Forever ความรัก กาลเวลาและการรอคอย
เขียนโดย Zindy
วันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2556 เวลา 21.12 น.
แก้ไขเมื่อ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2556 21.34 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) งานฉลอง ..."เราเคยรู้จักกันมาก่อนรึเปล่า"
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
“อนันต์ๆ”
เช้านี้อนันต์ญกาลโดนเรียกตัวไว้ตั้งแต่ยังไม่นั่งที่ด้วยซ้ำ ชายหนุ่มที่เพิ่งย้ายมานั่งข้างๆเมื่อว่านก็ยังไม่มาถึงห้องเช่นกัน คนที่เรียกเธอไว้คือหนึ่งในเพื่อนสาวร่วมห้องที่ชื่อว่าศุวิสา
ศุวิสาเป็นคนที่สดใสร่าเริงมากกว่าอนันต์ญกาลมาก จนดูออกจะแก่นๆไปบ้าง แต่ด้วยเหตุผลนี้ก็ทำให้เธอได้เป็นตัวตั้งตัวตีในด้านกิจกรรมของห้องบ่อยๆ ครั้งนี้ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น
“มีอะไรหรอ ศุ”อนันต์ญกาลกันไปวางกระเป๋าตรงที่นั่งตัยวเองก่อน แล้วจึงหันกลับมาตอนรับสั้นๆ
“คือว่านะ”เธอเริ่มพูด “นิรันดร์กาลเพิ่งย้ายเข้ามาเรียนเมื่อวานนี้ เขาเป็นสมาชิกใหม่ของห้องเรา ก็เลย...อยากจะ...จัดงานต้อนรับซักหน่อย”พูดไปก็ชักจะอ้ำๆอึ้งๆ อนันต์ญกาลก็เลยเดาเอาเองว่าศุวิสามาพูดกับเธอทำไม
“คือว่า...ปรึกษาแล้ว ส่วนใหญ่บอกให้จัดงานเย็นนี้ไปเลย ก็เลยต้องใช้เวลาเตรียมงานซักนิด ดังนั้น...”
“ดังนั้น?”อนันต์ญกาลทวนถาม ศุวิสาเงียบไปอีกไม่กี่วินาที มือทั้งสองก็ตบแผะ พนมอยู่กลางหน้าผาก หลับตาแน่น
“ก็เลยอยากให้อนันต์ล่อนิรันดร์กาลไปไกลๆห้องเรียนก่อนงานจะพร้อมได้มั้ย นะๆ”
เมื่อเห็นท่าทางแบบนั้นอนันต์ญกาลก็ถึงกับหลุดขำ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมศุวิสาถึงได้รับหน้าที่จัดงานบ่อยๆ เพราะเธอนั้นแบ่งงานได้ลงตัวนี่เอง
“โอเค ก็ได้ๆ ว่าแต่ฝ่ายจัดงานล่ะ แล้วก็อาหารด้วย”หลังจากรับงานของตัวเองเสร็จแล้ว อนันต์ก็ถามถึงงานส่วนอื่นๆ คนที่ก้มหน้าพนมมืออยู่ก็ลดมือลง เงยหน้าขึ้นแล้วตอบด้วยน้ำเสียงร่าเริงเหมือนตอนแรก
“ตอนนี้บอกให้ไปเบิกๆมาจากโรงเรียนแล้ว เลิกเรียนคงต้องวิ่งไปเอา ส่วนเรื่องอาหารก็คิดว่าจะรวมๆเงินกันไปซื้อคนละร้อยสองร้อย”
“งั้นก็ฉันด้วยสิ”
ศุวิสาหัวเราะแห้งๆก่อนจะแบมือเหมือนขอเงิน อนันต์ญกาลได้แต่ส่ายหัวอย่างระอา ยอมควักเงินต่ายตามจำนวนพลางนึกว่าจะทำหน้าที่ของตัวเองยังไงให้สำเร็จลุล่วงดี
“ขอบใจมากจ้า แล้วเจอกันเวลางานน้า”เธอลากเสียงยาวก่อนอนันต์ญกาลจะเห็นศุวิสารี่เข้าไปเก็บเงินคนอื่นต่อ
พอจัดการที่นั่งตัวเองจนเรียบร้อย อนันต์ญกาลก็เดินออกจากห้องไป เพื่อไปหาเพื่นสนิทต่างห้อง กว่าจะกลับมาที่ห้องอีกครั้งก็เกือบเวลาโฮมรูม นิรันดร์กาลนั่งอยู่ ณ ที่ของเขาแล้ว พวกเขาส่งยิ้มให้กันแล้วกันเป็นเชิงทักทายแล้วอนันต์ญกาลก็นั่งเรียนไปตามปกติ
นิรันดร์กาลนั่งอยู่ข้างอนันต์ญกาล เธอเลยได้มีโอกาสลอบสังเกตเขาอยู่บ่อยๆ นิรันดร์กาลเป็นคนที่เรียนเก่งมาก ทำไมเธอถึงรู้น่ะหรอ คงเนื่องจากเพราะเขาเป็นนักเรียนใหม่ก็เลยค่อนข้างโดนอาจารย์เพ่งเล็งกว่าปกติ นิรันดร์กาลโดนเรียกให้ตอบเกือบทุกคาบแต่ไม่มีแม้คำถามเดียวที่จะตอบไม่ได้ จะคณิตศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์ วิชาภาษาเองก็ด้วย ภาษาต่างประเทศของทางฝั่งยุโรปนิรันดร์กาลก็พูดได้ชนิดคล่อง ภาษาของฝั่งเอเชียรวมถึงภาษาไทย ถึงจะไม่เก่งเท่าภาษายุโรปแต่ก็ไม่ได้ด้อยเลย
แต่ว่า ในตอนที่นิรันดร์กาลไม่ต้องตอบคำถามใครหรืออะไร สิ่งที่เขาทำคือการนั่งเหม่อไปนอกหน้าต่าง บางทีก็เหม่อมองหน้าห้องแบบไม่ได้เรียน
“นิรันดร์กาลมาทำข้อนี้สิ”
นั่นไง โดนเรียกอีกแล้ว
คาบนี้เป็นคาบฟิสิกส์ พอโดนเรียกปุ๊ปเขาก็กวาดสายตามองโจทย์บนกระดานแว๊บเดียวแล้วก็ลุกขึ้นเดินไปที่หน้ากระดาน หยิบปากกาเขียนกระดานขึ้นมาเขียนทำโจทย์ ไม่นานโจทย์ก็ถูกแก้อย่างง่ายดายและลื่นไหล เขียนอธิบายทุกอย่างชัดเจน ทั้งตัวแปรและวิธีคิดคำนวณ ทำเสร็จเขาก็เอ่ยขออนุญาตและกลับไปนั่งที่โดยมีสายตาชื่นชมเล็กๆของอาจารย์ไล่หลัง
อาจารย์ไม่ต้องอธิบายอะไรเพิ่มเติมมากเท่าไร ถามแค่ว่าเข้าใจไหม เมื่อไม่มีใครถามเพิ่มเติมก็สอนไปสู่โจทย์ข้อต่อไป
คาบต่อๆมาก็เป็นเช่นเดิม บางคาบนิรันดร์กาลไม่โดนเรียกเขาก็นั่งเหม่อเหมือนเดิม กว่าอนันต์ญกาลจะหาโอกาสคุยเรื่องตอนเลิกเรียนได้ก็เกือบเที่ยง
“นิรันดร์จ้ะ เย็นนี้ว่างมั้ย”เธอใช้เสียงระดับกระซิบเพราะอยู่ในคาบ คนข้างๆเบนสายตามาหาเธอช้าๆแล้วตอบด้วนน้ำเสียงไม่ดังกว่านัก
“เย็นนี้ ว่างสิ ทำไมหรอ”
“ทั้งห้องบอกให้ฉันพานายแนะนำสถานที่ในโรงเรียนน่ะ ไปมั้ย”ในที่สุดอนันต์ญกาลก็หาเหตุที่จะลากนิรันดร์กาลไปไกลๆห้องเรียนได้ อย่างน้อยลากไปรอบๆโรงเรียนน่ะดีแล้ว อ้างเพื่อนซักหน่อยเพราะอยู่ดีๆจะไปชวนคนเดียวมันก็แปลกๆ
นิรันดร์กาลไม่ตอบเป็นคำพูดแต่ยิ้มและพยักหน้าน้อยๆ
ไม่นานหลังจากนั้นออดพักเที่ยงก็ดัง หญิงสาวก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานนิรันดร์ไปทานข้าวกับเธอก็เลยคิดว่าจะชวนไปเช่นเดียวกับเมื่อวาน หากไม่ติดตรงที่...
“วันนี้นายต้องไปกินกับฉัน!”
ชายหนุ่มคนหนึ่งตรงเข้าล็อกคอนิรันดร์กาลด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มสดใส เขาเป็นคนที่นั่งติดกับอนันต์ญกาลทางอีกฝั่ง นิรันดร์กาลนั่งทางซ้ายมือซึ่งติดหน้าต่างส่วนเขาคนนี้นั่งอยู่ทางขวามือของเธอ
“...เมื่อวานได้ไปกับสาวน่ารักอย่างอนันต์ วันนี้อย่าหวังเลย นายต้องไปกับฉัน ใครจะยอมให้นายได้กินข้าวกับสาวทุกวันกันเล่า”
“โอ๊ย! คุณ...!”ดูท่าทางนิรันดร์กาลอยากจะแย้งอะไรบางอย่าง โดยเฉพาะแรงที่เขาใส่มา มันไม่น้อยเลย
ยังไม่ทันจะพูดจบเขาก็แทรกขึ้นมา “ฉันชื่อพัตรฏินันท์ พัตรฏินันท์ไม่ใช่คุณ”ว่าแล้วก็แนะนำตังเองเสร็จสรรพ ดูจากสีหน้าของนิรันดร์กาลแล้วคงไม่ได้อยากรู้เท่าไร ติดแค่แรงของพัตรฏินันท์มันเยอะจนสะบัดหลุดไม่ได้ง่ายๆ
“อนันต์”พัตรฏินันท์หันมาเรียกคนที่มองเหตุการณ์ทั้งหมดอย่าอึ้งๆ “ฉันขอตัวหมอนี่ไปล่ะ ก่อนที่ผู้ชายทั้งห้องจะรุมกระทืบมันข้อหาหลีสาว”
“ไม่ต้องมาชอหรอกเขาไม่ใช่ของฉันนี่ ดีเหมือนกันนิรันดร์กาลจะได้มีเพื่อนตั้งแต่วันแรกๆที่เข้ามา”
อนันต์ญกาลยิ้มตอบไป ชั่วแวบหนึ่งที่สังเกตเห็นแววตาลุกวาวแบบไม่พอใจในดวงตาสีฟ้า แต่เธอก็คิดไปเองว่าเป็นเพราะพัตรฏินันท์ล็อกคออยู่
“ปล่อย”ดูเหมือนนิรันดร์กาลจะทนไม่ไหว กดน้ำเสียงต่ำออกคำสั่งจนคนรอบๆรู้สึกได้ โดยเฉพาะดวงตาที่ตวัดมองชายอีกคนอย่างเอาเรื่อง
พัตรฏินันท์ปล่อยตามคำพูด แอบหวั่นว่าตัวเองจะเล่นมากเกินไปรึเปล่า นิรันดร์กาลเป็นเด็กนักเรียนใหม่ เขาอาจจะไม่ชอบการเข้าหาแบบคุ้นเคยทั้งที่ยังไม่สนิทกัน หรืออาจจะถึงขั้นรังเกียจเลยก็ได้ พัตรฏินันท์ลืมนึกถึงจุดนี้ไปเพิ่งจะมานึกขึ้นได้ ทุกคนก็เช่นเดียวกัน
ชั่วอึดใจหนึ่งที่ต่างก็เงียบไป ปล่อยให้นิรันดร์กาลที่เป็นอิสระจัดเครื่องแต่งกายของตัวเองที่ยับยู่ยี่เพราะพัตรฏินันท์
“ฟู่... ใส่มาซะได้”เป้าสายตาพึมพำอย่างไม่จริงจัง ผิดกับกริยาเมื่อครู่ เขากวาดสายตามองรอบๆอีกครั้งแล้วก็เอ่ยขึ้นคล้ายเหย้าแหย่
“เอ้า เป็นอะไรกันไปหมดล่ะ เล่นเองก็อย่างซึมเองกันสิ”เขาหยุดสายตาที่พัตรฏินันท์แล้วถอนหายใจอีกรอบ
“เออ ไปก็ไป ฉันไม่ได้จะหลีสาวหรอกน่า”
“แต่สรรพนามของนาย คำพูดก็ด้วย ต่างกันชัดๆเลยนี่หว่า!”หลังจากแน่ใจแล้วว่านิรันดร์กาลไม่ได้คิดอะไรมาก ก็ยิ้มแฉ่งแล้วเริ่มโวยวายต่อ นิรันดร์กาลทำเสียงจิ๊จ๊ะอย่างรำคาญ แต่ก็ไม่ได้ต่อว่าอะไร
“ฉันไม่ได้ชินกับการอยู่กับผู้หญิงนักหรอก งั้นต่อจากนี้จะใช้ให้เหมือนกันล่ะนะ”
“ไม่เคยอยู่กับผู้หญิงหรอ”
“เปล่า...”แค่นั้นแล้วก็เงียบไป หลุบตามองต่ำ พัตรฏินันท์เลยไม่กล้าเซ้าซี้ต่อได้แต่เปลี่ยนเรื่อง
“เออๆ ชั่งมัน ไปกินข้าวได้แล้วป่านนี้จะเหลืออาหารมั้ยเนี่ย”เขาได้แต่แกล้งบ่นกระปอดกระแปด รู้สึกถึงบรรยากาศรอบตัวนิรันดร์กาลที่น่าพิศวงเหมือนกับว่าภายในคำพูดนั้นมีสิ่งที่แฝงในความหมาย
นิรันดร์กาลโดนพัตรฏินันท์เอาแขนพาดไหล่อย่างสนิทสนม
“ไปก่อนนะ”นิรันดร์กาลหันมาลาอนันญกาลก่อนเกินไปพร้อมกัน เมื่อทั้งสองคนออกไปแล้วอนันญกาลก็เดินตามออกไปเพื่อหาสาวิกาและพรประภา แต่ทางอีกด้านหนึ่งพัตรฏินันท์กลับติดใจในคำพูดนั้นอย่างมาก
“นี่ๆ หมายความว่ายังไงไอที่ว่าไม่ชินกับผู้หญิงน่ะ”
“ถ้าพูดให้ถูกคือฉันไม่ค่อยชินกับผู้หญิงคนอื่น”
“หือ ไม่เข้าใจว่ะ”
ยังไม่ทันที่พัตรฏินันท์จะได้ทำความเข้าใจกับเสียงพึมพำเบาหวิวนั่น ก็มีคนเรียกทักซะก่อน เชาก็ทักกลุ่มเพื่อนนั้นกลับแบบสนุกสนาน สุดท้ายก็เลยลืมไปในที่สุด แต่กับคนอีกคนทั้งคำถามและคำตอบยังคงวนเวียนในความคิดไม่หยุดไม่หย่อน กล่าวความในใจออกมาโดยคนข้างๆไม่ได้ยิน
“ก็ชีวิตฉันให้ไปกับผู้หญิงเพียงคนเดียวแล้ว จะให้ฉันไปคุ้นเคยหญิงคนอื่นได้ยังไง...”
นั่นเป็นสิ่งหนึ่งจากความคิดของเขาที่ไม่หวังให้ใครได้ยินหรือรับรู้ ไม่ต้องการส่งถึงใครและไม่ต้องการให้ใครเข้าใจ เขาพูดมันออกมาเพื่อเป็นเครื่องเตือนใจตัวเองเท่านั้น
คาบเรียนภาคบ่ายวิชาแรกที่ต่อจากพักเที่ยงคือศิลปะ ปัญหาคืออาจารย์เข้ามาบอกว่าติดธุระด่วน ทางแก้ปัญหาจึงเป็นการโยนกระดาษให้และสั่งนักเรียนวาดรูป คำสั่งคือให้วาดรูปร่างอะไรก็ได้ไว้ก่อน แล้วคาบต่อไปที่เรียนค่อยมาลงสีน้ำ แน่นอนว่าเก็บคะแนน จะทำเป็นเล่นๆก็ไม่ได้ กลายเป็นว่าห้องเรียนคาบนี้จึงมีเสียงพูดคุยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
อนันต์ญกาลกำลังจินตนาการถึงภาพทิวทัศน์ของพระอาทิตย์ตก นี่อาจเป็นภาพพื้นฐานที่สุดเท่าที่คิดถึงได้ เธอน่าจะวาดมันคู่กับทะเล ป่าไม้หรืออะไรๆที่เข้ากับทิวทัศน์เช่นนี้ ตอนนี้กระดาษของอนันต์ญกาลจึงมีภาพร่างบกลมๆของดวงอาทิตย์ที่จะลงสีแดง ภาพร่างก้อนเมฆและท้องฟ้าที่ภายหลังจะเป็นสีส้ม
แต่ไม่ว่านึกยังไงก็คิดไม่ออกซะทีว่าจะวาดสถานที่ใดลงไป ขมวดคิ้วอยู่นานก็ตัดสินใจไม่ได้ อนันต์ญกาลวางดินสอพร้อมกระดานวาดลงบนโต๊ะ หันไปให้ความสนใจกับคนข้างๆแทนงานของตัวเอง
“วาดอะไรหรอนิรันดร์”
คนถูกทักสะดุ้งเล็กน้อย มันน้อยซะจนอนันญต์กาลไม่ทันสังเกต เขาไม่ได้ตอบเธอแต่ยื่นกระดานวาดภาพให้ดูแทน
ภาพที่อนันต์ญกาลเห็นเธอดูออกทันที่ว่าเป็นสวน สวนที่มีทั้งพุ่มไม้เล็กและดอกไม้หลากชนิดโดยเฉพาะกุหลาบ ที่สำคัญริมขวาของภาพมีร่างคนหนึ่งหันหลังให้พวกเธอ เจ้าของร่างนั้นเป็นหญิงสาวร่างบางสมส่วนที่ไว้ผมตรงยาวถึงบั้นเอว เธออยู่ในชุดกระโปรงยาวคล้ายชุดราตรี
“นี่ใครหรอ”
“คนที่รู้จักน่ะ”นิรันดร์กาลตอบแบบครุมเครือ อนันต์ญกาลไม่เข้าใจเลยซักนิดว่าทำไมถึงตอบแบบนั้น ถ้าหากไม่ใช่คนรู้จักคงไม่วาดหรอก
“จะเสียมารยาทมั้ยถ้าฉันจะขอให้นายอธิบายเพิ่ม”
เขายิ้มตอบโดยสายตายังมองภาพ มือขวาเลื่อนไปแตะที่กลางหน้าอกของตน อนันต์ญกาลเหลือบเห็นสายสร้อยสีทองใต้ปกเสื้อ คาดว่าที่เขากุมไว้คือจี้ของสร้อยเส้นนั้น
“ก็คงจะเป็น...คนสำคัญล่ะมั้ง”
“เอ่อ ขอโทษนะ ฉันถามอะไรไม่ดีออกไปรึเปล่า”เธอรู้สึกเช่นนั้นเพราะแววตาของนิรันดร์กาลตอนพูดนั้นเป็นแววตาที่ดูแปลก สิ่งที่ซ่อนอยู่ในนั้นมันไม่ใช่ความเศร้าเท่าที่รู้สึกได้มันเป็นแววตาที่แฝงความคิดถึงระคนอาวรณ์
“เปล่า...”เขากระพริบตาปรับอารมณ์ แล้วแววตานั้นก็หายไปในเพียงชั่วครู่ราวกับช่วงเวลาเมื่อกี้เป็นเพียงภาพความฝัน “ไม่ได้ถามอะไรผิดหรอก อย่าคิดมากเลย ฉันก็เป็นแบบนี้ของฉันน่ะแหละ”
‘เขามีเรื่องปิดบังอยู่’
นั่นคือสิ่งที่ตีความได้ มันคงจะเป็นเรื่องส่วนตัวถ้าไปถามเจาะลึกก็คงจะเสียมารยาท
“ว่าแต่เธอล่ะ วาดอะไร”นิรันดร์กาลเอนตัวมาดูภาพบนโต๊ะของเธอบ้าง อนันต์ญกาลกะว่าจะไม่ให้ดู แต่ก็ช้ากว่านิรันดร์กาลที่จับแผ่นกระดาษไว้
“จะหวงไปทำไม ไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอก...รูปอะไรน่ะ”ได้ยินประโยคที่สองปุ๊ปก็รู้เลยว่าสองประโยคแรกโกหกชัดๆ
“...มันแย่มากจริงๆสินะ”
“ยังไม่ทันได้พูดเลยนะ แล้วสรุปวาดอะไรหรอ”
“ก็กะจะวาดของอะไรซักอย่าง แต่ก็คิดไม่ออกเลยได้แค่ท้องฟ้า”การกรี๊ดหรือการลุกขึ้นมาแล้วแหวใส่คนอื่นมันไม่ใช่นิสัยของเธอ อนันต์ญกาลเลยทำได้แค่หน้าแดงตอบกลับไปอย่างขัดเขินในฝีมือวาดภาพของตัวเอง ไม่อยากจะเทียบฝีมือตัวเองกับนิรันดร์กาลหรอกเพราะรู้ว่าสู้ไม่ได้ ก็ของเขาสวยกว่าจริงๆนี่นา
“งั้นก็ไม่ต้องวาดสิ”
“หา?”
“ก็ไม่ต้องวาด ไอ้ที่เธอคิดไม่ออกท้องฟ้าอย่างเดียวมันก็สวยได้ เคยมองท้องฟ้าตอนกลางคือไหม ถึงมันจะลงสียากซักหน่อยก็เถอะ”นิรันดร์กาลแนะนำ ลองจินตนาการตาม อนันต์ญกาลก็เห็นท้องฟ้าสีดำที่มีดวงจันทร์และประกายหมู่ดาว
“...แต่ฉันกะว่าจะทำภาพดวงอาทิย์ตกน่ะ”
“งั้นก็วาดสิ”
หากคิดไม่ออกก็ไม่ต้องทำเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ง่ายดีเหลือเกิน ง่ายแต่ก็ได้ผลในเวลานี้ ถ้าพูดให้ถูกฟ้าก็คงแบ่งหลักๆตามช่วงเวลาได้เป็นช่วงเช้าที่สดใส พลบค่ำสีส้มแสดและกลางคืนสีมืดมิด
“จ้องหน้าฉันทำไมหรอ”
“เปล่าจ้ะ ก็แค่กำลังคิดว่านิรันดร์กาลน่ะ สีตาเหมือนท้องฟ้าโปร่งเลยเนอะ สวยมากเลย ขอบใจมากนะที่แนะนำ”
เธอยิ้มให้เขา ไม่นานนักความแปลกใจที่แสดงออกทางสีหน้าก็เปลี่ยนไปนิรันดร์กาลยิ้มตอบในที่สุด
แล้วอนันต์ญกาลก็หันไปทำงานของตัวเองเช่นเดิม ผิดกับอีกคนที่เลิกเสแสร้งปั้นใบหน้ายิ้มแย้มนั้นขึ้นมา รอยยิ้มที่อนันต์ญกาลเห็นได้จางหายไปจากใบหน้าแล้ว เหลือเพียงริมฝีปากที่เม้มแน่น ดวงตาไหววูบอย่างรวดร้าวและมือที่กุมสายสร้อยที่กลางหน้าอกไว้
“...เอเวอร์”
คาบต่อไปเป็นคาบวิชาประวัติศาสตร์ อาจารย์คนสอนเป็นชายแก่ๆรูปร่างผ่ายผอมที่ไม่สนใจจะย้อมสีผมให้ดูแก่น้อยลง เป็นคนที่สอนดี ที่สำคัญเกลียดความวุ่นวายเป็นที่สุด นิสัยสุดท้ายจึงเป็นที่ทำให้นักเรียนมักจะลำบากเล็กๆเสมอ
คาบนี้เองก็เช่นกัน
“เดี๋ยวจะสั่งรายงานเกี่ยวกับเรื่องที่จะเรียน แถวที่นั่งเป็นเลขคู่อยู่แล้วถ้าให้จับกับคนที่นั่งข้างๆคงไม่มีเศษ งั้นเอาตามนั้แหละ”
ทุกคนต่างมองซ้ายมองขวาเพื่อดูหน้าคู่ของตัวเอง อนันต์ญกาลนั่งอยู่แถวรองสุดท้าย คนที่เธอคู่ด้วยก็มีเพียงคนเดียว
...นิรันดร์กาล
“โห่ นึกว่าจะได้คู่กับสาวซะอีก”เสียงหนึ่งดังขึ้นก่อนที่อนันต์ญกาลหรือนิรันดร์กาลจะพูดซะอีก พัตรฏินันท์แกล้งทำหน้าเสียดายทว่าส่งสายตาวิบวับมาทางนิรันดร์กาล “ใครไม่รู้ได้อยู่คู่กับอนันต์กาลอีกแล้ว”
“ไม่ใช่ความตั้งใจของฉันนี่”
“เฮ้อ”
ตอนนี้ปากพัตรฏินันท์ใกล้จะเป็นเลขสาม ท่าทางตั้งใจล้อเลียนอย่างชัดเจน อนันต์ญกาลถึงกับพูดอะไรไม่ออก เพราะนิรันดร์กาลก็ท่าทางจะยั่วขึ้นทั้งสองคนเลยส่งกระแสจิตเปรี้ยงปร้างใส่กันตลอดเวลา
โดยตัวเธอเองแล้วไม่ได้รู้สึกรังเกียจอะไรนิรันดร์กาลเลย แม้ว่าเขาจะเพิ่งย้ายเข้ามา อาจจะรู้จักน้อยไปนิด การได้ทำงานคู่กันคงจะทำให้รู้จักกันมากขึ้นก็ได้ เรื่องชู้สาวแบบที่พัตรฏินันท์ว่าเธอไม่ค่อยคิดมาก เนื่องจากครอบครัวเธออยู่ต่างประเทศกันหมด เธอเลยอยู่ที่หอพักคนเดียวแบบนี้ การระมัดระวังตัวเลยเป็นสิ่งที่ทำจนติดเป็นนิสัย ที่สำคัญเธอไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เท่าไร เธอไม่ได้กลัวที่จะหลงรักหรือชอบใคร เธอยินดีที่จะยอมรับความรู้สึกนั้นหากมันเกิดขึ้นจริงๆ แค่จอนนี้เธอยังไม่รู้สึกแบบนั้นกับใครก็เท่านั้น
แต่ว่า...อย่าเพิ่งว่าไปไกลเลย บอกให้สองคนนี้เลิกเขม่นกันก่อนเถอะ
หลังจากเรียนต่ออีกไม่กี่คาบก็ถึงเวลาเลิกเรียน พวกที่เป็นนักกีฬาเช่นพัตรฏินันท์หลบออกไปจากห้องเร็วจนไม่ทันสังเกต คงไปเอาของมาเตรียมงานตามที่ศุวิสาบอกไว้ ดังนั้นก็ถึงคราวของอนันต์ญกาลต้องทำหน้าที่บ้างแล้ว
“นิรันดร์ จะไปกันรึยัง”
“อื้อ”เขาพยักหน้าตอบเรียบๆแล้วเดินตามอนันต์ญกาลที่เดินนำไปก่อนแล้ว
ในอาคารเรียนตอนนี้มีคนค่อนข้างมาก เนื่องจากข่วงนี้เป็นช่วงเลิกเรียนนักเรียนจึงทยอยเดินลงจากอาคารกันให้ขวักไขว่ ทั้งคู่ค่อนข้างจะตกเป็นเป้าสายตาคงเพราะยังไม่ค่อยมีใครเคยเห็นหน้านิรันดร์กาลนัก อีกอย่างหน้าตาของนิรันดร์กาลคงจะทำให้ผู้หญิงหลายคนใจละลายได้หากเพียงสบตา เรียกได้ว่ากว่าจะลงจากตึกถ้าถ้าเป็นไปได้ทั้งตัวนิรันดร์กาลคงพรุนไปแล้ว
“หน้าตาดีนี่ก็ลำบากเนอะ ใครๆก็หันมามอง”อนันต์ญกาลแซวขำๆ แต่ดูท่านิรันดร์กาลคงไม่สนใจเรื่องนี้แม้แต่นิดเดียว แต่เขากลับตอบในสิ่งที่อนันต์ญกาลไม่เข้าใจ
“มันจะดีไปก็เท่านั้น ถ้าคนที่อยากให้มองไม่ได้เห็นมัน”
‘ปริศนาอีกแล้ว’
อนันต์ญกาลลอบถอนหายใจเบาๆ นิรันดร์กาลดูเหมือนจะมีความลับมากมายที่บอกใครไม่ได้ เหมือนว่าเขากำลังคิดอะไรซักอย่างอยู่ตลอดเวลา เห็นได้จากการที่เขานั่งเหม่อ เช่นเดียวกันกับตอนที่เขาเอ่ยถึงเรื่องที่เป็นความลับ สายตาของเขายิ่งทอดมองไปไกลอย่างไร้จุดหมาย
ถ้าหากจะถามว่านิรันดร์กาลเป็นคนที่ดูออกง่ายรึเปล่า อนันต์ญกาลก็ไม่รู้จะตอบยังไง พบกันได้เพียงแค่สองวัน แต่ก็พอจะรู้แล้วว่านิรันดร์กาลเป็นคนยังไง เรื่องที่เขามีความลับเองก็ด้วย แต่ถ้าหากลองมองอีกมุมหนึ่งอนันต์ญกาลก็มีความรู้สึกว่านิรันดร์กาลเป็นคนที่เข้าหายาก เธอรู้สึกว่าเขาพยายามรักษาระยะห่างกับคนอื่นไว้ ทั้งรอยยิ้ม ทั้งคำพูด ต่างเป็นสิ่งที่ฉาบหน้าไว้เพื่อไม่ให้ใครข้ามกำแพงมาหาได้
‘แล้วจะมีวันที่จะได้รู้จักกันจริงๆไหมนะ’
“ถ้ามองไปด้านซ้ายก็จะเป็นสนามฟุตบอล ถัดไปก็จะเป็นสนามบาสและเทนนิส มีโรงยิมอยู่ตรงนี้ด้วย สรุปก็คือตรงนั้นเป็นโซนกีฬา”แม้ว่าจะหัวจะมีความคิดตีกันขนาดไหน แต่ปากก็ยังอธิบายได้อย่างลื่นไหลไม่มีติดขัด นิรันดร์กาลเองก็ไม่ได้โต้ตอบ เดินตามเธอมาโดยไม่แสดงความคิดเห็น
โรงเรียนนี้ค่อนข้างกว้างกว่าจะเดินจากจุดหนึ่งไปอีกจุดได้ด้วยระยะเวลาอันสั้น
“ส่วนตึกนี้เป็นห้องสมุด มีหนังสือทั้งสาระแล้วก็อ่านเล่น สามารถยืมได้ห้าเล่มต่อครั้ง ระยะเวลาการยืมต่อครั้งคือหนึ่งอาทิตย์ ชั้นสองของตึกจะเป็นห้องคอมพิวเตอร์เปิดใช้เช้ากลางวันเย็น”หลังจากเดินมาไกล ก็มาหยุดที่หน้าอาคารสีขาวสองชั้น อนันต์ญกาลอธิบายหน้าที่ของตัวตึกอย่างละเอียดก่อนจะหันไปอธิบายเกี่ยวกับตึกติดๆกัน “ตึกนั้นกับตึกนั้น เป็นตึกเรียนของชั้นอื่น ดังนั้นก็จะเห็นได้ว่าอาคารแต่ละหลังจะคั่นกลางด้วยสวน สวนที่ใหญ่ที่สุดจะอยู่ด้านหน้าของโรงเรียนซึ่งก็คือทางเข้าแบบที่เห็นตอนเดินเข้ามา นิรันดร์...ฟังอยู่รึเปล่าจ้ะ”
ไม่ใช่ว่าทำท่าไม่สนใจหรืออะไร สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่เธอตลอด...จับจ้องอย่างเลื่อนลอย
“อะ...อืม...ฟังอยู่ ช่วยแนะนำนอกโรงเรียนด้วยสิ”
“ได้สิ”เธอตอบก่อนเดินนำตามปกติ มั่นใจเลยว่าเมื่อครู่นิรันดร์ไม่ได้ฟังแน่ๆไม่รู้ว่าจะทำยังไง หากไปถามย้ำก็คงเสียมารยาทเลยได้แต่ปล่อยเลยตามเลย
ทั้งสองคนเดินผ่านทางเดินที่อนันต์ญกาลเพิ่งพูดถึง คงแถวนั้นก็ยังวุ่นวายอยู่และอนันต์ญกาลก็เดาว่ามันคงวุ่นวายพอๆกับห้องเรียนตอนนี้เลย ภายนอกรั้วโรงเรียนรถราวิ่งกันมากมายจนต้องระวัง...ช่วงเลิกงานนี่น่ากลัวจัง
“ตรงนั้นไง หอพักที่เราพักกัน ถ้าพูดถึงหอพักนั้นขนมใต้ตึกอร่อยมากเลยนะ ส่วนที่นี่”เธอใช้มือชี้ “ร้านอาหารนั้น ใครเบื่อข้าวโรงเรียนก็จะมากินกันที่นี่ รสชาติก็ไม่เลว”
ก็ว่าไปเรื่อย แนะนำร้านโน้นจนครบเกือบทุกร้านในรัศมีหนึ่งกิโลเมตรรอบโรงเรียน นิรันดร์กาลก็บอกว่าพอแล้วและก็ชวนกลับโรงเรียน พอเดินมาถึงประมาณรั้วโรงเรียน โทรศัพท์ของอนันต์ญกาลก็มีสัญญาณข้อความดังขึ้น เป็นสัญญาณบอกว่างานพร้อมแล้ว
“นิรันดร์... เอ่อ คือว่าฉันลืมของไว้ที่ห้อง กลับไปเอาแปปนึงได้มั้ย”ถามไปก็ไม่แน่ใจ กลัวว่าเขาจะตอบกลับมาว่า ‘ก็เดินไปเอาคนเดียวสิ’ ‘ไม่เกี่ยวกับฉันนี่’ หรืออะไรราวๆเทือกนั้น
“อือ”พยักหน้าแค่นั้นอีกแล้ว
คราวนี้คนที่เป็นฝ่ายเดินนำคือนิรันดร์กาล เขาเดินกลับอาคารเรียนโดยไม่วอกแวก เดินนำเหมือนเดินคนนำทางของด้วยซ้ำ เป็นอีกหนึ่งในหลายๆครั้งที่อนันต์ญกาลลอบสังเกตนิรันดร์กาล ยังมีหลายเรื่องที่เธอค้างคาใจ มีหลากหลายคำถามมากมายที่อยากเอ่ยถาม โดยเฉพาะ
“เอ่อ ขอโทษนะ ฉันถามอะไรหน่อยได้มั้ย”อนันต์ญกาลร้องเรียกเขาไว้ขณะที่เขากำลังก้าวขึ้นบันได นิรันดร์กาลกันกลับมามองที่เธอซึ่งยังอยู่บนพื้น
“อะไรหรอ”
“เอ่อ...”เกิดความลังเลชั่วขณะหนึ่งอย่างไม่แน่ใจนักกับอนันต์ญกาล แต่สุดท้ายก็ต้องเงยหน้าขึ้นถามคำถามแปลกที่เธอสงสัยเหลือเกิน
“...เราเคยรู้จักกันมาก่อนรึเปล่า”
หลายชั่วอึดใจที่อนันต์ญกาลเงยมองเขานิ่ง รอคอยคำตอบพลางจับจ้องแววตาสีฟ้านั่น มันเรียบสนิทไม่มีแววของความแปลกใจใจคำถาม แต่ก็นิ่งเงียบไปนานจนอนันต์ญกาลกลัวว่าถามอะไรผิดไป
ในตอนที่เขากำลังจะตอบ เขาไม่ได้สบตาเธออีก ดวงตาที่เธอจ้องอยู่นานเสมองไปทางอื่นเพื่อหลบสายตา ทว่าเธอกลับเห็นความเศร้าสร้อยฉาบอยู่บนในหน้าของเขาชัดเจน
“ไม่ ฉันไม่เคยรู้จักกับเธอ”นิรันดร์กาลตอบกลับมา สายตากลับมาจับจ้องที่เธออีกครั้ง ที่น่าแปลกคือเขากำลังยิ้ม...ยิ้มในแบบที่เธอไม่เคยเห็น มันช่างคล้ายคลึงกับตอนที่เขาจับจ้องภาพวาดของผู้หญิงคนนั้น ที่ต่างกันคือรอยยิ้มนี้เต็มไปด้วยความอ่อนโยน ราวกับใครคนนั้นมายืนอยู่ตรงหน้าตอนนี้
“แต่รู้อะไรมั้ย...”นิรันดร์กาลหมุนตัวกลับสู่การเดินบันไดอีกครั้ง กล่าวสิ่งที่ให้คำตอบของคำถามเกือบทั้งหมด
“เธอคล้าย ไม่สิ เหมือนกับใครบางคนที่ฉันรู้จักมาก มากจนฉันเผลอคิดถึงคนๆนั้นมาก”
กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เดินตามนิรันดร์กาลมาที่ห้องแล้ว คำตอบช่างเรียบง่าย ไม่ซับซ้อนอย่างที่คิด เพียงแค่เธอเหมือนคนรู้จักเท่านั้นเอง เขาถึงได้มองเธอแปลกๆเช่นนั้น ไม่ได้มีอะไรยุ่งยากหรือน่าพิศวงเลยซักนิด
แต่...
‘ลางสังหรณ์ของเราไม่คิดว่าจะจบแค่นี้’
“ห้องยังเปิดไฟอยู่เลยนะ”อีกไม่ไกลเกินสายตาก็จะถึงห้อง นิรันดร์กาลจึงเห็นข้อผิดสังเกต
“ไม่รู้สิ”อนันต์กาลจำเป็นต้องแกล้งตีหน้าซื่อทั้งที่ไม่ถนัดจะโกหกใคร นิรันดร์กาลจ้องเอาคำตอบเพราะท่าทีพิรุธของเธอ แล้วก็ดูเหมือนว่าเขาจะเลิกเอาคำตอบในเมื่อมันอยู่หลังประตูนี่เอง
“เฮ้อ ให้ฉันเดานะ แอบตกลงทำอะไรซักอย่างละสิ”
แล้วเขาก็ไม่รอให้อนันต์ญกาลตอบ ประตูถูกเลื่อนออกทันทีที่พูดจบ
ปัง! ปัง! ปัง!
เสียงปืนสายรุ้งถูกยิงขึ้นหลายอัน พร้อมกับห้องเรียนที่เปลี่ยนไป ทั้งห้องเต็มไปด้วยของตกแต่งหลากสีสัน โต๊ะถูกจักรวบรวมไว้ตรงกลางเป็นโต๊ะอาหารใหญ่ มีทั้งของคาวของหวานเครื่องดื่มครบ ที่กระดานหน้าห้องเขียนตัวอักษรโตๆว่า ‘ยินดีต้อนรับนิรันดร์กาล’
“ยินดีต้อนรับสู่งานเลี้ยงนะนิรันดร์กาล พวกเราจัดขึ้นเพื่อนายหวังว่าจะสนุกนะ”
คนแรกที่ก้าวออกมาคือศุวิสา หัวหน้าจัดงาน เธอก้าวมาหานิรันดร์กาลกับอนันต์ญกาลด้วยรอยยิ้ม
“เห็นมั้ย ฉันเดาถูกจริงด้วย”นิรันดร์กาลเอ่ยเสียงเบา ยิ้มอย่างมีชัยให้กับอนันต์ เดินเข้าไปในห้องที่เพื่อนยืนต้อนรับอยู่ “ให้อนันต์ลากฉันไปรอบโรงเรียนเลยนะ”
“จะให้ใคร ก็ต้องใช้สาวสวยซิ”พัตรฏินันท์นั่นเอง
ประโยคนั้นทำให้ทุกคนหัวเราะออกมา ระหว่างนั้นอนันต์ญกาลก็เดินตามเข้าห้องมา รู้สึกใจชื้นขึ้นบ้างที่นิรันดร์กาลอารมณ์ดีขึ้นแล้ว เธอเข้าไปดึงชายเสื้อของนิรันดร์กาลแทนการสะกิด
“นิรันดร์”อนันต์ญกาลเรียกเขาในตอนที่หันมา ทั้งสองคนก็ตกเป็นเป้าสายตา “แม้ว่าในอดีตอาจจะเจอเรื่องอะไรมา แต่ตอนนี้นิรันดร์คือสมาชิกของห้องนี้ ถ้ามีเรื่องอะไรไม่สบายใจก็บอกกันได้ทุกเรื่องเลย...ถ้าไม่รังงเกียจล่ะก็นะ”
“อืม”นิรันดร์กาลพยักหน้า ทันใดนั้นมือของเขาก็มาวางบนไหล่ของเธอพร้อมหน้าที่ยื่นเข้ามาข้างหูและกระซิบเสียงเบา
“ถ้าเป็นเธอ อาจจะรู้ก็ได้นะ..เรื่องราวของฉัน”
“เฮ้ย นิรันดร์ ถอยออกมาเดี๋ยวนี้นะเว้ย!”ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไรมากกว่านั้น พัตรฏินันท์และพวกผู้ชายคนอื่นก็เข้ามาดึงนิรันดร์กาลให้ออกห่าง มีเพื่อนหลายคนหันไปถามว่าเขาพูดอะไรกับเธอ แต่พอหันไปทางนิรันดร์กาลก็เห็นเขายกนิ้วชี้แตะปากเป็นเครื่องหมายว่าห้ามบอกก็เลยต้องปิดปากเงียบ
เล่นกันจนพอใจแล้วก็หันมาให้ความสนใจกับอาหารและงานเลี้ยง อนันต์ญกาลก็เช่นเดียวกัน บางคราวหากบังเอิญสบตากับนิรันดร์กาลก็จะยิ้มให้กัน
‘...จริงอยู่ที่ฉันอาจไม่รู้อะไรเกี่ยวกับนายเลย แต่ฉันก็หวังนะว่าเวลาจะทำให้ฉันรู้จักนายมากกว่านี้’
...นิรันดร์กาล
__________________________________________________________________
มีใครสังเกตรึเปล่าค่ะว่าสำนวนเปลี่ยน.... ใช่ค่ะ สองตอนนี้เราแต่งห่างกันประมาณปีครึ่ง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ