Forever ความรัก กาลเวลาและการรอคอย
-
เขียนโดย Zindy
วันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2556 เวลา 21.12 น.
9 ตอน
2 วิจารณ์
12.45K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2556 21.34 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) ทำงานด้วยกัน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ‘เวลาของฉันมันมีไว้เพื่อนนาย มันเป็นของนายแล้วนะ...’
เจ้าของเรือนผมยาวสีดำที่แผ่สยาย เต็มหมอน ขยับเปลือกตาลืมขึ้นบนที่นอนในห้องพักของเธอเอง เธอตื่นขึ้นมาก่อนเสียงนาฬิกาปลุกจะดัง ในตอนนี้ยังเช้าตรู่มาก ดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้นเลยด้วยซ้ำ มันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องตื่นเช้าขนาดนี้
อนันต์ญกาลนอนลืมตาในความมืด เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วก็ข่มตาให้หลับไม่ได้อีก จึงหันมาครุ่นคิดถึงความฝันที่ทำให้เธอตื่น ฝันนั่นช่างเลือนรางจนจับใจความอะไรแทบไม่ได้ รู้สึกคลับคล้ายว่าเป็นคนสองคนคุยกันในสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งตัวเธอไม่เคยรู้จัก บทสนทนา...จำไม่ได้แล้ว นอกจากประโยคที่ดังก้องเป็นประโยคสุดท้ายก่อนความฝันจะจบลง
“เวลา...ของฉัน?”อนันต์ญกาลพึมพำ ไม่เข้าใจมันเลยแม้แต่น้อยหากเธอฝัน หมายความว่าเคยเจอเหตุการณ์นี้มาก่อนรึเปล่า ไม่ว่าจะเค้นความคิดมากแค่ไหนก็ไม่มีทีท่าว่าจะนึกอะไรเกี่ยวกับประโยคนั้นออก เธอเพิ่งได้ยินมันครั้งแรก ถ้างั้นความคุ้นเคยกับประโยคนี่คืออะไรกัน
อนันต์ญกาลไม่เคยความจำเสื่อม เธอนึกถึงช่วงเวลาทุกๆสิ่งที่ผ่านเข้ามาได้อย่างไม่ติดขัด แล้วนี่มันอะไร ราวกับนี่เป็นความทรงจำของคนอื่นที่ไม่ใช่เธอ
“บางที เราอาจได้ยินมาจากละครที่ไหนล่ะมั้ง”ในเมื่อคิดยังไงก็นึกไม่ออกก็เลยสรุปกับตัวเองแบบลวกๆทั้งที่ยังคาใจ
เวลานี้เช้ามากคงอีกนานทีเดียวกว่าจะเป็นเวลาตื่นปกติ อนันต์ญกาลเลยปิดเรื่องความฝันออกจากหัว ให้ความสนใจกับการหลับการนอน จากนั้นก็หลับไปอีกครั้งในเวลาไม่นาน
ความฝันนั่นไม่ได้กลับมาอีก สิ่งที่เธอรู้สึกไม่ใช่ความฝัน ภายในห้วงนิทรานั้นเหมือนว่ามีใครอยู่ใกล้ๆ กุมมือของเธอไว้ ส่งความคิดถึงมาจากที่แห่งหนึ่ง แต่สิ่งนั้นก็ไม่ใช่ความจริง เมื่ออนันต์ญกาลตื่นขึ้นมาอีกครั้งความรู้สึกเหล่านั้นก็จางหายไปหมดแล้ว เลือนหายไปอย่างเงียเชียบจนลืมไปเลยว่ามันเคยเกิดขึ้น
“ขอบคุณมากค่ะ”อนันต์ญกาลกล่าวพร้อมยื่นเงินให้คนขับแท็กซี่ ก้าวลงจากรถมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าสถานีรถไฟฟ้า หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดหาคนที่กำลังมองหา ไม่นานเกินรอปลายสายจะรับ
“นิรันดร์ ฉันมาถึงแล้วตอนนี้อยู่ไหนหรอ”
‘ฉันรออยู่บนสถานีแล้ว ขึ้นมาเลย’
“อือ”เธอกดตัดสายไปพลางเดินขึ้นบันไดเลื่อนไปหาคนที่มาถึงก่อนแล้ว
หลังจากที่นิรันดร์กาลย้ายเข้ามาเวลาก็ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์แล้ว เช่นเดียวกับกำหนดส่งรายงานวิชาประวัติศาสตร์ที่ใกล้เข้ามาทุกที อนันต์ญกาลและนิรันดร์กาลจึงต้องนัดกันไปหาข้อมูลที่พิพิธภัณฑ์ นั่งรถไฟฟ้าไปคงจะเป็นวิธีที่เร็วที่สุด ต่อรถแท็กซี่อีกไม่ไกลเท่าไหร่ก็จะถึง
“ทางนี้ๆ”
อนันต์ญกาลโบกมือเรียกนิรันดร์กาลที่ยืนพิงข้างร้านขนม ในมือมีขนมปังที่เกือบหมดแล้ว คงจะยังไม่ได้กินข้าวเช้า ผู้หญิงรอบๆนั้นมองนิรันดร์กาลเป็นแถวนิรันดร์กาลก็ยืนเด่นให้พวกนั้นมองนิ่ง ยังกะดารามายืนเก๊กถ่ายแบบ
พอเห็นอนันต์ญกาลที่วิ่งมาใกล้เขาก็ยื่นบัตรที่ไปแลกมาแล้วให้ใบหนึ่ง เธอก็ยิ้มรับขอบคุณ ไม่รู้อนันต์ญกาลคิดไปเองรึเปล่าว่าเธอมาถึงก็มีสายตาร้อนๆของคุณผู้หญิงทั้งหลายไล่หลังมา ถึงเธอจะไม่สนใจมันก็เถอะ
“น่าจะถึงพิพิธพัณฑ์ประมาณสิบโมงกว่าๆนะ รับไปเถอะ บางทีถ้าสายอีกหน่อยรถอาจจะติด”อนันต์ญกาลเร่งอย่างไม่จริงจัง นิรันดร์กาลตอบรับด้วยการงาบขนมปังส่วนสุดท้ายลงไป ทิ้งถุงในถังขยะแถวนั้นกลืนเสร็จก็หันมาพูด
“งั้นก็ไปกันเถอะ”
ที่ชานชลาในตอนนี้คนมากจนยืนต่อคิวยาวเหยียด อนันต์ญกาลถอนหายใจออกมา นี่ขนาดพวกเธอมาขึ้นในสถานีที่ปกติคนไม่ค่อยเยอะแล้วยังซะขนาดนี้ งั้นถ้าเป็นสถานีที่ฮิตๆกันอาจจะเป็นปลากระป๋องเลยก็ได้
“คนเยอะดีนะวันนี้”นิรันดร์กาลเองก็คิดเช่นเดียวกับเธอ
“ก็กำลังคิดอยู่เลย เชื่อเลยว่าสถานีอื่น คนคงจะเยอะกว่านี้”
เสียงสัญญาณนกหวีดดังแหลมยาว บอกว่ารถไฟฟ้าขบวนล่าสุดได้มาถึงแล้ว ทั้งสองจึงเริ่มคุย เดินเข้ารถไฟฟ้าหลังจากที่มันจอดสนิทแล้ว เสากลางก็มีคนมายืนออ เธอจึงตัดสินใจยืนอยู่ใกล้ๆประตูตรงมุมที่เกิดจากที่นั่งและประตูหลังทั้งหลังพิงอยู่กับซีกด้านหนึ่งของผนัง โดยที่นิรันดร์กาลยืนอยู่ใกล้ๆ ยึดจับท่อนเหล็กของขอบที่นั่งไว้ คุยกันเรื่องจิปาถะไปเรื่อยๆเช่น
“นิรันดร์ดูรู้ระบบของที่นี่ดีจัง ตอนเด็กเคยใช้ชีวิตที่ประเทศนี้มาก่อนรึเปล่า”
“ก็ฉันเป็นลูกกครึ่ง ก็มีบ้างที่กลับไปกลับมาระหว่างประเทศ”เขาตอบเรื่อยๆ สายตาจ้องอยู่ที่ทีวีโฆษณาจอเล็ก
“หรอ เพราะงั้นก็เลยพูดภาษานี้ชัดด้วยสินะ ปกติเจอต่างชาติก็มีแต่สำเนียงแปร่งๆทั้งนั้น”
ไม่นานจากนั้นเสียงอัตโนมัติของรถไฟฟ้าที่เป็นเสียงผู้หญิงก็ดังบอกว่าจะถึงสถานีต่อไปแล้ว รถไฟฟ้าจอดสนิทมหาฝูงชนก็เดินอัดกันเข้ามาไม่ต่างจากที่อนันต์ญกาลคิดไว้เลย เพราะความที่คนเยอะขึ้นมากคนบนรถไฟฟ้าก็เลยต้องเบียดกันมากตามไปด้วย สภาพตอนนี้เลยกลายเป็นว่านิรันดร์กาลต้องหันมาเผชิญหน้ากับเธอ เข้ามาใกล้มากจนได้กลิ่นโคโลญจน์ สภาพแบบนี้คงหายใจลำบากทั้งสองคน แต่ในเมื่อมันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้นิรันดร์กาลจึงเอ่ยขอโทษเบาๆ
“ขอโทษนะ ความจริงก็อยากออกห่างกว่านี้”
“ไม่เป็นไร”
ปัญหาต่อมาคือนิรันดร์ไม่มีที่จับกันล้ม ก็เลยจำเป็นต้องใช้มือยันกับพื้นที่ใกล้ประตู ซึ่งในที่นี้คือผนังด้านที่อนันต์ญกาลพิงอยู่ มือของเขาอยู่ข้างคอเธอนี่เอง
“เอาเถอะ ช่วยไม่ได้นี่นะ”
นิรันดร์กับอนันต์ไม่ได้พูดอะไรอีกเลยตั้งแต่อยู่ในสภาพนั้น เธอรู้สึกแปลกแบบบอกไม่ถูก อยู่ใกล้กันมากก็จริงถึงอย่างนั้นนิรันดร์กาลก็ไม่แตะโดนเธอเลย เขารักษาระยะห่างไว้อย่างสุภาพบุรุษ จะมีก็เพียงลมหายใจอุ่นของเขาเป่ารดใกล้หูทำให้เธอรู้สึกแปลก
บังเอิญตอนนั้นก็เหลือบไปเห็น...
“นิรันดร์ ใส่สร้อยอะไรไว้หรอ”เธอเห็นสร้อยสีทองให้ปกเสื้อ ครั้งแรกที่เห็นมันเป็นในคาบศิลปะ นิรันดร์แตะที่สร้อยคอนี่ตอนที่พูดถึงภาพวาด
“สร้อย ที่ใส่อยู่น่ะหรอ”ไม่จำเป็นต้องพูดดัง แค่นิรันดร์กาลกระซิบเธอก็ได้ยินชัดแล้ว
“ใช่ ใส่ติดตัวไว้ตลอดแบบนี้ สร้อยอะไรหรอ”
“อยากดู?”
“ถ้าเป็นไปได้”ถ้ามีโอกาสจะได้ดู บางทีมันอาจเป็นของสำคัญ อาจเป็นหนึ่งในความลับของเขาก็ได้
“ได้สิ”ง่ายกว่าที่คิด
นิรันดร์กาลใช้มืออีกข้างที่ไม่ได้ยันผนัง เกี่ยวสายสร้อยให้ขึ้นมาอยู่บนปกเสื้อ ทำให้อนันต์กาลได้เห็นจี้ที่อยู่ใต้เสื้อ จี้สร้อยที่เธอไม่เคยเห็น มันเป็นจี้ที่แปลกมาก ไม่ใช่เพชรพลอย ไม่ใช่กางเขน พระ หรืออะไรที่เกี่ยวกับศาสนา เป็นสิ่งที่ไม่น่าจะกลายเป็นจี้สร้อยคอได้ สิ่งนี้ถูกบีบจนมีขนาดเล็กกว่าปกติ
....นาฬิกา
มันคือนาฬิกา นาฬิกาเรือนเล็กเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณเซนต์กว่า เข็มนาฬิกาเรียวไร้การขยับเขยื้อน มีตัวเลขระบุไว้ในเลขโรมันที่อักษรสิบสอง สาม หก และเก้า
‘เวลาของฉันมันเป็นของนาย...มีไว้เพื่อนายแล้วนะ’
ความฝันที่เลิกใส่ใจไปแล้วเวียนกลับเข้ามาพร้อมความคุ้นเคยที่มีต่อนาฬิกาเรือนนี้ คล้ายกับว่าใครบางคนกำลังหยิบยื่นนาฬิกาเรือนนี้ให้ใครอีกคนในตอนที่เอ่ยประโยคนี้ด้วยความรักใคร่
“ว่าแต่ทำไมหยุดเดินล่ะ”
“เหตุผล...บางอย่างน่ะ”
“บอกไม่ได้อีกแล้วสินะ”
อนันต์ญกาลคิดว่าตัวเองคงชินแล้วกับการที่นิรันดร์กาลจะมีเรื่องบอกไม่ได้เสมอ ชินแล้วกับการที่จะไม่ถามให้มากความ
“อือ”
เสียงอัตโนมัติบอกสถานีดังขึ้นอีกครั้ง ใครหลายคนเดินเบียดมาหน้าประตูเพื่อที่จะลงในสถานีนี้ ประตูเปิดออก ผู้คนทยอยกันเดิน บ้างเดินออก บ้างก็เดินออก ผลลัพธ์คือคนออกมากกว่าคนเข้า ภายในรถไฟฟ้าจึงคนแน่นน้อยลง
รถไฟฟ้าเริ่มออกตัวด้วยความเร็ว พื้นที่ที่ว่างทำให้นิรันดร์กำลังจะดันตัวออกจากความใกล้ชิดนี้ แต่ทุกอย่างอาจไม่ได้เป็นอย่างที่คิด
“ว้าย!”
“อุ๊บ!”
นิรันดร์กาลกำลังเริ่มออกห่างแล้ว ในตอนนั้นผู้หญิงคนหนึ่งเสียหลักล้มจากการที่รถออกแล่น เธอเซล้มมาชนแผ่นหลังนิรันดร์กาลอย่างจัง ร่างของนิรันดร์จึงเป็นไปตามแรงกระแทก ไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรืออะไรที่ตรงหน้าของนิรันดร์กาลคืออนันต์ญกาล อุบัตติเหตุทำให้นิรันดร์กาลถลามาข้างหน้า และเพราะอุบัตติเหตุ...ริมฝีปากของเขาจึงนาบลงกับหน้าผากมนของหญิงสาวอย่างไม่ตั้งใจ
คนที่ไม่ทันตั้งตัวอย่างอนันต์ญกาลถึงกับเบิกตากว้าง นิรันดร์กาลเองก็มีสีหน้าไม่ต่างกันนัก เขากระชากตัวเองออกอย่างรวดเร็วในเวลาไม่ถึงสองวินาที ทั้งหมดรวดเร็วจนไม่มีใครอื่นเห็นเลย
“ขะ...ขอโทษค่ะ!”
หญิงคนต้นเรื่องรีบหันมาขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ แต่นิรันดร์กาลก็ไม่ได้ติดใจว่าเป็นความผิดของเธอ เขาโบกมือว่าไม่เป็นไร ก่อนที่หญิงคนนั้นจะถอยห่างหลายก้าวไปหาที่จับ ไม่ต่างจากนิรันดร์กาลมากนักที่ออกห่างมาจากที่ๆอนันต์ญกาลยืนอยู่
“ล่วงเกินเธอไปสินะ ขอโทษด้วย”
“ไม่เป็นไร ก็แค่อุบัตติเหตุ”เธอตอบด้วยใบหน้าสีระเรื่อ รู้แก่ใจว่าเขาไม่ได้ตั้งใจ แต่นิรันดร์กาลเพิ่งเคยจะเป็นผู้ชายคนแรกนอกจากพ่อที่ใกล้ชิดขนาดนี้ คงไม่แปลกถ้าจะออกอาการเขินอาย
...แล้วเพราะเหตุการณ์นั้นก็เลยทำให้ทั้งสองคนเงียบกริบไปตลอดทาง
หลังจากลงรถไฟฟ้า สิ่งต่อมาที่ต้องทำก็คือการเรียกรถแท็กซี่เพื่อนั่งต่อไปยังพิพิธภัณฑ์ นิรันดร์กาลรับหน้าที่นี้ ไม่นานนักก็ได้มานั่งในแท็กซี่เขียวเหลืองคันหนึ่ง นั่งไปได้ซักพักคนขับก็ทักขึ้น
“แฟนมาเที่ยวกันหรอหนู”คนขับใช้น้ำเสียงขึ้เล่น คงจะลืมไปว่าถ้าทั้งสองคนไม่ได้คบกัน พูดแบบนนี้ก็ถือว่าเป็นการเสียมารยาทสำหรับทั้งสองคน
“คือว่า...”
“ไม่ใช่ครับ!”
เสียงทุ้มหนักกล่าวขึ้นก่อนที่อนันต์ญกาลจะทันเอ่ยอะไร นิรันดร์กาลปฎิเสธเสียงหนักแน่นเสริมท้ายต่อด้วยเหตุผลที่มาเที่ยวด้วยกัน
“พวกเรามาทำรายงานครับ ไม่ใช่เที่ยว แล้วก็ไม่ใช่แฟนด้วย”
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรระหว่างช่วยเธอ หรือรังเกียจที่จะโดนเรียกแบบนั้น ก็นับว่านิรันดร์กาลช่วยรักษาหน้าเธอไว้อยู่ดี
“หรอ ขอโทษๆ ลุงแค่คิดว่าพวกหนูสองคนเหมาะสมกันก็เท่านั้นเอง ฮะๆๆ”
‘ไม่ได้สำนึกผิดเลยสินะ’อนันต์ญกาลคิดอย่างเหนื่อยหน่าย รู้สึกไปเองรึเปล่าก็ไม่รู้ ทุกคนนี่ช่างจับคู่เธอกับนิรันดร์กาลซะจริง จะขอย้ำอีกครั้งว่าไม่ได้รังเกียจ แค่ไม่เข้าใจเหตุผล ฝ่ายนิรันดร์กาลก็ใช่ว่าจะเล่นด้วยก็ปฎิเสธเสียงแข็งซะขนาดนั้น
ถึงไม่ได้สำนึกผิด อย่างน้อยก็พอจะรับรู้กระแสไม่พอใจของนิรันดร์กาลได้ ชายวัยกลางคนจึงยอมสงบปากสงบคำไปจนถึงจุดหมาย
รถยนต์จอดสนิทหน้าพิพิธภัณฑ์ที่ต้องการจะมา อนันต์ญกาลเหลือบมองมิเตอร์ที่แสดงตัวเลขเกือบครึ่งร้อย มือก็เตรียมล้วงหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาแต่อีกคนกลับไวกว่า แบงค์สีฟ้าที่มีค่าใกล้เคียงกับตัวเลขบนมิเตอร์ถูกยื่นออกไปคนขับ
“ไม่ต้องทอนครับ”เขากล่าว เปิดประตูลงจากรถพร้อมอนันต์ญกาล
“ค่าแท็กซี่ให้นายจ่ายคนเดียวจะดีหรอ”อนันต์ญกาลรีบเดินรี่เข้ามาในเมื่อนั่งมาด้วยกัน สิ่งที่ควรทำคือหารค่าใช้จ่ายไม่ใช่หรอ จะให้เขาเสียแบบนี้ก็เกรงใจแย่
“ไม่กี่สิบ ไม่ต้องคิดมากหรอก”
“แต่...”
“ถ้ายังจะพูด ฉันจะจ่ายค่าบัตรเข้าชมให้เธอด้วย”
คำประกาศที่เหมือนคำขู่ทำให้อนันต์ญกาลต้องปิดปากฉับ นึกแอบเถียงเล็กๆในใจว่า ถ้าจะให้เขาเลี้ยงค่าบัตรก็ไม่มีอะไรเสียหาย กลับกันจะได้ผลประโยชน์เสียด้วยซ้ำ ที่เธอไม่ทำแบบนั้นก็เพราะส่วนหนึ่งอาจเกรงใจ ค่าบัตรไม่ใช่ถูก จะลำบากนิรันดร์เปล่าๆ ที่สำคัญเธอมีเงินมากพอที่จะดูแลตัวเองได้ ไม่จำเป็นต้องแบมือขอเงินใคร ถ้าหวังผลมากๆจะกลายเป็นคนนิสัยเสียได้ คนอื่นจะพลอยมองไม่ดีไปด้วย
“หน้าบางจังนะ”
อะไรดลใจก็ไม่รู้ นิรันดร์กาลเอ่ยสิ่งที่เป็นใจความของความคิดอนันต์ญกาลได้พอดีเป๊ะ ไม่รู้จะเถียงอะไร อนันต์ญกาลได้แต่ยิ้มแห้งๆรับมันไว้เท่านั้น
“บัตรผู้ใหญ่สองคนครับ”
“ค่ะ”
ครั้งนี้อนันต์ญกาลไม่ช้าเหมือนครั้งที่แล้ว จำนวนเงินพอดีกับค่าตั๋วยื่นไปตรงหน้านิรันดร์กาลก่อนที่พนักงานจะเตรียมตั๋วเสร็จซะอีก
“เธอนี่...จริงๆเลยนะ”
นิรันดร์กาลได้แต่ส่ายหัวด้วยรอยยิ้มเอ็นดู เธอจึงยัดเงินใส่มือนิรันดร์กาลให้เอาไปใช้จ่ายค่าตั๋ว และเดินเข้าพิพิธภัณฑ์ไปพร้อมกันเมื่อได้มันมาเท่านั้น
__________________________________________________________________
คงยากถ้าจะมีใครมาเม้นนิยายเรา//ทำใจแล้วก็อัพไปเรื่อยๆ
เจ้าของเรือนผมยาวสีดำที่แผ่สยาย เต็มหมอน ขยับเปลือกตาลืมขึ้นบนที่นอนในห้องพักของเธอเอง เธอตื่นขึ้นมาก่อนเสียงนาฬิกาปลุกจะดัง ในตอนนี้ยังเช้าตรู่มาก ดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้นเลยด้วยซ้ำ มันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องตื่นเช้าขนาดนี้
อนันต์ญกาลนอนลืมตาในความมืด เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วก็ข่มตาให้หลับไม่ได้อีก จึงหันมาครุ่นคิดถึงความฝันที่ทำให้เธอตื่น ฝันนั่นช่างเลือนรางจนจับใจความอะไรแทบไม่ได้ รู้สึกคลับคล้ายว่าเป็นคนสองคนคุยกันในสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งตัวเธอไม่เคยรู้จัก บทสนทนา...จำไม่ได้แล้ว นอกจากประโยคที่ดังก้องเป็นประโยคสุดท้ายก่อนความฝันจะจบลง
“เวลา...ของฉัน?”อนันต์ญกาลพึมพำ ไม่เข้าใจมันเลยแม้แต่น้อยหากเธอฝัน หมายความว่าเคยเจอเหตุการณ์นี้มาก่อนรึเปล่า ไม่ว่าจะเค้นความคิดมากแค่ไหนก็ไม่มีทีท่าว่าจะนึกอะไรเกี่ยวกับประโยคนั้นออก เธอเพิ่งได้ยินมันครั้งแรก ถ้างั้นความคุ้นเคยกับประโยคนี่คืออะไรกัน
อนันต์ญกาลไม่เคยความจำเสื่อม เธอนึกถึงช่วงเวลาทุกๆสิ่งที่ผ่านเข้ามาได้อย่างไม่ติดขัด แล้วนี่มันอะไร ราวกับนี่เป็นความทรงจำของคนอื่นที่ไม่ใช่เธอ
“บางที เราอาจได้ยินมาจากละครที่ไหนล่ะมั้ง”ในเมื่อคิดยังไงก็นึกไม่ออกก็เลยสรุปกับตัวเองแบบลวกๆทั้งที่ยังคาใจ
เวลานี้เช้ามากคงอีกนานทีเดียวกว่าจะเป็นเวลาตื่นปกติ อนันต์ญกาลเลยปิดเรื่องความฝันออกจากหัว ให้ความสนใจกับการหลับการนอน จากนั้นก็หลับไปอีกครั้งในเวลาไม่นาน
ความฝันนั่นไม่ได้กลับมาอีก สิ่งที่เธอรู้สึกไม่ใช่ความฝัน ภายในห้วงนิทรานั้นเหมือนว่ามีใครอยู่ใกล้ๆ กุมมือของเธอไว้ ส่งความคิดถึงมาจากที่แห่งหนึ่ง แต่สิ่งนั้นก็ไม่ใช่ความจริง เมื่ออนันต์ญกาลตื่นขึ้นมาอีกครั้งความรู้สึกเหล่านั้นก็จางหายไปหมดแล้ว เลือนหายไปอย่างเงียเชียบจนลืมไปเลยว่ามันเคยเกิดขึ้น
“ขอบคุณมากค่ะ”อนันต์ญกาลกล่าวพร้อมยื่นเงินให้คนขับแท็กซี่ ก้าวลงจากรถมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าสถานีรถไฟฟ้า หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดหาคนที่กำลังมองหา ไม่นานเกินรอปลายสายจะรับ
“นิรันดร์ ฉันมาถึงแล้วตอนนี้อยู่ไหนหรอ”
‘ฉันรออยู่บนสถานีแล้ว ขึ้นมาเลย’
“อือ”เธอกดตัดสายไปพลางเดินขึ้นบันไดเลื่อนไปหาคนที่มาถึงก่อนแล้ว
หลังจากที่นิรันดร์กาลย้ายเข้ามาเวลาก็ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์แล้ว เช่นเดียวกับกำหนดส่งรายงานวิชาประวัติศาสตร์ที่ใกล้เข้ามาทุกที อนันต์ญกาลและนิรันดร์กาลจึงต้องนัดกันไปหาข้อมูลที่พิพิธภัณฑ์ นั่งรถไฟฟ้าไปคงจะเป็นวิธีที่เร็วที่สุด ต่อรถแท็กซี่อีกไม่ไกลเท่าไหร่ก็จะถึง
“ทางนี้ๆ”
อนันต์ญกาลโบกมือเรียกนิรันดร์กาลที่ยืนพิงข้างร้านขนม ในมือมีขนมปังที่เกือบหมดแล้ว คงจะยังไม่ได้กินข้าวเช้า ผู้หญิงรอบๆนั้นมองนิรันดร์กาลเป็นแถวนิรันดร์กาลก็ยืนเด่นให้พวกนั้นมองนิ่ง ยังกะดารามายืนเก๊กถ่ายแบบ
พอเห็นอนันต์ญกาลที่วิ่งมาใกล้เขาก็ยื่นบัตรที่ไปแลกมาแล้วให้ใบหนึ่ง เธอก็ยิ้มรับขอบคุณ ไม่รู้อนันต์ญกาลคิดไปเองรึเปล่าว่าเธอมาถึงก็มีสายตาร้อนๆของคุณผู้หญิงทั้งหลายไล่หลังมา ถึงเธอจะไม่สนใจมันก็เถอะ
“น่าจะถึงพิพิธพัณฑ์ประมาณสิบโมงกว่าๆนะ รับไปเถอะ บางทีถ้าสายอีกหน่อยรถอาจจะติด”อนันต์ญกาลเร่งอย่างไม่จริงจัง นิรันดร์กาลตอบรับด้วยการงาบขนมปังส่วนสุดท้ายลงไป ทิ้งถุงในถังขยะแถวนั้นกลืนเสร็จก็หันมาพูด
“งั้นก็ไปกันเถอะ”
ที่ชานชลาในตอนนี้คนมากจนยืนต่อคิวยาวเหยียด อนันต์ญกาลถอนหายใจออกมา นี่ขนาดพวกเธอมาขึ้นในสถานีที่ปกติคนไม่ค่อยเยอะแล้วยังซะขนาดนี้ งั้นถ้าเป็นสถานีที่ฮิตๆกันอาจจะเป็นปลากระป๋องเลยก็ได้
“คนเยอะดีนะวันนี้”นิรันดร์กาลเองก็คิดเช่นเดียวกับเธอ
“ก็กำลังคิดอยู่เลย เชื่อเลยว่าสถานีอื่น คนคงจะเยอะกว่านี้”
เสียงสัญญาณนกหวีดดังแหลมยาว บอกว่ารถไฟฟ้าขบวนล่าสุดได้มาถึงแล้ว ทั้งสองจึงเริ่มคุย เดินเข้ารถไฟฟ้าหลังจากที่มันจอดสนิทแล้ว เสากลางก็มีคนมายืนออ เธอจึงตัดสินใจยืนอยู่ใกล้ๆประตูตรงมุมที่เกิดจากที่นั่งและประตูหลังทั้งหลังพิงอยู่กับซีกด้านหนึ่งของผนัง โดยที่นิรันดร์กาลยืนอยู่ใกล้ๆ ยึดจับท่อนเหล็กของขอบที่นั่งไว้ คุยกันเรื่องจิปาถะไปเรื่อยๆเช่น
“นิรันดร์ดูรู้ระบบของที่นี่ดีจัง ตอนเด็กเคยใช้ชีวิตที่ประเทศนี้มาก่อนรึเปล่า”
“ก็ฉันเป็นลูกกครึ่ง ก็มีบ้างที่กลับไปกลับมาระหว่างประเทศ”เขาตอบเรื่อยๆ สายตาจ้องอยู่ที่ทีวีโฆษณาจอเล็ก
“หรอ เพราะงั้นก็เลยพูดภาษานี้ชัดด้วยสินะ ปกติเจอต่างชาติก็มีแต่สำเนียงแปร่งๆทั้งนั้น”
ไม่นานจากนั้นเสียงอัตโนมัติของรถไฟฟ้าที่เป็นเสียงผู้หญิงก็ดังบอกว่าจะถึงสถานีต่อไปแล้ว รถไฟฟ้าจอดสนิทมหาฝูงชนก็เดินอัดกันเข้ามาไม่ต่างจากที่อนันต์ญกาลคิดไว้เลย เพราะความที่คนเยอะขึ้นมากคนบนรถไฟฟ้าก็เลยต้องเบียดกันมากตามไปด้วย สภาพตอนนี้เลยกลายเป็นว่านิรันดร์กาลต้องหันมาเผชิญหน้ากับเธอ เข้ามาใกล้มากจนได้กลิ่นโคโลญจน์ สภาพแบบนี้คงหายใจลำบากทั้งสองคน แต่ในเมื่อมันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้นิรันดร์กาลจึงเอ่ยขอโทษเบาๆ
“ขอโทษนะ ความจริงก็อยากออกห่างกว่านี้”
“ไม่เป็นไร”
ปัญหาต่อมาคือนิรันดร์ไม่มีที่จับกันล้ม ก็เลยจำเป็นต้องใช้มือยันกับพื้นที่ใกล้ประตู ซึ่งในที่นี้คือผนังด้านที่อนันต์ญกาลพิงอยู่ มือของเขาอยู่ข้างคอเธอนี่เอง
“เอาเถอะ ช่วยไม่ได้นี่นะ”
นิรันดร์กับอนันต์ไม่ได้พูดอะไรอีกเลยตั้งแต่อยู่ในสภาพนั้น เธอรู้สึกแปลกแบบบอกไม่ถูก อยู่ใกล้กันมากก็จริงถึงอย่างนั้นนิรันดร์กาลก็ไม่แตะโดนเธอเลย เขารักษาระยะห่างไว้อย่างสุภาพบุรุษ จะมีก็เพียงลมหายใจอุ่นของเขาเป่ารดใกล้หูทำให้เธอรู้สึกแปลก
บังเอิญตอนนั้นก็เหลือบไปเห็น...
“นิรันดร์ ใส่สร้อยอะไรไว้หรอ”เธอเห็นสร้อยสีทองให้ปกเสื้อ ครั้งแรกที่เห็นมันเป็นในคาบศิลปะ นิรันดร์แตะที่สร้อยคอนี่ตอนที่พูดถึงภาพวาด
“สร้อย ที่ใส่อยู่น่ะหรอ”ไม่จำเป็นต้องพูดดัง แค่นิรันดร์กาลกระซิบเธอก็ได้ยินชัดแล้ว
“ใช่ ใส่ติดตัวไว้ตลอดแบบนี้ สร้อยอะไรหรอ”
“อยากดู?”
“ถ้าเป็นไปได้”ถ้ามีโอกาสจะได้ดู บางทีมันอาจเป็นของสำคัญ อาจเป็นหนึ่งในความลับของเขาก็ได้
“ได้สิ”ง่ายกว่าที่คิด
นิรันดร์กาลใช้มืออีกข้างที่ไม่ได้ยันผนัง เกี่ยวสายสร้อยให้ขึ้นมาอยู่บนปกเสื้อ ทำให้อนันต์กาลได้เห็นจี้ที่อยู่ใต้เสื้อ จี้สร้อยที่เธอไม่เคยเห็น มันเป็นจี้ที่แปลกมาก ไม่ใช่เพชรพลอย ไม่ใช่กางเขน พระ หรืออะไรที่เกี่ยวกับศาสนา เป็นสิ่งที่ไม่น่าจะกลายเป็นจี้สร้อยคอได้ สิ่งนี้ถูกบีบจนมีขนาดเล็กกว่าปกติ
....นาฬิกา
มันคือนาฬิกา นาฬิกาเรือนเล็กเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณเซนต์กว่า เข็มนาฬิกาเรียวไร้การขยับเขยื้อน มีตัวเลขระบุไว้ในเลขโรมันที่อักษรสิบสอง สาม หก และเก้า
‘เวลาของฉันมันเป็นของนาย...มีไว้เพื่อนายแล้วนะ’
ความฝันที่เลิกใส่ใจไปแล้วเวียนกลับเข้ามาพร้อมความคุ้นเคยที่มีต่อนาฬิกาเรือนนี้ คล้ายกับว่าใครบางคนกำลังหยิบยื่นนาฬิกาเรือนนี้ให้ใครอีกคนในตอนที่เอ่ยประโยคนี้ด้วยความรักใคร่
“ว่าแต่ทำไมหยุดเดินล่ะ”
“เหตุผล...บางอย่างน่ะ”
“บอกไม่ได้อีกแล้วสินะ”
อนันต์ญกาลคิดว่าตัวเองคงชินแล้วกับการที่นิรันดร์กาลจะมีเรื่องบอกไม่ได้เสมอ ชินแล้วกับการที่จะไม่ถามให้มากความ
“อือ”
เสียงอัตโนมัติบอกสถานีดังขึ้นอีกครั้ง ใครหลายคนเดินเบียดมาหน้าประตูเพื่อที่จะลงในสถานีนี้ ประตูเปิดออก ผู้คนทยอยกันเดิน บ้างเดินออก บ้างก็เดินออก ผลลัพธ์คือคนออกมากกว่าคนเข้า ภายในรถไฟฟ้าจึงคนแน่นน้อยลง
รถไฟฟ้าเริ่มออกตัวด้วยความเร็ว พื้นที่ที่ว่างทำให้นิรันดร์กำลังจะดันตัวออกจากความใกล้ชิดนี้ แต่ทุกอย่างอาจไม่ได้เป็นอย่างที่คิด
“ว้าย!”
“อุ๊บ!”
นิรันดร์กาลกำลังเริ่มออกห่างแล้ว ในตอนนั้นผู้หญิงคนหนึ่งเสียหลักล้มจากการที่รถออกแล่น เธอเซล้มมาชนแผ่นหลังนิรันดร์กาลอย่างจัง ร่างของนิรันดร์จึงเป็นไปตามแรงกระแทก ไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรืออะไรที่ตรงหน้าของนิรันดร์กาลคืออนันต์ญกาล อุบัตติเหตุทำให้นิรันดร์กาลถลามาข้างหน้า และเพราะอุบัตติเหตุ...ริมฝีปากของเขาจึงนาบลงกับหน้าผากมนของหญิงสาวอย่างไม่ตั้งใจ
คนที่ไม่ทันตั้งตัวอย่างอนันต์ญกาลถึงกับเบิกตากว้าง นิรันดร์กาลเองก็มีสีหน้าไม่ต่างกันนัก เขากระชากตัวเองออกอย่างรวดเร็วในเวลาไม่ถึงสองวินาที ทั้งหมดรวดเร็วจนไม่มีใครอื่นเห็นเลย
“ขะ...ขอโทษค่ะ!”
หญิงคนต้นเรื่องรีบหันมาขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ แต่นิรันดร์กาลก็ไม่ได้ติดใจว่าเป็นความผิดของเธอ เขาโบกมือว่าไม่เป็นไร ก่อนที่หญิงคนนั้นจะถอยห่างหลายก้าวไปหาที่จับ ไม่ต่างจากนิรันดร์กาลมากนักที่ออกห่างมาจากที่ๆอนันต์ญกาลยืนอยู่
“ล่วงเกินเธอไปสินะ ขอโทษด้วย”
“ไม่เป็นไร ก็แค่อุบัตติเหตุ”เธอตอบด้วยใบหน้าสีระเรื่อ รู้แก่ใจว่าเขาไม่ได้ตั้งใจ แต่นิรันดร์กาลเพิ่งเคยจะเป็นผู้ชายคนแรกนอกจากพ่อที่ใกล้ชิดขนาดนี้ คงไม่แปลกถ้าจะออกอาการเขินอาย
...แล้วเพราะเหตุการณ์นั้นก็เลยทำให้ทั้งสองคนเงียบกริบไปตลอดทาง
หลังจากลงรถไฟฟ้า สิ่งต่อมาที่ต้องทำก็คือการเรียกรถแท็กซี่เพื่อนั่งต่อไปยังพิพิธภัณฑ์ นิรันดร์กาลรับหน้าที่นี้ ไม่นานนักก็ได้มานั่งในแท็กซี่เขียวเหลืองคันหนึ่ง นั่งไปได้ซักพักคนขับก็ทักขึ้น
“แฟนมาเที่ยวกันหรอหนู”คนขับใช้น้ำเสียงขึ้เล่น คงจะลืมไปว่าถ้าทั้งสองคนไม่ได้คบกัน พูดแบบนนี้ก็ถือว่าเป็นการเสียมารยาทสำหรับทั้งสองคน
“คือว่า...”
“ไม่ใช่ครับ!”
เสียงทุ้มหนักกล่าวขึ้นก่อนที่อนันต์ญกาลจะทันเอ่ยอะไร นิรันดร์กาลปฎิเสธเสียงหนักแน่นเสริมท้ายต่อด้วยเหตุผลที่มาเที่ยวด้วยกัน
“พวกเรามาทำรายงานครับ ไม่ใช่เที่ยว แล้วก็ไม่ใช่แฟนด้วย”
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรระหว่างช่วยเธอ หรือรังเกียจที่จะโดนเรียกแบบนั้น ก็นับว่านิรันดร์กาลช่วยรักษาหน้าเธอไว้อยู่ดี
“หรอ ขอโทษๆ ลุงแค่คิดว่าพวกหนูสองคนเหมาะสมกันก็เท่านั้นเอง ฮะๆๆ”
‘ไม่ได้สำนึกผิดเลยสินะ’อนันต์ญกาลคิดอย่างเหนื่อยหน่าย รู้สึกไปเองรึเปล่าก็ไม่รู้ ทุกคนนี่ช่างจับคู่เธอกับนิรันดร์กาลซะจริง จะขอย้ำอีกครั้งว่าไม่ได้รังเกียจ แค่ไม่เข้าใจเหตุผล ฝ่ายนิรันดร์กาลก็ใช่ว่าจะเล่นด้วยก็ปฎิเสธเสียงแข็งซะขนาดนั้น
ถึงไม่ได้สำนึกผิด อย่างน้อยก็พอจะรับรู้กระแสไม่พอใจของนิรันดร์กาลได้ ชายวัยกลางคนจึงยอมสงบปากสงบคำไปจนถึงจุดหมาย
รถยนต์จอดสนิทหน้าพิพิธภัณฑ์ที่ต้องการจะมา อนันต์ญกาลเหลือบมองมิเตอร์ที่แสดงตัวเลขเกือบครึ่งร้อย มือก็เตรียมล้วงหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาแต่อีกคนกลับไวกว่า แบงค์สีฟ้าที่มีค่าใกล้เคียงกับตัวเลขบนมิเตอร์ถูกยื่นออกไปคนขับ
“ไม่ต้องทอนครับ”เขากล่าว เปิดประตูลงจากรถพร้อมอนันต์ญกาล
“ค่าแท็กซี่ให้นายจ่ายคนเดียวจะดีหรอ”อนันต์ญกาลรีบเดินรี่เข้ามาในเมื่อนั่งมาด้วยกัน สิ่งที่ควรทำคือหารค่าใช้จ่ายไม่ใช่หรอ จะให้เขาเสียแบบนี้ก็เกรงใจแย่
“ไม่กี่สิบ ไม่ต้องคิดมากหรอก”
“แต่...”
“ถ้ายังจะพูด ฉันจะจ่ายค่าบัตรเข้าชมให้เธอด้วย”
คำประกาศที่เหมือนคำขู่ทำให้อนันต์ญกาลต้องปิดปากฉับ นึกแอบเถียงเล็กๆในใจว่า ถ้าจะให้เขาเลี้ยงค่าบัตรก็ไม่มีอะไรเสียหาย กลับกันจะได้ผลประโยชน์เสียด้วยซ้ำ ที่เธอไม่ทำแบบนั้นก็เพราะส่วนหนึ่งอาจเกรงใจ ค่าบัตรไม่ใช่ถูก จะลำบากนิรันดร์เปล่าๆ ที่สำคัญเธอมีเงินมากพอที่จะดูแลตัวเองได้ ไม่จำเป็นต้องแบมือขอเงินใคร ถ้าหวังผลมากๆจะกลายเป็นคนนิสัยเสียได้ คนอื่นจะพลอยมองไม่ดีไปด้วย
“หน้าบางจังนะ”
อะไรดลใจก็ไม่รู้ นิรันดร์กาลเอ่ยสิ่งที่เป็นใจความของความคิดอนันต์ญกาลได้พอดีเป๊ะ ไม่รู้จะเถียงอะไร อนันต์ญกาลได้แต่ยิ้มแห้งๆรับมันไว้เท่านั้น
“บัตรผู้ใหญ่สองคนครับ”
“ค่ะ”
ครั้งนี้อนันต์ญกาลไม่ช้าเหมือนครั้งที่แล้ว จำนวนเงินพอดีกับค่าตั๋วยื่นไปตรงหน้านิรันดร์กาลก่อนที่พนักงานจะเตรียมตั๋วเสร็จซะอีก
“เธอนี่...จริงๆเลยนะ”
นิรันดร์กาลได้แต่ส่ายหัวด้วยรอยยิ้มเอ็นดู เธอจึงยัดเงินใส่มือนิรันดร์กาลให้เอาไปใช้จ่ายค่าตั๋ว และเดินเข้าพิพิธภัณฑ์ไปพร้อมกันเมื่อได้มันมาเท่านั้น
__________________________________________________________________
คงยากถ้าจะมีใครมาเม้นนิยายเรา//ทำใจแล้วก็อัพไปเรื่อยๆ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ