Tale of Utopia

6.9

เขียนโดย The_Paper

วันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 เวลา 18.12 น.

  15 บท
  8 วิจารณ์
  19.51K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2556 12.54 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) บทที่ 4 ค่ำคืนที่เป็นนิรันดร์

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 4  ค่ำคืนที่เป็นนิรันดร์

 

 

“อาณาจักรมิดไนท์นี่.....เป็นอาณาจักรแบบไหนเหรอ?” ฉันถาม  ทุกคนบินออกมาไกลจากทุ่งพีโอนีมามากพอสมควรแล้ว

 

 

“เป็นอาณาจักรที่มีจุดเด่นตรงตามชื่อของมันนั้นแหละ  อาณาจักรมิดไนท์เป็นอาณาจักรที่ถูกสาปทำให้ต้องตกอยู่ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืนเพียงเท่านั้น  แถมยังเป็นคืนพระจันทร์เต็มดวงซะด้วยนะ  บนท้องฟ้าที่แสนจะมืดมิดของมิดไนท์ก็ยังคงมีแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวหลงเหลืออยู่นั่นก็คือพระจันทร์ดวงใหญ่ที่จะปรากฏให้เห็นอยู่ในทุกๆคืน    นอกจากนั้นอาณาจักรแห่งนี้ยังมีสิ่งก่อสร้างแปลกตามากมายรวมไปถึงผลงานทางด้านสถาปัตยกรรมที่งดงามมากที่สุดในยูโทเปียด้วยนะ”

 

 

“แต่กลับต้องอยู่ในความมืดมิดแบบนี้เนี่ยนะ   คิดๆแล้วก็ชวนให้รู้สึกน่าสงสารจัง  คำสาปที่ว่านี่มันคืออะไรกันล่ะ?”

 

 

“นั้นสินะ...เรื่องมันยาวแต่อย่างน้อยตอนนี้เธอก็ควรรู้ไว้อย่างนึงนะว่าที่นี่เป็นบ้านเกิดของดาร์คอาเธอร์”

 

 

“ดาร์คอาเธอร์...?” ฉันเอ่ยทวน  ชื่อนี้ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน  แต่มันดูน่ากลัวอย่างไรไม่รู้

 

 

“ดาร์คอาเธอร์คือบุคคลอันตรายที่สุดของยูโทเปียในขณะนี้   พ่อมดผู้ชั่วร้ายที่หวังจะยึดครองยูโทเปียเอาไว้ในกำมือยังไงล่ะ    เขาคนนี้แหละ...คือผู้นำที่ทำให้เหล่าพ่อมดแม่มดพากันก่อสงครามกับเหล่านักเวทย์ขึ้นมา   ไม่แน่ตอนนี้เขาเองก็คงกำลังควานหาตัวเธออยู่นะ....ผู้ถูกเลือก   ถ้าเป็นไปได้เราอย่ามาพานพบกันเลยจะดีกว่า”

 

 

“....” ทั้งน้ำเสียงทั้งท่าทางที่ชินแสดงออกมาขณะที่เอ่ยถึงคนๆนี้ทำให้ฉันรู้สึกตัวสั่น  ยิ่งได้ยินว่าคนที่เขากำลังตามหาอาจเป็นตัวฉันก็ยิ่งชวนให้รู้สึกหวั่นใจ

 

 

“เธออย่าพึ่งคิดมากไปเลย...ตอนนี้พวกเราต้องช่วยกันแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้าให้ได้เสียก่อน   ตอนแรกฉันก็ไม่อยากที่จะผ่านเข้าไปในเมืองแห่งนี้เหมือนกัน  แต่เขาว่ากันว่าที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยที่สุด   ยามนี้อาณาจักรแห่งนี้เป็นสถานที่ที่อันตรายที่สุดสำหรับนักเวทย์อย่างเรา    พวกพ่อมดที่ไล่ตามเรามาต้องคาดไม่ถึงแน่”  ชินเอ่ยขึ้นเหมือนกับจะมองออกว่าฉันกำลังกังวล   แต่ว่าคำพูดของเขาเนี่ยสิ...ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาเอาซะเลย

 

 

“ที่นี่ได้กลายเป็นสถานที่รวมตัวของเหล่าพ่อมดแม่มดไปแล้ว  คงจะอันตรายสุดๆสำหรับนักเวทย์อย่างฉันกับเธอน่ะ” ชินยังมีอารมณ์หันมายิ้มให้กับฉันอีก

 

 

“แล้วนายยังกล้านำพวกเราเข้าไปในเมืองอีกเหรอเนี่ย..?  บ้าระห่ำไปแล้ว!”   ฉันร้องออกมาอย่างตกใจ

 

 

“มันช่วยไม่ได้นี่  ถ้าเราจะไปให้ถึงจุดหมายปลายทางของเราโดยเร็วที่สุด  ก็มีแต่ต้องเดินทางผ่านเมืองนี้เท่านั้นแหละ  ถ้าผ่านที่นี่ไปได้อย่างปลอดภัยเราก็ย่นระยะทางไปได้เยอะ  ถึงพวกเราจะกำลังหลบหนีแต่เวลาก็เหลือไม่มากอย่างที่เธอคิดหรอก    ยิ่งปล่อยไว้นานเท่าไหร่ข่าวของพวกเราก็ยิ่งกระจายไปไกลเท่านั้น”

 

 

“.....” ทำไมฉันถึงคิดคำเถียงไม่ออกเลยนะ 

 

 

“เมืองนี้เข้มงวดเป็นพิเศษ    คราวนี้ต้องระวังตัวกันให้มากกันอีกเท่าตัว” ชินพูดด้วยน้ำเสียงหนักใจ 

 

 

“ตกลงแล้วเรากำลังจะไปไหนกันชิน.....จุดหมายปลายทางของเราคือที่ไหนกันแน่?”  จะว่าไปฉันก็ยังไม่เคยถามคำถามนี้กับชินมาก่อนเหมือนกัน   เพราะดูเหมือนตลอดเวลาที่ผ่านมาเพื่อนร่วมทางจำเป็นของเธอคนนี้จะมีจุดหมายปลายทางในใจอยู่แล้วเรื่อยมา

 

 

“ฉันคิดว่าเราควรจะมุ่งหน้าไปยังเดอะ ลาสต์  เดสติเนชั่นกันก่อน  หลังจากนั้นจึงค่อยมาหารือกันทีหลัง”  ชินพูดด้วยเสียงเครียดๆ  

 

 

“เดอะ ลาสต์  เดสติเนชั่น?”  ฉันทวนชื่อ  ชื่ออาณาจักรนี้เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน  ทันใดนั้นเองฉันก็นึกขึ้นมาได้  นั้นมันเมืองเกิดของอาเรนนี่หน่า

 

 

ชินหันมามองหน้าฉันที่นิ่งเหม่อไป “มีอะไรเหรอ?”

 

 

“เปล่าๆๆๆ”  ฉันรีบตอบ  ไปที่เดียวกันก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้เจอกันสักหน่อย  ไม่เห็นต้องไปกังวลเลย   “ว่าแต่....ทำไมเราถึงต้องเดินทางไปที่นั้นล่ะ?”

 

 

“เพื่อนสนิทของฉันปกครองเมืองนั้นอยู่   เขาเป็นคนที่ใช้ได้ทีเดียว  ถึงเขาจะยอมจำนนต่อพวกพ่อมดแม่มดก็เถอะ  หมอนั้นไม่เหมือนฉัน  เจ้านั้นมันยอมเพราะตั้งใจว่าจะวางแผนเพื่อต่อต้านพ่อมดมดแม่มดอย่างเงียบๆภายหลัง   เพื่อนฉันคนนี้คิดการณ์ไกลชะมัด  ผิดกับฉันที่เอาแต่ใช้กำลัง   ฉันก็เลยคิดมานานแล้วล่ะว่าถ้าเกิดฉันหนีออกมาได้ละก็  ฉันก็คงจะมาร่วมกับพวกนี้แหละ”

 

 

“อืม  อย่างนี้นี่เอง”

 

 

“เอาล่ะได้เวลาแล้ว....ร่อนจรวดกระดาษลงเถอะ   ต่อจากนี้ไปเราคงจะบินกันบนฟ้าไม่ได้อีกแล้ว  คงต้องเดินไปล่ะ”

 

 

“ทำไมล่ะ?”

 

 

“มันอันตรายเกินไป  พวกพ่อมดแม่มดคงสังเกตเห็น  และความที่เราเป็นนักเวทย์ก็ต้องแตกแน่”

 

 

ฉันไม่พูดอะไรอีก  นอกจากนำจรวดร่อนลงบนพื้นดินอย่างเงียบเชียบพร้อมกับเสกให้มันหายไป

 

 

“ใกล้อาณาจักรแล้วแท้ๆ  แต่เงียบจังเลย” โมโมะรำพึงออกมา

 

 

“นั้นสิ” ฉันเห็นด้วย  มันเงียบๆจริงนั้นแหละ  มองไปทางไหนก็ดูวังเวงไปหมด บนท้องฟ้าก็มืดสนิท

 

 

“ที่นี่มักจะเงียบอย่างนี้เสมอแหละ     ทุกๆย่างก้าวที่เราเข้าใกล้มิดไนท์...ความเข้มข้นของมนตราในอากาศจะ หนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ  พวกพ่อมดแม่มดร่ายมนต์คุ้มครองที่นี่เอาไว้เป็นอย่างนี้   บางมนตราก็อาจรุนแรงจนทำให้พลังเวทย์ของพวกเราอ่อนแอลงได้    โมโมะ....คราวนี้ฉันคงให้เธอแปลงกายเป็นเด็กสาวเหมือนเมื่อคราวก่อนไม่ได้  ไปทั้งๆแบบนี้แหละ  แล้วมาอยู่กับฉัน”

 

 

“เข้าใจแล้ว”  โมโมะรับคำอย่างง่ายดายเพราะเข้าใจสถานการณ์ในขณะนี้ดี

 

 

“ส่วนเธอ...ไม่ว่าจะยังไงก็ห้ามออกห่างจากสายตาของฉันเด็ดขาดเลยนะ”

 

 

“อ๊ะ...อืม”  ฉันรับคำอย่างอึกๆอักๆ  ในขณะที่ชินเอื้อมมาจับมือฉันไว้ในทันทีก่อนจะนำฉันเดินตรงไปยังแสงสว่างสีเหลืองนวลจางๆที่มองเห็นแต่ไกลจากภายในเมืองเบื้องหน้าอย่างระมัดระวัง

 

 

 

***********

 

 

 

“นานมาแล้วก่อนที่สงครามระหว่างพ่อมดแม่มดกับนักเวทย์จะปะทุขึ้นมา...อาณาจักนมิดไนท์เป็นเพียงอาณษจักรเดียวเท่านั้นในยูโทเปียที่ถูกปกครองโดยบรรดาพ่อมดแม่มดเพียงเท่านั้น  เพราะอย่างนั้นจึงเป็นเรื่องปกติมากที่ที่นี่พ่อมดแม่มดจะมีอำนาจเหนือกว่าคนอื่นแม้กระทั่งนักเวทย์    ยิ่งภายหลังพอเกิดการสงครามระหว่างพ่อมดแม่มดกับนักเวทย์กันขึ้นอีกที่นี่ก็ยิ่งอยากต้อนรับพวกนักเวทย์สักเท่าไหร่นัก    นักเวทย์ที่ผ่านเข้าออกเมืองมักจะมีตระกูลสูงหรือมีศักดิ์พอๆกับผู้ครองเมือง  แต่แน่นอนว่าจะต้องถูกจับตาดูทุกฝีก้าวอยู่แล้ว      และหากทำอะไรผิดแม้แต่นิดเดียวก็จะถูกลงโทษขั้นร้ายแรงไปเลย   ตอนนี้ฉันได้ยินข่าวลือมาด้วยว่านักเวทย์บางคนถูกจับขังอยู่ที่นี่และไม่ได้รับอนุญาตให้ปล่อยตัวอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว   เพราะฉะนั้น....”

 

 

“ต้องอย่าให้เขารู้เป็นอันขาดว่าเราเป็นนักเวทย์”  ฉันต่อประโยคนั้นจนจบ

 

 

“ดีมาก...”  ชินชมแบบประชด 

 

 

แต่ปัญหามันอยู่ที่ตรงนี้แหละ...  ฉันคิดในใจอย่างหวั่นๆ  ชินจะมีวิธีอย่างไรไม่ให้เขารู้ว่าพวกเราเป็นนักเวทย์ล่ะ  พวกเขาคงต้องมีการทดสอบอะไรสักอย่าง...ใช่ไหม?

 

 

ในที่สุดทั้งสามก็มาถึงมิดไนท์  ประตูเมืองใกล้เข้ามาทุกขณะที่หน้าประตูมีคนสวมชุดพ่อมดยืนอยู่เพื่อทำหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง

 

 

“ฟังฉันให้ดีนะ...จากนี้ไป  ห้ามเธอพูดอะไรทั้งนั้น  แล้วก็กลั้นหายใจเอาไว้ด้วย  เข้าใจหรือเปล่า?”  ชินกระซิบกับฉันและโมโมะก่อนที่จะถึงประตูเมือง  ฉันได้แต่พยักหน้ารับ  โมโมะพยายามทำตัวนิ่งที่สุดภายใต้เสื้อคลุมของชิน

 

 

ฉันลอบสังเกตเห็นชินขยับปากเบาๆ   และถ้าตาของฉันไม่ได้ฝาดไป   ฉันเห็นควันสีดำพุ่งออกมาจากริมฝีปากของชิน  ควันสีดำนั้นลอยมาครอบคลุมร่างทั้งสามของเราเอาไว้   ตอนแรกฉันตกใจมาก  แต่ก็ยังดีที่ไม่กล้าพูดอะไรออกไป    สักพักชินก็หยุดท่องมนต์เขาบีบมือฉันแน่นก่อนจะพูดว่า    “เอาล่ะ  กลั้นหายใจได้”  ฉันสูดลมเข้าปอดแล้วจึงกลั้นเอาไว้ทันที

 

 

“มาจากที่ไหนกัน?”  ผู้คุมประตูร่างยักษ์คนหนึ่งเอ่ยถาม  ในขณะที่พ่อมดในชุดคลุมจ้องมองมาที่พวกเราอย่างเงียบๆ

 

 

“อาณาจักรฟรีดอมครับ”  ชินตอบ

 

 

“มากันซะไกล  เด็กสองคนแบบนี้เดินทางกันมาได้ยังไงกัน?”   ฉันประหลาดใจที่ผู้คุมคนนั้นพูดแบบนั้น    เห็นแบบนี้ฉันกับชินเราไม่ไช่เด็กแล้วนะ

 

 

“ที่จริงคุณแม่ของเราเดินทางมาด้วยกันนะครับ   แต่ระหว่างท่านกับพวกเราถูกพวกนักเวทย์ทำร้าย   เพราะท่านเสียสละตนเองทำให้พวกเรารอดจากการกระทำที่ชั่วร้ายของนักเวทย์คนนั้นมาได้นะครับ   ผมได้ยินว่าที่นี่ไม่ต้อนรับนักเวทย์ผมกับน้องจึงคิดว่าถ้าเราหนีมาที่นี่ก็น่าจะปลอดภัย....”  น้ำเสียงของชินดูเศร้าปนเคียดแค้น   ฉันอดทึ่งไม่ได้ที่ชินเล่นละครตบตาเก่งถึงขนาดนี้

 

 

“นักเวทย์ทำร้ายพวกเจ้ารึ?”

 

 

“ครับ”

 

 

“แล้วท่านแม่ของพวกเจ้าล่ะ?”

 

 

“ท่านตายซะแล้วล่ะครับ  เพราะไอ้นักเวทย์คนนั้น...”  ชินตัวสั่น  ฉันบอกได้เลยว่าถ้าไม่รู้ความจริงมาก่อนฉันคงเชื่อที่ชินพูดแน่    “ผมกับน้องเป็นแค่คนธรรมดาเท่านั้นทำไมถึงต้องทำร้ายกันแบบนี้   นักเวทย์พวกนั้นมีสิทธิ์อะไร! ได้โปรดให้ผมกับน้องได้เข้าไปหลบภัยในเมืองด้วยเถิดครับ   ท่านครับ..ความปรารถนาของผมในตอนนี้ก็คือ อยากเป็นพ่อมดมากเลยครับ  ผมอยากจะแก้แค้นให้กับท่านแม่ของผม”

 

 

“อืม....”  ผู้คุมเอามือแตะไหล่ชินเหมือนจะปลอบใจ

 

 

“แล้วหลังจากนี้พวกเจ้าจะทำอย่างไรกัน...กำลังจะไปไหน?  เธอบอกอยากเป็นพ่อมดนี่   จะอยู่ที่นี่เลยหรือเปล่า?”

 

 

“ผมจะพาน้องสาวไปส่งที่เดอะ ลาสต์ เดสติเนชั้นก่อนนะครับ ที่นั้นมีญาติคนสุดท้ายของเราเหลืออยู่”

 

 

“น้องสาวเจ้าเป็นใบ้หรือ  ไม่พูดอะไรสักคำ”  ผู้คุมคนนั้นจ้องมองมาที่ฉัน   ฉันรู้สึกอึดอัด  ฉันกำลังกลั้นหายใจอยู่นะชิน  เธอลืมไปหรือเปล่าเนี่ย

 

 

“น้องเจ้าไม่สบายหรือเปล่า  หน้าตาดูไม่ดีเลย”  ผู้คุมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง  ฉันรีบเบนตัวไปหลบหลังชินตามสัญชาตญาณ

 

 

“เธอยังไม่หายกลัวนักเวทย์พวกนั้นเลยครับ  ตอนนี้เธอเลยกลัวทุกคนไปหมดโดยเฉพาะกับคนแปลกหน้า  ไม่เป็นไรนะมีอา”  ชินเอามือลูบหัวฉันเบาๆ

 

 

“ชื่อมีอาหรือ?  แล้วเจ้าล่ะ”

 

 

“เรย์ครับ...”

 

 

“เอาล่ะถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าก็เดินทางระวังๆก็แล้วกันนะ  โดยเฉพาะเจ้านะเรย์...เจ้าจงทำความฝันให้เป็นจริงให้ได้นะ”  ผู้คุมอนุญาตให้เราทั้งสองผ่านไปได้ในที่สุด  เขาส่งสัญญาณให้เปิดประตูเมือง

 

 

“ครับ  ผมไม่มีทางลืมความแค้นนี้หรอก”  ชินก้มหัวลงคำนับก่อนที่จะเดินจูงมือกึ่งประคองฉันเข้าไปในเมือง   พอพ้นระยะประตูเมืองออกมาหน่อยแล้ว  ฉันก็รีบสูดอากาศหายใจเข้าปอดแทบไม่ทัน 

 

 

เฮ้อ....รู้สึกอย่างกับวิ่งมาเป็นกิโลงั้นล่ะ

 

 

“เธอนี่กลั้นหายใจไม่เก่งเลยนะ”  ชินมองท่าทางของฉันแล้วขำออกมาเบาๆ

 

 

“ก็นายเล่นคุยกับผู้คุมนั้นตั้งนานใครจะไปกลั้นไหว”

 

 

“จริงเหรอ  ถามโมโมะดูสิ”

 

 

“หือ...”  โมโมะโผล่หัวออกมาจากเสื้อคลุมของชิน   หน้าตาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

 

“โมโมะ  เธอกลั้นหายใจได้นานขนาดนั้นได้ยังไงกัน”

 

 

“ก็...ไม่รู้สิ  แต่เมื่อกี๊มันแป๊บเดียวเองนะ”

 

 

ฉันอ้าปากค้าง  ในขณะที่ชินหัวเราะออกมา  “เอาหน่าๆ  อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ  ยังไงซะเราก็รอดมาได้แล้วนิ”

 

 

“ไม่อยากเชื่อเลยว่านายจะเล่นละครได้เก่งขนาดนี้...”  ฉันรีบล้อทันที

 

 

“ก็แค่สิ่งที่ต้องทำยามฉุกเฉินเท่านั้นแหละหน่า” ชินหันไปอีกทางพร้อมกับกระแอมขึ้นมาเบาๆ

 

 

“แล้วทำไมชินต้องให้ฉันกับแอนน์กลั้นหายใจด้วยล่ะ?”  โมโมะเอ่ยถาม

 

 

“มนตราขั้นสูงที่ฉันเคยเรียนมาบ้างนั่นแหละ    มันจะช่วยสร้างภาพรางตาให้กับเรา  คนที่เป็นผู้ท่องมนต์นะไม่ต้องทำอะไรมากนอกจากตั้งสมาธิและนึกถึงภาพที่ต้องการให้คนอื่นเห็นเพียงเท่านั้น    แต่ผู้ติดตามจะต้องกลั้นหายใจไว้ตลอดเวลา  ตอนนี้ฉันยังไม่เก่งถึงขั้นที่จะใช้มนต์นี้ได้อย่างอิสระหรอกนะแถมก็ยังมีความเสี่ยงมาก   ฉันเองก็วัดดวงเอาเหมือนกันว่าทำสำเร็จหรือเปล่า  สำหรับผู้คุมกับพ่อมดที่ยืนตรวจคนเข้าเมืองพวกเขาก็คงเห็นเราเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ  หน้าตามอมแมมละมั้ง”   โมโมะกับฉันพยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจ 

 

 

ชินนี่จะว่าไปก็พึ่งพาเหมือนกันนะ

 

 

พอเข้ามาเดินภายในเมืองได้อย่างปลอดภัยแล้วฉันก็มองไปรอบๆด้วยความสนใจเช่นเคย     มิดไนท์ไม่ได้เงียบอย่างที่ฉันคิดซะทีเดียว   ตามทางเดินยังมีคนเดินขวักไขว่   แต่ก็น้อยกว่าที่อาณาจักรพีโอเนียมาก   ทางเดินนั้นเป็นเพียงแค่ทางเดินเล็กๆเท่านั้น  มีซอกซอยอยู่เต็มไปหมดจนฉันรู้สึกเหมือนกับกำลังอยู่ในเขาวงกต  พอฉันมองขึ้นไปบนท้องฟ้าก็มองเห็นค่ำคืนที่มีพระจันทร์ดวงโตลอยเด่นอยู่จริงๆ     ความมืดนี้เองที่ทำให้ทุกสิ่งอึมครึมดูวังเวงชอบกลไปหมด  ดูเหมือนว่าฉันจะหลงเข้ามาอยู่ในดินแดนสนธยาเสียแล้ว

 

 

“นี่ ชินให้โมโมะออกมาเดินกับเราไม่ได้เหรอ?”

 

 

“ไม่ได้เด็ดขาด!”

 

 

“มืดๆแบบนี้ไม่มีใครเห็นหรอกนะ”

 

 

“คิดแบบนั้นไม่ได้หรอก....เวทมนต์นะมันไม่เกี่ยวกับว่ามืดหรือสว่างหรอกนะ   จิ้งจอกเก้าหางมีพลังเวทย์มากถ้าให้ออกมาเดินก็จะปกปิดลำบาก   เสื้อคลุมนี้เป็นเสื้อคลุมพิเศษที่สามารถกักเก็บไอเวทย์ได้บ้าง  เพราะฉะนั้นโมโมะอยู่ในนี้จะปลอดภัยกว่าแน่นอน   อีกอย่างเธอลืมไปแล้วรึไง....โมโมะนะตัวสีขาวนะ”

 

 

“เข้าใจแล้วๆ”  ฉันรีบตัดบทก่อนที่ชินจะบ่นอะไรไปมากกว่านี้  ผู้ชายอะไรขี้บ่นชะมัด!

 

 

“ถ้างั้นเมื่อไหร่เราจะออกจากที่นี่กันล่ะ  ฉันอยู่แต่ในนี้มันอึดอัดนะ”  เสียงโมโมะดังอู้อี้ออกมาจากเสื้อคลุมของชิน

 

 

“ทางออกทางเดียวของอาณาจักรนี้อยู่อีกฟากหนึ่งของอาณาจักรนี้ละสิ  มาเถอะ  เราต้องรีบกันแล้ว ฉันก็ไม่อยากอยู่ที่นี่นานๆเหมือนกันแหละ”

 

 

“อืม” ฉันเห็นด้วย  ที่นี่ไม่น่าอยู่เลย...ถึงจะสวยดูมีมนต์ขลังมากแค่ไหนแต่กลับทำให้ฉันรู้สึกไม่ดีเอาซะเลย 

 

 

ความรู้สึกนี้มันอะไรกันนะ...ไม่ดีเลยจริงๆ  ทั้งๆที่พวกเราเข้าเมืองมาได้อย่างปลอดภัย  แต่กลับรู้สึกเหมือนถูกจับตามองอยู่ตลอดเวลา    ลางสังหรณ์นี้มันคืออะไรกัน...  เหมือนครั้งตอนที่ฉันได้พบกับราชาแบล็กฮาร์ทเลย

 

 

ชินพาพวกเรามายังที่เช่าเรือ   ฉันพึ่งจะรู้ว่าในมิดไนท์จะมีคลองเต็มไปหมด คงเป็นเพราะความมืดทำให้ฉันไม่ได้สังเกตเห็นคลองเหล่านั้น  คลองเหล่านี้จะมีเส้นทางซับซ้อนไปทั่วทั้งอาณาจักร  การเดินทางโดยเรือจึงสามารถนำพวกเราไปถึงอีกฟากหนึ่งของเมืองได้ง่ายขึ้น  และรวดเร็วกว่าด้วย   อีกอย่างพวกพ่อมดก็ไม่ค่อยจะสังเกตกันสักเท่าไหร่  คลองเหล่านี้นี่เองทำให้ทางเดินในอาณาจักรแคบลง    และยังอธิบายสาเหตุอีกเรื่องด้วยว่าทำไมภายในอาณาจักรจึงมีสะพานอยู่เต็มไปหมด

 

 

 

 

********

 

 

 

อย่างน้อยการเดินทางโดยเรือในครั้งนี้ก็ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว   บรรยากาศตอนเดินในเมืองกับการนั่งเรือดูเมืองไปเรื่อยๆนั้นให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันลิบลับ   ตอนนี้ฉันมีความรู้สึกดีต่ออาณาจักรนี้ดีขึ้นเยอะ   ฉันไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นเพราะความมืดนิรันดร์ของอาณาจักรนี้หรือเปล่าที่ทำให้สายน้ำที่เราอาศัยล่องเรือผ่านนั้นมีสีดำสนิทแบบนี้   แต่พอเรามองลงไปยังสายน้ำสิ่งที่สายน้ำสะท้อนกลับมาก็คือภาพของพวกเราที่ชัดเจนราวกับภาพที่สะท้อนมาจากเป็นกระจก    สายน้ำสายนี้คคงเปรียบเสมือนได้กับกระจกธรรมชาติที่สะท้อนภาพที่มาจากฟากฟ้านั้นเอง     เราสามารถมองภาพของเมืองนี้ในอีกมุมหนึ่งได้จากผืนน้ำโดยอาศัยแสงจันทร์ที่มีในทุกๆคืน   บางครั้งภาพที่เห็นก็ดูชัดเจนยิ่งกว่าของจริงเสียอีก  ความน่ากลัวของมันลดลงและแปรเปลี่ยนกลายเป็นสิ่งที่ดูน่าค้นหาอย่างประหลาด  บางทีน่าอาจจะเป็นโฉมที่แท้จริงของเมืองนี้ก็ได้ล่ะมั้ง

 

 

“สมกับเป็นเมืองของพ่อมดแม่มดเลยนะ”  ฉันรำพึง

 

 

“อะไรทำให้เธอพูดแบบนั้น  ตอนแรกๆฉันดูเหมือนเธอจะกลัวซะอีก”  ชินถามขึ้นอย่างแปลกใจ

 

 

“ไม่รู้สิ  พอมานั่งเรือแบบนี้แล้ว   ทำให้รู้สึกว่าเมืองนี้สร้างขึ้นจากเวทมนต์จริงๆ   ไม่รู้ว่าฉันคิดไปเองหรือเปล่านะ  แต่สำหรับฉัน...ชินรู้ไหมว่าการร่ายเวทย์ของนักเวทย์แล้วก็ของพ่อมดแม่มดนะให้ความรู้สึกที่ต่างกันมากเลยนะ”

 

 

“ต่างกันยังไง?”  ชินถามขึ้นอย่างสนใจ

 

 

“นักเวทย์ใช้เวทย์มนต์ได้ราวกับเป็นร่างกายของเราเองให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติ เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่จนไม่มีอะไรต้านทานได้   มันขึ้นอยู่กับตัวนักเวทย์เองจริงๆ  แต่เวทมนต์ของพ่อมดแม่มดเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น  มันถึงไม่มั่นคงหรือแข็งแรงเท่า   เพราะอย่างนั้นมันถึงลึกลับและชวนให้น่าค้นหากว่า  บางทีอาจทำให้เราได้มุมมองใหม่ๆมากขึ้นนะ   ในความคิดฉันไม่ว่าจะเป็นนักเวทย์หรือพ่อมดแม่มดก็ไม่สามารถอยู่ได้ด้วยตัวของตัวเองเพียงอย่างเดียวหรอก  ถ้ารวมกันเป็นหนึ่งจะต้องกลายเป็นพลังที่ทรงพลังอย่างหาที่ต้านทานไม่ได้เลยแน่ๆ”

 

 

ชินนิ่งอึ้งไปกับคำพูดของฉัน    ชั่วขณะหนึ่งที่ทั้งฉันและชินพากันเงียบไปเพราะจมดิ่งอยู่ในห้วงความคิดของตน

 

 

“นี่....แล้วทำไมที่นี่ถึงเป็นกลางคืนตลอดเวลาล่ะ?” โมโมะถามแทรกขึ้นมาระหว่างทั้งสอง  มันแอบโผล่หัวเล็กๆออกมาจากเสื้อคลุม

 

 

ชินเงียบไปครู่นึงก่อนที่จะเอ่ยออกมาช้าๆว่า “เท่าที่ฉันเคยได้ฟังมา  มีตำนานบทนึงได้เล่าขานเกี่ยวกับความเป็นมาของอาณาจักรนี้อยู่เหมือนกัน   ตำนานเริ่มต้นขึ้นด้วยความจริงที่ว่า.....อาณาจักรมิดไนท์เป็นอาณาจักรเดียวในยูโทเปียที่ปกครองโดยพ่อมดแม่มดต่างจากอาณาจักรอื่นที่มีแต่นักเวทย์เท่านั้นที่สามารถขึ้นครองอาณาจักรได้   พวกพ่อมดแม่มดพากันหลั่งไหลมายังอาณาจักรแห่งนี้ก่อนจะรวมตัวกันเพื่อร่ายมนตราบทที่ได้รับการกล่าวขวัญกันว่ายิ่งใหญ่ที่สุด  พวกเขาหวังที่จะทำให้เมืองนี้ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าเมืองใดๆในยูโทเปีย   พวกเขาอยากจะบอกให้ทุกๆคนในยูโทเปียรู้ว่าพ่อมดแม่มดยิ่งใหญ่แค่ไหน

 

 

แต่แล้วก็มีนักเวทย์คนหนึ่งเข้ามาขัดขวางการร่ายมนต์บทนั้น  พลังของเขาก็คือ การควบคุมความมืด  เดอะ ดาร์ค   เขาไม่ต้องการให้พวกแม่มดและพ่อมดทำการสำเร็จ    เดอะดาร์คเก่งกาจมากและสืบสายเลือดบริสุทธิ์ของนักเวทย์มาอย่างเต็มเปี่ยม   เขาเพียงคนเดียวก็สามารถเอาชนะพ่อมดแม่มดทุกคนทั้งหลายนั้นได้   ท้ายสุดเขาใช้พลังทั้งหมดที่มีเพื่อทำให้ความมืดครอบคลุมไปทั้งอาณาจักรแห่งนี้เพื่อไม่ให้อาณาจักรแห่งนี้พานพบกับความยิ่งใหญ่อย่างที่เหล่าพ่อมดแม่มดพากันหวังไว้ 

 อาณาจักรมิดไนท์ ก็คงถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่ตอนนั้นเอง”

 

 

“แล้วนักเวทย์คนนั้นล่ะ?”

 

 

“ร่างเขาสูญสลายไปเพราะถูกความมืดของตัวเองเขาครอบงำ   จนกลายเป็นความมืดที่ยังปกคลุมอาณาจักรนี้อยู่  บางคนเขาอย่างนั้นละนะ    แต่ที่แน่ๆก็คือเดอะดาร์คหายตัวไป  แล้วก็ไม่มีใครพบเห็นเขาอีกเลย”

 

 

“ทำไมต้องสู้กันด้วยนะ  ทั้งๆที่ก็ใช้พลังเวทย์เหมือนๆกัน   พลังในการสร้างสรรค์เหมือนกัน   ทุกๆคนก็แค่อยากทำในสิ่งที่ตนต้องการเท่านั้น” ฉันเอ่ยขึ้นอย่างเศร้าสร้อย

 

 

“นี่ก็คงเป็นอีกสาเหตุนึงที่ทำให้พ่อมดแม่มดที่นี่เกลียดชังนักเวทย์มากเป็นพิเศษ”

 

 

“แต่นักเวทย์คนนั้นก็ทำเกินกว่าเหตุนี่หน่า  เขามาขัดขวางการร่ายมนต์นั้นทำไมกัน... แต่จะว่าไปนักเวทย์เพียงคนเดียวจะแข็งแกร่งขนาดนั้นเชียวเหรอ”  โมโมะพูดขึ้นเบาๆ

 

 

“มันเป็นความจริงที่คอยตอกย้ำอยู่เสมอว่าไม่ว่าอย่างไรพลังของพ่อมดแม่มดก็ไม่อาจเทียบเท่านักเวทย์อย่างพวกเราได้   เอาเถอะ...อย่างไรก็ตามเดอะดาร์คคนนั้นก็พ่ายแพ้ให้กับพลังของตนเองซะแล้วล่ะ”  ชินเอ่ย

 

 

“ฉันว่าจากตำนาน...เรื่องนี้ไม่มีใครเป็นผู้ชนะอย่างแท้จริงหรอกนะ”  ฉันเอ่ยแทรกขึ้นมาขณะเงยหน้ามองท้องฟ้าของมิดไนท์

 

 

“เธอหมายความว่าไง?”

 

 

“ก็นักเวทย์คนนั้นต้องการจะทำให้มิดไนท์พังพินาศ  แต่เป็นเพราะเขาถึงทำให้เกิดอาณาจักรที่เปล่งประกายใต้แสงจันทร์ได้ถึงขนาดนี้  นี่ต่างหากล่ะความยิ่งใหญ่ที่แท้จริง  ฉันคิดว่านะ”

 

 

“มองโลกในแง่ดีเสียจริง   เอาเถอะ...ก็สมกับเป็นเธอละนะ”  ชินยิ้มให้ฉัน  แต่ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปกะทันหัน  เมื่อสายตาของเขาเหลือบไปมองที่ผิวน้ำเบื้องหลังของฉัน

 

 

ฉันหันหลังขวับทันทีแล้วก็ส่งเสียงร้องออกมาอย่างตกใจ     ผืนน้ำที่เคยราบเรียบและนิ่งสงบ  ตอนนี้กลับมีรูปร่างเป็นมือยักษ์โผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมา   ฉันขยับตัวหลบแต่ก็สายไปเสียแล้ว  ฝ่ามือนั้นตรงเข้าจับตัวฉันทันที

 

 

“แอนน์!”  ชินตะโกนก้อง  โมโมะรีบกระโดดออกมาจากเสื้อคลุมแล้วแปลงร่างทันที   มันพยายามพ่นไฟเพื่อช่วยฉัน  แต่ไฟของโมโมะกลับไม่มีผลต่อฝ่ามือขนาดยักษ์ที่สร้างขึ้นจากน้ำนี้เลยแม้แต่น้อย

 

 

ยามนั้นตาของฉันพร่าไปหมด  สายน้ำโอบล้อมรอบตัวฉันอยู่ทำให้ฉันหายใจไม่ออก  ฉันดิ้นรนอย่างสุดฤทธิ์เพื่อให้หลุดไปจากพันธนาการนั้นแต่ก็ไม่สำเร็จ    ในที่สุดฉันก็สำลักน้ำ...วินาทีสุดท้ายที่ฉันครองสติได้อยู่ฉันก็รู้สึกเย็นยะเยือกเข้าไปถึงหัวใจ 

 

 

“ไม่นะ...” ฉันตะโกนก้องในใจ  ในขณะที่รับรู้ว่าแสงสว่างของชีวิตฉันกำลังมอดดับงอย่างช้าๆ  ตาของฉันพริ้มหลับลงก่อนฉันจะหมดสติไปและไม่รับรู้อะไรอีกต่อไป    ในเวลาเดียวกันนั้นเองฝ่ามือยักษ์นั้นก็ผลุบหายลงไปใต้น้ำโดยพาร่างของฉันไปด้วย

 

 

“แอนน์!” ชินตะโกนอีกครั้ง

 

 

“เรือ...” โมโมะร้องออกมาอย่างตระหนก   เรือที่ทั้งสองยืนอยู่กำลังจะจมลงไปใต้สายน้ำเช่นเดียวกันเหมือนโดนมือที่มองไม่เห็นดึงลงไป   ชินกับโมโมะจำต้องละทิ้งเรือแล้วกระโดดขึ้นไปในส่วนของทางเดิน

 

 

ชั่วพริบตาถัดมาชินกับโมโมะก็พบว่ากำลังถูกล้อมรอบไปด้วยพวกทหารที่เหมือนกับจะรอโอกาสนี้อยู่ก่อนซะแล้ว

 

 

“นี่เรา...ถูกมันรู้ตัวตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย?” ชินกระซิบกับตัวเองด้วยความเจ็บใจ

 

 

“จะทำยังไงดี ชิน  และแอนน์ล่ะ?”

 

 

“สิ่งที่เราทำได้ในตอนนี้คือเชื่อมั่นเพียงเท่านั้น...แอนน์คงยังไม่เป็นไรหรอก   ตอนนี้เราต้องหนีให้พ้นกันก่อนแล้วค่อยไปช่วยแอนน์กัน  เข้าใจนะโมโมะ!”

 

 

“อืม...เข้าใจแล้ว!”  โมโมะตั้งท่าสู้ทันที   ใช่...แอนน์จะต้องไม่เป็นไร  มันจะต้องรอดจากตรงนี้เพื่อไปช่วยแอนน์ให้ได้!

 

 

ชินกำมือทั้งสองข้างเพื่อเร่งพลังของตน  ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาปิดบังว่าเขาเป็นนักเวทย์แล้ว  โมโมะเองก็รวบรวมพลังเต็มที่   แล้วทั้งสองก็พุ่งเข้าโจมตีเหล่าทหารพวกนั้นทันที

 

 

 

**********

 

 

 

ฉันอยู่ที่ไหน? ฉันถามตัวเองทันทีที่รู้สึกตัวขึ้น  

 

 

น่าแปลก....เมื่อครู่เรากำลังจมน้ำนี่หน่า   แต่ทำไมตัวถึงไม่เปียกเลยสักนิด   ฉันสงสัยแต่ก็ยังไม่สามารถปะติดปะต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้มากนัก    ไม่ช้าไม่นานถัดมาฉันก็พบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่...นี่มันน่าแปลกยิ่งขึ้นไปอีก    แต่พอมองไปรอบๆตัวเท่านั้น  ฉันก็ต้องตกใจยิ่งขึ้นไปอีก  

 

 

“นี่มันอะไรกัน?”  ฉันพูดออกมาอย่างไม่เชื่อสายตา 

 

 

ฉันกำลังยืนอยู่ในที่รกร้างว่างเปล่า  พื้นดินมีสีออกทองแดงแลดูเหือดแห้งและไร้ชีวิตชีวาชวนให้รู้สึกห่อเหี่ยวใจเสียเหลือเกิน     ลมก็พัดแรงอยู่ตลอดเวลาจนหอบเอาฝุ่นสีแดงจากพื้นดินขึ้นมาลอยตลบอบอวลไปทั่ว    ไม่มีเครื่องหมายของสิ่งมีชีวิตใดๆอยู่ ณ ที่แห่งนี้เลย   มีเพียงฉันอยู่คนเดียวเท่านั้น    ยิ่งทอดสายตาออกไปไกลเท่าไหร่ก็ยิ่งเห็นเพียงความว่างเปล่า  ภาพที่ได้เห็นทำเอาฉันรู้สึกใจหวิวๆอย่างบอกไม่ถูก    ในที่สุดฉันก็ตัดสินใจออกเดินไปอย่างเงียบๆอย่างไร้ทิศทางโดยหวังว่าจะเจอใครสักคน   หรือเจออะไรสักอย่างที่ไม่ใช่ความว่างเปล่านอกจากฉัน

 

 

ฉันไม่รู้ตัวว่าฉันเดินมาไกลเท่าไหร่แล้ว   หรือนานสักแค่ไหน   สุดท้ายฉันก็อดรนทนไม่ไหวจนต้องออกวิ่ง  ฉันคิดว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาดไปเองว่ามีอะไรตั้งอยู่ไกลออกไป  อะไรบางอย่างที่ไม่ใช่เพียงความว่างเปล่าและไร้ชีวิตแบบนี้   พอฉันวิ่งไปถึงฉันก็ต้องชะงักงันไปกับภาพที่เห็น   ตอนนี้ฉันไม่ได้อยู่เพียงลำพังเสียทีเดียวแล้ว...เบื้องหน้าของฉันมีชั้นวางหนังสือตั้งรายเรียงอยู่เต็มไปหมด  ชั้นหนังสือเหล่านั้นถูกตั้งไว้อย่างเป็นระเบียบและสงบนิ่ง    แต่ในชั้นหนังสือเหล่านั้นกลับไม่มีหนังสือวางอยู่เลยแม้แต่เล่มเดียว  หรือแม้เศษกระดาษก็ตาม   

 

 

ทำไม...ที่แบบนี้ถึงมีของพวกนี้มาอยู่อย่างนี้ได้กันล่ะ?

 

 

ฉันสะดุ้งเฮือก....รู้สึกตัวอีกครั้งฉันก็เข้ามาอยู่ท่ามกลางชั้นวางหนังสือนับไม่ถ้วนซะแล้ว  ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน...?   ฉันได้แต่ออกเดินต่อไป      แน่นอนว่าฉันยังคงไม่รู้ว่าตนเองกำลังจะเดินไปที่ไหน   บางทีฉันอาจจะกำลังหาทางออก หรือบางทีฉันอาจจะกำลังตามหาบางสิ่งบางอย่างอยู่    ยิ่งเดินไปฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าชั้นวางหนังสือก็เริ่มจะเยอะขึ้นเรื่อยๆ   มันวางเรียงเป็นแถวยาวเรื่อยไปราวกับจะไม่มีที่สิ้นสุด

 

 

ดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าส่องแสงจ้าลงมาที่ฉัน  น่าแปลกที่ฉันไม่รู้สึกถึงไอความร้อนจากมันเลย   ฉันยังคงออกเดินไป  ตอนนี้ฉันเริ่มรู้สึกขึ้นมาได้เองแล้วว่าฉันน่าจะกำลังตั้งใจที่จะตามหาบางสิ่งบางอย่างอยู่

 

 

ว่าแต่...มันคืออะไรนะ  แล้วมันอยู่ที่ไหนละ?  มือของฉันลูบไปตามชั้นหนังสือที่ได้เดินผ่านเลยไป  ฉันต้องหามันให้เจอให้ได้  ฉันคิดอย่างมุ่งมั่นแล้วจึงก้าวเดินต่อไป   

 

 

กึก...  แต่อยู่ดีๆสัญชาตญาณบางอย่างก็ทำให้ฉันหยุดเดิน    เมื่อนั้นฉันก็หันไปทางซ้ายมือโดยพลันราวกับต้องมนต์สะกด    ฉันเดินไปทางนั้นโดยที่ไม่รู้สึกลังเลเลยด้วยซ้ำ    จนในที่สุดฉันก็มาหยุดยืนอยู่หน้าชั้นวางหนังสือตัวหนึ่ง     และแล้วฉันก็ได้พบสิ่งที่ฉันตามหา....บนชั้นหนังสือตัวนั้นมีหนังสือเล่มหนึ่งนอนสงบนิ่งอยู่บนชั้น

 

 

ฉันค่อยๆยื่นมือออกไปทำท่าจะหยิบหนังสือเล่มนั้นออกมา   ทำไมหนังสือเล่มนั้นถึงดูคุ้นฉันเสียเหลือเกินนะ  แต่ก่อนที่ฉันจะเอื้อมมือไปแตะมันได้นั้นเอง

 

 

“แอนนาเบลล่าโรวีน่า!” เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้น

 

 

วินาทีนั้นฉันรู้สึกเสียววูบเหมือนกำลังตกลงมาจากที่สูง    ฉันสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ...คราวนี้ฉันรู้ได้ในทันทีว่านี่ไม่ใช่โลกแห่งความฝัน  แต่คือโลกแห่งความจริง   ฉันพบว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในที่แห้งแล้งว่างเปล่านั้นอีกต่อไป...  ไม่มีฝุ่นสีทองแดงนั้น  ไม่มีผืนดินที่ไร้ซึ่งชีวิต  ไม่มีชั้นวางหนังสือ  ไม่มีหนังสือเล่มนั้น   ไม่มี...ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากความฝันแล้วจริงๆ 

 

 

ที่จริงแล้วฉันกำลังนอนอยู่บนเตียงขนาดใหญ่มหึมาต่างหาก    ตัวของฉันยังคงชื้นๆจากสายน้ำเมื่อครู่อยู่แต่ก็มีผ้าห่มคลุมตัวอยู่ช่วยสร้างความอบอุ่นให้กับฉันได้เป็นอย่างดี

 

 

“ชิน...โมโมะ!”    พอนึกถึงสองคนนั้นฉันก็ผุดลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมกับเอามือกุมหน้าอกอย่างอึดอัด  ใจฉันเต้นแรงเหลือเกิน  เต้นแรงราวกับมันจะหลุดออกมางั้นละ    ฉันจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากหายใจอย่างช้าๆและลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้  ฉันต้องทำให้ร่างกายกลับมาเป็นปกติให้เร็วที่สุดซะแล้ว

 

 

“ที่นี่ที่ไหนกัน?” ฉันพูดพร้อมกับเอามือกุมศีรษะเอาไว้     ฉันรู้สึกได้ว่าร่างกายของฉันกำลังกลับมาแข็งแรงขึ้นอย่างช้าๆ   

 

 

ความฝันเมื่อครู่นี้มันคืออะไรกันนะ   ใจของฉันคิดถึงแต่ความฝันเมื่อครู่จนไม่ได้สังเกตสถานที่ที่ฉันอยู่เท่าใดนัก  ฉันหมกมุ่นเสียจนไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่านอกจากฉันแล้วยังมีบุคคลแปลกหน้าอีกคนอยู่ด้วย

 

 

“ตื่นแล้วเหรอ  ฝันร้ายรึไง?” เสียงของชายหนุ่มทำให้ฉันพึ่งสังเกตเห็นว่าเขาอยู่ในห้องด้วย  ฉันตะลึงมองเขา  ส่วนฝ่ายตรงข้ามก็เอาแต่จ้องฉันนิ่ง 

 

 

เขาเป็นชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่ง ใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นคงมีอายุพอๆกับฉัน  ผมสีทองอ่อนและดวงตาสีดำสนิท   รูปร่างผอมสูงจนดูเหมือนจะถูกลมพัดปลิวไปได้ทุกเมื่อ   เขานั่งอยู่ที่เก้าอี้ริมหน้าต่างด้วยท่าทางที่สง่างามและอยู่ในชุดหรูหราที่บ่งบอกถึงฐานะ    สายตาของเขาดูเย็นชาต่อทุกสิ่ง  ริมฝีปากบางเฉียบ   แต่ที่สะดุดตาฉันที่สุดก็คงจะเป็นผ้าคลุมของเขา  ใส่เสื้อคลุมแบบนั้น....เขาเป็นพ่อมดงั้นหรือ

 

 

“คุณเป็นใคร?  แล้วที่นี่ที่ไหน?” ฉันถาม  พยายามระวังฝ่ายตรงข้ามอย่างสุดความสามารถ  ถึงตอนนี้จะทำอะไรไม่ได้มากแล้วก็เถอะ 

 

 

“ที่นี่คือปราสาทแห่งมิดไนท์   ตอนนี้เธอรู้สึกเป็นยังไงบ้างล่ะ?”  ชายหนุ่มผู้นั้นไม่ยอมตอบคำถามข้อแรก     เขาหยิบถ้วยชาด้วยนิ้วมืออันเรียวยาวนั้นแล้วจิบมันช้าๆอย่างสบายอารมณ์  ชาถ้วยนั้นส่งกลิ่นหอมกรุ่นจนท้องฉันแทบร้อง

 

 

“ฉันถูกจับ...  ใช่แล้ว!”  ในที่สุดฉันก็จำเหตุการณ์ตอนสุดท้ายบนเรือได้  “ชินกับโมโมะล่ะ?” ฉันแทบจะตะโกนใส่หน้าชายแปลกหน้าคนนั้น

 

 

“อ๋อ พวกเพื่อนร่วมทางของเธอนะเหรอ?” เขาลงมือชงชาในถ้วยอีกใบหนึ่ง ท่าทางดูใจเย็นผิดกับฉัน  “พวกเขาหนีไปได้  เดี๋ยวก็คงจะมาช่วยเธอละมั้ง”   พูดจบเขาก็ยื่นชาถ้วยนั้นให้กับฉัน    ฉันเอื้อมมือไปรับไว้อย่างงงๆ

 

 

“ตกลงว่าคุณเป็นใครกันแน่?”

 

 

“ดื่มชาสิ...  ฉันรู้ว่าเธอกำลังต้องการมัน  มันจะทำให้เธอรู้สึกดีขึ้น  รับรองชาถ้วยนั้นไม่มียาพิษอยู่หรอกน่า”

 

 

ฉันจ้องมองชาในถ้วย   มันส่งกลิ่นหอมกรุ่นน่าเย้ายวนใจ  แต่ฉันก็ยังรู้สึกไม่วางใจอยู่ดี

 

 

“ดื่มเถอะ  ถ้าเธออยากมีแรงหนีละก็...” เขาดื่มชาของเขา แล้วพูดกับฉันอีกครั้งนึง

 

 

ในที่สุดฉันก็จิบชานั้นเข้าไปจนได้   เพียงฉันจิบครั้งแรก ฉันก็รู้สึกสดชื่นขึ้น  ฉันกลั้นใจดื่มมันไปแค่ครึ่งถ้วยก่อนจะวางถ้วยลง    ชานั้นมันทำให้ฉันผ่อนคลายได้จริงๆ

 

 

“เธอรู้รึยังว่าอะไรคือภารกิจของเธอ?”  ชายแปลกหน้าเอ่ยถามออกมาแบบตรงๆ

 

 

“คุณรู้ว่าฉันเป็นผู้ถูกเลือก”  ฉันรู้สึกไม่วางใจคนๆนี้ขึ้นมาอีกครั้ง  แต่ไม่รู้ว่าจะหนีไปอย่างไร  ฉันเดาอารมณ์เขาไม่ถูก...ไม่น่าวางใจ  แต่ก็ช่วยฉันเอาไว้  เป็นคนอันตรายหรือเปล่า?

 

 

“แน่สิ  ข่าวเรื่องของเธอน่ะ ใครๆก็รู้กันทั้งนั้น”

 

 

ฉันนิ่งเงียบ

 

 

“เธอยังไม่รู้สินะว่าอะไรคือภารกิจของเธอ?”  ฉันพยักหน้าเบาๆในที่สุด

 

 

เขายิ้ม    น่าแปลก...เวลาที่เขายิ้มชายหนุ่มคนนี้ก็ดูเหมือนจะอ่อนโยนขึ้นมาในทันที

 

 

“นั้นสินะ  ไม่ค่อยมีใครรู้ภารกิจของตนหรอก  จนกว่าจะทำมันไปแล้ว”

 

 

“ทำไมกัน?”

 

 

“มันซับซ้อน  เทพธิดาชอบให้เป็นอย่างนั้น”

 

 

“นายรู้ว่าเทพธิดาคือใครอย่างนั้นหรือ?”

 

 

“ไม่มีใครคือเทพธิดาหรอก   เทพธิดาก็คือเทพธิดาเองนั้นแหละ”

 

 

“เอ๊ะ....”  ฉันอุทานออกมา

 

 

“อย่าไปกังวลเรื่องนั้นเลย  เธอน่ะ....ทำไมถึงตัดสินใจมาที่ยูโทเปียละ?”

 

 

“ฉัน...ฉันคงกำลังตามหาอะไรบางอย่างอยู่ละมั้ง”  ฉันคิดอย่างนั้น  ว่าแต่..มันคืออะไรล่ะ?   แล้วทำไมฉันถึงตอบคำถามของผู้ชายคนนี้ได้อย่างง่ายดายนักนะ

 

 

น่าแปลกคำตอบของฉันทำให้เขายิ้มออกมาได้  “รู้หรือเปล่า  ว่าฉันนะก็เป็นนักเวทย์เหมือนกับเธอนั้นแหละ”

 

 

“ว่าไงนะ แล้วผ้าคลุมนั้น...”

 

 

“หึ   แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะต้องอยู่ฝ่ายเดียวกับเธอหรอกนะ”

 

 

“เอ๊ะ...?”

 

 

“พลังของเธอคือควบคุมกระดาษได้อย่างอิสระเลยสินะ”

 

 

“คุณเป็นใครกันแน่?” อยู่ดีๆฉันก็รู้สึกกลัวชายหนุ่มตรงหน้าขึ้นมา  ฉันอ่านไม่ออกจริงว่าคนตรงหน้าต้องการอะไรกันแน่

 

 

“ใครๆก็เรียกฉันว่า เดอะ มิลเลอร์”

 

 

“มิลเลอร์  กระจก หมายความว่า....”

 

 

“ใช่ ฉันคือผู้ควบคุมกระจกยังไงล่ะ   แอนนา เบลล์ผู้ควบคุมกระดาษ”

 

 

“แต่คุณกำลังจะบอกว่าคุณอยู่กับฝ่ายพ่อมดแม่มดงั้นหรือ?”

 

 

“ใช่...”

 

 

“ทำไมกัน”

 

 

“ฉันเพียงแต่ทำตามสิ่งที่ เดอะ เปเปอร์  ต้องการเท่านั้น!”

 

 

“เดอะเปเปอร์!  หมายความว่านอกจากฉันแล้วยัง.....”  คำพูดของเดอะมิลเลอร์สั่นคลอนหัวใจฉันได้อย่างใหญ่หลวง

 

 

“ไม่หรอก เดอะ เปเปอร์ มีอยู่คนเดียวเท่านั้น  คนๆนั้นก็สามารถควบคุมกระดาษได้เหมือนเธอ”

 

 

“เอ๊ะ  แต่ว่า...”  เท่าที่ฉันรู้มาพลังของนักเวทย์ของแต่ละคนจะแตกต่างกันนี่หน่า

 

 

“เธอน่ะยังไม่ใช่ เดอะ เปเปอร์ หรอกนะ”

 

 

“แต่ฉัน...”

 

 

“เทพธิดาส่งเธอมา  พลังของเธอคือสิ่งที่เทพธิดามอบให้   ท่านคงหวังอะไรบางอย่างจากเธอละมั้ง  แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นกฎก็ยังต้องเป็นกฎ...”

 

 

“ว่าไงนะ!”

 

 

“ตราบใดที่เธอยังคงใช้พลังควบคุมกระดาษ  ในไม่ช้าวันแห่งการตัดสินก็จะมาถึง”

 

 

“วันแห่งการตัดสิน?”

 

 

“ใช่....แต่นั้นมันยังคงอีกยาวไกลกว่าเธอจะได้พบกับเดอะ เปเปอร์”

 

 

“พบกับเดอะ เปเปอร์” นี่มันเรื่องอะไรกันแน่เนี่ย  จู่ๆฉันก็รู้สึกมึนหัวขึ้นมาอีกครั้งซะแล้วสิ

 

 

ชายหนุ่มคนนั้นหันมองออกไปนอกหน้าต่างปล่อยให้ความเงียบเข้ามาครอบคลุมเราทั้งสองอยู่ชั่วเวลาหนึ่ง ก่อนที่จะเอ่ยขึ้นว่า “อันที่จริง  ฉันก็รอคอยการมาของเธออยู่เหมือนกันนะ”

 

 

“เอ๊ะ?”

 

 

“ตอนแรกที่ฉันรู้ว่าเธอคือผู้ถูกเลือกน่ะ  ฉันตกใจมากๆเลย  ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ”

 

 

“คุณหมายความว่าไง?”  เขาตอบฉันด้วยเพียงแค่รอยยิ้มเท่านั้น   รอยยิ้มนั้นเหมือนเขากำลังยิ้มให้กับใครอีกคนที่ไม่ใช่ฉัน

 

 

“คุณกำลังทำให้ฉันสับสน” ฉันพูดตามความรู้สึก   จริงๆแล้วฉันมาทำอะไรที่นี่กันแน่เนี่ย

 

 

“ขอโทษนะ”  น้ำเสียงของเขาฟังดูอ่อนโยน

 

 

วินาทีนั้นฉันเงยหน้ามองเดอะ มิลเลอร์ตรงหน้าด้วยความรู้สึกหลากลายจนบอกไม่ถูก

 

 

 

**********

 

 

 

“พวกพ่อมดแม่มดเต็มไปหมดเลยแฮะ”  ชินพูดขึ้นอย่างหนักใจ  ตอนนี้เขาและโมโมะกำลังยืนงงเหมือนหลงทางอยู่ตรงรั้วอันสูงใหญ่ของปราสาทแห่งมิดไนท์

 

 

“ทำไงดีละชิน  บุกเข้าไปซึ่งๆหน้าเลยไหม?”  โมโมะแนะนำ

 

 

“เรามีกันแค่สองเองนะ...ในนั้นนะทหารแล้วก็พวกพ่อมดแม่มดอีกนับไม่ถ้วน   ขืนเข้าไปแบบไม่มีการวางแผนก็จบเห่กันพอดี”  ชินส่ายหน้า   จะว่าไปแล้วการที่เขากับโมโมะรอดจากวงล้อมของทหารพวกนั้นมาได้ก็ถือว่าโชคเข้าข้างแล้ว  นี่จะให้บุกเข้าปราสาทมิดไนท์เนี่ยนะ   ชินลอบถอนใจออกมาอย่างจนปัญญา

 

 

“โมโมะ  คราวนี้เธอคงต้องฟังฉันแล้วล่ะ  พวกเราคงบุกตรงๆไม่ได้นอกจากลอบเข้าไปภายในโดยไม่ให้ใครไหวทัน   ฉันคงต้องแอบเข้าไปคนเดียวซะด้วย  ถ้าฉันใช้เงาคงจะพอแอบเข้าไปได้  ระหว่างนั้นเธอก็เรียกร้องความสนใจพวกทหารเอาไว้  เข้าใจไหม?”   ชินพูดด้วยน้ำเสียงเงียบขรึม

 

 

โมโมะนิ่งไปอึดใจใหญ่แล้วจึงต้องพยักหน้าอย่างจำยอม   แต่ก่อนที่ทั้งสองจะทำอะไรต่อไปนั้นเอง...ทั้งสองก็สัมผัสได้ถึงพลังแปลกปลอม   ชินกับโมโมะเตรียมตัวต่อสู้ทันที    แต่ทว่าเงาดำที่ซ่อนตัวอยู่กลับปรากฏตัวต่อหน้าทั้งสองก่อนจะคุกเข่าลงด้วยความเคารพ     นาทีนั้นชินกับโมโมะได้แต่ยืนมองด้วยความตะลึงงัน

 

 

  “เจ้าชายชิน!  กระผมเองครับ”  เสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งก็ดังขึ้นจากใต้ผ้าคลุมสีดำสนิทนั้น 

 

 

ชินขมวดคิ้วด้วยความประหลาใจสุดขีด   จะว่าไปชายหนุ่มก็รู้สึกว่าน้ำเสียงนั้นฟังดูคุ้นหูอย่างน่าประหลาด   แม้จะยังไม่เข้าใจอะไรแต่เขาก็ส่งสัญญาณให้โมโมะถอยไปเบื้องหลังก่อนจะค่อยๆลดมือลงพลางมองบุรุษแปลกหน้าในเสื้อคลุมด้วยความไม่ไว้วางใจ

 

 

“นายเป็นใครกันแน่?”

 

 

“ใช่เจ้าชายจริงๆด้วย    ผมเองครับ มาริคไง”  คราวนี้ชายในชุดคลุมก็เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงดีใจ   เขาพูดพร้อมกับถอดหมวกฮู้ดออก

 

 

เมื่อนั้นหน้าของชินแปรเปลี่ยนเป็นความยินดีโดยพลัน “มาริคหรือ....  ใช่เจ้าจริงๆรึนี่  เจ้ามาทำอะไรที่นี่...เจ้าเป็นผู้ติดตามคนสำคัญของอาเรนสหายเราไม่ใช่หรือไง?”

 

 

“โอ้เจ้าชาย....เจ้าชายอาเรนเองก็ประทับอยู่ที่นี่    หลังจากที่เข้าชายหนีไปท่านอาเรนเป็นห่วงท่านมาก  ข้าดีใจเหลือเกินที่พบตัวท่านแล้ว”

 

 

“อาเรนอยู่ที่นี่งั้นรึ?” ใบหน้าของชินเผยยิ้มกว้าง

 

 

“ขอรับ  พระองค์อยู่ในปราสาท...หลังจากได้ข่าวว่ามีนักเวทย์ลอบเข้ามาในเมือง  ท่านก็ให้กระผมลองออกลาดตระเวณในเมืองดู  ไม่น่าเชื่อจริงๆว่ากระผมจะมาพบเจ้าชายเข้าแบบนี้”

 

 

“ฉันก็ดีใจจริงๆที่ได้เจอนาย...มาริค  โดยเฉพาะเมื่อได้รู้ว่าอาเรนอยู่ที่นี่ด้วยฉันก็ยิ่งโล่งอก   แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เราจะมาดีใจหรอกนะ   ฉันกำลังมีเรื่องที่ต้องการความช่วยเหลือโดยเร็วที่สุด!” ทันใดนั้นใบหน้าของชินก็กลับมาเคร่งเครียดอีกครั้ง   แต่ยังคงมีรอยยิ้มที่ผุดขึ้นจากความหวังปรากฏอยู่

 

 

“ขอรับ?” มาริคทำหน้าประหลาดใจ

 

 

 

**********

 

 

 

“แล้วหลังจากนี้เธอจะทำอย่างไรกับฉันล่ะ?  เธอบอกได้หรือเปล่าว่าพวกนั้นต้องการจับฉันมาทำไมกัน?” หลังจากความเงียบที่ยาวนาน  ฉันก็ตัดสินใจว่าถึงเวลาที่ต้องทำลายมันลงแล้ว 

 

 

“พวกนั้นคงตั้งใจจะส่งไปให้ดาร์คอาเธอร์ละมั้ง...” เดอะมิลเลอร์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสบายๆ  ฉันเงียบไป  ชีวิตฉันจะเป็นยังไงต่อไปละเนี่ย

 

 

“เมื่อครู่เธอฝันว่าอะไรงั้นหรือ?” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น  ฉันที่เกือบจะลืมความฝันนั้นไปแล้วชะงักไปเล็กน้อย  ด้วยคำพูดของเขาตอนนี้ภาพความฝันของฉันก็กลับมาชัดเจนขึ้นอีกครั้ง

 

 

“ไม่รู้สิ  ตามหาหนังสือละมั้ง” ฉันเผลอตอบความจริงออกไปอีกแล้ว  บ้าจริง...

 

 

“หนังสือ...” เขาเอ่ยทวนเบาๆ ก่อนจะหยิบอะไรสักอย่างออกมาจากเสื้อคลุม

 

 

“จะว่าไปนี่หนังสือของเธอหรือเปล่า...”

 

 

ฉันเบิกตากว้าง  ในมือของเขามีสมุดบันทึกของฉันอยู่ “เอาคืนมานะ!”  เขาส่งคืนมันให้กับฉันโดยดี   ฉันกอดสมุดบันทึกของฉันเอาไว้แน่น

 

 

“นายคงไม่ได้แอบอ่านใช่ไหม”  ฉันถามด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก

 

 

“ไม่หรอก ถึงจะยังไงก็ตามฉันก็เป็นสุภาพบุรุษนะ”

 

 

ฉันหัวเราะ  ดูเหมือนเขาก็ไม่ได้เย็นชาอย่างที่เห็นภายนอกเท่าไหร่หรอกนะ

 

 

“รอหน่อยแล้วกันนะ”  จู่ๆเขาก็พูดขึ้น

 

 

“ว่าไงนะ”  ฉันเอียงคอมองเขาอย่างประหลาดใจ

 

 

“อีกไม่นาน  เพื่อนๆของเธอก็คงจะมาช่วยเธอแล้วล่ะ”

 

 

“ชินกับโมโมะนะเหรอ?”  ฉันทำท่าจะลุกออกไปจากเตียง

 

 

“อย่าลุกเลย  เธออยู่อย่างนั้นน่าจะดีกว่านะ  ตอนนี้ยังพอเหลือเวลาอยู่ระหว่างนี้ฉันกับเธอคงจะได้สนทนากันอีกเล็กน้อย”  น้ำเสียงกึ่งบังคับนั้น  ทำให้ฉันต้องนั่งลงบนเตียงดั่งเดิม  ภายในใจเริ่มกระสับกระส่าย

 

 

“เธอคิดว่าสิ่งที่เธอกำลังทำอยู่เป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือเปล่า?”  เขาถาม

 

 

“อืม”  ฉันตอบเบาๆ  ฉันเองก็ยังไม่ค่อยมั่นใจนักหรอก

 

 

“ทำไมล่ะ?”  เดอะมิลเลอร์ถามต่อ

 

 

“ฉันรู้สึกว่าพวกพ่อมดแม่มดทำเกินไปมายึดอำนาจคนอื่นแบบนั้น  ฆ่าพวกนักเวทย์ที่บางคนก็ไม่ได้มีความผิด  การกระทำของพวกเขาทำให้คนมากมายต้องเดือดร้อน”

 

 

“แต่พวกนักเวทย์ก็กดขี่เหล่าพ่อมดแม่มดมานานกว่าหลายร้อยปีแล้วนะ”

 

 

“.....”

 

 

“เธอไม่คิดบ้างเหรอว่า นี่เป็นเวลาสมควรที่จะเปลี่ยนยุคได้แล้ว”

 

 

“คุณเองก็เป็นนักเวทย์แท้ๆ  แต่ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ”

 

 

“ฉันคิดว่าเราควรมองสถานการณ์ตามความเป็นจริง  มากกว่าจะมองว่าตอนนี้เราเป็นอะไรนะ”

 

 

“แต่เท่าที่ฉันเห็น  ถึงนักเวทย์จะเป็นใหญ่ก็จริงแต่เขาก็ไม่ได้ทำอะไรที่รุนแรงถึงขนาดนี้เลยนะ  เรื่องก่อสงครามน่ะ”

 

 

“ไม่รุนแรงงั้นรึ  ดูตำนานของมิดไนท์สิ...เธอคิดว่ามันสมควรแล้วรึไง   บางทีความเคียดแค้นที่หยั่งลึกมานานก็อาจจะสาสมแล้วก็ได้นะ”

 

 

“ไม่ใช่! ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น”  ฉันพูดเสียงดัง “เรื่องนี้ไม่ว่านักเวทย์หรือพ่อมดแม่มดต่างก็ผิดด้วยกันทั้งนั้น    แต่การแก้แค้นยังไงก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอยู่ดี”

 

 

“ก็อาจจะจริงอย่างเธอว่า...”  เขาจิบชา  “แต่ปัญหาพวกนี้คงจะให้คนเพียงคนเดียวแก้ไขไม่ได้หรอกนะ”

 

 

“หากสงครามครั้งนี้จบลง  ฉันก็หวังว่าทั้งนักเวทย์และพ่อมดแม่มดจะสามารถอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข”

 

 

“หวังอะไรที่มันยิ่งใหญ่จริงนะ   หรือว่านี่เป็นความหวังของเทพธิดากัน”

 

 

“ฉันก็แค่พูดไปตามที่ฉันคิดเท่านั้น”

 

 

“บางทีถ้าเธอได้ไปที่โอเวอร์โซลเธออาจจะได้คำตอบก็ได้นะ”

 

 

“โอเวอร์โซล...” ฉันทวนชื่อนั้นเบาๆ   ใบหน้าของชายหนุ่มผ่อนคลายลง  เขาลุกยืนขึ้นก่อนจะทอดมองสายตาออกไปยังท้องฟ้านอกหน้าต่าง  ค่ำคืนที่เป็นนิรันดร์แห่งมิดไนท์

 

 

“คุณมีชื่อไหมคะ?”  ฉันถามขึ้น  แววตาเศร้าๆคู่นั้น  ฉันอยากรู้จักชายหนุ่มคนนี้มากขึ้นกว่านี้

 

 

ชายหนุ่มยิ้ม

 

 

ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นทันที

 

 

“หมดเวลาซะแล้วสิ...ฉันคงต้องไปแล้ว” เดอะ มิลเลอร์หันกลับมาสะบัดผ้าคลุมอย่างสง่างาม ก่อนที่จะทำการคำนับฉันอย่างนอบน้อม

 

 

“เอ๊ะ!” ฉันร้องออกมาอย่างตกใจ

 

 

“เราจะได้พบกันอีกในไม่ช้า”  นั้นเป็นคำพูดสุดท้าย  ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มผู้นั้นจะค่อยๆเลือนหายไป    ประตูก็ถูกพังเข้ามาทันที    พร้อมๆกับที่ชิน  โมโมะ  และชายแปลกหน้าอีกสอง คนถลาเข้ามาภายในห้อง

 

 

 

**********

 

แหะๆ.....วีคนี้เรามาอัพเดทช้าไปหน่อย Sorry Sorry น๊า...  ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์มากๆเลย  เราจะพยายามเขียนออกมาให้ดีที่สุดนะ    ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันอีกทีจ้า 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
6.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา