Forever ความรัก กาลเวลาและการรอคอย

-

เขียนโดย Zindy

วันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2556 เวลา 21.12 น.

  9 ตอน
  2 วิจารณ์
  12.67K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2556 21.34 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) ย้อนอดีต

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

“...จะสำเร็จมั้ยนะ” ชายหนุ่มผมยาวคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างกระจกบานใหญ่ในร้านกาแฟเพียงคนเดียว เขาพูดกับตัวเองก็จริง แต่ในความคิดก็กำลังเอาใจช่วยเพื่อนของตัวเองอยู่

                “ถ้าจะสำเร็จได้ก็ดีสิ” รอยยิ้มน้อยๆปรากฏให้เห็นบนใบหน้าหล่อเหลา “...ถ้าสำเร็จ การรอคอยแสนเนิ่นนานจะได้จบลงซักที แต่ปัญหาคงตามมาอีกเป็นพรวนเลย หึๆ”

                “...ที่ใดทีหนึ่ง จุดเริ่มต้นของเรื่องราวก็คงกำลังดำเนินอยู่ ณ เวลานั้นจะมีใครรู้มั้ยนะว่ากาลเวลาของพวกเขาจะทอดยาวได้มากขนาดนี้...”

               

                “วันนี้คุณหนูก็มาหาท่านฟอเซสต์อีกแล้วหรอ”

                “ใช่”

                “แหม สองคนนี้รักกันดีจริงๆ แต่เห็นว่ายังตามกันไม่เจอเลย”

                “ท่านอยู่ในห้องสมุด เดี๋ยวคุณหนูเอเวอร์คงหาเจอเองนั่นแหละ”

 

“ฟอร์ซ ฟอร์ซ” 

                เสียงร้องเรียกหาใครบางคนดังขึ้นในห้องสมุดขว้างขวางที่เรียงรายด้วยชั้นหนังสือสูงบังทัศนวิสัยจนหมด เพราะงั้นเธอถึงต้องใช้วิธีโหวกเหวกหาใครบางคนที่คาดว่าจะอยู่ที่นี่  แต่กลับไม่มีเสียงตอบรับ

                “ฟอร์ซ” เธอคนนั้นเพิ่มระดับเสียงขึ้นอีก

                “เอเวอร์? ฉันอยู่นี่ มีอะไรรึเปล่า”

                หญิงสาวยิ้มยินดีกับเสียงตอบนั่น ขาก็รีบก้าวไปหาตามต้นเสียงที่ได้ยิน

                ตอนที่ได้พบนั้น ฟอร์เซสต์กำลังพิงชั้นหนังสือพร้อมหนังสือในมือที่กำลังเปิดอ่าน เขาหันมาแทบทันที่ที่เอเวอร์เดินมาถึงที่ชั้นตรงนั้นโดยไม่ลืมที่จะยิ้มถามเสียงนุ่ม

                “ตะโกนเรียกซะขนาดนั้น มีอะไรหือ”

                “คือว่า...” หญิงสาวผมสีดำยาวยิ้มแห้ง ฟอร์เซสต์เพิ่งสังเกตว่าในอ้อมแขนของเธอมีหนังสืออยู่สองสามเล่ม “ช่วยสอนบทเรียนพวกนี้ให้หน่อยสิ แบบว่า...ฉันเรียนกับอาจารย์ไม่รู้เรื่องน่ะ”

                หนังสือที่กำลังอ่านอยู่ถูกปิดลงด้วยมือข้างเดียว คนโดนขอร้องที่ยังคงประดับรอยยิ้มไว้เช่นเดิมเดินมาตรงหน้าเอเวอร์ ดึงหนังสือที่เธอถืออยู่ออกไปเป็นเชิงว่าจะช่วยถือ หนังสือทุกเล่มเขาถือไว้ด้วยแขนข้างเดียว ส่วนอีกมือที่ยังว่างก็เอื้อมไปกุมมือของเธอไว้

                “ได้สิ ไปที่โต๊ะก็แล้วกัน”

                โต๊ะอ่านหนังสืออยู่ไม่ไกลจากที่นั่น นี่เป็นเวลาค่อนข้างเย็นแล้วจึงไม่มีใครจับจ้องที่นั่นอยู่ ทั้งสองนั่งลง เอวเวอร์หยิบหนังสืออกมาเล่มนึงบอกว่าให้สอนเรื่องนี้ก่อนเป็นลำดับแรก แต่ก่อนหน้านั้น....

"ฟอร์ซยื่นหน้ามาหน่อย"ถึงจะแปลกใจที่จู่ๆเอเวอร์ก็บอกให้ทำอะไรแปลกๆแต่ก็ยอมทำตามโดยไม่ถามอะไร ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงความเย็นของโลหะที่หางตาและเลยไปถึงหลังหู แว่นไม่มีกรอบทรงรีที่มีขาแว่นสีทองแดงถูกสวมเข้ามาที่ใบหน้าด้วยฝีมือของหญิงสาว

"อืม...ใส่แว่นแล้วก็หล่อเหมือนกันแฮะ"คนสวมแว่นเอียงคอจ้องผลงานตัวเองอย่างพอใจ

แม้การสวมแว่นทั้งที่สายตาปกติจะทำให้รู้สึกปวดตาแต่ก็ยังมีอารมณ์ขันให้หยอกกลับไปว่า

"แล้วเวลาปกติไม่หล่อหรือไง"เมื่อได้ยินเช่นนั้นเอเวอร์จึงดึงแว่นคืนมาแล้วยิ้มให้ก่อนจะตอบคำถามนั้น

"นายเวลาปกติก็หล่อแน่นอนอยู่แล้ว แต่พอตอนใส่แว่นแล้วหล่อไปอีกแบบเท่านั้นเอง"

"แล้วจะให้ใส่มั้ย"

"ไม่ล่ะ...แว่นนี่ของฉัน"แล้วการเรียนก็เริ่มขึ้นตั้งแต่บ่ายคล้อยจนถึงช่วงเย็น ฟอร์เซสต์มองออกไปนอกหน้าต่างที่ตอนนี้ท้องฟ้าได้เปลี่ยนเป็นสีส้มแสด

"ฟี้"เสียงคล้ายคนกำลังหลับดังจากคนฝั่งตรงข้าม

โป๊ก!

"โอ๊ย!"คนหลับสะดุ้งตื่้นทันทีที่โดนปากกาเหล็กเคาะกล้าหน้าผาก "มาเคาะทำไมอ่ะ"

เขาจึงตอบด้วยหน้าตายว่า

"ก็เธอหลับ..."

"ก็มันเหนื่อยอ่ะ"เธอทำแก้มป่องเถียง

"งั้นจะพอไหมล่ะ"

"ไม่ๆ! ต้องเอาบทนี้ให้จบวันนี้ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะสอบแล้ว"ฟอร์เซสต์พยักหน้าอย่างเข้าใจว่าเนื้อหามันยาก เขาเองก็ใช้เวลาเรียนมากพอตัวกว่าจะเรียนได้จบ

เอเวอร์ไม่ใช่คนเรียนไม่เก่ง เพียงแต่เขาเรียนเก่งกว่าเท่านั้นถึงมาให้สอนบ่อยๆ ฟอร์เซสต์เริ่มการสอนอีกครั้งซึ่งคราวนี้ก็ดูเหมือนเอเวอร์จะตั้งใจเรียนอยู่เหมือนกัน และแล้ว...

ฟั่บ!

หนังสือเล่มที่สอนถูกปิดลงอย่างรวดเร็วก่อนที่คนปิดจะเอ่ยกับคนที่นั่งอยู่ด้วยกัน

"จบแล้ว...นี่ก็ดึงมากเดี๋ยวไปส่ง"

นักเรียนที่ตอนนี้ตาดูปรือๆเพราะง่วงมากแล้วพยักหน้ารับด้วยท่าทางไม่กระตือรือร้นนัก "อือ"

คฤหาสน์ของทั้งสองคนอยู่ไม่ไกลกันนักเรียกว่ารั้วติดกันเลยจะดีกว่าจึงทำให้เดินไม่นานก็มาถึง เอเวอร์เตรียมตัวจะเดินเข้าบ้านทันทีหากแต่คนที่เดินมาส่งรั้งไว้ด้วยเสียงซะก่อน

"เอเวอร์"

"หือ?"เธอหันไปตามเสียงเรียกและกะจกตอบรับแต่ทันใดนั้นดวงตาของเธอก็ต้องเบิกกว้าง เมื่อรับรู้ได้ถึงสัมผัสเบาหวิวที่แก้มขวา

"ฝันดีนะ"เขากล่าวเบาๆที่ข้างหูของเธอ แล้วจากนั้นก็ยืนส่งเธอที่หน้าประตูรั้วบ้าน ปล่อยให้เธอเดินเข้าบ้านด้วยใบหน้าแดงปลั่ง

 

เช้าวันรุ่นขึ้นหลังจากที่ฟอร์เซสต์ลงทุนติวหนังสือให้เธอก็โดนคุณแม่ปลุกแต่เช้าโดยไม่รู้ว่าทำไม

                “มีแขกสำคัญมาหาลูก รีบเตรียมตัวเถอะ”ถึงไม่ได้บอกว่าใครแต่ดูท่าทางค่อนข้างจริงจัง ทำให้เธอต้องสะบัดหัวไล่ความมึนงงออกไปเพื่อเตรียมไปแต่งตัว

                “อ้อ แต่งตัวสวยๆหน่อยนะลูกเดี๋ยวเขาหาว่าไม่ต้อนรับ”คุณแม่กำชับอีกทีก่อนเดินออกจากห้องไป เอเวอร์จึงลุกจากเตียงไปที่ตู้เสี้อผ้าเพื่อเลือกชุดออกมาสักชุดหนึ่งที่เธอไม่คิดว่าธรรมดามากไป แต่ก็ไม่ได้เลิศหรูอลังการจนได้ชุดสีครีมยาวมาชุดหนึ่ง ก่อนที่จะเดินเข้าไปเพื่ออาบน้ำ

ไม่นานเอเวอร์ก็เดินออกมาจากห้องน้ำเมื่อชำระร่างกายเสร็จ และใส่ชุดที่ได้เตรียมตัวเอาไว้ แล้วจัดแจงผมของตัวเองให้เข้าที่โดยที่ปล่อยให้มันยาวสยายเต็มแผ่นหลัง ใส่เครื่องประดับเป็นต่างหูไข่มุกสีขาวนวลและแต่งหน้าเป็นโทนสีชมพูอ่อน

ก๊อก! ก๊อก!

                “คุณหนูเจ้าคะ ท่านหญิงให้มารับคุณหนูไม่ทราบว่าแต่งตัวเสร็จรึยังคะ”เสียงคนใช้ดังเข้ามาจากภายนอกห้องทำให้เอเวอร์รีบตบแป้งลงบนใบหน้าเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะขานรับ

                “จ้ะๆเสร็จแล้ว จะออกไปเดี๋ยวนี้แหละ”เอเวอร์สำรวจความเรียบร้อยเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินออกจากห้อง เมื่อเปิดประตูเธอก็พบกับสาวใช้คนหนึ่งยืนอยู่ สาวใช้โค้งให้เอเวอร์เล็กน้อยก่อนที่จะเดินนำทางเธอ

                “ท่านหญิงรออยู่ในหอรับแขกพร้อมกับแขกแล้วค่ะ”

                เอเวอร์พยักหน้ารับก่อนตอบรับเบาๆ “ขอบใจจ้ะ”

                สาวใช้คนนั้นพาเธอมาถึงหน้าห้องรับแขกก่อนจะโค้งให้อีกครั้งและเดินจากไป

                ภายในห้องเงียบกริบไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา ทำให้เอเวอร์ต้องสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนเคาะประตูและเปิดมันออก

                “ขออนุญาตค่ะ”

                เมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้องอย่างแรกที่เธอเห็นคือคุณพ่อที่ทำหน้าเคร่งเครียดกับคุณแม่ที่นั่งอยู่ข้างๆ แต่เมื่อหันไปดูโซฟาด้านตรงข้ามก็ต้องแปลกเมื่อพบพ่อแม่ของฟอร์เซตส์แน่นอนว่าเจ้าตัวด้วย

                ถึงแม้จะมีความแปลกใจแฝงในดวงตาอย่างชัดเจนแต่กระนั้นก็ยังไม่ลืมมารยาท เอเวอร์จีบชายกระโปรงออกและย่อกายลงพร้อมกับเอ่ยทักทาย

                “สวัสดีค่ะ”

                “เอเวอร์มานั่งข้างแม่มาลูก”คุณแม่กวักมือเรียกเธอ ซึ่งเธอก็ไม่ได้อิดออด เดินเข้าไปนั่งตรงที่ว่างด้านซ้ายที่ว่างอยู่

                เมื่อเอเวอร์นั่งลงแล้วทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบสักพัก จนพ่อฟอร์เซสต์กระแอมขึ้นมาเล็กน้อย

                “เอ่อ...ในเมื่อตอนนี้ก็อยู่กันครบแล้ว จะขอเข้าเรื่องหลักจากที่ได้เกริ่นมาเมื่อครู่...”

                เอเวอร์กำลังสงสัยว่าทำไมวันนี้ใครๆก็ดูจริงจัง ทั้งพ่อของเธอหรือแม้แต่คุณพ่อของฟอร์เซสต์เองก็ด้วย ครั้นพอตอนเธอหันไปหาฟอร์เซสต์นั้นก็ดูนิ่งพอกันแต่ทำไมเธอกลับเห็นบางอย่างในแววตาของเขา แววตาที่เหมือนกันคำว่า...ดีใจ

                “...เหตุผลในการมาอย่างเป็นทางการในวันนี้ของพวกเราคือ...”เอเวอร์ยังคงได้ยังเสียงต่อไป แต่ในใจกลับเหม่อลอยถึงข้อสงสัย โดยที่คิดไม่ถึงว่าสิ่งที่เธอได้ยินต่อไปนี้ จะทำให้สติของเธอกลับมาอย่างเต็มตัว

                “...การมาสู่ขอลูกสาวคนโตของบ้านคุณให้เป็นคู่หมั้นกับลูกชายคนรองของบ้านเราครับ...”

                “อะไรนะคะ!?”เอเวอร์แทบไม่เชื่อหูตัวเอง แต่คราวนี้ตอบกลับเป็นแม่ของฟอร์เซสต์

                “ก็อย่างที่หนูได้ยินนั่นแหละ แต่เป็นการขอหมั้นเฉยๆเพราะเราเองก็เห็นว่าฟอร์ซกับหนูคบกันมานานแล้วเลยอยากให้เป็นคู่หมั้นหมายกันก่อน ส่วนเรื่องแต่งงานยังไงค่อยว่ากันอีกที”รอยยิ้มที่ส่งมาให้พร้อมกับคำพูดทำให้เอเวอร์สงบลงไปบ้าง และเริ่มรักษากริยามารยาทอีกครั้ง แต่ก็อายจนต้องหลุบตามองพื้นโดยที่ไม่รู้ว่าใครอีกคนในห้องนี้ทอดสายตามองเธอยู่

                “แล้วคำตอบล่ะ”ทางพ่อฟอร์เซสต์เอ่ยเร่งเร้าคำตอบ จนแม่ของเอเวอร์ต้องพูดขัด

                “ถามความเห็นพวกเด็กก่อนดีมั้ย ลูกของฉันยังไม่ทันได้แสดงความคิดเห็นอะไรเลยนะ”

                “งั้นก็คงต้องถามหนูเอเวอร์คนเดียวแหละ เพราะลูกชายของฉันนี่แหละที่เป็นคนเอ่ยปากอยากหมั้น”แม่ของฟอร์เซสต์พูดอย่างอารมณ์ดีแต่กลับทำให้ทุกสายตาในห้องต้องหันไปมองเอเวอร์

                “อะ...เอ่อ...”พอโดนคาดคั้นเอามากๆ เอเวอร์ก็ไม่รู้จะตอบยังไง โดยเฉพายิ่งเมื่อเธอที่หลบสายตาไปมาจนไปสบตาสีฟ้าของคนที่ยังไม่ได้พูดซักคำเดียวตั้งแต่เธอเข้าห้องมา ดวงตาสีฟ้านั้นกำลังจ้องเธออยู่ด้วยสายตาที่ทำให้เธอต้องรีบพูดว่า

                “ขะ...ขอคิดดูก่อนนะคะ”หลังจากประโยคนี้รู้สึกเหมือนว่าเธอจะได้ยินเสียงหัวเราะน้อยๆในลำคอของคนที่นั่งเงียบจนเธออยากจะหนีออกจากห้องด้วยความอาย

                “ทางนั้นบอกว่าขอคิดดูก่อนล่ะ”พ่อของฟอร์เซสต์พูดเป็นเชิงขอความเห็นกลายๆจากชายหนุ่ม ทำให้เขาต้องเปิดปากพูดขึ้นมา

                “เอาเถอะครับ ผมว่าคิดนานเท่าไหร่มันก็ไม่มีคำตอบอื่นหรอก”ชายหนุ่มพูดยิ้มๆ โดยที่ไม่ยอมบอกว่า ‘ไม่มีคำตอบอื่น’ ของเขาคืออะไร แต่ถึงไม่บอกทุกคนก็รู้อยู่ดีจนเอเวอร์รู้สึกหมั่นไส้นิดๆ ใจหนึ่งอยากจะตอบไม่ตกลงให้เขาอึ้งเล่นๆ แต่ก็รู้ว่าจริงๆแล้วเธออยากจะตอบว่าอะไร

                หลังจากนั้นพวกผู้ใหญ่ก็ไล่เด็กๆออกจากห้องเพราะกำลังตกลงเรื่องของหมั้นและสินสอดทั้งหลาย

                เอเวอร์เดินออกมาพร้อมกับฟอร์เซสต์ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันเลย คงเป็นเพราะหญิงสาวเอาแต่ก้มหน้างุด ไม่คิดจะมองหน้าคนข้างกายเลยแม้แต่น้อย จนเอเวอร์เดินไปเรื่อยๆ เธอกะว่าจะเดินไปแถวสวนแต่ติดคนข้างๆที่ดูเหมือนจะเดินตามไปทุกที่ ในที่สุดเธอจึงต้องหยุดและหันไปพูดว่า

                “ฉันจะไปเดินเล่นในสวน นายจะไปไหน”

                “ไปกับเธอ”เขาตอบกลับมาอย่างชัดเจนทำให้เธอต้องถอนหายใจออกมา ก่อนปล่อยให้เขาตามมาอย่างไม่รู้จะขัดยังไง

 

                ในสวนในขณะนี้บรรยากาศกำลังดี มีสายลมพัดอ่อนๆ ไร้แสงแดดและไร้ผู้คนที่จะมารบกวนการพูดคุยของทั้งสอง

                เอเวอร์ยังคงไม่พูดอะไรแต่มันก็ไม่ได้สร้างบรรยากาศอึดอัดให้ฟอร์เซสต์แต่อย่างใด กลับกันมันทำให้เขารู้สึกมีความสุขหน่อยๆเมื่อเขาพอจะเดาเหตุผลของการเงียบออก พลางคิดไปเรื่อยๆว่าทำยังไงคนข้างกายถึงตอบรับการหมั้นดี

                “นี่ ฟอร์ซ”อยู่ดีๆคนที่เงียบมาตลอดก็เริ่มบทสนทนาจนทำให้ฟอร์เซสต์แปลกใจหน่อยๆแต่ก็ตอบรับไป

                “หือ?”เอเวอร์หยุดเดินและหันมาประจันหน้าด้วยสายตาจริงจัง

                “ถ้าฉันไม่รับหมั้นนายจะเกิดอะไรขึ้น”คำพูดทุกคำถูกเอ่ยมาอย่างช้าและชัดพร้อมกับลอบสังเกตอาการของคนโดนถามไปด้วยแต่กลับไม่พบอะไรในดวงตาคู่นั้นมากนั้น แต่ในความจริงแล้วตอนแรกที่ได้ยินคำถามฟอร์ซเกือบจะหลุดสบถอยู่แล้วเชียวหากไม่ติดว่าเขาเชื่อว่าสามารถควบคุมตัวเองได้ดีจนไม่มีอะไรแสดงออกมาทางสีหน้าจนเอเวอร์ได้เห็น

                ฟอร์เซสต์ยิ้มแย้มให้กับคำถามที่เขาเชื่อว่าถูกตั้งขึ้นมาเพื่อลองใจเขาเท่านั้น เขามั่นใจจนเอาหันเป็นประกันได้เลยว่าเอเวอร์ต้องรับหมั้นแน่นอน นอกจากเธอจะไม่รักเขา นอกจากเสียว่าการกระทำของเธอที่มีให้เขาเป็นแค่เพียงการแสดงที่ผ่านมาเท่านั้น แต่เขาก็กล้าเอาหัวเป็นประกันอีกนั่นแหละว่าไม่มีทางเป็นอย่างนั้นเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นเขาก็สมควรตายเพราะเอาหัวเป็นประกันกับการดูเรื่องพวกนี้ไม่ออก

 

“ไปคุยกันตรงนั้นเถอะ ตรงนี้แดดเริ่มจะมาแล้ว”ฟอร์เซสต์ชี้ไปใต้ร่มไม้ใหญ่ใหล้กับตัวบ้านที่ริมสวน ซึ่งเอเวอร์ก็เพิ่งจะสังเกตว่าที่สวนนี้ก็มีแดดน้อยๆแล้วเหมือนกัน เธอจึงยอมตามฟอร์เซสต์ไปยืนพิงลำต้นของต้นไม้ โดยที่เขายืนอยู่ใกล้ๆ

“ถ้าเธอจะถามอย่างนั้นฉันก็คงต้องถามเธอกลับว่าทำไม”ชายหนุ่มเอ่ยเสียงราบเรียบแต่มันก็ไม่ใช่คำตอบแต่อย่างใด

เมื่อโดนถามกลับเอเวอร์ก็เอาแต่นิ่งเงียบเช่นเดิม แต่คราวนี้มันให้ความรู้สึกที่ต่างไปจากเดิมจนรู้สึกได้ ฟอร์เซสต์ไม่รู้สึกว่าบรรยากาศแบบนี้น่าอยู่เหมือนเดิมอีกแล้วเพราะเมื่อเขาถามกลับคนที่เป็นฝ่ายโดนถามก็ก้มหน้าจนผมที่ยาวไหลลงมาปิดใบหน้าจนดูไม่ออกว่าแสดงสีหน้าแบบใด จนฟอร์เซสต์รู้สึกว่าเขาถามอะไรผิดหรือเล่นลิ้นผิดที่ก็ไม่รู้

“เป็นอะไร...ฉันพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า”ในที่สุดความสงสัยและความห่วงใยก็เข้ามาแทนที่ความรู้สึกอยากต่อปากต่อคำ แต่ก็ได้คำตอบเป็นการส่ายหน้าเบาๆ

“แล้วทำไมไม่พูด”

                “ก็...”พูดได้แค่นั้นก็เงียบไป

                “ก็อะไร”ฟอร์เซตส์ถามย้ำ เอเวอร์ยังคงไม่ตอบจนฟอร์เซสต์ต้องเรียกชื่อซ้ำอีกที

                “ก็...”เอเวอร์ยังคงค้างไว้ทีเดิม ฟอร์เซสต์จึงลองตั้งใจรอแล้วในที่สุดก็เป็นอย่างที่เขาคาดเมื่อเอเวอร์ดันตัวเองออกจากต้นไม้และพูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้อว่า

                “ก็จะให้ฉันรับหมั้นกับคนที่ไม่เคยแม้แต่จะพูดว่ารักกับฉันหรอ!?”

                แววตาที่สั่นไหวน้อยๆในตอนที่พูดบอกให้เขารู้ว่าเธอคิดกับคำพูดนั้นอย่างจริงจัง มันเตือนให้ฟอร์เซสต์นึกย้อนไปในเวลาที่ผ่านมา เขาคิดเพียงว่าการกระทำที่ผ่านมามันก็พอแล้วที่จะบอกว่าเขานั้นรักเธอ โดยไม่คิดว่าเธอจะกังวลกับเรื่องนี้ แต่ก็นั่นแหละอย่างที่เธอพูดมามันก็ไม่มีหลักฐานจริงว่าเขารักเธอ

                ฟอร์เซสต์หลับตาลงอย่างยอมรับกับสิ่งที่เธอพูด คราวนี้เขาผิดเองแหละ

                “แล้วจะให้ฉันทำยังไงดีล่ะเธอถึงจะเชื่อว่าฉันรักเธอ”เขาถามแบบนั้น เพราะเขารู้ดีว่าหากพูดไปตอนนี้มันก็ไม่ต่างกับการที่เธอบอกให้พูดแล้วเขาถึงพูดซึ่งมันก็ไม่มีค่าอะไร

                เอเวอร์หลุบตาลงต่ำเมื่อได้ยินคำถามนั้น แต่ก็ไม่ได้หนีหน้าแต่อย่างใด มันทำให้ฟอร์เซสต์สบายใจเพราะว่ามันจะมีคำตอบให้เขาอย่างแน่นอน

                “ว่าไง”เขาเร่งเร้าคำตอบ

                “นายจะทำอะไรให้ฉันได้บ้างล่ะ”เอเวอร์เอ่ยกลับมา

                ฟอร์เซสต์ยิ้มแย้มให้กับคำถามนั้นก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสบายๆแต่มั่นคงว่า

                “ทุกอย่าง ถ้าเพื่อเธอแล้วล่ะก็นะฉันทำได้ทุกอย่างนั่นแหละ”คำพูดที่เอ่ยออกมานั้นไม่ใช่คำพูดที่เปล่งออกมาเพื่อให้ดูสวยหรู แต่เขาเชื่อว่าเขาจะทำอย่างที่พูดนั่นจริงๆ

                “แม้แต่สั่งให้ฆ่าใครหรือทำอะไรก็ได้หรอ”แววตาใสซื่อที่จ้องมองมาในตอนที่ถาม ฟอร์เซสต์ยกมือขึ้นไล้ใบหน้าของหญิงสาวที่ตั้งคำถาม ไล้ตั้งแต่ไรผมเรื่อยมายังแก้มและปลายคางมองเลยไปยังริมฝีปากอิ่ม โอ๊ยให้ตายเถอะนี่ขนาดเอเวอร์กำลังจริงจังนะ เขายังคิดเรื่องแบบนี้ได้ แต่มันช่วยไม่ได้นี่นา

                “ได้สิ”

                “งั้นช่วยสัญญาได้มั้ย”เอเวอร์จับมือทั้งสองขึ้นมากุมไว้

                “สัญญา?”

                “ใช่ สัญญา...”น้ำเสียงนั้นเว้นช่วงไปเล็กน้อย ดวงตาสีดำที่สบกับดวงตาสีฟ้าไหววูบเพียงเล็กน้อยก่อนจะกลับมามองตรงแล้วเอ่ยทุกคำอย่างชัดเจน

                “...ว่านายจะมีแค่ฉันคนเดียว”

                ฟอร์เซสต์แทบจะดึงเอเวอร์เข้ามากอดแน่นๆซักทีเมื่อได้ยินประโยคนั้น แต่ถ้าทำอย่างนั้นเขาคงเป็นพวกอารมณ์แปรปรวนชอบกล เขาจึงทำเพียงยิ้มกว้างให้ผู้ถามและตอบด้วยน้ำเสียงไม่ใช่เรื่องใหญ่

                “ของอย่างนั้นมันแน่นอนอยู่แล้วไม่ใช่หรอ”ฟอร์เซสต์โอบรอบเองหญิงสาวก่อนจะดึงเข้ามาใกล้ให้ร่างทั้งสองแนบชิดกัน ก่อนจะใช้มือซ้ายที่เหลือรั้งท้ายทอยของร่างบางให้เงยหน้าขึ้นมาสบตา “บอกแล้วไงว่าเพื่อเธอฉันทำได้ทุกอย่าง”เขาย้ำคำพูดนั้นอีกครั้ง

                “เพราะฉะนั้นสัญญาเมื่อกี้ จะรักษาไว้อย่างดีเลยล่ะ”ฟอร์เซสต์ยังคงพูดต่อไป ขณะที่ใบหน้านั้นลดระดับลงมาใกล้กับใบหน้าหวานอย่างเชื่องช้า

                “จะของสัญญาเลยว่าในชีวิตฉันต่อจากนี้ที่รักจะมีเพียงหนึ่งเดียวก็คือเธอ ขอสัญญา...ว่าจะรักเธอตลอดไป”เมื่อพูดจบระยะก็แทบไม่เหลือ ดวงตาสีฟ้าและสีดำสบกันราวกับเป็นเวลาเนิ่นนาน ก่อนที่ดวงตาสีดำจะปรือลงและปิดสนิทเหมือนจะรู้ล่วงหน้าถึงสิ่งที่ฟอร์เซสต์กำลังจะทำ ถ้าถามว่าทำไมเธอถึงเชื่อสัญญาปากเปล่าของเขา บางทีแม้แต่ตัวเธอเองก็อาจจะมีเหตุผลก็ได้ และบางทีต่อให้เขาไม่ทำตามสัญญาเธอก็ไม่แน่ใจว่าตัวเธอจะหมดรักเขาได้จริงๆรึเปล่า ดังนั้นเธอจะเชื่อสัญญาของเขาที่เธอขอโดยไม่มีข้อแม้ ยังไงซะหัวใจเธอก็มอบให้เขาอยู่แล้วไม่ว่าจะเมื่อไรก็ตาม

                ริมฝีปากเรียวบางของหญิงสาวถูกประกบด้วยริมฝีปากอีกคู่อย่างนุ่มนวล เบาบางและอ้อยอิ่งอยู่ที่ปลายสัมผัส ก่อนที่เขาจะเอียงใบหน้าเอให้ริมฝีปากแนบสนิทกันยิ่งขึ้นและมอบสัมผัสแสนอ่อนหวานกับความใกล้ชิดอันร้อนผ่าวที่จะหลอมละลายเธอให้อ้อมกอดนี้

                เวลาของเธอที่อยู่กับเขาถ้าเป็นไปได้ก็อยากภาวนาให้มันอยู่แบบนี้ตลอดไป อยากภาวนาให้เข็มของนาฬิกาหยุดเดินไปชั่วนิรันดร์ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องจากกันแม้รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ก็ตามที ถึงอย่างนั้นก็อดไม่ได้ที่จะคาดหวังกับคำว่า ‘ตลอดไป’

                “นี่”ฟอร์เซสต์เปรยเบาๆในตอนที่ละออกจากกันแล้ว แต่เขาก็ยังขังเธอไว้ในอ้อมกอดเช่นเดิม

                “อะไรหรอ”เอเวอร์ตอบรับเสียงเบาไม่ต่างกับการพึมพำที่แผงอกของเขา

                “สรุปเรื่องหมั้นน่ะ...รับนะ”

                “ถ้าฉันตอบไม่ล่ะ”

                เขาหัวเราะ

                “ก็ถ้าไม่อยากหมั้น...แต่งกันไปเลยก็สิ้นเรื่องแล้ว”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา