Forever ความรัก กาลเวลาและการรอคอย
เขียนโดย Zindy
วันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2556 เวลา 21.12 น.
แก้ไขเมื่อ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2556 21.34 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) สอบกลางภาค (ใครว่าดำเนินเนื้อเรื่องเร็ว...ไม่มี๊~`)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเวลาผ่านไปประมาณอาทิตย์หนึ่งได้ตั้งแต่นิรันดร์กาลย้ายเข้ามาที่โรงเรียนนี้ เขาเองก็เริ่มมีเพื่อนบ้างแล้วอาจเป็นเพราะนิสัยเข้ากับคนง่ายของคนก็ได้ บางทีเขาก็ชวนเพื่อนใหม่ของเขามาทานข้าวด้วยกัน แต่เกือบทุกวันนิรันดร์จะเดินกลับหอพักกลับอนันต์ญกาลเพราะเพื่อนของเขาก็พักที่บ้านกันทุกคนเหมือนเพื่อนของเธอ
วันนี้ก็ครบหนึ่งอาทิตย์แล้วที่นิรันดร์นั่งอยู่ข้างอนันต์ญกาล วันนี้ทั้งสองคนที่พักอยู่ที่เดียวกันมาด้วยกันตั้งแต่เช้า อนันต์ญกาลเข้ามาในห้องเรียนแล้วก็นั่งอ่านหนังสือที่โต๊ะตัวเอง แต่อ่านได้ไม่นานเสียงวี๊ดว้ายจากนักเรียนหญิงก็ดังขึ้น
อนันต์ญกาลเงยหน้าขึ้นจากหนังสือขึ้นไปมองก็ทำหน้าตื่นนิดๆก่อนจะรีบเดินไปหาต้นเสียงวี๊ดว้าย
“พี่อาร์มาทำไมหรอคะ”อนันต์ญกาลถามผู้มาใหม่ซึ่งเป็นรุ่นพี่ของเธอหนึ่งปี แต่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กเพราะอยู่บ้านใกล้ๆกัน
ว่ากันแล้วพี่อาร์หรืออาธิพงศ์คนนี้ป๊อปในหมู่สาวๆมากเพราะหน้าตาไม่เป็นรองใคร
“พี่มาชวนน้องอนันต์ไปทานข้าวเย็นด้วยกันน่ะ”ชายหนุ่มยิ้มให้กับคนถาม สาวๆบางคนที่มองอยู่ถึงกับใจละลาย แต่ปัญหาอยู่ที่คนฟังนี่แหละกลับไม่รู้สึกอะไรเลย “ชวนเพื่อนไปได้ไหมคะ?”อนันต์ญกาลถามอย่างไร้เดียงสาจนเพื่อนๆกุมขมับ ไม่รู้เลยรึไงว่าเวลาแบบนี้เขาชวนเธอไปแค่คนเดียว
คนถูกถามชะงักเล็กน้อยก่อนจะยิ้มกว้าง
“ได้สิ”
นิรันดร์กาลแอบสังเกตอยู่เงียบๆ ณ ที่นั่งของตัวเอง พลางหูก็ได้ยินหญิงสาวถามต่ออย่างกระตือรือร้นว่า
“ชวนผู้ชายไปด้วยได้มั้ย”ประโยคนี้ทำเอานิรันด์กาลรู้สึกเหม่งๆแบบว่าสังหรณ์ใจยังไงชอบกล คนถูกถามเองก็ชะงักเป็นรอบที่สอง
“ใครหรอ”
อนันญกาลยิ้ม
“เดี๋ยวตอนเย็นก็รู้ค่ะ”...ถ้าเขาจะไปด้วยล่ะก็นะ
แล้วอีกไม่นานอาธิพงค์ก็กลับไป อนันญกาลจึงเดินไปส่งกลับ เมื่อส่งเสร็จแล้วก็เดินไปยังที่นั่งข้างโต๊ะของตนเอง
“นิรันดร์”เด็กสาวเรียกชื่อคนข้างตัว เขาละสายตาจากหนังสือนั่น แล้วหันมาเชิงถามว่ามีอะไร
“จะไปด้วยกันไหม?”
...นั่นไงลางสังหรณ์ไม่ผิดจริงๆด้วย...
“ฉัน... ไม่ดีกว่ามั้งนะ เขาไม่ได้ชวนฉันไปด้วยนี่...” นิรันดร์ตอบแบบเกรงใจ แต่ทว่าความจริงคือเขาไม่ชอบ
“แต่พี่อาร์บอกว่าชวนไปได้นี่นา”
...ไม่ชอบหน้าหมอนั่น
“นะๆ”เด็กสาวเริ่มอ้อน วิธีการอ้อนของเธอคือการจับมือของอีกฝ่ายขึ้นมาด้วยมือทั้งสองของตนแล้วเขย่าขึ้นลง พร้อมกับการช้อนสายตาอ้อนนิดๆ
“นะๆ บอกพี่เขาแล้วว่าจะชวนไป ไปด้วยกันนะ”
“เฮ้อ...”นิรันดร์กาลถอนหายใจแบบยอมแพ้ แต่ในใบหน้ายังครองยิ้มไว้ ”ก็ได้ๆ ไปด้วยก็ได้”
“เย้! งั้นขอตัวไปชวนสากับประภาก่อนนะ”แล้วก็วิ่งออกจากห้องไป
นิรันดร์ยิ้มนิดๆกับท่าทางแบบนั้นที่เขาคิดว่าน่ารักมาก แต่อยู่ดีๆก็มีมือมาพาดบ่า ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าใคร
“ไง... ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตั้งแต่เช้าเลยนะ”เสียงทุ้มต่ำของพัตรฎินันท์ทักทายอย่างสดใส
“ไม่ใช่เรื่องน่า”นิรันดร์กาลบอกปัดๆ แต่ไอ้เจ้าเพื่อนมือตุ๊กแกที่เกาะอยู่ก็ไม่มีทีท่าจะไปไหน พร้อมยิงคำถามซ้ำใหม่ว่า
“อนันต์ญกาลน่ะ... น่ารักดีใช่ป่ะ”นิรันดร์ไม่ตอบคำถามนั้น หูก็ฟังเพื่อนร่ายเรื่องเกี่ยวกับหญิงสาวให้ฟัง
“ยัยนั่นน่ะเป็นผู้หญิงนิสัยดีเข้ากับคนอื่นง่ายเลยทำให้มีเพื่อนเยอะ การเรียนก็ใช้ได้ถึงแม้จะไม่มีความสามารถในด้านกีฬาทำไหร่ก็เถอะ แต่ก็มีพรสวรรค์ด้านดนตรีมากๆนะโดยเฉพาะเปียโน... เก่งมากๆเลยแหละ บวกกับหน้าตาน่ารักแล้วก็ขนาดพอดีมือเลยทำให้มีผู้ชายชอบเยอะ แต่เท่าที่รู้มายังไม่มีแฟนเลยซักคนแฮะ ดูเหมือนว่าคุณเธอจะไม่ประสีประสาเรื่องแบบนั้นน่ะ อีกอย่างนะ ต่อให้เข้าหาแค่ไหนก็ไม่ได้อยู่ดี เพราะสาวิกาเพื่อนเธอน่ะโหดฉิบ! เข้าใกล้อนันต์หน่อยน่ะ ยัยบ้านั่นก็มองตาเขียวเชียว”ตอนนี้พัตรฎินันท์เอามือออกจากไหล่ของเขาแล้ว
“แล้วไอ้คุณพี่อาธิพงค์ล่ะ”นิรันดร์เอ่ยถามขึ้นหลังจากเงียบมาได้ซักพัก
“จะถามไปทำไมนั่น”
“ตอบมาเหอะน่า”
“เออๆ...ก็ได้ ไอ้หมอนั่น... ขอเรียกแบบนี้แล้วกัน เป็นรุ่นพี่ อายุมากกว่าเราปีนึงนั่นแหละ สาวๆครึ่งโรงเรียนกรี๊ดหมอนั่นมากเพราะหน้าตาดี เรียนดี กีฬาก็เก่งอีกต่างหาก ไอ้เจ้านั่นเปลี่ยนแฟนเป็นว่าเล่นเลยเขียว ไม่เคยจริงจังกลับใคร แต่ดูเหมือนว่า...”
“อะไร”คนฟังถามเร่ง
“เขาจะมาหาอนันต์อยู่บ่อยๆ แต่เขาสองคนนั้นเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็กก็เลยไม่รู้ว่าสรุปทั้งสองคนนี้มีความสัมพันธ์กันยังไง”พัตรฎินันท์พูดค้างไว้เมื่ออยู่ดีๆก็มีเสียงเพื่อนผู้ชายในห้องแทรกขึ้นมาว่า
“ฉันไม่ชอบเจ้านั่นเลย”
“ใช่ ฉันด้วย”ตามด้วยอีกหลายๆคน
“ชอบแต่มาเกาะแกะกับอนันต์ญกาลอยู่เรื่อยๆ เห็นว่าหน้าตาดี เลยมาทำแบบนี้ได้นะ”เพื่อนผู้หญิงมุมห้องบ่นให้ได้ยิน แล้วก็ได้รับเสียงสนับสนุนมากขึ้นไปมาก
“ว่าแต่นายเถอะ นิรันดร์ชอบอนันต์รึไง”เสียงทุ้มต่ำจากอีกด้านถามขึ้น เป็นเหตุให้นิรันดร์นั่งนิ่ง
“เถอะน่า ตอบมาเถอะ ไม่เอาไปบอกอนันต์หรอก”เพื่อนหญิงชื่อ สุพัตรา รบเร้า “ใช่มั้ยทุกคน?!”ยังไม่วายหันไปถามทุกคนอีก
“ใช่เลย!”ตอบเป็นเสียงเดียวกัน
“ว่าไงล่ะ?”พัตรฎินันท์ถามย้ำ นิรันดร์กาลเงียบไปนิดนึง ก่อนยิ้มเล็กๆแล้วพยักหน้า
“อืม...ชอบมากเลยล่ะ”เป็นคำตอบที่ทำให้เพื่อนทั้งห้องยิ้มกว้าง
“งั้นพวกเราจะขอเชียร์นายกับอนันต์แล้วกัน”สุพัตราเป็นตัวแทนคนทั้งห้องเอ่ย
เสียงพูดคุยที่มีนิรันดร์กาลและอนันต์ญกาลเป็นหัวข้อดังขึ้นระงมแต่ทั้งหมดก็ต้องเงียบลงเมื่อหญิงสาวที่อยู่ในบทสนทนาก้าวเข้ามาในห้อง เจ้าตัวทำหน้าเหลอหลาเมื่อทุกคนจ้องเธอเป็นตาเดียว
“ฉัน...พลาดอะไรไปรึเปล่า”
“เปล๊า~!”ทุกคนตอบเสียงสูงจนผิดสังเกตอย่างเห็นได้ชัด แต่เธอก็ไม่มีเวลาได้ซักไซ้อะไรเมื่อเสียงออดเข้าเรียนดังขึ้น
และในวันนั้นข่าวก็ถูกส่งต่อให้เพื่อนในห้องที่ยังไม่รู้อย่างเงียบๆ โดยไม่ให้อนันต์ญกาลทราบว่าเกิดอะไรขึ้น คนทั้งห้องตั้งใจจะเป็นพ่อสื่อแม่สื่อให้แก่ทั้งคู่ โดยที่นิรันดร์เองก็รู้ เขาขอบคุณจริงๆสำหรับความมีน้ำใจที่ทุกคนหยิบยื่นให้
และแล้วตอนเย็นก็มาถึง อนันต์ญกาล สาวิกา พรประภาและนิรันดร์กาลมารออาธิพงศ์ที่หน้าหอพัก รอสักครู่เดียวบุคคลที่เป็นคนชวนก็มา
“อ้าว มากันแล้วหรอ สวัสดีครับสาวิกา สวัสดีครับพรประภา แล้วนี่ใครล่ะเนี่ย”อาธิพงศ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงเช่นเดิมทว่าแววตากลับไม่ใช่ นิรันดร์รู้ดีว่านั่นคือการเสแสร้งใช้น้ำเสียงเดิมเพราะแววตาของชายผู้ที่สูงวัยกว่ามีบางอย่างแฝงอยู่
“นี่นิรันดร์กาลค่ะ ที่อนันต์บอกจะชวนมาด้วยไง”อนันต์ญกาลตอบแบบยิ้มๆ
“อ้อ...ยินดีที่ได้รู้จักนะ”แล้วก็ยิ้มกว้าง
“พี่ชื่ออธิพงศ์ ดูแล้วคงเป็นลูกครึ่งสินะ”
“ครับ ผมนิรันดร์กาล เครนฟรอตครับ ยินดีที่ได้รู้จัก...เช่นกันครับ”แล้วนิรันดร์กาลก็ยื่นมือไปจับมือที่ยื่นออกมาเพื่อทักทายของอาธิพงศ์
“ทักทายแบบนี้ก็แล้วกัน ก็เป็นคนต่างชาตินี่เนอะ”
“แล้วแต่เถอะ ผมไม่ว่าหรอกครับ”
“โอเค ทักทายเสร็จก็ไปกัน”สาวิกาเข้ามาดันให้อาธิพงศ์เดินไป “เดินนำไปเลยเจ้าค่ะ ท่านพี่อาร์!”
วันนี้ร้านอาหารคนเยอะผิดปกติจนน่าแปลกใจ พวกเขาเลือกนั่งโต๊ะริมสุดที่ติดมุม โดยที่อนันต์ญกาลนั่งหันหน้าไปทางกระจกที่มองเห็นวิวด้านนอก
พนักงานบริการเดินเข้ามาพร้อมนำเมนูมาให้ ทุกคนเริ่มดูและสั่งอาหาร บรรกาศในโต๊ะเริ่มเงียบลงเมื่อบริกรเดินออกไป
“น้องนิรันดร์ย้ายมานานรึยัง”อธิพงศ์เปิดประเด็น
“หนึ่งอาทิตย์ได้แล้วครับ”
“โรงเรียนนี้เป็นยังไงบ้างล่ะ”ชายหนุ่มต่างชั้นปีถามอีกที
“โดยส่วนตัวผมชอบนะ เพื่อนๆน่ะเป็นคนดีมากเลย ถ้าเทียบกับที่ๆผมย้ายมาล่ะนะ...”แต่ยังไม่ทันได้ตอบอะไรมากไปกว่านั้น เสียงริงโทนโทรศัพท์ของนิรันดร์กาลก็ดังขึ้น
“มีอะไรพัตร”นิรันดร์พูดซะเสียงแข็ง ทุกคนก็ได้ยินเสียงตอบกลับ
‘นายอยู่ไหน’
“อยู่นอกหอพัก”
‘ที่ไหน’
“ร้าน”
‘ร้านอะไร’
“ร้านอาหาร”
‘อาหารไหน’
“อาหารไทย”
‘ที่ไหน’
“นอกหอพักไง”ถึงตรงนี้ทุกคนก็รู้สึกแปลกๆ
...ว่าสรุปนี่มันเป็นการตอบคำถามแน่หรอ”
‘โว้ย! นี่แก...ฉันไม่ได้เล่น 20คำถามนะเฟ้ย! สรุปตอนนี้แกอยู่ไหน!!’
“ก็จะโทรมาทำไมล่ะ”นิรันดร์กาลยังใจเย็น ผิดกับปลายสายที่เริ่มเดือด
‘ก็เรื่องงานกลุ่มไง! อยู่ไหนออกมาคุยกันหน่อย’
“งั้นนายรออยู่หน้าหอแล้วกัน”
‘อืม’เมื่อคุยกันรู้เรื่องพัตรฎินันท์ก็กดตัดสายเพราะไม่อยากเจอคำตอบที่พาเขาปวดขมับจนอยากหายามารับประทานอีก
“ขอตัวก่อนแล้วกันครับ”ว่าจบจึงเดินออกไปโดยไม่สนใจคำอนุญาต
“ห้องเธอมีงานกลุ่มด้วยหรอ”สาวิกาหันมาถามเพื่อน
“มีสิ งานกลุ่มวิทย์น่ะ”
“...พี่ไม่ชอบไอ้หมอนี่เลย”อธิพงศ์เปรยขึ้นเมื่อเห็นนิรันดร์กาลเดินออกจากร้านไปได้ซักพักหนึ่ง มันเรียกความสนใจของทั้งสามสาวได้เป็นอย่างดี
“ทำไมล่ะคะ”พรประภาถามเสียงฉงน
“ไม่รู้สิ ต้องเรียกว่าไม่ถูกชะตามากกว่า...อีกอย่างนะรู้สึกว่าชอบมาเกาะแกะ พวกอนันต์ยังไงไม่รู้สิ”
“แต่นิรันดร์ก็ดูเป็นคนดีนี่คะ”สาวิกาแทรกอย่างไม่เห็นด้วย
“พี่ว่า...เขาอาจจะตั้งใจมาตีสนิทพวกอนันต์ก็ได้”
‘เราเคยรู้จักกันรึเปล่า’อนันต์ญกาลนึกถึงคำถามที่เธอเคยถามนิรันดร์กาลไว้ ถ้าฟังจากที่พี่อธิพงศ์พูดบางทีอาจจะเคยก็ได้
“แล้วเขาจะมีเหตุผลอะไรล่ะคะ”พรประภาถามต่อ
“อาจจะเป็นพวกหลอกลวงก็ได้ ข่าวมีออกเยอะแยะ”เขาให้เหตุผลเพิ่มเติม
“แล้วนิรันดร์จะลงทุนย้ายโรงเรียนมาเลยหรอ”สาวิกาเอ่ยขึ้นบ้าง เธอว่าแค่การจับตัวไปเรียกค่าไถ่หรือจับไปขายแล้วถึงกับย้ายโรงเรียนมันคงยุ่งยากน่าดู สู้ฉุดขึ้นรถตู้ไปเลยท่าทางง่ายกว่าเป็นกอง
“อันนี้พี่ก็ไม่รู้นะ แต่ยังไงพี่ว่าระวังตัวไว้หน่อยก็ดีนะ คนเราถ้ายังไม่รู้จักกันดีพอก็อย่าไว้ใจเลยดีกว่า ธาตุแท้บางคนน่ะไม่ใช่ดีหรอก”คนเป็นรุ่นพี่เตือนด้วยความหวังดี
ครืน... ครืน... อนันต์ญกาลตื่นตัวเล็กน้อยเมื่อโทรศัพท์ของเธอเกิดอาการสั่นขึ้น หน้าจอโชว์ชื่อและเบอร์ของคนที่ลุกออกไป
“มีอะไรหรอนิรันดร์”
‘อนันต์ คือแบบว่าไอ้พัตรมันไม่ยอมให้กลับแล้วสิ ขอโ..’เหมือนยังไม่จบประโยคดี เสียงตวาดของคนที่รั้งตัวนิรันดร์ไว้ก็แทรกขึ้นมาให้ได้ยินว่า
‘ไอ้งั่งเอ๊ย! บอกว่าอย่าแบ่งแบบนั้นไง’พัตรฎินันท์ที่ดูท่าทางโมโหจัดทำให้อนันต์ถึงกับสะดุ้ง
“เอ่อจ้ะ...ตั้งใจทำงานก็แล้วกันนะ เจอกันพรุ่งนี้นะ”เธอกดตัดสายไป
“ทุกคน นิรันดร์ดูเหมือนจะมาไม่ได้แล้วล่ะ”
“ช่างสิ เดี๋ยวฉันจะกินส่วนของนายนั่นเอง”สาวิกาที่บ่นหิวตั้งแต่เดินเข้าร้านเห็นโอกาสดีจึงรับเสนอ
“แต่ยังไงนิรันดร์ก็ต้องจ่ายนะ”ตามสูตรอร่อยจังตังค์อยู่ครบของสาวิกาทำให้ทุกคนหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
ไม่นานนักเมื่อเวลาผ่านไปผู้คนในร้านอาหารก็เริ่มบางตาลงเมื่อเทียบกับตอนที่พวกเธอเริ่มเข้ามาในร้าน บริกรยกอาหารมาเสิร์ฟ ทุกคนจึงเริ่มจัดการอาหารของตัวเองทันที เว้นเสียแต่สาวิกาที่จัดการส่วนของนิรันดร์ไปด้วย
หลังจากที่นิรันดร์วางสายจากอนันต์ญกาลแล้วจึงหันขวับไปมองพัตรฎินันท์กับเพื่อนอีกคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง ทั้งสองกำลังยิ้มอย่างอารมณ์ดี
“แผนไปได้สวย”เพื่อนข้างพัตรชูนิ้วโป้งให้
“แน่นอน อยู่แล้ว แต่ต้องขอบใจนายนะกันตพัฎที่ช่วยแผน”
คนถูกขอบคุณยิ้มกว้างก่อนเดินเข้าไปตบไหล่เพื่อน
“เอาน่าถึงนายจะเป็นนักเรียนใหม่แต่ก็เพื่อนๆกันทั้งนั้นแหละ”
นิรันดร์ยิ้มกว้างอีกครั้งก่อนกล่าวขอบคุณ
ทันใดนั้นเสียงแหลมสูงของหญิงสาวดังขึ้นมาแต่ไกล
“มาแล้วๆ”ศุวิสาเดินมาอย่างสบายใจ
“เอ้านี่ รับนะนิรันดร์”ว่าแล้วก็โยนของบางอย่างให้ นิรันดร์กาลรับได้แบบพอดี สิ่งของพอดีมือสีดำที่เขารับได้นั่นคือเครื่องบันทึกเสียงนั่นเอง
เขากดเล่นเสียงที่บันทึกบทสนทนาของอธิพงศ์และอีกสองสาว
“สำนึกบุญคุณซะ ฉันกับเพื่อนอุตส่าห์ไปนั่งรอที่โต๊ะใกล้ๆอนันต์ญกาล โชคดีที่ได้นั่งติดกันนะเนี่ย”ศุวิสาบ่นแทรกกับเสียงเทปซะจนกันตพัฎจำเป็นต้องบอกให้หยุด
“เงียบๆหน่อยได้ไหมสิ ฟังไม่ค่อยจะรู้เรื่องเลย”พอจบประโยคเธอก็สะบัดหน้าไปอีกทาง “ชิ!”
‘พี่ว่า...เขาอาจจะตั้งใจมาตีสนิทพวกอนันต์ก็ได้’
‘แล้วเขาจะมีเหตุผลอะไรล่ะคะ’
เสียงโต้ตอบของทั้งสามคนยกเว้นเสียแต่อนันต์ญกาล ซึ่งถ้านิรันดร์เดาไม่ผิดเธอน่าจะคิดถึงเรื่องที่คุยกันในวันที่จัดงานต้อนรับเขาอยู่ แต่แค่นี้เขาก็แน่ใจอะไรบางอย่างแล้ว
“นี่...ว่ามันแปลกๆไหม”พัตรฏินันท์ออกความเห็น
“ทำไมหรอ”สุพัตราที่มาพร้อมกับศุวิสาเอ่ยถาม
“นิรันดร์เพิ่งย้ายเข้ามาไม่นานใช่ไหมล่ะ”ทุกคนตอบรับกันเป็นเสียงเดียว “ใช่”
“แล้วมันแปลกยังไง”สุพัตราเร่ง
“ก็พี่อาธิพงศ์อะไรนั่นเพิ่งลงมาห้องเราครั้งแรกหลังจากที่นิรันดร์ย้ายมาไม่ใช่หรอ แล้วเขาจะรู้ได้ยังไงว่านิรันดร์ชอบเกาะแกะพวกอนันต์...เรื่องแบบนี้ต้องอาศัยเวลาสังเกตนี่”
พอได้ฟังดวงตาของเขาก็เปล่งประกายพร้อมยิ้มนิดๆที่มุมปาก นี่แหละเรื่องที่เขาคิดไว้
พัตรฏินันท์หันมาหานิรันดร์กาลและก็ยิ้มให้
“นายก็คิดเหมือนกันใช่มั้ย”
“ใช่”
“แบบนี้ก็หมายความว่า...”กันตพัฎ เริ่มสรุป “รุ่นพี่คงกำลังลอบสังเกตนิรันดร์หรือไม่ก็อนันต์ญกาลอยู่แน่ๆเลย”
“แต่...จะทำไปเพื่ออะไรล่ะ”พัตรฏินันท์สงสัย นิรันดร์กาลเลือกที่จะเงียบ เขาคิดว่าตัวเองมีคำตอบให้คำถามนั้นอยู่แล้ว...แต่เขากำลังขอให้ไม่เป็นแบบนั้น ไม่อย่างนั้น...
“บางทีอาจจะเพราะ...”พัตรฎินันท์เอ่ยค้างอยู่แค่นั้นหากไม่มีเสียงของใครขัดขึ้นมาซะก่อน
“ฉันจะไปซื้อของแถวร้านสะดวกซื้อล่ะ”นิรันดร์พูดเสียงแข็ง ก่อนจะหันกลับมา “ใครจะเอาอะไรมั้ย”
“ขนมปัง”ศุวิสาตอบ
“นมกล่องนึง”สุพัตราเอ่ยสมทบ
“มาม่าต้มยำ”อันนี้ของกันตพัฎ และสุดท้ายของพัตรฎินันท์
“ของฉันขอเป็นเบอร์เกอร์หมู เอาแบบผักกาดเยอะๆ มะเขือเทศไม่ต้องเยอะนะ อ้อ ยกเว้นแตงกวากับหัวหอมด้วย ห้ามใส่เด็ดขาดเลย ส่วนซอสเอาแต่ซอสมะเขือเทศกับมายองเนสนะ ฉันไม่กินซอสพริก”คนโดนสั่งยิ้มกันเอง
“อ๋อ เบอร์เกอร์กุ้งใส่แตงกวากับหัวหอม ราดซอสพริกเยอะๆสินะ”ว่าแล้วก็ไม่อยู่ให้พัตรฏินันท์เอ่ยท้วง นิรันดร์กาลขยับขาก้วออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่ฟังคำไล่หลังที่ตกใจจนแทบตะโกน
“เฮ้ย! เดี๋ยว...”
“มันเป็นอะไรของมันวะ”กันตพัฎมองตามอย่างงงๆที่เพื่อนของเขาวันนี้ดูขรึมเป็นพิเศษถ้าไม่นับในส่วนที่พัตรคุย
“หึๆก็แบบนี้...เขาเรียกว่า ‘หึง’ ไง”
ทางด้านนิรันดร์ก็เดินเรื่อยๆดังที่ตั้งใจว่าจะไปร้านสะดวกซื้อ พลางในหัวก็คิดถึงเรื่องที่ได้ยินจากเครื่องบันทึกเสียง
ทำไมเขาต้องไปทำอะไรแบบนั้นด้วย เขาเนี่ยนะจะไปล่อลวงสาวแถวไหน เกิดมายังไม่เคยชายตามองผู้หญิงคนไหนเพราะความสวยเกินสิบวินาทีเลย...ยกเว้นคนรักคนเดียวเท่านั้น
ว่าไปแล้วก็ยังหงุดหงิดไม่หาย ไม่สบอารมณ์ยิ่งคิดก็ยิ่งโกธร ในระหว่างที่เดินอยู่นั้นจึงไปชนกับใครซักคนเข้า
พลั่ก!
“ว๊าย!”เสียงอุทานของหญิงสาวดังขึ้นก่อนที่จะล้มลง
ตุบ!
นิรันดร์กาลพอทรงตัวได้ก็รีบเตรียมที่จะขอโทษทันที แต่ก็ต้องชะงักไป
“นิรันดร์!/อนันต์!”สองเสียงเอ่ยขึ้นพร้อมกัน
“ไม่ได้อยู่ในร้านอาหารหรอ”นิรันดร์หายงงแล้วถาม หญิงสาวส่ายหน้าก่อนจะตอบว่า
“ไม่ คือฉันอิ่มแล้วเลยขอกลับมาก่อนน่ะ...ว่าแต่นายทำไมมาแถวนี้ล่ะ”นิรันดร์ชี้ไปที่ร้านสะดวกซื้อสุดทาง
“โดนใช้มาซื้อของแน่ะ”
“อือฮึ...เอ่อคือ...งานกลุ่มเสร็จรึยัง”
“ก็เสร็จแล้ว...ทำไมหรอ”
“เอ่อ...คะ...คือว่า ขอกลับหอด้วยได้ไหม”อนันต์ญกาลเอ่ยขอแบบติดขัดนิดๆด้วยความเขินอาย นั่นทำให้นิรันดร์กาลต้องกลั้นรอยยิ้ม
“ฉะ...ฉันไม่อยากเดินกลับคนเดียวน่ะ”คนขอยกเหตุผลมาเสริมเมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ตอบอะไร
ท่าทางแบบนั้นทำให้นิรันดร์กาลอดยิ้มไม่ได้เลยจริงๆ
“เอาสิ...เดี๋ยวไปส่ง แต่เธอต้องช่วยผมซื้อของนะ”
อนันต์ญกาลยิ้มกว้างก่อนจะพยักหน้า แล้วเดินตามอีกคนที่เดินนำไปก่อนแล้ว
“ว้าวๆๆ ดูนั่นสินิรันดร์มากับใครนะ”พัตรฎินันท์ล้อทันทีที่เห็นอนันต์ญกาลเดินมากับนิรันดร์ด้วย
ปั่ก!
นิรันดร์โยนถุงของพัตรฏินันท์ใส่เจ้าของ แต่เจ้านักกีฬาดีดันรับได้ เขาเลยแค่นเสียง
“หุบปากไป! ถ้านายพูดอีกทีคืนเงินมาด้วย”
“ใจเย็นดิ...ปิดปากแล้วก็ได้”คนขู่พึมพำก่อนเบาใจเมื่อเปิดดูอาหารในถุงแล้วเป็นไปตามที่ตนสั่งทุกประการ
“ไปเจอกันได้ยังไงหรอ”ศุวิสาถามหลังจากรับขนมปังมาจากพัตรฏินันท์
“ฉันขอพวกพี่อาธิพงศ์กลับมาก่อนแล้วระหว่างกลับก็มาเจอนิรันดร์เลยขอให้มาส่งหอพักน่ะ”อนันญกาลอธิบายยิ้มๆ คนก็เลยจะถามต่อแต่นิรันดร์ไม่เปิดโอกาส
ตุบ!
ใบเสร็จวางลงบนโต๊ะแรงจนเกือบจะเป็นทุบ แล้วก็แจกรอยยิ้มเย็นยะเยือกให้
“และด้วยเหตุนี้...ฉันจึงต้องไปส่งอนันต์ดังนั้นขอตัว...”ว่าแล้วก็จับข้อมือของอนันต์ญกาลเดินไป แต่เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้เสียก่อน
“อ้อ ศุวิสาขอยืมเครื่องนั่นไว้ก่อนแล้วกัน”
“โอ๊ย...เอาไปยืมนานๆเลยก็ได้...แล้วก็สู้เขาล่ะ!”
ทั้งสองว่าจะเดินกลับหอพักที่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากหอพักที่พวกพัตรทำงานวิทย์กันใต้ตึกเท่าไหร่นัก
สายตาของนิรันดร์กาลเหมือนมองเห็นใครบางคน เมื่อเพ่งมองอย่างมั่นใจจึงหันมาเอ่ยถามอนันต์ญกาล
“อนันต์ ฉันขอเวลาไปทักคนหน่อยได้มั้ย”
“ได้สิ ไม่เป็นไรหรอก”
เธอเดินตามนิรันดร์กาลที่นำไปยังได้ตึก ตั้งแต่เขาย้ายเข้ามาก็ไม่ได้เล่าเรื่องอะไรเกี่ยวกับตัวเองเลย จึงอดสงสัยไม่ได้ว่าใครคือคนที่นิรันดร์กาลกำลังจะไปหาในตอนนี้
มองตามไปที่โซฟาซึ่งอยู่คนละมุมตึกกับสถานที่ทำงานกลุ่ม ด้วยระยะทางทำให้ไม่เห็นรายละเอียดนอกจากแผ่นหลังของผู้ชายที่นั่งหันหลังให้พวกเธอเท่านั้น จนเมื่อนิรันดร์เดินเข้าไปทักจากด้านข้าง
"นาย...มาทำอะไรที่นี่"
เขาหันหน้ามาตามเสียงเรียก อนันต์ญกาลที่อยู่ข้างๆจึงได้เห็นใบหน้าของเขา
ชายคนนั้นเป็นชายหนุ่มที่กะอายุได้คร่าวๆคงประมาณยี่สิบต้นๆที่มีจุดเด่นที่ดวงตาเรียวสีรัตติกาลที่ปราศจากดวงดาวหรือพระจันทร์ มีเพียงสีมืดสนิทที่แลดูลึกลับอยู่ในดวงตาคู่กัน น่าแปลกที่คนๆนี้ไว้ผมสีเดียวกับดวงตายาวถึงกลางหลังและรวบมันไว้ที่ท้ายทอยแบบเรียบๆ
เธอเคยเจอผู้ชายที่ไว้ผมยาวอยู่บ้าง แต่เธอเพิ่งเคยเจอชายที่เหมาะกับผมยาวขนาดนี้ เรียกได้ว่าหน้าตาดีมาก อาจจะมากกว่านิรันดร์กาลด้วยซ้ำไป หากสองคนนี้ไปเดินด้วยกันที่ไหนคงเป็นที่ให้เหลียวตามแน่นอน
"อะไรกัน"เขาตอบน้ำเสียงหยอกเย้า"ฉันมาหานายนี่มันเรื่องแปลกมากเลยเชียว"
"มันก็ไม่แปลกหรอกนะถ้ามันเป็นก่อนหน้านี้น่ะ"นิรันดร์กาลตอบส่งๆ เดินไปนั่งโซฟาตรงข้าม ไม่ลืมเรียกอนันต์ไปนั่งด้วย
"เอ่อ...เขาคือ..."อนันต์ญกาลยังไม่ละสายตาจากแขกของหอพักคนนี้ ถามไม่ระบุเป้าหมายว่าเขาคือใคร แต่ก่อนที่จะทันถามจบ ก็โดนชิงตอบซะก่อน
"เรียกผมว่าเอนเดอร์ก็ได้ครับ"
"อนันต์ญกาลค่ะ"หลังตอบก็เอื้อมมือไปกระชับอีกหนึ่งมือที่ยื่นมาตามธรรมเนียมของตะวันตก"คุณเป็นเพื่อนของนิรันดร์กาลหรอคะ"
ชายที่ชื่อว่าเอนเดอร์หัวเราะในลำคอด้วยท่าทีที่มีลับลมคมใน"...'คนดูแล' คำนี้คงจะเหมาะกว่าครับ"
"มาทำอะไรที่นี่"
พอแนะนำตัวเล็กๆน้อยๆแล้วนิรันดร์กาลก็ย้ำคำถามเดิม คราวนี้เอนเดอร์ไม่ได้เล่นลิ้นอีก
"ฉันย้ายมาที่คอนโดแถวนี้น่ะ คงห่างไปซักสองป้ายรถเมล์ได้ ก็เลยมาทักทายซะหน่อย"
"ย้ายมาทำไม...อืม ไมต้องตอบแหละดีแล้ว"เหมือนว่าจะสามารถเดาคำตอบได้ เลยไม่ต้องการคำตอบแล้ว"ย้ายมาหรอ ก็ดีเหมือนกันนะ มีอะไรจะได้เรียกให้ช่วยได้"
"หัดดูแลตัวเองได้แล้ว"เขาส่ายหน้าคล้ายว่าระอา แต่ใบหน้าก็ยังครองยิ้มไว้
ทั้งสองคนคงไม่จริงจังนัก อนันต์ญกาลที่นั่งอยู่รู้สึกได้ ในใจกะว่าถ้าพวกเขาจะคุยกันอีกนานคงต้องขอตัวก่อน แต่ดันกลายเป็นว่าเอนเดอร์พรวดพราดลุกขึ้นซะก่อน
"เอาเถอะ จะมาบอกแค่นี้แหละ"
"แล้วทำไมไม่โทรมา"
เอนเดอร์ไม่ตอบ เขาหัวเราะในลำคออีกครั้ง ราวกับว่าความลึกลับนั่นเป็นบุคคลิกของเขา
"...ก็ฉันไม่ได้มาหานายคนเดียวนี่นา"
คนข้างๆกายขมวดคิ้ว คงจะพูดให้เข้าใจกันสองคน
ชั่วแวบนึง เอนเดอร์ปรายตามามองอนันต์ญกาลจนเธอเกือบคิดไปว่าเขามาหาเธอหรอ
"ผมไปก่อนนะครับ ไว้พบกันใหม่ถ้ามาโอกาส"
...จะเป็นไปได้ยังไง
"ค่ะ ไว้พบกันใหม่" อนันต์ญกาลส่งยิ้มตอบกลับไป พร้อมๆลุกขึ้นยืนส่งแขกตามมารยาท นิรันดร์กาลก็เช่นเดียวกัน
หลังจากที่เอนเดอร์ลากลับ นิรันดร์จึงเดินไปส่งอนันต์ญกาลที่หอพักหญิงและกลับเข้าห้องพักตัวเองซึ่งคือหอพักที่นั่งทำรายงานกัน
เมื่อเข้าไปถึงก็เปิดทีวี ก่อนจะเดินไปที่โต๊ะวางของเพื่อวางกระเป๋าเงินและโทรศัพท์ แต่สายตาก็เหลือบไปเห็นของอย่างหนึ่ง
สร้อยคอนาฬิกาสีทองซึ่งถูกเก็บไว้อย่างดีในกล่องแก้ว นิรันดร์กาลค่อยๆยื่นมือไปแตะที่กล่องแก้วนั้นก่อนใช้มืออีกข้างหนึ่งแตะที่กลางอกของตนที่มีสร้อยแบบเดียวกันอยู่...เขาพึมพำกับตัวเองอย่างแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความหวัง
“เมื่อไรจะได้เจอกันนะ..เอเวอร์”
`________________________________________________________________
ตอนนี้ก็เป็นตอนที่แต่งเมื่อสองปีที่แล้ว ยังมีบางส่วนขัดๆกันทั้งคำพูดหรืออะไรๆ กำลังจะรีไรท์ค่ะ ใครที่อ่าน(ซึ่งคาดว่าคงจะน้อย)ต้องขอโทษด้วยนะคะ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ