่วมงานนานแล้วแต่เอวายังแต่งตัวไม่เสร็จเลยคิดว่าลงไปงานพร้อมๆกันจะดีกว่า
เอเวอร์กวาดตามองหาต้นตอของเสียง เธอพบว่าสายตาของแขกทั้งหลายต่างเบนไปยังทางเข้า เธอจึงเลื่อนสายตาไปทางนั้นบ้าง แล้วเธอก็พบกับสิ่งที่ทำให้หัวใจของเธอเต้นรัวอย่างช่วยไม่ได้
ชายหนุ่มคุ้นหน้าที่วันนี้อยู่ในชุดสูทขาวและเนคไทสีน้ำเงินที่เข้ากับดวงตาสีฟ้า ผมสีทองที่มักจะยาวจนปรกหน้าผากนิดๆวันนี้ถูกจัดให้ปัดไปอีกด้านหนึ่งจนดูเรียบร้อยผิดปกติ
ข้างๆกันนั้นมีบุรุษผมสีทองอีกคน หากแต่ดวงตาสีเขียวเท่านั้นที่ต่างออกไป เฟเรสอยู่ในชุดสูทสีดำโดยเสื้อตัวในเป็นสีขาว ผมสีทองที่เจ้าตัวไว้ให้ยาวเลยบ่ามานิดหน่อยถูกมัดหลวมๆด้วยริบบิ้นสีขาวเล็ก
ทั้งสองเรียหได้ว่าทั้งสง่าและดูดีจนสะกดสายตาทุกคู่ที่อยู่ในงานได้ไม่ยาก แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นก็สะกดสายตาของคนที่จ้องลงมาจากข้างบนด้วยเช่นกัน
แขกในงานต่างพากันเข้าไปทักทายชายหนุ่มทั้งสองคนที่เพิ่งย้ายจากงานฝั่งนู้นมาฝั่งนี้พร้อมการเปิดตัวที่เรียกเสียงฮือฮาได้โดยที่ไม่ต้องทำอะไร ซึ่งแน่นอนว่าเฟเรสและฟอร์เซสต์ก็รับการทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
เอเวอร์นั่งมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยที่ยังไม่อาจจะละสายตาจากร่างสูงของใครบางคนได้ แต่แล้วการกระทำของเธอก็ราวจะสามารถส่งถึงใครคนนั้น ดวงตาสีฟ้าที่กำลังให้ความสนใจกับผู้ที่เข้ามาหา เหมือนจะมีเพียงเสี้ยววินาทีที่มันช้อนขึ้นมามองหน้าต่างบานที่เธอใช้ดูเหตุการณ์อย่างแม่นยำ เวลาเสี้ยววินาทีนั้นเหมือนกับว่าถูกหยุดทันทีที่ดวงตาของสองคนสบกัน รอยยิ้มหนึ่งจากชายหนุ่มถูกส่งมาแล้วหายไปจนเกือบจะคิดว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่ก็แน่ใจว่าไม่ใช่อย่างนั้น
แล้วเวลาที่ถูกหยุดไว้ในภวังค์ที่แสนเนิ่นนานก็ถูกทำให้เดินต่อไปด้วยการที่ดวงตาสีฟ้าหันไปมองข้างหน้าเช่นเดิมเหมือนเหตุการณ์เมื่อกี้ไม่เคยเกิดขึ้น แต่ใครจะรู้ว่าเวลาที่กลับมาเดินนั้น มันกลับมาพร้อมหัวใจสองดวงที่เต้นผิดจังหวะไปจากเดิม
ก๊อก! ก๊อก!
เสียงเคาะประตูดังขี้นพร้อมกับเสียงเอวาที่ดังลอดเข้ามา
“พี่คะ น้องเตรียมตัวเสร็จแล้ว พี่จะลงไปเข้างานเลยมั้ย”
เอเวอร์รีบดึงสติทีมันลอยไปอยู่กับคนๆนั้นแล้วให้กลับมาก่อนจะเดินไปที่ประตูแล้วเปิดออก
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ”
ฟอร์เซสต์เดินเข้างานมาพร้อมกับเฟเรส ทั้งคู่ตกเป็นเป้าสายตาทันทีจนชายหนุ่มนึกหงุดหงิดนิดหน่อย เพราะยิ่งคนมารุมเยอะเท่าไรก็ยิ่งมองหาเอเวอร์ยากเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ยีงไม่ละความพยายามที่จะกวาดสายตาไปทั่วงานอย่างแนบเนียน
‘เธอไม่ได้อยู่ในงาน’นี่คือสิ่งที่ฟอร์เซสต์สรุปได้ขณะที่ทักทายแขกคนแล้วคนเล่า แต่แล้วก็เหมือนมีความรู้สึกเหมือนมีความรู้สึกเหมือนถูกจับจ้องส่งมา คงเป็นเพราะลางสังหรณ์ล่ะมั้งทีทำให้เขาต้องเหลือบตาขึ้นไปตามความรู้สึกนี้
แล้วเขาก็พบว่าคิดไม่ผิดที่เชื่อลางสังหรณ์ตัวเองเมื่อเขาได้ประสานตากับดวงตาสีดำอีกคู่ รอยยิ้มผุดขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ก่อนที่จำต้องละสายตาไปแม้ไม่อยากก็ตามถึงจะเป็นเวลาเพียงเล็กน้อยจนคนอื่นไม่สังเกตด้วยซ้ำว่าเขาเบนสายตาไปยังชั้นสอง แต่เขาเชื่อว่าเธอจะต้องเห็นมันแน่นอนและเห็น...อย่างชัดเจน
‘รีบลงมาเร็วๆเถอะ...เจ้าหญิงของฉัน’
“พี่ฟอร์ซมาแล้วใช่มั้ยคะ”
“อื้อ”เอเวอร์พยักหน้ารับคำถามของเอวาขณะที่เดินลงบันไดเพื่อไปยังห้องโถงที่ต่อกับสวนที่จัดงาน
เมื่อไปถึงประตูใหญ่ที่ห้องโถง มีคนใช้สองคนยืนอยู่ที่ข้างประตูทั้งสองด้าน พวกเขาโค้งให้เอเวอร์และเอวาครั้งหนึ่งก่อนจะเปิดมันพร้อมกับเสียงพูดคุยต่างๆนานาจากงานเลี้ยงที่อยู่ภายนอกดังเข้ามา แต่ทำไมเสียงดังๆพวกนั้นมันถึงเงียบลงทันทีที่หญิงสาวที่หญิงสาวทั้งสองคนเดินเข้างานนะ
การเงียบลงไม่เว้นแม้แต่ฟอร์เซสต์ที่กำลังนิ่งงันเพราะคนๆหนึ่งที่เข้างานมาใบหน้าที่ปกติจะหวานน่ารักอยู่แล้ว ในตอนนี้กลับถูกแต่งอย่างสวยงานจนเรียกได้ว่าสวยมาก ชุดราตรีสีแซมเงินกลอมเท้าที่เธอสวมใส่อยู่ ทำให้อยากชมคนจัดชุดจริงๆว่าช่างเลือกชุดที่เข้ากับเขาได้อย่างเหมาะเจาะ
เป็นอีกครั้งที่รอยยิ้มปรากฏขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ผู้คนต่างแหวกออกเป็นสองทางเมื่อเขาก้าวไปทางที่เอเวอร์ยืนอยู่ด้วยย่างก้าวอันมั่นคง
ดวงตาสีดำกลมโตฉายแววตกใจระคนสงสัยเล็กน้อยที่คนที่คิดว่าอาจจะต้องเสียเวลาตามตัวหากลับเดินเข้ามาเองแบบนี้
เมื่อฟอร์เซสต์เอนมาหยุดตรงหน้า ด้วยความสูงที่มากกว่าเล็กน้อยทำให้เอเวอร์กต้องเงยหน้าเพื่อสบตา ถ้าดูไม่ผิดเขาเห็นสีระเรื่อขึ้นที่ใบหน้านั้นด้วย...เป็นใบหน้าที่เขามองได้ไม่เบื่อเลยจริงๆ
เอเวอร์สะดุ้งเล็น้อยเมื่อฟอร์เซสต์เชยมือข้างหนึ่งของเธอที่อยู่ข้างลำตัวให้สูงขึ้นสงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำแบบนี้ไปทำไม แต่ความสงสัยนั่นก็ถูกไขกระจ่างในเวลาไม่นานเมื่อฟอร์เซสต์ยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยนก่อนจะโน้มใบหน้าต่ำ ประทับจุมพิตที่หลังฝ่ามือหญิงสาวอย่างแผ่วเบา
การกระทำทั้งหมดตกอยู่ในสายตาของทุกคนที่อยู่ในงาน มันคงจะเป็นเพียงการทักทายธรรมดาที่สุดที่สุภาพบุรุษพึงกระทำต่อสุภาพสตรี หากว่าทั้งสองคนไม่ใช่คนที่จะกลายเป็นคู่หมั้นกันแล้วล่ะก็นะ เราะเหตุนั้นจึงเป็นเหตุให้ทั้งเสียงเชียร์และเสียงกรี๊ดดังมาจากแขกที่เป็นวัยรุ่นเกือบทุกคน...นับว่าเป็นการเปิดตัวเจ้าหญิงของงานนี้ที่ดีสินะ
...แต่ทำไมเอเวอร์ถึงรู้สึกอยากแทรกแผ่นดินหนีไปไกลๆซะงั้นกันล่ะ
ตั้งแต่เจอกันในงานเลี้ยงดูเหมือนว่าเอเวอร์และฟอร์เซสต์จะตัวติดกันตลอดเวลาเดินไปไหนมาไหนด้วยกันสองคน ไม่ใช่ว่าเอเวอร์จะรังเกียจหรอกนะแต่ว่าเธออยากอยู่ใกล้เขาแบบสองต่อสองเลยมากกว่า แต่ดูเหมือนทางฟอร์เซสต์จะไม่มีความคิดแบบนั้นอยู่ในหัวเลย และเหมือนเขาจะติดอารมณ์ดีซะด้วยที่หญิงสาวข้างกายหน้าขึ้นสีเป็นพักๆจากการกระทำเล็กๆน้อยๆของชายหนุ่มและสายตาของแขกในงาน
หลังจากที่เด็กๆรับกน้าแขกอยู่นานสองนานพ่อและแม่ของทั้งสองฝ่ายหญิงและฝ่ายชายก็มาถึง พิธีแลกแหวนถูกจัดขึ้นในห้องโถงตามกำหนดการโดยมีบรรดาผู้มาเยือนทั้งหลายเป็นพยานท่ามกลางสายตาแสดงความยินดีทุกคู่
แล้วหลังจากนั้นงานเลี้ยงก็เริ่มดำเนินต่อด้วยความรื่นเริงกว่าเดิมจนไม่มีใครสังเกตว่าเจ้าของงานทั้งสองหายไปนอกจากพี่น้องของพวกเขา
“พี่เฟเรสคะ”เสียงที่คุ้นเคยของเอวาทำให้คนถูกเรียกต้องหันไปตามเสียง
“ว่าไง”
“พี่เห็นพี่เอเวอร์บ้างมั้ยคะ”เอวาเอียงคอถามเสียงใส เฟเรสยิ้มให้กับคำถามนั้นและเอ่ยตอบด้วยอารมณ์กึ่งขบขัน
“เอเวอร์โดนฟอร์เซสต์ลากออกไปแล้วล่ะ”
“ไปไหนคะ”
“ไม่รู้สิ”ถึงจะตอบอย่างนั้นแต่ใบหน้ากลับมีรอยยิ้มที่ออกจะเจ้าเล่ห์นั่นทำให้เอวาเกือบเข้าใจใจทันที แล้วทั้งสองก็ส่งยิ้มให้กันอย่างรู้ความนัยก่อนเอวาจะขอตัวออกไปเพราะรู้คำตอบของคำถามที่ต้องการแล้ว
ที่สวนหลังบ้านที่ตรงข้ามกับที่จัดงาน บรรยากาศในยามกลางคืนช่างเงียบสงัดที่เก้าอี้ยาวมีร่างของคนสองคนที่อยู่ด้วยกัน
“ลากออกมาทำไมเนี่ย”เอเวอร์เปรยเพื่อกลบความเขินอายของตัวเองที่โดนจ้องนานๆ แต่คำตอบที่ได้รับกลับเป็นคำชมอย่างออกนอกหน้า
“วันนี้เธอสวยมากเลยรู้มั้ย”ไม่พูดเปล่า เขายังดึงมือขวาของเธอไปกุมไว้สร้างสถานะการณ์ที่เอเวอร์ไม่ไว้วางใจอย่างที่สุด
“วันนี้ห้ามจูบนะ”เอเวอร์เอ่ยดักทางอย่างรู้ทันนั่นทำให้ฟอร์เซสต์กระพริบตาปริบๆ
“ก็...เพิ่งจูบไปไม่ใช่หรอ จะบ่อยอะไรมากมาย”ใบหน้าของหญิงสาวเสมองไปทางอื่นอย่างเขินอายเมื่อนึกถึงตอนปกติที่เขาทำแบบนั้นกับเธอ นึกถึงตอนปกติที่เขาจะกักเธอไว้ในวงแขนอย่างใกล้ชิดเพื่อไม่ให้เธอหนีไปไหน นึกถึงตอนปกติที่เขาจะกักเธอไว้ในวงแขนอย่างใกล้ชิดเพื่อไม่ให้เธอหนีไปไหน โน้มใบหน้าลงมาให้อยู่ระดับเดียวกันก่อนจะใช้ริมฝีปากนั่นปิดปากของเธออย่างนิ่มนวลและอ่อนหวานในทุกๆครั้ง...แค่คิดก็อายแล้วจริงๆนะ แล้วอีกอย่างที่เธอไม่อยากให้เขาจูบตอนนี้ก็เพราะว่ายังมีเรื่องที่ต้องคุยกัน เชื่อเถอะว่าหากเขาเริ่มเมื่อไรคำพูดพวกนั้น ต้องหายไปทั้งหมดแน่ๆ ดังนั้นถึงห้ามเด็ดขาด
ฟอร์เซสต์พอได้ยินคำห้ามก็ยิ้ม
“อื้ม...ห้ามเฉพาะวันนี้”เขาตอบรับอย่างแกล้งใสซื่อแต่คำพูดกลับเจ้าเล่ห์อย่างเห็นได้ชัดแต่หลังจากนั้นกลับถอนหายใจ “เอาเถอะ...ไม่จูบก็ไม่จูบ”
เอเวอร์ถูกดีงไปกอดอย่างเบามือ เขาดึงเธอให้อยู่แนบอกของเขาก่อนก้มหน้าลงพึมพำข้างหูด้วยน้ำเสียงแง่งอนว่า
“ใจร้ายจังนะ ทั้งๆที่เธอน่ารักขนาดนี้แท้ๆ”
เอเวอร์ยิ้มให้กับน้ำเสียงแบบนั้นพร้อมกับเกิดความคิดแผลงๆขึ้นจึงยันตัวออกจากอ้อมกอดนั้น ใช้นิ้วแตะที่ปากตัวเองเบาๆแกล้งหน้าแดงและส่งสายตาที่คิดว่าออดอ้อนที่สุดไปให้
“ฉันน่ารักขนาดนั้น...เลยหรอ”เธอยอมรับก็ได้ว่าแกล้งยั่วเขาเล็กๆ...แค่อยากรู้ว่าเขาจะยอมทำตามที่เธอพูดได้มั้ย...ก็เท่านั้นเอง
ยังไม่ทันไรเอเวอร์ก็โดนดึงเข้าไปกอดอีกทีหนึ่งแต่คราวนี้รุนแรงกว่าเดิมเล็กน้อย
“แกล้งกันแบบนี้...เด็กไม่ดี สำหรับฉันเธอก็ต้องน่ารักที่สุดอยู่แล้วสิ”น้ำเสียงของเขาออกอาการน้อยใจกว่าเดิมมาก ถ้าเขาค้อนเธอได้คงทำไปแล้ว เอเวอร์จึงหัวเราะออกมาด้วยแผนการที่สำเร็จ ด้านนี้ของฟอร์เซสต์ไม่เห็นบ่อยนักหรอกเพราะปกติเขาจะมีความมั่นใจในตัวเอง...สูงไปหน่อย
เอเวอร์ปล่อยให้เขากอดอีกซักพักจนคิดว่าได้เวลาที่จะพูดเรื่องสำคัญแล้วจึงดันตัวออกห่าง
“มีของจะให้”เธอพูดสั้นๆเพียงเท่านั้น ฟอร์เซสต์ก็คลายอ้อมกอดเพียงเล็กน้อยแต่ก็ไม่ยอมปล่อยให้เธอเป็นอิสระ ถึงอย่างนั้น...ระยะห่างเท่านี้ก็เพียงพอแล้วและดูเหมือนว่าเอเวอร์เองก็ไม่ได้อยากเพิ่มระยะห่างมากไปกว่านี้ด้วยเช่นกัน
ฟอร์เซสต์จับจ้องที่เธออย่างสงสัยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“หลับตาก่อน”เขาจ้องที่เธออีกสักพักก่อนจะทำตามที่บอก
ใบหน้ายามหลับตาของเขาทำให้เอเวอร์เผลอจ้องไปโดยไม่รู้ตัว พินิจพิเคราะห์ใบหน้าของเขายามเมื่อดวงตาสีฟ้าใสที่เขามักจะใช้มันสื่อความรู้สึกต่างๆได้ถูกเก็บไว้หลังเปลือกตาที่ปิดสนิทกับใบหน้าหล่อเหลาที่ดูดีกว่าชายใดๆที่เธอเคยพบ
ราวกับต้องมนตร์สะกดที่ทำให้เอเวอร์ยกฝ่ามือขึ้นไล้ใบหน้าชายคนรักอย่างหลงใหลพลางนึกเข้าใจว่าทำไมเขาเองก็ทำแบบนี้กับเธอบ่อยๆ
ฝ่ามือนุ่มสัมผัสแก้มเนียนขาวของอีกฝ่ายลากลงมายังระดับริมฝีปากที่ใช้เอื้อนเอ่ยวลีหวานหูให้เธอบ่อยๆ นิ้วเรียวบรรจงแตะลงที่ริมฝีปากอย่างนิ่มนวล แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อเขาคว้ามือเธอไว้ก่อนที่จะได้ทำอะไรมากกว่านั้น
“อย่าซนสิแม่สาวน้อย‘ของฉัน’”รอยยิ้มพึงพอใจปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา คำพูดของเขาเน้นคำว่า ‘ของฉัน’ เป็นพิเศษก่อนจะกดจมูกหนักๆลงมาที่ฝ่ามือ เอเวอร์รีบชักมือกลับอย่างรวดเร็ว
‘เราทำอะไรลงไปเนี่ย!’
“ว่าแต่มีอะไรล่ะ”เขาเอ่ยเร่ง คงไม่ดีแน่ถ้าเขาปล่อยให้เธอทำแบบเมื่อกี้อีกที ไม่ดี...ต่อตัวเธอเองล่ะนะ
หลังจากที่เอ่ยเร่งฟอร์เซสต์ก็ได้ยินเสียงกรุ๊งกริ๊งเหมือนโลหะกระทบกัน แต่ยังไม่ทันจะได้คิดมากกว่านั้นมือของเขาก็ถูกจับให้แบออก วัตถุชิ้นหนึ่งถูกวางลงมาในมือของเขาความเย็นและเหลี่ยมมุมทำให้รู้ว่าเขาเดาไม่ผิด
“เปิดตาสิ”เธอส่งคำพูดมาอย่างแผ่วเบา
ฟอร์เซสต์ค่อยๆลืมตาขึ้นสิ่งแรกที่เขาเห็นคือดวงตาสีนิลกลมโตกำลังจ้องเขาอยู่ ดวงตาคู่นั้นไหววูบเล็กน้อยก่อนที่จะเสหลบไปทางอื่น ต่อมาเขาก็เลื่อนสายตาลงมาที่ฝ่ามือที่ถูกประคองไว้ด้วยมือข้างหนึ่งของเอเวอร์
สายสร้อยสีทองที่มีจี้เป็นนาฬิกาเรือนเล็กขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณหนึ่งเซนติเมตร หน้าปัดเป็นสีขาวตัดกับเข็มสีดำ มีเพียงเลขสาม หก เก้า และสิบสองเท่านั้นที่ถูกระบุไว้ในรูปเลขโรมัน
“ตอนที่สั่งทำบอกเขาไปว่าอย่างได้จี้เป็นนาฬิกาที่เดินได้จริงๆ ก็เลยทำได้ออกมาเรือนเท่านี้รายละเอียดเลยเก็บได้น้อยไปหน่อย แต่ฉันว่าออกมามันก็สวยดีนะ”
เขาเพิ่งสังเกตว่าที่มืออีกข้างหนึ่งของเธอก็มีสายสร้อยแบบเดียวกัยอยู่ เธอใช้สายสร้อยพันไว้กับมือแล้วปล่อยให้ตัวนาฬิกาลอยคว้างอย่างอิสระ
ด้วยความที่ตาดีเกินเหตุหรือไงก็ไม่รู้ทำให้เขาเหลือบเห็นตัวอักษรสลักหลังเรือนนาฬิกาที่ลอยอยู่
…Ever…
เมื่อพลิกดูนาฬิกาในมือตัวเองบ้างก็พบตัวอักษรสลักในคำที่ต่างออกไป
…Forceit…
เจ้าของชื่อหลังนาฬิกาที่อยู่ในมือตัวเองยิ้มออกมาอย่างเข้าใจความหมายที่เอเวอร์ต้องการจะสื่อด้วยนาฬิกาสองเรือนนี้
“รู้มั้ยว่ามันหมายความว่าอะไร”หลังจากที่แน่ใจว่าฟอร์เซสต์เห็นตัวอักษรข้างหลังนาฬิกาแน่ๆแล้วก็มีคำถามดังหัวเราะเบาๆ ทำไมเขาจะไม่รู้ล่ะ...แต่ว่านะ...
“ขอทำตัวไม่ฉลาดซักวันแล้วกัน”
เอเวอร์หัวเราะออกมาเบาๆเป็นครั้งแรกตั้งแต่ได้พบกันวันนี้ให้กับคนที่แกล้งโง่เฉพาะกิจเพราะคงอยากได้ยินความหมายของมันจากปากของเธอเอง
เมื่อคิดได้ดังนั้นสร้อยนาฬิกาสีทองของหญิงสาวจึงถูกยกขึ้นไประดับคอของชายหนุ่ม ตะขอเกี่ยวสร้อยถูกปลดออกก่อนหน้านี้ทำให้สายสร้อยเป็นสายเส้นโค้ง แขนเรียวเล็กของเอเวอร์โอบรอบคอของชายหนุ่มหลวมๆ เกี่ยวตะขอเชื่อมสายสร้อยใหม่ให้ต่อกัน เมื่อเสร็จก็มองดูผลงานตัวเองอย่างพึงพอใจ
“ถ้าจะเปรียบนาฬิกาก็คือ ‘เวลา’ ฉันเป็นเจ้าของนาฬิกาเรือนนั้นก็เท่ากับว่านั่นคือ‘เวลา’ของฉัน ดังนั้น...ฉันก็ขอมอบมันให้นาย ‘เวลา’ของฉันในตอนนี้มันเป็นของนาย...มีไว้ก็เพื่อนายนะฟอร์ซ”
ถึงจะรู้ความหมายอยู่แล้วแต่หัวใจก็อดเต้นไม่ได้เมื่อได้ยินประโยคนั้น เขาจะคิดเข้าข้างตัวเองเกินไปหรือเปล่าหากจะตีความว่า ‘เธอเป็นของเขา’
“ใช่ เวลาของเธอเป็นของฉัน เหมือนกับที่เวลาของฉันเป็นของเธอ มันจะเดินไปก็เพราะเธอหรือจะหยุดก็เพื่อเธอ เวลาของ‘เรา’จะเป็นของ‘กันและกัน’”ฟอร์เซสต์พูดไปเรื่อยๆพลางสวมสร้อมนาฬิกาของเขาให้เอเวอร์เช่นกัน
ทั้งสองสบตากันเนิ่นนานภายใต้บรรยากาศอันเงียบสงบ ก่อนที่ชายหนุ่มจะทำลายความเงียบงันนั้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลและอ่อนโยนในถ้อยคำที่เธออยากฟังจากปากเขามานาน
“ฉันรักเธอนะ...”
บรรยากาศเงียบลงอีกครั้งแต่คราวนี้มีสิ่งอื่นที่มีค่ายิ่งกว่าคำพูดใดๆ ร่างสองร่างแนบชิดกันปล่อยให้ตัวเองอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างไม่คิดจะขัดขืน แต่แล้วบรรยากาศนี้ก็ต้องถูกทำลายลงด้วยน้ำเสียงใสๆของใครบางคน
“พี่เอเวอร์อยู่ตรงนี้เอง หาตั้งนาน”เอวาโผล่มาอย่างกะทันหัน หรือไม่เธอไม่ได้มาอย่างกะทันหัน แต่เป็นพวกเขาเองที่ไม่สนใจเรื่องอื่น
เอเวอร์รีบผละตัวเองออกจากฟอร์เซสต์ทันทีด้วยความเขินอายต่อน้องสาวตัวเอง โดยไม่รู้เลยว่านั่นทำให้ฟอร์เซสต์อารมณ์เสียมากแค่ไหนที่เธอเป็นฝ่ายออกห่างเหมือนการที่เขากอดเธอเป็นเรื่องไม่ปกติที่ต้องทำในที่ส่วนตัว แล้วดูสายตาของเอวาสิ ดูอีกกี่ทีๆก็ตีความได้ว่าตั้งใจขัดจังหวะชัดๆ
“พี่เอเวอร์ไปเดินในงานเลี้ยงเป็นเพื่อนน้องหน่อยนะคะ น้อยไม่อยากอยู่คนเดียวเลย”เอวาเดินเข้ามาหาผู้เป็นพี่ด้วยสายตาและน้ำเสียงออดอ้อนและใช้แรงน้อยๆดึงตัวเอเวอร์ให้ลุกขึ้น
ฝ่ายเอเวอร์เองก็ใจอ่อนไปกับน้องด้วย จึงหันมาพูดกับฟอร์เซสต์เป็นเชิงขอโทษ
“เอ่อ...ขอตัวก่อนนะฟอร์ซ ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันวันนี้”
...เอวากึ่งลากเอเวอร์ออกไปแล้ว ทิ้งฟอร์เซสต์ให้นั่งอยู่คนเดียวที่เดิมในอารมณ์ที่หากใครก็ตามที่อาจจะเข้ามาเห็นต้องขนลุกรีบเดินหนีเลยทีเดียว
“...ให้ตายเถอะ!”
_________________________________________________________________
จากแถวนี้ไปเนื้อเรื่องจะดำเนินช้าถึงช้ามาก ขอเตือนว่าต่างจากช่วงแรกนะคะ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ