Tale of Utopia

6.9

เขียนโดย The_Paper

วันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 เวลา 18.12 น.

  15 บท
  8 วิจารณ์
  19.20K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2556 12.54 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) บทที่ 5 การพบกัน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
บทที่ 5 การพบกัน
 
 
“ชิน โมโมะ!”  ฉันร้องออกมาอย่างตกใจระคนไปกับความยินดี
 
 
 
“เธอไม่เป็นไรใช่ไหม” ชินถามฉันทันที
 
 
 
“ฉันไม่เป็นไร”  ฉันตอบ
 
 
“รีบไปเถอะ!” ชายแปลกหน้าข้างหลังชินเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน
 
 
“อืม”  แล้วทั้งหมดก็รีบออกจากห้องนั้นทันที  ฉันอดไม่ได้ที่จะเหลือบไปมองถ้วยชาที่ตั้งไว้บนโต๊ะข้างหน้าต่างนั้นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะรีบวิ่งตามชินออกไปด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
 
 
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?  ชินกับโมโมะหนีรอดมาได้ยังไงกัน  ตอนนั้นฉันจำได้ว่าเห็นทหารเต็มไปหมด”
 
 
“กว่าฉันกับชินจะรอดมาจากทหารพวกนั้นก็แทบแย่เหมือนกัน” โมโมะเป็นคนตอบคำถามฉัน
 
 
“แล้วผู้ชายสองคนนั้นที่มาด้วยเขาเป็นใครกันน่ะ... โมโมะ”
 
 
“อ๋อ สองคนนี้เป็นทหารติดตามของเจ้าชายแห่งเดอะลาสต์เดสติเนชั่นน่ะ”
 
 
“เจ้าชายแห่งเดอะลาสต์เดสติเนชั่น!  เอ๊ะ...ทำไม?”
 
 
“ชินรู้จักกับเจ้าชายที่ปกครองเดอะลาสต์เดสติเนชั่นอยู่นะสิ   ตอนที่เรากำลังหาทางช่วยเธอออกมาก็เผอิญได้พบกับคนของเจ้าชายเข้า   เขาก็เลยให้ความช่วยเหลือน่ะสิ  ไม่งั้นเราคงช่วยเธอออกมาไม่ได้ง่ายดายขนาดนี้”
 
 
“แล้วเจ้าชายคนนั้นเขาไม่ต้องเดือดร้อนไปด้วยเหรอ?”  ฉันถามอย่างงงๆ  เพราะไม่เข้าใจถึงสถานการณ์ในตอนนี้สักเท่าไหร่
 
 
“ไม่เป็นไรหรอก  หมอนั่นน่ะคงเตรียมใจเอาไว้แล้วล่ะ” คราวนี้ชินเป็นคนตอบแทน
 
 
“หมายความว่าไง?”
 
 
“อาณาจักรของเจ้านั้นเตรียมการที่จะต่อต้านขึ้นมาตั้งนานแล้วล่ะ  เจ้าชายของอาณาจักรคนนี้ก็คือเพื่อนสนิทที่ฉันเคยเล่าให้เธอฟังไงละแอนน์      พอมันรู้เรื่องของผู้ถูกเลือกอย่างเธอเข้าก็เลยชิงลงมือซะเลย   เพราะฉะนั้นถึงทางพวกพ่อมดแม่มดจะรู้ว่าเจ้าชายแห่งเดอะลาสเดสติเนชั่นช่วยเหลือเธอก็ไม่เป็นไรหรอก”
 
 
“....”  ก่อนที่ฉันจะถามอะไรต่อไปนั้นเอง  ฉันก็พึ่งจะรู้ตัวชายแปลกหน้าได้นำฉัน และคนอื่นๆออกมาจากพ้นเขตของปราสาทแล้ว
 
 
“ระวังหน่อยนะครับ  อย่าส่งเสียงถ้าไม่จำเป็น” ฉันพยักหน้ารับ 
 
 
หลังจากนั้นทั้งหมดได้ออกเดินไปยังตรอกแคบๆ โดยมีชายแปลกหน้าผู้หนึ่งเป็นนำทางไป  ทางนั้นคดเคียวซับซ้อนจนฉันรู้สึกเวียนหัวขึ้นมา  อาการอ่อนเพลียเริ่มกลับมาเยือนฉันอีกครั้ง   แต่การเดินผ่านทางแคบๆนั้นใช้เวลาไม่นานเท่าใดนัก   ชายคนนั้นนำพวกเรามายังทางน้ำแห่งหนึ่ง   ที่ทางน้ำนั้นมีเรือขนสินค้าขนาดเล็กลำหนึ่งจอดสงบนิ่งอยู่
 
 
“เร็วเข้าเถอะครับ!” ชายแปลกหน้าเร่ง  ฉัน ชิน และโมโมะจึงรีบเข้าไปภายในเรือทันที  เราถูกนำตรงไปยังส่วนที่เอาไว้เก็บสินค้า  แต่ทว่าภายในเรือกลับมีบุคคลนึงนั่งรออยู่ก่อนแล้ว   เขาสวมผ้าคลุมสีดำสนิทดูกลมกลืนไปกับความมืดรอบตัว
 
 
“นาย....” ชินร้องขึ้น  เขาตรงไปยังคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นทันทีพร้อมกับออกหมัดไปโดนไหล่ของคนๆนั้นเบาๆอย่างยอกล้อ
 
 
“ชิน!”  ชายคนนั้นร้องออกมาด้วยความยินดี  แล้วจึงปลดผ้าคลุมหน้าออกในทันที
 
 
พอใบหน้านั้นเผยโฉมออกมา  ฉันก็เบิกตากว้างออกมาด้วยความตกใจ
 
 
นั่นมัน “อาเรน” ชายหนุ่มแปลกหน้าที่เผอิญได้เจอกันที่ทุ่งพีโอนีนี่หน่า
 
 
ฉันนั่งนิ่งตะลึงขณะที่มองชายหนุ่มรูปงามทั้งสองทักทายกันฉันท์เพื่อนรัก  ดูเหมือนเจ้าชายแห่งเดอะลาสต์เดสติเนชั่นจะยังไม่สังเกตเห็นฉัน
 
 
“แอนน์เป็นอะไรไปเหรอ  เห็นนั่งตาค้างเลย” โมโมะเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นฉันนั่งนิ่งไปนาน  ประดยคนั้นเองที่ทำให้เจ้าชายอาเรนนั้นเงยหน้าขึ้นมา
 
 
ทันใดนั้นสายตาของฉันก็ประสบกับดวงตาสีเขียวมรกตของอาเรนทันที
 
 
“เธอ....” อาเรนกระซิบ  เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้พบเธออีกครั้งเร็วขนาดนี้  แถมเธอยังเป็น.....เธอเป็นผู้ถูกเลือกหรือนี่
 
 
“อาเรนเป็นเจ้าชายจริงๆเหรอเนี่ย?”  ฉันเอ่ยคำพูดออกมาได้ในที่สุด  ไม่อยากเชื่อเลยว่าอาเรนจะเป็นเจ้าชายจริงๆ  แล้วฉันทำไมถึงได้มาพบเขาในสภาพแบบนี้กันนะ
 
 
“พวกเธอรู้จักกันแล้วเหรอ” ชินเอ่ยขึ้นด้วยความแปลกใจสุดขีด   นั้นทำให้ฉันกับอาเรนสามารถละสายตาจากกันได้ในที่สุด
 
 
“เรื่องมันยาวนะ” ฉันเอ่ยขึ้นอย่างขำๆ ที่ยูโทเปียเนี่ย กลมเหมือนโลกที่ฉันจากมาหรือเปล่าเนี่ย
 
 
“เล่ามาเดี๋ยวนี้เลย!”    ชินจ้องเขม็งมายังฉันและอาเรน       ในที่สุดอาเรนก็ต้องเป็นฝ่ายเล่าเรื่องที่เขาได้พบกับฉันที่ทุ่งพีโอนีให้ชินฟัง
 
 
“จริงสิ...แล้วน้องสาวเธอละแอนน์ คนที่มารับเธอกลับเมื่อตอนนั้นไง” อาเรนเอ่ยถาม ฉันนึกขึ้นได้ในทันที...ที่อาเรนพูดนั้นหมายถึงโมโมะที่แปลงกายเป็นร่างของเด็กสาวนั้นเอง
 
 
“เรื่องนั้น....” ฉันตอบอ้อมแอ้ม “โมโมะแปลงร่างเป็นเด็กคนนั้นหน่อยสิ”  โมโมะพยักหน้าแล้วจึงแปลงร่างในทันที
 
 
“ขอโทษนะที่ตอนนั้นโกหกไป  แต่ถึงโมโมะจะไม่ใช่มนุษย์เธอก็เป็นน้องสาวของฉันนะ”
 
 
“อย่างนี้นี่เอง”  อาเรนหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ
 
 
“ทำไมเธอไม่เห็นบอกฉันเลย  ว่าตอนนั้นเธอหลงทางไปเจอกับอาเรนมาน่ะ” ชินบ่นขึ้น  ดูเหมือนเขาจะทำท่าทางอารมณ์เสียนิดๆ
 
 
“ก็ฉันไม่รู้นี่หน่าว่าชินกับอาเรนจะรู้จักกัน  แล้วก็ตอนนั้นใครจะไปรู้เล่าว่ามันจะสำคัญอะไรขนาดนี้” ฉันตอบเสียงอ่อยๆ
 
 
“ถ้าฉันรู้ตั้งแต่ตอนนั้นพวกเราก็คงไม่ต้องลำบากกันขนาดนี้หรอก”ชินยังคงทำเสียงไม่พอใจอยู่
 
 
“เอาเถอะชิน  เรื่องมันก็ผ่านมาแล้ว  ยังไงก็ตามตอนนี้ทุกคนก็ปลอดภัยแล้วล่ะนะ” อาเรนกล่าวขึ้นในที่สุด
 
 
ชินหันไปพูดคุยกับอาเรนอีกครั้ง  ชั่วขณะนั้นฉันก็เหลือบมองขึ้นไปบนฟากฟ้าแห่งมิดไนท์ราวกับต้องมนต์สะกด  ค่ำคืนอันเป็นนิรันดร์นี้จะจบสิ้นลงเมื่อใดกัน   เมื่อมองลงมายังผืนน้ำฉันก็เห็นเงาของตนเองชัดเจนราวกับมองผ่านของตนสะท้อนกับกระจกเงา 
 
 
คำถามเดิมๆที่ฉันเฝ้าถามตัวเองวนเวียนเข้ามา....  ฉันมาทำอะไรที่นี่   เทพธิดาฝากความหวังอะไรเอาไว้กับฉันกัน    บทสนทนาระหว่างฉันกับเดอะมิลเลอร์ยังคงสะท้อนก้องอยู่ภายในใจของฉัน    สิ่งที่ฉันเข้าใจมาโดยตลอดมันผิดหรือ?  สิ่งที่อาเรนกับชินต้องการมันคือทางที่สมควรจะทำหรือเปล่า         ความฝันนั้น...หนังสือเล่มนั้นฉันเคยเห็นมันที่ไหนกันแน่นะ    เดอะ เปเปอร์   เป็นใครกันกันแน่.....   ฉันค่อยๆมองตัวเองออกห่างจากมิดไนท์อย่างช้าๆ   และแล้วฉันก็รู้สึกตาพร่าและอ่อนเพลียกว่าที่เคยเป็นมา  ท่าทางว่าฉันกำลังจะเป็นไข้ซะแล้ว
 
 
ความฝันนั้นกลับมาอีกครั้ง   มันเริ่มต้นด้วยสถานที่ซึ่งดูแห้งแล้ง และไร้ชีวิตชีวาอย่างเคย   ฉันเดินหาบางสิ่งบางอย่างตามชั้นวางหนังสือที่ว่างเปล่านั้นอีกครั้ง   และแล้วฉันก็เจอมัน  หนังสือที่ดูคุ้นตาเล่มนั้น    ฉันจ้องมองหนังสือด้วยสายตาที่ว่างเปล่า 
 
 
สิ่งที่ฉันกำลังตามหา.....  ในที่สุดฉันก็เอื้อมมือไปหยิบหนังสือนั้นขึ้นมาจนได้   แต่ฉันกลับไม่เปิดมันออก  สุดท้ายฉันก็ได้แต่ก้มลงไปกระซิบกับหนังสือเบาๆว่า “เธอมีอะไรจะบอกฉันยังงั้นเหรอ?”
 
 
“ชิน แอนน์ตัวร้อนจี๋เลย!” โมโมะพูดขึ้นอย่างร้อนรน  ขณะนี้ทั้งหมดยังเดินทางไปไม่ถึงเดอะลาสต์เดสติเนชั่นเลย
 
 
“ทำไมถึงเป็นอย่างนี้นะ  ปกติแอนน์เป็นคนแข็งแรงจะตายไป” น้ำเสียงของชินดูร้อนรนไม่แพ้กัน  เขาพูดขณะที่ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นมาเช็ดใบหน้าของแอนน์เบาๆ  ซึ่งตอนนี้กำลังนอนสั่นอยู่ในอ้อมแขนของเขา
 
 
“อีกนานไหมกว่าจะถึงนะ อาเรน?”
 
 
“พอรุ่งเช้าก็ถึงแล้วล่ะ  ตอนนี้ก็ใกล้สว่างแล้ว  อีกไม่ไกลเท่าไหร่แล้ว...”  อาเรนพูดพลางจ้องมองเพื่อนรักด้วยความประหลาดใจ   ปกติแล้วเขาไม่เคยเห็นชินเป็นแบบนี้เลย  ชินมักจะเป็นคนที่แข็งกระด้าง  บางทีก็เย็นชา  เก็บตัวไม่ชอบแสดงความรู้สึกส่วนตัวต่อหน้าคนอื่น   เอาแต่ใจแถมบางครั้งยังขี้หงุดหงิด   โดยเฉพาะหลังๆมานี่เขาก็ยิ่งยุ่งอยู่แต่ในโลกส่วนตัวมากขึ้น   ไม่น่าเชื่อว่าเพียงเพราะผู้หญิงคนนี้ไข้ขึ้น  จะทำให้ชินเป็นห่วงเป็นใยได้ขนาดนี้  เพราะว่าเธอเป็นผู้ถูกเลือกหรือไงกัน  พลังของเธอสามารถทำให้คนๆหนึ่งเปลี่ยนแปลงไปได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ?
 
 
“หรือว่าชินจะ....ไม่มีทางหรอก” อาเรนได้แต่คิดแย้งเองในใจ  เขาเองก็เป็นห่วงแอนน์มากไม่แพ้กัน   แต่ตอนนี้เขาคงได้แต่ภาวนาให้ทั้งหมดเดินทางถึงเดอะลาสต์เดสติเนชั่นโดยเร็วที่สุดเพียงเท่านั้นเอง 
 
 
 
**********
 
 
 
“อ๊ะ....” ฉันค่อยๆลืมตาขึ้นด้วยความเหนื่อยอ่อน 
 
 
กลิ่นนี้มัน...  บรรยากาศแบบนี้...ที่นี่  ฉันพบว่าฉันฟุบหลับไปบนโต๊ะเขียนหนังสือ...  โต๊ะเขียนหนังสือตัวโปรดที่ฉันมักจะฟุบหลับอยู่เป็นประจำ  นี่ฉันกลับมาที่คฤหาสน์ของตัวเองแล้วงั้นหรือ....  ไม่สิหรือว่าอันที่จริงแล้วเราไม่ได้ไปไหนเลยกันแน่นะ   ยูโทเปีย....ทุกๆอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพียงสิ่งที่ฉันคิดมาเองทั้งนั้นหรือเปล่า....
 
 
“ทั้งหมดนั้นเป็นความฝันงั้นเหรอ?”  ฉันกระซิบออกมาเบาๆพร้อมกับมองไปรอบๆกาย  บรรยากาศที่คุ้นเคย  ภาพที่คุ้นตา  กลิ่นอับของหนังสือที่ฉันหลงใหลมาโดยตลอด   นี่คือโลกของฉันเอง  โลก...อันแสนเดียวดาย
 
 
“ทำไมฉันถึงรู้สึกเศร้านะ...”  จู่ๆน้ำตาก็ไหลลงมาอาบแก้มของฉัน  ฉันร้องไห้  ไม่อยากจะเชื่อเลย  ฉันร้องไห้ทำไมกัน  ฉันไม่อยากจะคิดอะไรอีกต่อไปแล้ว  
 
 
ใครก็ได้...ใครก็ได้ ช่วยพาฉันออกไปจากที่นี่ที  พาฉันออกไปจากโลกที่แสนเงียบเหงานี้  พาฉันกลับไป  ถึงจะเป็นความฝันก็ช่างเถอะ  ขอแค่....ขอแค่ฉันได้กลับไป.....
 
 
“เธอพร้อมที่จะไปแล้วหรือ?” เสียงๆหนึ่งดังขึ้น  ฉันชะงักก่อนจะรีบมองไปรอบๆตัวโดยทันที
 
 
“ใครนะ?”
 
 
“ฉันคือ เทพธิดายังไงล่ะ” เสียงที่ไร้ร่างเอ่ยตอบฉัน
 
 
“ว่าไงนะ  เทพธิดา!”
 
 
“อย่าร้องไห้ไปเลยผู้ถูกเลือกเอ๋ย   ไม่ว่ายังไงตอนนี้เธอยังกลับบ้านไม่ได้หรอกนะ”
 
 
“ฉันยังไม่ได้กลับบ้าน....   งั้นที่นี่คือที่ไหนกัน?”
 
 
“ที่นี่เป็นแค่ภาพส่วนหนึ่งจากเสี้ยวความทรงจำส่วนลึกของเธอเองก็เท่านั้นแหละ”
 
 
“เอ๊ะ...”
 
 
“ที่นี่คือโลกของเธอล่ะสินะ”
 
 
ฉันเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะพยักหน้า  “ฉันคิดว่าใช่นะคะ”
 
 
“ตอนนี้เธอก็ยังคงหาคำตอบไม่ได้ละสินะ”
 
 
“คำตอบ....คำตอบของอะไรกัน”
 
 
“ฉันฝากความหวังของยูโทเปียเอาไว้กับเธอนะ”
 
 
“ความหวังอะไรกัน      ฉันเองยังไม่รู้เลย....  ว่าต่อจากนี้ไปสิ่งที่ฉันควรทำ...  สิ่งที่ฉันต้องทำ... มันคืออะไรกันแน่”
 
 
“อย่าไปเชื่อคำพูดของใคร  ใช้จิตใจของเธอเองตัดสินสิ        ให้มันบอกเธอ....ว่าเธอควรจะทำอะไรต่อไปกันแน่”
 
 
“แต่ว่า...”
 
 
“เวลาระหว่างเรามันมีน้อยเสียเหลือเกิน  ไว้โอกาสหน้าเราคงได้มีโอกาสได้สนทนากันมากกว่านี้นะ”
 
 
“เดี๋ยว อย่าเพิ่งไป!”  ฉันยังอยากสนทนากับเทพธิดาต่ออีกสักนิด
 
 
“ไม่ต้องห่วงแอนนา เบลล์ เราจะต้องได้พบกันอีกแน่นอน  เราจะต้องได้พบกันอีก”
 
 
โดยไม่เปิดโอกาสให้ฉันได้เอ่ยอะไรอีกต่อไป  ฉันก็สะดุ้งตื่นขึ้น  ภาพของห้องหนังสือเมื่อครู่พลันสลายไป  สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้ากลับกลายเป็นห้องนอนที่ดูหรูหราห้องหนึ่ง   ฉันกำลังนอนอยู่บนเตียงขนาดใหญ่   ฉันรู้โดยทันทีว่าที่นี่ไม่ใช่คฤหาสน์ของฉัน   และแน่นอน...ที่นี่ไม่ใช่ปราสาทแห่งมิดไนท์
 
 
“ที่นี่คงจะเป็นเดอะลาสต์เดสติเนชั่นสินะ” ฉันพบว่าฉันอยู่ในห้องแต่เพียงลำพังเท่านั้น  ที่จริงฉันแอบหวังอยู่นิดๆนะว่าพอตื่นขึ้นมาฉันจะเห็นโมโมะ แล้วก็ชินเป็นคนแรกน่ะ  
 
 
หลังจากรู้ตัวได้ครู่หนึ่งแล้วฉันก็เอามือขึ้นมาลูบใบหน้าอย่างช้าๆเพื่อไล่ความอ่อนเพลียที่ยังหลงเหลืออยู่ให้จางหายไป   เมื่อคืนเราเป็นไข้งั้นเหรอ    ฉันนึกทวนความจำเมื่อมองไปเห็นว่าที่โต๊ะข้างเตียงมีผ้าผืนหนึ่งกับอ่างใส่น้ำตั้งอยู่
 
 
ทำไมเราถึงได้ป่วยได้ล่ะ?  ทั้งๆที่ผ่านมาฉันไม่เคยล้มป่วยมาก่อนเลย  ทันใดนั้นฉันก็ฉุกคิดขึ้นมาได้  เพราะชานั้นเหรอ  ไม่น่าจะเป็นไปได้เลย....  แต่ถ้าเป็นเพราะชาจริง  แล้วทำไมล่ะ  ทำไมเขาถึงต้องทำให้ฉันเป็นไข้แบบนี้ ทั้งๆที่เขาตั้งใจจะให้ฉันหนีออกมาได้อยู่แล้ว   เขาจะทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไรกัน
 
 
ฉันลุกขึ้นจากเตียง  ดูเหมือนจะมีคนมาเปลี่ยนชุดให้กับฉัน   ฉันพบว่าตนเองอยู่ในชุดนอนกระโปรงสีขาว   นี่เรากลายเป็นเจ้าหญิงไปแล้วรึไง   พอคิดว่าถึงตรงนี้ฉันก็อมยิ้ม  ฉันยังอยู่ที่ยูโทเปียล่ะสินะ  ดีใจจัง  ฉันรู้สึกโล่งใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้เป็นเรื่องจริง...ไม่ใช่เพียงแค่ความฝันจริงๆล่ะสินะ      สุดท้ายฉันก็ตัดสินใจเดินออกไปนอกห้องอย่างกล้าๆกลัวๆ   ปราสาทที่นี่ก่อสร้างคล้ายๆกับปราสาทที่ฟรีดอมอยู่บ้าง   ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้ตนเองอยู่ส่วนไหนของปราสาท   ฉันจึงได้แต่เดินไปเรื่อยๆ อย่างไร้ทิศทาง
 
 
อากาศข้างนอกทำให้ฉันรู้สึกเย็นและสดชื่นขึ้นมาก  แสงของดวงตะวันสร้างความอบอุ่นที่ทำให้ฉันรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก   “เหมือนกับไม่ได้เห็นดวงอาทิตย์อยู่บนท้องฟ้าแบบนี้มาตั้งนานแน่ะ   เพราะว่าฉันพึ่งจะเดินทางออกจากมิดไนท์มาอย่างนั้นหรือ...?”  ฉันพูดกับตัวเอง      ทันใดนั้นฉันก็เหลือบไปเห็นสวนที่สร้างขึ้นภายในพื้นที่ปราสาท       สีเขียวของต้นไม้ในสวนเหล่านั้นดูเหมือนจะดึงดูดให้ฉันเดินตรงเข้าไปหามัน
 
 
 
**********
 
 
 
“ชิน.... ดีใจจังเลยที่ชินไม่เป็นอะไร  ฉันกังวลมาตลอดเลยนะตั้งแต่เหตุการณ์ร้ายตอนนั้น ดีใจจริงๆที่เราได้พบกันอีก” หญิงสาวผู้มีเรือนผมสีแดงเพลิงกล่าวขึ้นด้วยความดีใจ
 
 
“อืม ขอโทษนะที่ทำให้เป็นห่วง” ชินพูด  ดวงตาสีเขียวน้ำทะเลของเขาส่อแววกังวล  เมื่อเขาเหลือบมองขึ้นไปบนปราสาท  แอนน์คงจะไม่เป็นไรแล้วสินะ
 
 
“แล้วจากนี้ต่อไปชินจะทำยังไงต่อล่ะ?” หญิงสาวถามขึ้นอีก
 
 
“ไม่รู้สิ  ฉันก็คงเข้าร่วมกับอาเรนนั้นแหละ  แคทเธอรีน...ตอนนี้เธอเองก็ควรจะกลับไปเอเทอนอลได้แล้วนะ   ท่านพ่อท่านแม่ของเธอคงจะเป็นห่วงเธอมาก  ที่นั้นน่ะพวกพ่อมดแม่มดคงทำอะไรไม่ได้มากนัก  เธออยู่ที่นั้นจะปลอดภัยกว่านะ”  ชินพูดเสียงเรียบเย็น
 
 
“อะไรกัน  ชินจะทิ้งฉันไปอีกแล้วหรือไง...!  ฉันอยากจะอยู่ที่นี่  อยากอยู่ต่อสู้เคียงข้างชินมากกว่านี่หน่า” แคทเธอรีนพูด   แววตาของหญิงสาวที่มีสีแดงออกชมพูเช่นเดียวกับเรือนผมของหล่อนคลอไปด้วยน้ำตา
 
 
“เธอก็รู้ว่าฉันมีหน้าที่ที่ต้องทำ   ฉันคิดว่าเธอน่าจะเข้าใจซะอีกนะ  มันอันตรายเกินไป...เธอก็น่าจะรู้ดีนี่”
 
 
“ชิน...เธอคงไม่ลืมนะว่าฉันนะเป็นคู่หมั้นคุณนะ!”
 
 
“แคทเธอรีน!”   ชินเรียกหญิงสาวเสียงดังเหมือนจะเตือนสติอีกฝ่าย
 
 
“ชิน...เธออย่าทิ้งฉันไปไหนอีกเลยนะ” หญิงสาวโผเข้าไปซบที่อกของชายหนุ่มพร้อมกับร้องไห้สะอึกสะอื้น
 
 
ชินยืนนิ่งตะลึงงันไป   เขาในตอนนี้ไม่อาจผลักไสหญิงสาวออกไปได้เลย  ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะโอบร่างหญิงสาวเอาไว้  พร้อมกับเอามือลูบเรือนผมของหญิงสาวเบาๆเหมือนจะปลอบประโลม
 
 
“....”  อา...ยามนี้ฉันรู้สึกเจ็บตรงหัวใจเสียเหลือเกิน   
 
 
นี่ฉันเป็นอะไรไป  ว่าแต่....ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าชินจะมีคู่หมั้นอยู่แล้ว    แล้วทำไมฉันต้องรู้สึกไม่ดีด้วยนะ    ฉันไม่น่าเดินเข้ามาในสวนนี้เลย    น้ำตาของฉันไม่สามรถกลั้นมันเอาไว้ได้อีกต่อไปแล้ว    ฉันร้องไห้ออกมาอย่างเงียบงัน  ไม่เข้าใจเหมือนกัน  ไม่เข้าใจอะไรเลย  แล้วฉันจึงลอบเดินออกมาจากบริเวณนั้นอย่างเงียบกริบ    นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเรากัน  ไอ้ความรู้สึกแบบนี้น่ะ   หรือว่า.....  ถ้าเกิดสิ่งนั้นมันเกิดจริงๆ ฉันควรจะทำยังไงดีล่ะ  ต่อจากนี้ไปเวลาที่เจอหน้าชิน   ฉันควรจะทำตัวยังไงดีนะ  ถึงตอนนี้มันสายไปแล้วหรือยังที่ฉันจะหยุดยั้งความรู้สึกนั้นเอาไว้....  ฉันมันบ้าไปแล้ว  ที่ฉันมีอาการแปลกมันเป็นเพราะพิษไข้ที่ยังตกค้างอยู่ต่างหากล่ะ!
 
 
อาการคลื่นไส้และเวียนหัวกลับมาเยือนฉันอีกครั้ง   ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังลอยเคว้งคว้างอยู่กลางมหาสมุทร   ทางเดินเบื้องหน้าดูเหมือนจะเอียงไปเอียงมา  ฉันใช้มือข้างหนึ่งแตะกำแพงเพื่อยันไม่ให้ตัวเองล้มลง   ทันใดนั้นเองอาเรนก็เดินสวนมาพอดี
 
 
“แอนน์  เธอยังไม่ฟื้นไข้เลยนะ   ออกมาเดินคนเดียวแบบนี้ได้ยังไงกัน!”
 
 
“ฉันเห็นอากาศมันดีก็เลย....” ฉันรู้สึกหน้ามืดร่างกายโซเซเหมือนจะล้มคะมำลงไป  แต่ก่อนที่ร่างของฉันจะล้มลงไปกระทบกับพื้น   ทันใดนั้นตัวของฉันก็ถูกยกลอยขึ้นทันที
 
 
“อย่าฝืนเลย  ไว้หายดีแล้วค่อยออกมาเดินเล่นก็ได้นี่”  อาเรนพูดกับฉันด้วยน้ำเสียงที่แสนอ่อนโยน   ก่อนจะอุ้มฉันไปยังห้องที่ฉันตื่นขึ้นมาเมื่อครู่
 
 
“ผมกำลังจะขึ้นไปหาคุณอยู่พอดีเลยละครับ”  อาเรนวางฉันลงบนเตียงพร้อมกับรินน้ำแล้วยื่นให้
 
 
“ขอโทษนะคะที่ทำให้ต้องลำบาก”  ฉันรับแก้วน้ำมาไว้ในมือ  อาการปวดหัวเมื่อครู่ดูเหมือนจะทุเลาลงไปบ้างแล้ว
 
 
“เดี๋ยวทานอาหารกับยานะครับ  ถ้าคุณไม่ไหวจริงๆค่ำนี้ก็ไม่จำเป็นต้องลงไปร่วมงานก็ได้”
 
 
“ค่ำนี้?...มีงานอะไรหรือคะ”
 
 
“อ๋อ  ผมลืมไปว่าคุณยังไม่รู้  ค่ำนี้จะมีการจัดงานเต้นรำขึ้นนะครับ  เป็นการฉลองให้กับชินนั้นแหละครับ  ผมอยากจะให้คุณไปร่วมงานด้วยกันนะครับ  แต่ถ้าคุณยังรู้สึกไม่สบายอยู่  ผมก็คิดว่า....”
 
 
“ฉันอยากไปคะ  แล้วฉันจะรีบหายให้ทันก็แล้วกันนะคะ”
 
 
“ขอบคุณครับ”
 
 
“เรียกฉันว่าแอนน์เถอะ  ฉันเคยบอกเจ้าชายไปแล้วนี่...   ฉันชอบที่จะถูกเรียกแบบนั้นมากกว่า  พอคุยแบบทางการแล้วรู้สึกแปลกๆน่ะ”
 
 
“ได้สิ   แต่แอนน์ก็ต้องเรียกผมว่า อาเรน เหมือนกันนะ”
 
 
“แต่คุณเป็นเจ้าชาย....”
 
 
“แอนน์ยังเรียก ชิน เฉยๆเลยนี่หน่า”
 
 
“เข้าใจแล้วคะ  อาเรน”
 
 
หลังจากนั้นเพียงครู่เดียว อาหารและยาก็ถูกนำเข้ามาภายในห้อง   ระหว่างนั้นอาเรนชวนฉันคุยจนเพลิน   อาหารที่นำมาก็รสชาติดีอร่อยถูกปากฉันเลยทีเดียว   พอฉันทานยาเสร็จแล้วอาเรนก็ขอตัวไปจัดเตรียมงานทันที
 
 
“ยังมีเวลาอีกมาก  ระหว่างนี้แอนน์ก็พักผ่อนให้เต็มที่ก็แล้วกันนะ   พอถึงเวลาแล้วผมจะมารับ”
 
 
“ขอบใจนะ อาเรน”
 
 
และแล้วฉันก็ต้องมาอยู่ตามลำพังอีกครั้ง   เวลายังมีอีกมากงั้นเหรอ....  ทำไมเดอะมิลเลอร์กลับบอกว่า แทบจะไม่มีเวลาเหลือแล้วนะ   จริงสินะ...พอเสร็จภารกิจแล้วฉันก็ต้องกลับบ้าน  ลืมไปซะสนิทเลย   ฉันหวังอะไรอยู่กันแน่นะ   ทั้งๆที่น่าจะรู้อยู่แล้วว่าช่วงเวลาแห่งความฝันนี้คงต้องจบลงสักวัน    ให้ตายสิ...ฉันชักไม่อยากทำภารกิจให้สำเร็จแล้วนะเนี่ย    แล้วฉันก็เผลอหลับไปอีก  ในไม่ช้าความฝันที่อันคุ้นเคยนั้นก็ยังคงเข้ามาเยี่ยมเยือนฉันเหมือนอย่างที่เคย
 
 
 
**********
 
 
 
“แอนน์!” เสียงใสๆของโมโมะดังขึ้นมาขัดขวางการเปิดหนังสือเล่มนั้นของฉันเข้าพอดี   ฉันลืมตาตื่นขึ้นมาก็เห็นเจ้าจิ้งจอกน้อยกำลังส่งสายตาเป็นประกายมาที่ฉัน
 
 
“มาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”  ฉันยกมือขึ้นขยี้ตา  อาการไข้ที่ยังเหลืออยู่ได้หายไปหมดสิ้นแล้ว  ยาของอาเรนได้ผลชะงักจริงๆ   เมื่อฉันมองออกไปนอกหน้าต่างก็เห็นว่ามันเป็นเวลาเย็นแล้ว   ภาพที่ฉันเห็นคือภาพของท้องฟ้าที่ถูกระบายไปด้วยแสงสีส้ม  สีของท้องฟ้าที่กำลังจะพลันเปลี่ยนกลายไปเป็นสีดำ  
 
 
น่าแปลก...ภาพที่มองเห็นนี้ทำให้โหยหาถึงดวงอาทิตย์ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
 
 
“แอนน์รู้สึกเป็นยังไงบ้าง  ไปงานคืนนี้ไหวแน่เหรอ?” โมโมะถามด้วยความเป็นห่วง
 
 
 
“ฉันไม่เป็นไรแล้วล่ะ”  ฉันตอบกลับพร้อมกับรอยยิ้ม
 
 
“งั้นก็เปลี่ยนชุดกันเถอะ” โมโมะร้องบอก  ฉันจึงค่อยๆลุกขึ้นจากเตียงอย่างว่าง่าย
 
 
“แล้วชินล่ะ...?” ฉันกลั้นใจถามขณะที่กำลังเปลี่ยนชุดที่นำมาเตรียมไว้ให้
 
 
“นายนั้นมาเยี่ยมแอนน์ตั้งแต่ตอนบ่ายๆแล้ว  พึ่งจะไปเตรียมตัวก่อนที่เธอจะตื่นนิดเดียวเอง  มีอะไรหรือเปล่า”
 
 
“ไม่มีอะไรหรอก”  ฉันหรี่ตาลงอย่างเศร้าๆ
 
 
ฉันหมุนตัวอยู่หน้ากระจกพลางบอกกับตัวเองว่าภาพสะท้อนในกระจกนั้นคือ ตัวฉันจริงๆ  ฉันอยู่ในชุดราตรีสีขาวล้วน  คอเสื้อสูงขอบมีลักษณะคล้ายกับกลีบของดอกไม้  แขนเสื้อกระชับหัวไหล่ของฉันแต่กลับบานออกที่ตรงส่วนปลายไปจนถึงข้อมือของฉัน    กระโปรงนั้นยาวลงมาจนถึงประมาณหัวเข่าโดยส่วนปลายของกระโปรงก็ถูกปักด้วยลวดลายสวยงามสีทอง   ตรงเอวมีโบว์สีทองเช่นเดียวกันผูกอยู่    ส่วนรองเท้านั้นเป็นรองเท้าบูทสีขาวสูงมีลายประดับสีทองเข้ากับชุดที่ฉันกำลังสวมอยู่
 
 
“ฉันจะกล้าเดินเข้าไปในงานได้ยังไงกันเนี่ย  ในเมื่อฉันยังไม่แน่ใจเลย  ว่านี่ใช่ฉันจริงๆหรือเปล่า...” ฉันพูดกับตัวเองอีกคนในกระจก
 
 
“ทำไมถึงพูดอย่างนั้นละแอนน์?  เธอใส่ชุดนี้แล้วสวยมากเลยนะ” โมโมะยังคงอยู่ในร่างจิ้งจอก
 
 
“ฉันไม่ค่อยคุ้นกับการชุดแบบนี้หรอก  ว่าแต่...เธอจะไปร่วมงานในร่างนี้อย่างนั้นหรือโมโมะ”
 
 
“ไม่ล่ะ  ฉันไม่ชอบไปงานเลี้ยง  ฉันนั่งชมจันทร์อยู่นอกงานดีกว่าที่นี่มีสวยให้ฉันวิ่งเล่นตั้งกว้างใหญ่ แต่แอนน์ เธอดูดีจริงๆนะ   สวยจนฉันจำไม่ได้เลย” โมโมะเอ่ยชมอีกครั้ง
 
 
“ขอบใจนะ” ฉันต้องพยายามเรียกความมั่นใจคืนมาล่ะสินะ
 
 
“ไปกันเถอะ อาเรนน่ะเขามารออยู่ข้างนอกแล้วนะ”
 
 
“อืม”ฉันตอบรับ  อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิดละสินะ  ฉันคิดก่อนที่จะเดินออกไปจากห้องพร้อมกับโมโมะ
 
 
อาเรนอยู่ในชุดของเจ้าชายสีดำดูน่าเกรงขาม    บนชุดของเขาปักลวดลายสีแดงเลือดหมูช่วยเสริมให้ดูสง่างามมากขึ้นจริงๆ  เขาโค้งคำนับให้กับฉันอย่างงดงามจนฉันรู้สึกเขิน    ยามนี้อาเรนช่างดูราวกับเป็นเจ้าชายในนิยายเสียจริงๆ   เอ...แต่เขาก็เป็นเจ้าชายจริงๆนี่หน่า
 
 
พอชายหนุ่มคำนับฉันเสร็จก็ยื่นมือมาให้ฉัน  ฉันจึงค่อยๆวางมือลงไปบนฝ่ามือข้างนั้น  เขากุมมือฉันไว้แล้วจึงนำไปควงแขนของเขาเอาไว้   จากนั้นจึงเดินพาฉันไปยังบริเวณของงาน
 
 
“แอนน์ ชุดนี้เข้ากับเธอมากเลยนะ  เธอใส่แล้วสวยมากๆเลย” อาเรนพูดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม
 
 
“ขอบคุณนะ  แต่ฉันกลับรู้สึกแปลกๆยังก็ไม่รู้  เหมือนกับไม่ใช่ตัวเองเลย” ฉันพูดตามความจริง   ตอนนี้โมโมะเกาะอยู่บนบ่าของฉัน
 
 
“ยังไม่ฟื้นไข้หรือเปล่า  รู้สึกไม่สบายตรงไหนไหม?”  อาเรนถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงในทันที
 
 
“ไม่ใช่อย่างงั้นหรอก   ฉันใส่ชุดนี้แล้วรู้สึกว่าไม่ชินน่ะ   รู้สึกแปลกๆยังไงก็ไม่รู้”
 
 
“นั้นสินะ  ปกติเธอใส่ชุดพื้นเมืองนี่หน่าใช่ไหม..”
 
 
“อืม ชินเป็นคนเอามาให้ใส่น่ะ  ก็ตอนแรกฉันใส่ชุดของที่ที่ฉันจากมานี่หน่า  เขากลัวว่าฉันจะเป็นที่ผิดสังเกตก็เลยบอกให้ฉันเปลี่ยนชุดน่ะ”
 
 
“งั้นเองเหรอ” แววตาของอาเรนหรี่ลง  แต่ฉันที่เดินอยู่เคียงข้างกลับไม่ทันได้สังเกต
 
 
“ถึงจะพูดช้าไปหน่อยแต่เดอะลาสต์เดสติเนชั่นยินดีต้องรับนะครับ ท่านแอนนา เบลล์” อาเรนหยุดอยู่ที่หน้าประตูบานหนึ่งแล้วจึงกล่าวประโยคนี้กับฉันพร้อมๆกับที่ประตูเปิดออก  นาทีถัดมาเขาก็พาฉันก้าวไปสู่โลกอีกใบหนึ่ง
 
 
ฉันยืนตะลึงมองความอลังกาลของห้องโถงภายในปราสาทราวต้องมนต์สะกด  บนเพดานสูงลิ่วนั้นถูกประดับประดาไปด้วยโคมไฟระย้าที่แสนสวยงาม   แสงสีทองอ่อนๆสาดส่องไปทั่วห้องโถงที่แสนโออ่านั้นเผยให้เห็นศิลปะบนพื้นผนังของศิลปินชั้นยอด  กระจกโดยรอบถูกแกะสลักเอาไว้อย่างประณีต  ภายในห้องโถงนั้นเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย   ผู้ที่มาร่วมงานต่างก็แต่งกายด้วยชุดราตรีงามหรูทอประกายระยิบระยับ
 
 
ทุกสายตาจับจ้องมาที่ฉันและอาเรนทันทีที่เราก้าวเข้าไป     สายตาเหล่านั้นทำให้ฉันรู้สึกประหม่าเสียเหลือเกิน
 
 
“ขอขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมเป็นเกียรติในงานฉลองในค่ำคืนนี้       ขอให้ทุกท่านทำตัวตามสบายเลยนะครับ” อาเรนกล่าวเสียงของเขาดูมีอำนาจและน่าเกรงขามยิ่งนัก   ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่จะเป็นคนๆเดียวกับชายหนุ่มที่ฉันเจอที่ทุ่งดอกพีโอนี
 
 
พออาเรนกล่าวจบทุกคนก็ทำการคารวะครั้งหนึ่งก่อนที่หันสายตากลับไปยังคู่สนทนาของตน ฉันลอบถอนหาย ใจออกมาด้วยความโล่งอกเมื่อสายตาของผู้คนเหล่านั้นไม่ได้จับจ้องอยู่ที่ฉันอีกต่อไป    พอหันมองมาข้างตัวก็เห็นอาเรนยิ้มๆให้กับท่าทางของฉัน
 
 
“ยิ้มอะไรน่ะ?” ฉันหน้าแดง
 
 
“ก็น่ารักดี” คำพูดของอาเรนทำให้ฉันยิ่งหน้าแดงเข้าไปใหญ่
 
 
“แอนน์..นั้นมันชินนี่!” โมโมะร้องขึ้น
 
 
เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง  ฉันจึงเห็นชินอยู่ในชุดเจ้าชายสีน้ำเงินเข้มประดับด้วยลวดลายสีทองดูน่าเกรงขามไม่แพ้กัน   เขาเดินควงคู่มากับแคทเธอรีนที่อยู่ในชุดสีแดงที่ดูสง่างาม
 
 
ทั้งสองคนนั้นดูเหมาะกันจริงๆ  ฉันลอบคิดใจในอย่างเศร้าสร้อย
 
 
“นายจัดงานได้เยี่ยมไปเลยนี่ อาเรน”
 
 
“ขอบใจ สวัสดีแคทเธอรีน”
 
 
“สวัสดีคะ เจ้าชายอาเรน  ส่วนเธอคนนั้นคือ....” แคทเธอรีนกวาดสายตามายังฉัน
 
 
“ฉันแอนนา เบลล์ยินดีที่ได้รู้จักคะ”
 
 
“คะ... ฉันแคทเธอรีน  ซาร่าห์เจ้าหญิงแห่งอาณาจักรเอเทอนอลเป็นคู่หมั้นของชิน   ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันคะ”
 
 
“เธอหายดีแล้วใช่ไหม?” ชินพูดกับฉัน  นี่เป็นประโยคแรกที่เขาพูดกับฉันหลังจากที่ฉันฟื้นจากที่ป่วยเป็นไข้
 
 
“คะ หายแล้ว”  ทางร่างกายหรอกนะ  ฉันคิดในใจ  ชิน....พอฟังคำตอบที่ดูเย็นชาของฉันก็ขมวดคิ้ว
 
 
“ชิน แล้วท่านทั้งสองล่ะมาร่วมงานนี้ด้วยใช่ไหม  นายพาฉันกับแอนน์ไปพบหน่อยสิ” อาเรนพูดขึ้น   ฉันเอียงคออย่างประหลาดใจก่อนจะเดินตามชินไป
 
 
ชินนำฉันกับอาเรนมาพบชายหญิงชราคู่หนึ่ง  ทั้งสองอยู่ในชุดเลิศหรูดูมีอำนาจอย่างน่าประหลาด  ด้วยเหตุผลอะไรไม่ทราบฉันแทบจะตระหนักได้ในทันทีว่าสองคนนี้เป็น...
 
 
“อาเรน  แอนนา ทั้งสองคนนี้คือท่านพ่อท่านแม่ของฉันเอง  นี่ท่านแม่ของฉัน ฮีร่า  อาเชอร์         ส่วนท่านพ่อของฉันไคอาส  อาเชอร์”  ใบหน้าของชินดูตื้นตันดีใจที่ได้พบทั้งสอง  ดีจังเลยนะที่ท่านทั้งสองยังมีชีวิตอยู่และได้มาพบกันแบบนี้   ฉันแอบหวนคิดไปถึงคุณพ่อคุณแม่ของฉันเอง
 
 
ฉันกับอาเรนแสดงความเคารพ
 
 
“ฉันอยากเจอเธอมานานแล้วล่ะ  เธอคือผู้ถูกเลือกใช่ไหม  มีนามว่ากระไรหรือ?”
 
 
“คะ  ฉันชื่อแอนนา เบลล์คะ”
 
 
“ตั้งแต่มาที่ยูโทเปียเธอคงลำบากมามากสินะ” ราชีนีฮีร่ากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
 
 
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกคะ”
 
 
“แล้วเธอเป็นนักเวทย์หรือเปล่าจ๊ะ?”
 
 
“คะ ฉันเป็นนักเวทย์”
 
 
“พลังของเธอคืออะไร?”
 
 
“ควบคุมกระดาษคะ”  ท่าทางว่าคำตอบของฉันจะทำให้ทุกคนตกตะลึงไป    อาเรนมองหน้าฉันด้วยสีหน้าประหลาดใจ   ราชิชีฮีร่าและราชาไคอาสนิ่งสงบเงียบราวกับกำลังใช้ความคิดหนักหน่วง  ในขณะที่....
 
 
“เดอะเปเปอร์งั้นเหรอ  เป็นไปไม่ได้” แคทเธอรีนพึมพำออกมาด้วยความตกใจ
 
 
“แคทเธอรีน...” ราชาไคอาสส่งเสียงเรียกเพื่อเตือนเธอจึงทำให้หญิงสาวเงียบไป  แต่เธอยังคงส่งสายตาไม่พอใจมาทางฉัน 
 
 
ทำไมกัน....ฉันไม่เห็นจะเข้าใจอะไรเลย  ทุกคนรู้อะไรอย่างนั้นหรือ…?  เมื่อนั้นสิ่งที่เดอะมิลเลอร์เคยพูดก็ผุดขึ้นมาในหัวของฉัน
 
 
“ช่วยแสดงพลังของเธอให้พวกเราดูหน่อยสิ” ราชาไคอาสกล่าว
 
 
ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมทุกคนถึงต้องทำท่าตกใจอย่างนั้นด้วย  แต่ฉันก็ยอมเสกกระดาษขึ้นมาพร้อมกับพับมันเป็นรูปนกกระเรียนด้วยเวทมนต์แต่โดยดี
 
 
“ชะตาลิขิตกระมัง” ราชินีฮีร่าพึมพำ
 
 
“เทพธิดาคงจะตั้งความหวังเอาไว้กับเธอมากเลยทีเดียว” ราชินีฮิร่าพูดพร้อมกับกุมมือของฉันเอาไว้ 
 
 
“พยายามเข้านะ ผู้ถูกเลือก” ราชินีกล่าวกับฉันเป็นประโยคสุดท้าย  แล้วท่านทั้งสองก็ขอตัวไปพักผ่อนทันที
 
 
ฉันได้แต่มองตามแผ่นหลังของท่านทั้งสองไป  ฝ่ามือที่กุมมือฉันนั้นช่างอบอุ่นเหลือเกิน  ทำไมฉันถึงคิดถึงคุณพ่อกับคุณแม่เสียเหลือเกิน  ฉันยังคงจำเรื่องราวของท่านทั้งสองได้ดี  ตอนนี้ฉันอยากเจอพวกท่านเสียเหลือเกิน
 
 
“เต้นรำกันเถอะ แอนน์” เสียงของอาเรนปลุกฉันให้ตื่นจากภวังค์
 
 
“อ๊ะ...ค่ะ” ฉันสะดุ้ง   เอาเถอะ ตอนนี้คุณพ่อกับคุณแม่คงกำลังมีความสุขอยู่ด้วยกันบนสวรรค์แล้วล่ะ
 
 
“เราก็ไปเต้นรำกันเถอะคะ ชิน” แคทเธอรีนพูดพลางกอดแขนชินเอาไว้
 
 
“เธอก็รู้นี่ว่าฉันไม่ชอบเต้นรำน่ะ”  ชินตอบเสียงเรียบ  เขาดูเหมือนจะอารมณ์เสียและกำลังเบื่อหน่ายสถานการณ์ในตอนนี้แบบสุดๆ
 
 
“สักเพลงก็ยังดีนะ” แคทเธอรีนยังคงอ้อนวอนต่อไป  แต่ฉันไม่อาจฟังบทสนทนานั้นต่อได้   เพราะอาเรนพาฉันไปยังฟลอเต้นรำเสียแล้ว
 
 
ดนตรีถูกบรรเลงมันเป็นเพลงที่ไม่ช้าและไม่เร็วจนเกินไป   อาเรนพาฉันเคลื่อนที่ไปรอบๆฟลอเต้นรำอย่างงดงาม  โชคดีที่ฉันเคยเรียนเต้นรำมาจากคุณแม่มาบ้าง   ทำให้การเต้นรำในครั้งนี้จึงไม่เป็นปัญหาอะไรมากนัก
 
 
“แอนน์เต้นรำเก่งอย่างไม่น่าเชื่อเลยนะ”  อาเรนเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นก่อน
 
 
“ฉันเคยเรียนกับคุณแม่ตอนที่อยู่ที่บ้านนะคะ  ท่านเป็นคนที่เต้นรำเก่งมากๆเลย”
 
 
“คุณแม่ของแอนน์ ท่านเป็นคนยังไงเหรอครับ?”
 
 
“ท่านเป็นคนที่ใจดี แล้วก็สวยมาก  ฉันคิดถึงท่านเสมอเลย...”
 
 
“อ๊ะ...นั่นสินะครับ  เพราะแอนน์ต้องจากบ้านมาอยู่ที่นี่เสียตั้งนาน”
 
 
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกคะ ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ของฉันน่ะ.....ทั้งสองคนเสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อนนะคะ”
 
 
“ตายล่ะ...ผมขอโทษนะครับที่เอ่ยอะไรออกไปแล้วทำให้แอนน์ไม่สบายใจ”
 
 
“ไม่เป็นไรหรอกคะ เรื่องมันก็เกิดขึ้นนานแล้ว  ฉันทำใจได้แล้วล่ะ”
 
 
“แต่สีหน้าของแอนน์ไม่ค่อยดีเลยนะครับ  ยังมีอาการไข้หลงเหลืออยู่หรือเปล่า?”
 
 
“ไม่ใช่หรอกคะ  ฉันสบายดีแล้วจริงๆ”
 
 
“ถ้าเป็นเรื่องที่เมื่อครู่เราได้สนทนากับท่านพ่อท่านแม่ของชินละก็....”  อาเรนถามพร้อมกับสบตาฉัน
 
 
“ก็เป็นส่วนหนึ่งคะ  ก็ตอนนี้มีเรื่องที่ฉันไม่เข้าใจอยู่เต็มไปหมดเลย   ไม่ใช่แค่ราชิชีฮีร่าและราชาไคอาสหรอกคะ  ทุกๆคนรวมทั้งอาเรนก็ดูเหมือนจะรู้เรื่องอะไรบางอย่างกันหมด   ชินเองก็เคยทำหน้าแปลกๆตอนที่เห็นฉันใช้พลังครั้งแรกเหมือนกัน”
 
 
“บางเรื่องก็อาจเป็นสิ่งที่เราไม่จำเป็นต้องรู้”  อาเรนเอ่ยด้วยเสียงที่แผ่วเบา
 
 
“.....”  อาเรนก็เหมือนกับคนอื่นๆ  ทุกคนพยายามจะปิดบังอะไรบางอย่าง  ซึ่งเรื่องนั้นจะต้องเกี่ยวกับพลังของฉัน  เดอะเปเปอร์แน่...ทำไมถึงไม่กล้าบอกฉันกันล่ะ?
 
 
“แอนน์ไม่เคยถามชินเรื่องนี้เลยหรือ?”
 
 
“คะ   ชินไม่เคยบอกอะไรฉันสักอย่าง....ตอนแรกฉันก็ไม่ได้คิดอะไร  แต่ยิ่งใช้เวลาที่ยูโทเปียนานเท่าไหร่ฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าฉันยังไม่รู้อะไรอีกมากมาย  ทั้งๆที่บางเรื่องมันเกี่ยวกับตัวฉันโดยตรงแท้ๆ”
 
 
“แอนน์....”  อาเรนเอ่ยเรียกฉันด้วยน้ำเสียงหนักใจ
 
 
ก่อนที่อาเรนจะเอ่ยอะไรต่อไปนั้นเองเพลงนั้นก็จบลง  ฉันกับอาเรนหยุดเคลื่อนที่  เราสองคนยืนนิ่งไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อไปดี 
 
 
ในที่สุดฉันก็ชิงพูดขึ้นว่า “ขอโทษนะคะที่ชวนคุยเรื่องไม่สบายใจแบบนี้    สงสัยว่าฉันจะยังไม่หายจากไข้ดีจริงๆ  ฉันชักรู้สึกไม่ค่อยสบายนะคะ   เพราะอย่างนั้นขอตัวก่อนนะคะ” แล้วฉันก็ผละออกจากฟลอเต้นรำมาทันที  
 
 
ฉันไม่เข้าใจเหมือนกันว่าอารมณ์ของตัวเองพลุ่งพล่านแบบนี้ได้อย่างไร  ฉันจากมาโดยที่ไม่ได้เปิดโอกาสให้อาเรนได้พูดอะไรเลยด้วยซ้ำ
 
 
ฉันเดินออกมาที่ระเบียงที่ติดกับห้องโถงของปราสาท  อากาศยามค่ำคืนที่หนาวเย็นผ่านมากระทบร่างกายของฉันทันที  ฉันสั่นสะท้านด้วยความหนาวเย็นอยู่ครู่เดียวก็กลั้นใจสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดความเย็นที่พุ่งเข้ามาในตัวของฉันทิ่มแทงฉัน
 
เหมือนกับต้องการให้ฉันปลดปล่อยเรื่องที่คิดเอาไว้อยู่ออกไปให้หมด    ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางมองไปยังสวนเบื้องล่างอย่างเหม่อลอย 
 
 
“แอนน์เป็นอะไรหรือเปล่า?” โมโมะกระโดดลงจากบ่าของฉันมายืนบนระเบียงเบื้องหน้าฉัน  แล้วมองฉันด้วยสายตาห่วงใย
 
 
“ไม่รู้สิ โมโมะ ตอนนี้ฉันรู้สึกสับสนนะ  ฉันไม่รู้ว่าต่อจากนี้ไปฉันควรจะทำอย่างไรดี?”
 
 
“แอนน์....” โมโมะเรียกชื่อฉันเหมือนกับจะช่วยปลอบใจ
 
 
“ตอนนี้ฉันไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ถูก  อะไรคือสิ่งที่ผิดกันแน่  ภารกิจของฉันคืออะไร  ฉันจะต้องทำยังไง  ฉันโกรธ...ฉันกลัวที่ไม่รู้อะไรเลย  และที่สำคัญความรู้สึกนั้น  ความรู้สึกที่มีต่อชิน...ฉันจะจัดการมันอย่างไรดี”  ฉันพูดในสิ่งที่วนเวียนอยู่ในหัวของฉัน 
 
 
ฉันไม่อยากจะเก็บมันอีกต่อไปแล้ว     เทพธิดาต้องการอะไรจากฉัน?     เดอะมิลเลอร์ต้องการที่จะบอกอะไ?   เดอะเปเปอร์คือใคร?    และแล้วน้ำตาก็พลันไหลรินออกมาอย่างเงียบๆ  ฉันไม่อาจยับยั้งมันเอาไว้ได้อีกต่อไป
 
 
“อะไรกัน...พวกเธอเดินออกจากงานมานินทาฉันอยู่รึไง” เสียงของชินดังขึ้นเบื้องหลังของฉันอย่างไม่คาดคิด
 
 
ฉันสะดุ้งเฮือกก่อนจะรีบเอามือปาดน้ำตาทันที
 
 
“เธอร้องไห้งั้นเหรอ?”  ชินดึงฉันที่พยายามหลบสายตาให้มาเผชิญหน้าเขา
 
 
ฉันนิ่งเงียบทว่าร่องรอยของน้ำตายังคงเห็นได้เด่นชัด
 
 
“เธอร้องไห้ทำไม  เกิดอะไรขึ้น!”
 
 
“.....”  ฉันนิ่งเงียบ
 
 
“บอกฉันไม่ได้เหรอไง”  น้ำเสียงของชินอ่อนลงแล้ว
 
 
“ขอโทษนะ”  ฉันเป็นอะไรไป...
 
 
“โกรธอะไรฉันหรือเปล่า...?”  ท่าทางของชินดูเป็นห่วงฉันมากจริงๆ  พอเถอะ...อย่าแสดงท่าทางแบบนี้กับฉันอีกเลย
 
 
“ไม่นิ  ทำไมฉันต้องโกรธนายด้วย”  ฉันอยากหายตัวไปเสียจากตรงนั้น  เมื่ออยู่ต่อหน้าชินฉันก็ยิ่งรู้สึกสับสน
 
 
“งั้นทำไมเธอถึงต้องทำท่าเย็นชาใส่ฉันอย่างนั้นด้วยล่ะ?”
 
 
ฉันเงยหน้าขึ้นมองชิน  บ้าที่สุด  ฉันเริ่มร้องไห้อีกครั้ง  ‘ต่อหน้าชินจะให้ฉันพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกไปได้ยังไง   ถ้าเกิดพูดออกไปแล้วระหว่างเราอาจจะไม่เหมือนเดิมนะ   ถ้าพูดออกไปฝ่ายที่ผิดก็คือฉันนะสิ’
 
 
ชินเองก็ตะลึงงันไปกับท่าทีของฉัน   แต่แล้วเขาก็เอามือมาลูบหัวของฉันเบาๆแล้วพูดขึ้นอย่างอ่อนโยนว่า “ช่างมันเถอะนะ   ถือซะว่าฉันไม่ได้พูดอะไรไปก็แล้วกัน  ฉันก็แค่อยากให้เธอกลับมาเป็นตัวของเธอเองก็เท่านั้น”
 
 
กว่าที่ฉันจะหยุดร้องไห้ได้ก็ใช้เวลาไปเสียพักใหญ่   ตอนนี้ฉัน ชิน และโมโมะกำลังยืนมองดวงดาวบนฟากฟ้าจากระเบียงของปราสาท     ทุกคนพลางคิดคำนึงไปถึงเรื่องต่างๆนานาที่เคยเกิดขึ้น     ที่กำลังเกิดขึ้น   และสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ไป....
 
 
ในที่สุดฉันก็กลับมารู้สึกมั่นคงอีกครั้ง   ฉันเหลือบไปมองชิน...คิดว่าจะถามเรื่องเดอะเปเปอร์ให้หายข้องใจดีหรือไม่  แต่สุดท้ายก็ปล่อยมันเลยผ่านไป  
 
 
บางเรื่องก็อาจเป็นสิ่งที่เราไม่จำเป็นต้องรู้...  ฉันจะเชื่อคำพูดของอาเรนอย่างน้อยก็ในค่ำคืนนี้
 
 
“เต้นรำกันไหม?” จู่ๆชินก็ชวนฉันดื้อๆ   ไม่พูดเปล่าเขายังรั้งฉันให้เข้ามาใกล้โอบฉันไว้ในอ้อมแขนในท่าเต้นรำอีก
 
 
“ไหนบอกว่าไม่ชอบเต้นรำไง”  ฉันโต้กลับ
 
 
“ฉันโกหก!”  ชินพูดออกมาหน้าตาเฉย
 
 
“เอ๊ะ...”  ฉันมองหน้าชิน   จากระเบียงตรงนี้ฉันยังคงได้ยินเสียงดนตรีจากในห้องโถงดังแว่วขึ้นเบาๆ   เมื่อนั้นชินพาฉันขยับไปตามจังหวะอย่างแคล่วคล่องทันที   เพลงช้าๆ แต่ฟังดูเศร้าๆเพลงนั้น  ทำให้ฉันรู้สึกเคลิ้มไปกับเสียงเพลงอย่างบอกไม่ถูก
 
 
ฉันฟังเสียงดนตรีและเต้นรำกับชินเสียเพลินจนไม่ได้สังเกตรอบๆกายเลยแม้แต่น้อย
 
 
โมโมะยืนขณะที่ฉีกยิ้มให้กับคนทั้งสองก่อนจะหันหลังให้เหมือนต้องการจะมอบความเป็นส่วนตัวให้แก่คนทั้งสอง
 
 
 
**********
 
 
 
ริมประตูซึ่งนำไปสู่ระเบียงของปราสาทนั้นแคทเธอรีนจับจ้องมายังทั้งสองด้วยสายเศร้าลึกดูเหมือนว่าดวงตาเธอจะคลอไปด้วยน้ำตา  
 
 
“ชิน....ทำไมกัน?”  เธอพึมพำ
 
 
“มาแอบดูพวกเค้าเหมือนกันรึไง  แคทเธอรีน”  อาเรนที่ยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งของริมประตูเอ่ยขึ้น   เขาเองก็กำลังจับจ้องไปยังทั้งคู่เช่นเดียวกัน
 
 
“ผิดด้วยเหรอ” แคทเธอรีนพูดพลางเบือนหน้าหนี
 
 
“ไม่หรอก  เพียงแต่....เธอจะทำยังไงต่อไปกันล่ะ?”
 
 
“ยังไงซะชินก็ยังเป็นคู่หมั้นฉันอยู่  ไม่ว่าจะยังไงฉันก็ไม่ยอมยกชินกับใครทั้งนั้น”
 
 
“นั้นสินะ  ฉันเองก็ไม่อยากให้ผู้ถูกเลือกตกอยู่ในมือของใครนอกจากฉันเหมือนกันล่ะ”
 
 
“อาเรน!” แคทเธอรีนหันมามองหน้าอาเรน “นี่....เธอ”
 
 
“ฉันก็มีปัญหาเหมือนกันนะ  ถ้าแอนน์ทำภารกิจสำเร็จแล้วเธอก็คงต้องกลับบ้าน  ฉันควรจะรั้งเธอยังไงดีล่ะ”  อาเรนพูดพลางยิ้ม
 
 
“เรื่องของนาย...”
 
 
“หึ  เธอเองก็กำลังมีปัญหาอยู่เหมือนกันไม่ใช่หรือไง  ชินนะ....ไม่ให้ใครรั้งตัวเขาไว้ง่ายๆหรอกนะ   ถ้าเขาอยากจะไปจริงๆก็ไม่มีใครห้ามเขาเอาไว้ได้หรอก”
 
 
แคทเธอรีนเถียงไม่ออก   เธอจึงได้แต่หลบสายตาแล้วเงียบงันไป
 
 
“เอาเถอะ  วันนี้เราคงทำอะไรไม่ได้มากกว่านี้แล้วล่ะ   เต้นรำกันสักเพลงไหม?  แคทเธอรีนเจ้าหญิงแห่งเอทานอล...” อาเรนพูดขึ้นพร้อมกับยื่นมือให้หญิงสาว
 
 
“ก็ได้” แคทเธอรีนถอนหายใจ  ก่อนที่วางมือของตนเองลงบนฝ่ามือของอาเรน
 
 
 
**********
 
 
อา...ช่วงนี้โหมงานหนักจนแทบไม่ได้นอนเลย  หลังจากที่บทที่แล้วเครียดๆบทนี้เลยผ่อนคลายลงมานิดนึ่ง ฮ่าๆๆ.....จะวันแม่แล้ว  มีอะไรเซอไพรส์คุณแม่กันบ้างหรือเปล่า อิอิ   แล้วเจอกันใหม่ตอนหน้า  ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะ ^^

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
6.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา