Tale of Utopia

6.9

เขียนโดย The_Paper

วันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 เวลา 18.12 น.

  15 บท
  8 วิจารณ์
  19.51K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2556 12.54 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

7) บทที่ 6 เดอะลาสเดสติเนชั่น

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 6 เดอะลาสเดสติเนชั่น

 

“เธอเต้นรำเก่งออกขนาดนี้  ฉันไม่เคยรู้เลย”  ชินพูดเบาๆด้วยกระซิบอยู่ที่ข้างหูของฉัน     นั้นทำให้ฉันรู้สึกราวกับล่องลอยอยู่ในความฝัน

 

 

“คุณแม่ท่านสอนฉันน่ะ”  ฉันตอบพลางนึกน้อยไปถึงอดีตภาพของคุณพ่อและคุณแม่เต้นรำร่วมกันผุดขึ้นมาในความทรงจำของฉัน  

 

 

ทำไมระยะนี้ฉันจึงคิดถึงท่านทั้งสองมากเสียเหลือเกินนะ

 

 

ชินคงอ่านสายตาของฉันออก  เขาหยุดเต้น “เธอคงคิดถึงท่านทั้งสองมากเลยล่ะสินะ”

 

 

“เอ๊ะ..” ฉันแปลกใจ “อืม... ฉันคิดถึงพวกท่านมาก  แต่ฉันคงไม่มีวันได้พบพวกท่านแล้วล่ะ”

 

 

“หมายความว่าไงกัน หรือว่า...”

 

 

“อืม....ทั้งคุณพ่อคุณแม่ท่านก็เสียชีวิตไปหลายปีแล้วล่ะ”

 

 

“แล้วตอนนี้เธออยู่กับใคร...ตอนที่เธออยู่ที่โลกของเธอเอง  พี่น้องอย่างนั้นหรือ?”  ชินถามด้วยความสงสัย

 

 

“ไม่มีใครนอกจากฉันหรอก อย่าทำหน้าแปลกใจแบบนั้นสิ...ฉันก็อยู่คนเดียวไงล่ะ  เมื่อก่อนฉันอยู่กับคุณยายสองคน   แต่ท่านก็พึ่งจะเสียไปเมื่อเร็วๆนี้เอง  จากนั้นมาฉันก็เลยต้องอยู่คนเดียวมาโดยตลอด”

 

 

“ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลย  ขอโทษนะที่ทำให้เธอต้องคิดถึงเรื่องไม่สบายใจ”  ชินโอบกอดฉันเอาไว้  ความอ่อนโยนของชินทำให้ฉันอดที่จะเผยความอ่อนแอของตัวเองออกมาไม่ได้  ฉันร้องไห้ออกมาเงียบๆ แต่คราวนี้มันใช้เวลาไม่นานนักกว่าที่จะหยุดมัน

 

 

“มาเถอะ...” อยู่ดีๆเขาก็พูดขึ้น  พร้อมกับรั้งฉันเอาไว้ในอ้อมแขน

 

 

“อะไรนะ...” ฉันถาม

 

 

“ฉันมีที่ที่หนึ่งที่อยากจะให้เธอไปเห็นน่ะ  มาด้วยกันสิโมโมะ”

 

 

โมโมะหันหลังกลับมามองด้วยความแปลกใจ  “ฉันไม่ไปด้วยดีกว่า ฉันคิดว่า....”

 

 

“ไม่เอาหน่า  มาด้วยกันเถอะ”  เขากล่าวย้ำ น้ำเสียงของชินฟังดูหนักแน่นและจริงใจ

 

 

“แต่...”

 

 

ฉันยิ้ม “ฉันไม่รู้หรอกนะว่าชินจะพาฉันไปที่ไหนกัน         ถ้าฉันจะไปละก็  แน่นอน....ฉันอยากให้เธอไปด้วยกันนะโมโมะ”

 

 

โมโมะหมดความลังเลใจไปในทันที  มันกระโดดขึ้นมาบนไหล่ของฉันพร้อมรอยยิ้ม  แล้วชินก็ทำเหมือนอย่างที่เคย...  เขากลายร่างเป็นเงาแล้วจึงหอบร่างของฉันและโมโมะไปด้วยกัน

 

 

มันเป็นความรู้สึกที่ชวนคิดถึงอย่างบอกไม่ถูก  เหมือนกำลังอยู่บนสายลมที่พัดผ่านสิ่งต่างๆไปอย่างรวดเร็วจนมองเห็นเป็นเพียงแค่ภาพลางๆ   ฉันพอจะรับรู้ได้ลางๆว่าชินกำลังพาพวกฉันเข้ามาในป่าที่ไหนสักแห่งหนึ่ง  ต้นไม้สีเขียวเข้มอยู่รอบตัวของเรา   เรากำลังเคลื่อนที่ไปยังที่สูงขึ้นเรื่อยๆ  ชินกำลังพาพวกเราขึ้นที่สูงงั้นหรือ  ฉันคิดอย่างสงสัย    นึกถึงอดีตอยู่เหมือนกัน...ครั้งแรกที่เดินทางไปกับชินเราก็เดินทางกันด้วยวิธีละสินะ....

 

 

ทันใดนั้นกลิ่นหอมเย็นของดอกไม้ชนิดหนึ่งก็ลอยมากระทบนาสิกประสาทของฉันเข้าอย่างจัง   ชินค่อยๆเคลื่อนที่ช้าลง   และแล้วฉันก็รับรู้ถึงกระแสลมเย็น  ชินหยุดอยู่กับที่แล้ว  ฉันผละออกจากอ้อมกอดของชินพร้อมกับมองไปรอบๆอย่างตื่นตาตื่นใจ   มันเป็นที่ตั้งของซากปรักหักพังแห่งหนึ่ง   ซากปรักหักพังของสถานที่ที่ไหนสักแห่งที่เคยงดงามในอดีต

 

 

เหตุใดกันนะที่ทำให้ความงดงามนั้นต้องกลายเป็นอดีตไป   แต่ดูเหมือนจะมีบางสิ่งมาทดแทนความงดงามที่เลือนหายไปแล้วล่ะ   รอบๆซากปรักหักพังนั้นเต็มไปด้วยดอกไม้สีขาว  ดอกไม้เหล่านั้นให้กลิ่นหอมฟุ้งกระจายไปทั่ว  กลีบดอกสีขาวของมันลอยละล่องไปในอากาศยิ่งแผ่กลิ่นหอมของมันให้ขจรขจายขึ้นไปอีก

 

 

“สวยจังเลย  ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามีสถานที่แบบนี้อยู่ด้วย”  ฉันรำพึงขึ้น นึกถึงทุ่งพีโอนีขึ้นมาในทันที  ถึงจะเป็นทุ่งดอกไม้เหมือนกัน  แต่กลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันมากเสียเหลือเกิน

 

 

ทุ่งพีโอนีทำให้รู้สึกร่าเริง สดใส มีชีวิตชีวา  แต่สำหรับทุ่งดอกไม้สีขาวที่อยู่ตรงหน้านี้กลับทำให้ฉันรู้สึกสงบ  และรู้สึกเศร้าขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

 

 

“หอมจัง!” โมโมะกล่าวขึ้น  มันกระโดดลงจากไหล่ของฉันไปก่อนจะวิ่งไล่ผีเสื้อที่บินมาเกาะดอกไม้อย่างสนุกสนาน

 

 

“มันคือดอกไอริส..”ชินกล่าว   เขาเก็บดอกไอริสที่ร่วงอยู่กับพื้นขึ้นมาก่อนจะบรรจงเสียบมันลงบนเรือนผมของฉัน

 

 

“เข้ากับชุดเธอดีนะ”  เขาพูด  “จริงสิ  ฉันยังไม่ได้บอกเธอเลย ว่าวันนี้เธอสวยมาก สวยมากจนฉันจำแทบไม่ได้”

 

 

ฉันยิ้มพลางก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย “ขอบใจนะ”

 

 

“ที่ที่ฉันจากมาก็มีดอกไอริสเหมือนกัน  แต่ไม่เหมือนกันหรอกนะ  เรียกว่าคล้ายกันจะดีกว่า”

 

 

“แล้วเธอชอบมันไหม?”

 

 

“ชอบสิ  ขอบคุณที่พานะชิน”

 

 

“ฉันเห็นเธอไม่ค่อยจะสบายใจเลย   ตั้งแต่ที่เราเดินทางออกจากมิดไนท์มา  รู้หรือเปล่าว่าฉันเป็นห่วงเธอมาโดยตลอด  เกิดอะไรขึ้นตอนที่เธอถูกจับไปหรือเปล่า”  ชินเอื้อมมือมาแตะปลายผมของฉัน

 

 

ฉันหน้าแดง…. ทำไมวันนี้ชินถึงอ่อนโยนกับฉันมากถึงเพียงนี้     เขาให้ความสำคัญกับฉันขนาดนี้  เพราะอะไรกันแน่นะ….

 

 

“ขอบคุณที่เป็นห่วงนะ   แต่ไม่มีอะไรหรอก  ฉันไม่เป็นไรจริงๆ”  ฉันโกหกแต่ก็ไม่ทั้งหมดเสียทีเดียว

 

 

“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีแล้วล่ะ”

 

 

“ชิน....”  ฉันเรียกเขา  ฉันต้องถามเขา

 

 

“หืม?”

 

 

“เรื่องชินกับแคทเธอรีนน่ะ....” ฉันรู้สึกใจหาย  ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าฉันกลัวว่าชินจะพูดยังไงกลับมาเสียแล้ว

 

 

ชินเงียบไปครู่ใหญ่  เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าก่อนจะหันกลับมาสบตาของฉัน

 

 

“เรื่องการหมั้นน่ะเป็นเรื่องที่ทางผู้ใหญ่เขาจัดการกันเองทั้งนั้น        ฉันถูกหมั้นตั้งแต่ตอนที่ยังเด็กมากจนแทบจำความไม่ได้ด้วยซ้ำ    ท่านพ่อท่านแม่ของพวกเราสนิทสนมกันมากจึงทำให้ฉันกับแคทเธอรีนรู้จักกันตั้งแต่เด็กๆรวมทั้งอาเรนด้วยนะ    เขาเองก็เป็นเพื่อนสมัยเด็กของฉันคนหนึ่งเหมือนกัน   สำหรับฉันแล้ว....แคทเธอรีนก็เป็นเหมือนน้องสาวของฉันคนหนึ่ง   เป็นคนที่ฉันจะต้องปกป้องและดูแลอีกคนหนึ่ง”

 

 

ฉันและชินต่างก็เงียบไป   ฉันรู้สึกโล่งใจอย่างประหลาด  แต่นั้นก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลยไม่ใช่หรือ….

 

 

“ถ้าเรามีเวลาเหลือน้อยลงทุกที    ชินจะทำยังไงกับเวลาที่เหลืออยู่เหล่านั้นเหรอ?”  ฉันเอ่ยถาม  ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงเอ่ยถามออกไปแบบนั้น

 

 

เขารั้งฉันเข้ามาใกล้ขึ้นอีก  ตอนนี้ใบหน้าของเราทั้งสองคนห่างกันไม่ถึงคืบ   มือทั้งสองข้างของชินกุมไหล่ทั้งสองข้างของฉันเอาไว้แน่น

 

 

“ก็ต้องใช้เวลาเหล่านั้นให้คุ้มค่านะสิ!”  เขาตอบอย่างหนักแน่น

 

 

ฉันมองตาเขา  แล้วก็ต้องเป็นฝ่ายที่หลบตาไปเพราะความรู้สึกภายในกำลังก่อตัวขึ้น

 

 

“สักวันถ้าฉันต้องกลับไปยังโลกที่ฉันจากมาจริงๆ  ชินจะ...”

 

 

“อย่าพูดอะไรอีกเลย” ชินไม่รอให้ฉันพูดจบ

 

 

เขาก้มหน้าลงมา ตอนนั้นเองริมฝีปากของเราทั้งสองก็สัมผัสกัน   ฉันเบิกตากว้าง  นี่คงเรียกได้ว่าเป็นจูบแรกของฉัน   กลิ่นของดอกไอริส....ความรู้สึกนี้ทำให้ฉันนึกอยากหยุดเวลาเอาไว้ตลอดกาล   ใจหนึ่งของฉันบอกว่านี่มันไม่ถูกต้อง   แต่อีกใจหนึ่งกลับตะโกนก้องออกมาว่า  ฉันไม่สนใจอะไรอีกต่อไปแล้ว นี่อาจจะเป็นสิ่งที่ฉันต้องการจริงๆก็เป็นได้   “ใช้เวลาให้คุ้มค่า” เพียงแค่คำพูดประโยคนั้น  ฉันก็พริ้มตาหลับลงแล้วขยับตัวเข้าไปเพื่อให้สัมผัสนั้นชัดเจนยิ่งขึ้น   ฉันตอบรับเขา

 

 

ชิน....เขาไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่กันแน่    บางทีเขาอาจจะยังไม่พร้อมสำหรับความจริง   ตอนนี้เขาต้องการเพียงแค่ให้ได้อยู่ในโลกแห่งความฝันนี้ต่อไปได้อีกหน่อยเท่านั้น  เขาชะงักเมื่อเขาได้สัมผัสเธออย่างแผ่วเบา  มันเป็นสัมผัสที่ยากจะลืมเลือน  เขาจะทำอย่างไรต่อไปดี   ความรู้สึกเต็มเปี่ยมที่อยู่ในหัวใจของเขาในตอนนี้เขานั้นก็ยังไม่สามารถอธิบายมันได้   เขาไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์อย่างนี้มาก่อน

 

 

แต่แล้วการตอบรับของเธอก็ทำให้เขาเลิกคิดถึงเรื่องใดๆ  เลิกคิดถึงสิ่งที่อาจจะตามมาในภายหลังไปจนหมดสิ้น  ไม่คิดถึงสิ่งอื่นใด   เขาโอบกอดเธอให้แน่นกระชับยิ่งขึ้น  ก่อนที่จะขยับริมฝีปากไปอย่างอ่อนโยน  เขาทำให้ริมฝีปากของเธอเผยออก   ชายหนุ่มอาศัยจังหวะนั้นเข้าประกบริมฝีปากของเธอด้วยริมฝีปากของเขาอย่างแนบแน่น   มันช่างเป็นจูบที่อ่อนโยน  หอมหวาน  และเนิ่นนานกว่าที่เขาคิดไว้  ในไม่ช้าปลายลิ้นของทั้งสองก็สัมผัสกันอย่างแผ่วเบา  

 

 

นี่...พวกเราทั้งสองคนมากันไกลเกินไปหรือเปล่านะ

 

 

กึ่ง กึ่ง กึ่ง เสียงตีระฆังของหอนาฬิกาที่ตั้งอยู่ใจกลางอาณาจักรดังขึ้นเป็นจังหวะบ่งบอกถึงเวลาของมัน   เสียงนั้นดังขึ้นราวกับจะเตือนสติทั้งสองเอาไว้  ยามเที่ยงคืนมาเยือนทั้งสองแล้ว  ชินกับฉันผละออกจากกันอย่างช้าๆ  ฉันค่อยๆลืมตาตื่นพลางมองชายหนุ่มตรงหน้าเหมือนกับกลัวว่าเขาจะเลือนหายไป   ภายในใจของฉันเต้นแรงยิ่งกว่าครั้งใด       ชินจ้องหน้าฉัน  สายตาที่เขามองฉันดูอ่อนโยนและอบอุ่น  แต่มันกลับมีความเศร้าลึกแฝงภายใต้แววตาคู่นั้น  ความเศร้าที่แสนจะเจ็บปวด

 

 

“ชิน...” ฉันกระซิบ “ฉัน...”

 

 

“ขอโทษนะ  ที่ฉัน...”  เสียงของชินเองก็สั่นเครือมากไม่แพ้กัน

 

 

“นี่ใช่ความฝันหรือเปล่า?”  ฉันไม่รอให้เขาพูดจบ

 

 

“ฉันคิดว่าใช่” ชินกระซิบตอบ

 

 

“ถ้าอย่างนั้น...ฉันคงพูดได้เต็มปากสินะว่าตอนนี้ฉันรู้สึกมีความสุขมากเหลือเกิน  ขอบใจนะ....ฉันดีใจที่ชินพาฉันมาที่นี่”

 

 

“เธอนี่เหมือนดอกไอริสเลยนะ”

 

 

“เอ๊ะ?”

 

 

“ดอกไอริส...สำหรับยูโทเปียมีความหมายถึงความบริสุทธิ์  สีขาวของมันบ่งบอกถึงจิตวิญญาณที่เต็มไปด้วยความงดงาม”

 

 

“ชิน....จูบแรกของฉัน   จูบครั้งนี้ฉันจะไม่มีวันลืมมันเลย” ฉันเอ่ยขณะที่ยกมือขึ้นมาแตะใบหน้าของฝ่ายตรงข้าม

 

 

“แอนน์...”

 

 

“ฉันจะใช้เวลาให้คุ้มค่าอย่างที่ชินบอกนะ  เพราะฉะนั้นจากนี้ต่อไปฉันจะต้องเข้มแข็ง  ฉันจะพยายามไม่สับสนอีกต่อไปแล้ว”

 

 

ชินยิ้ม  เขาเองก็ไม่รู้ว่าจากนี้ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น   เขาดีใจที่แอนน์เลิกกังวลเกี่ยวกับเรื่องที่ทำให้เธอไม่สบายใจแล้ว  เขาขอสาบาน  เขาจะเป็นคนปกป้องเธอเอง  แม้ว่าจะต้องแลกด้วยชีวิตของเขาเองก็ตามที

 

 

“ดูซิ  ดาวตกล่ะ”  ฉันร้องอุทานขึ้นมาเมื่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้า

 

 

“โมโมะมาดูดาวตกเร็ว!”  ฉันตะโกนเรียก  โมโมะที่นอนเกลือกกลิ้งอยู่รีบวิ่งมาหาทันที

 

 

“ดาวตก! ฉันยังไม่เคยเห็นดาวตกเลยนะเนี่ย  ว้าว....สวยจังเลยล่ะแอนน์”

 

 

“ดาวตกนี่เหมือนเธอเลยนะ” ชินพูดพร้อมเหม่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้า  ในขณะที่ยังคงกุมมือฉันเอาไว้แน่น

 

 

“เอ๊ะ....”  ฉันหันมามองหน้าชิน

 

 

“เธอน่ะอยู่ดีๆก็โผล่มา  แต่แล้วก็กลับกลายเป็นแสงสว่าง สวยงาม อัศจรรย์ และน่าประหลาดใจอีกต่างหาก”

 

 

ฉันเขิน “นายนี่ตะกี้ก็บอกว่าฉันเหมือนดอกไอริสเดี๋ยวก็บอกว่าเหมือนดาวตก  เอาไงกันแน่เนี่ย”

 

 

“ก็เหมือนทั้งสองอย่างเลยไงเล่า ฮ่าๆๆ”

 

 

“อธิษฐานเร็ว  ถ้าเราอธิษฐานอะไรตอนเห็นดาวตก คำอธิษฐานจะเป็นความจริงนะ”  ฉันเอ่ยขึ้น   พร้อมกับหลับตาลงและอธิษฐาน   ชินกับโมโมะมองหน้ากันแวบหนึ่ง  ก่อนที่จะพร้อมใจกันหลับและลงมืออธิษฐานบ้าง

 

 

ขณะที่ฉันอธิษฐานฉันก็อดไม่ได้ที่จะใจหายขึ้นมาวูบหนึ่ง  ถ้าชินบอกว่าฉันเหมือนดาวตกที่อยู่ดีๆก็โผล่มา แล้วกลับกลายเป็นแสงสว่าง สวยงาม อัศจรรย์ และน่าประหลาดใจ  สุดท้ายแล้วฉันก็ต้องจากทุกคนอย่างไร้ร่องรอยน่ะสิ    อีกทั้งช่วงเวลาที่ดาวตกจะปรากฏขึ้นมาให้ทุกคนได้ยลโฉมนั้นมันช่างแสนสั้นไม่ใช่หรือ?

 

 

บางที่ตัวฉันสำหรับยูโทเปียอาจจะเป็นเหมือนดาวตกอย่างที่ชินพูดไว้ก็เป็นได้....

 

 

 

************

 

 

 

ตอนนี้ฉันรู้สึกสบายสุดๆไปเลย!   ทั้งฉัน  ชินแล้วก็โมโมะพวกเราทั้งสามกำลังนอนเล่นอยู่บนทุ่งดอกไอริสพร้อมกับแหงนหน้ามองดูท้องฟ้ายามค่ำคืนไปด้วยกันอย่างผ่อนคลายแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน   จะว่าไปนี่คงเป็นคืนแรกที่พวกเราไม่ต้องหลบซ่อน  ไม่ต้องวิ่งหนี   ไม่ต้องหวาดกลัว  ไม่ต้องกังวลถึงอะไรทั้งนั้น   แม้แต่ตัวฉันเองก็แทบจะลืมภารกิจที่เป็นหน้าที่โดยตรงของผู้ถูกเลือกไปเสียสนิท

 

 

อยากหยุดเวลาเอาไว้อย่างนี้ตลอดไปเหลือเกิน...

 

 

“ฉันอยากบินจังเลย!”  ฉันพูดพร้อมกับลุกยืนขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

 

 

“หือ?”  ชินทำหน้าสงสัย

 

 

“พวกเราไปบินกันเถอะ!” ฉันตัดสินใจแล้วจึงไม่รอช้ารีบฉุดมือชินให้ลุกขึ้นยืนเช่นเดียวกันในทันที    โมโมะยิ้มน้อยๆก่อนจะกระโดดมาเกาะที่ไหล่ของฉันอย่างว่องไว    

 

 

นาทีถัดมาฉันก็ปลดปล่อยพลังของฉันออกมาอย่างง่ายดายราวกับสูดลมหายใจ  จรวดกระดาษขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมาในชั่วพริบตา    เดอะเปเปอร์....พอฉันเห็นจรวดกระดาษที่ตนเองเป็นคนเสกขึ้นมาแล้วก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงเรื่องของเดอะเปเปอร์   เดอะเปเปอร์อีกคนที่เดอะมิลเลอร์ได้บอกกับฉัน    ช่างมันเถอะ....  ฉันปัดความกังวลเหล่านั้นเอาไว้เบื้องหลังอย่างไม่ใส่ใจ        ฉันรีบปีนขึ้นไปบนนั้นแล้วจึงหันมาส่งยิ้มพร้อมกับยื่นมือไปให้กับชิน   ชินมองฉันนิ่งจนในที่สุดก็หัวเราะออกมาเบาๆ   เขาจับมือที่ฉันยื่นไปให้ก่อนที่จะกระโดดตามฉันขึ้นมาบนจรวดอย่างไม่ลังเล 

 

 

“คิดถึงจังเลย!” โมโมะร้องอย่างดีใจทันทีที่ฉันเริ่มนำจรวดบินขึ้นไปบนฟากฟ้า

 

 

“ไปล่ะนะ!” ฉันร้องบอกทุกคน  ขณะที่บังคับให้จรวดกระดาษพุ่งฉิวขนานไปกับสายลม

 

 

ไม่มีอีกแล้วความหวาดกลัว...  ณ  ตอนนี้ฉันเชื่อมั่นในพลังของฉันอย่างเต็มร้อย  แม้จะพึ่งได้มันมาครอบครองแค่เพียงระยะไม่นาน   ฉันจะไม่มีวันร่วงลงไปเบื้องล่าง   สายลมจะโอบกอดฉันและทุกๆคนเอาไว้อย่างมั่นคง   ราวกับว่าพลังนี้เป็นของฉันมาเนิ่นนานแล้วเพียงแต่ฉันยังไม่ค้นพบมัน   บัดนี้เราหากันจนเจอแล้ว...ไม่อยากสูญเสียไป  ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อยากที่จะสูญเสียของสำคัญไปอีกแล้ว

 

 

“....”  บนท้องฟ้าที่ไร้เขตแดนมาปิดกั้น  ฉันทั้งเปี่ยมไปด้วยความสุข  และความเศร้ายิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกกลัวไปถึงอนาคตที่กำลังรอฉันอยู่

 

 

เอาหน่าแอนนา เบลล์ไม่ว่าอย่างไรการที่เธออยู่ตรงนี้ก็ดีกว่าอยู่ที่คฤหาสน์เพียงลำพังกว่าเป็นไหนๆไม่ใช่หรือ ?

 

 

“แอนน์...ดูเบื้องล่างสิ   รับรองว่าเธอคงไม่คิดว่าจะได้เห็นเดอะลาสเดสติเนชั่นในมุมมองนี้แน่” เสียงของชินดังขึ้นมาดึงเอาฉันกลับสู่โลกแห่งปัจจุบันอย่างรวดเร็ว  

 

 

“สวยจังเลย!”  ฉันอุทานออกมาด้วยความลืมตัวเมื่อมองลงไปเบื้องล่าง  ขณะที้จรวดกระดาษกำลังบินอยู่เหนือเดอะลาสต์เดสติเนชั่นพอดิบพอดี

 

 

“นี่ล่ะคือเอกลักษณ์ของอาณาจักรนี้  ผังของเมืองนี้จะเป็นรูปดาวห้าแฉกนั่นเอง  แน่นอนว่าปราสาทของอาเรนจะต้องตั้งอยู่ที่จุดกึ่งกลาง  เพราะงั้นตราสัญลักษณ์ของอาณาจักรนี้เลยเป็นรูปดาวห้าแฉกยังไงล่ะ”  ชินอธิบายให้ฉันกับโมโมะฟัง

 

 

ฉันมองลงไปยังตัวเมืองอีกครั้งก็เห็นจริงตามที่ชินพูด....เป็นรูปดาวห้าแฉกจริงๆด้วย      พอเห็นอย่างนี้แล้วก็รู้สึกขนลุกเหมือนกันนะ          ก็ฉันเป็นเด็กสาวที่หลุดเข้ามาในโลกแห่งเวทมนต์อันแสนมหัศจรรย์แห่งนี้นี่หน่า         ยามที่ท้องฟ้ามืดมิดเช่นนี้เดอะลาสต์เดสติเนชั่นดูราวกับวงเวทย์ขนาดใหญ่ที่สามารถร่ายมนตราที่แสนยิ่งใหญ่ได้        พลังที่ซ่อนอยู่ของเดอะลาสเดสติเนชั่นคืออะไรกันนะ

 

 

“แล้วอาณาจักรฟรีดอมล่ะ  สัญลักษณ์คืออะไร?”  ฉันเอ่ยถามขึ้นมา

 

 

“รูปปีกนกน่ะ  อาณาจักรของฉันเป็นอาณาจักรที่มีลมแรงอยู่ตลอดเวลาแถมยังตั้งอยู่บนเขาสูงจึงเหมาะแก่การบินมาก   ไว้ยุคมืดนี้จบลงเมื่อไหร่ฉันจะพาเธอไปเที่ยวให้ทุกซอกทุกมุมเลย”  ชินเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ

 

 

“อืม...ฉันจะรอนะถ้าวันนั้นฉันยังอยู่ที่นี่” ฉันกระซิบซึ่งเบาเกินกว่าที่ชินจะได้ยิน

 

 

ดึกมากแล้ว...ค่ำคืนนั้นชินยืนยันว่าจะต้องมาส่งฉันที่ห้องก่อน  ฉันจึงนำจรวดกระดาษลงจอดที่ระเบียงห้องของฉันเอง  โมโมะเหมือนจะรู้กาลเทศะดี  มันร้องบอกว่าง่วงนอนแล้วจึงเดินเข้าไปในห้องของฉันทันที   ค่ำคืนแห่งความฝันกำลังจะจบลงแล้ว....ลมเย็นยามค่ำคืนพัดมาปะทะร่างของฉันและชินที่กำลังยืนประจันหน้ากันอยู่

 

 

“นี่เรายังอยู่ในความฝันหรือเปล่า?” ฉันพูด แต่ไม่กล้าสบตาของฝ่ายตรงข้าม

 

 

ชินไม่ตอบ  เขารั้งฉันเข้ามาไว้ในอ้อมแขนแล้วจึงกอดฉันแน่น  ฉันกอดเขาตอบ  คำตอบคือ “ใช่” สินะ

 

 

ทันใดนั้นเองฉันก็รู้สึกถึงสัมผัสอันแผ่วเบาที่หน้าผากของฉัน  ชินประทับริมฝีปากลงไปอย่างแผ่วเบาก่อนที่เขาจะคลายอ้อมกอด

 

 

“ฉันจะอยู่เคียงข้างเธอตลอดไป  ฉันสัญญา”

 

 

“ชิน...”

 

 

“ถึงตอนแรกฉันอาจจะไม่เต็มใจที่จะมากับเธอ  แต่ตอนนี้ฉันขอสัญญาว่าจะคอยช่วยเธอเอง  ฉันจะไม่มีวันทิ้งให้เธออยู่คนเดียวเป็นอันขาด”  ชินกล่าวก่อนที่เขาจะเดินไปที่ริมระเบียงเพื่อจากไป

 

 

ตอนนั้นฉันได้แต่ส่งสายตามองชิน    ฉันแห็นเขายิ้มพลางโบกมือให้ฉันก่อนที่จะแปลงร่างเป็นเงาแล้วสลายหายไป  

 

 

นี่ชิน...คิดยังไงกับฉันกันแน่นะ?  ที่เขาพูดนั้น เขาพูดกับฉันในฐานะที่ฉันเป็นหญิงสาวคนหนึ่ง  หรือในฐานนะของผู้ถูกเลือกที่ต้องได้รับการปกป้องกันแน่   ฉันได้แต่ตั้งคำถามกับตัวเอง  ฉันถอนหายใจก่อนที่จะเดินเข้าไปภายในห้องของตัวเอง

 

 

โมโมะหลับไปแล้ว  ฉันเปลี่ยนชุดก่อนที่จะทิ้งตัวลงบนเตียง  ในหัวเต็มไปด้วยเรื่องต่างๆมากมายที่เกิดขึ้นในวันนี้  และในค่ำคืนนี้  ฉันเอามือแตะที่ริมฝีปาก  แน่นอนว่าฉันยังคงจดจำความรู้สึกเมื่อตอนนั้นได้ดี  ฉันยิ้มให้กับตัวเองก่อนที่จะผล็อยหลับตามจิ้งจอกน้อยไป

 

 

 

**********

 

 

 

“เมื่อคืนจู่ๆแอนน์ก็หายตัวไปโดยไม่ได้บอกกล่าวผมเลยนะครับ  เพราะฉะนั้นวันนี้แอนน์ต้องให้ผมพาเที่ยวเดอะลาสต์เดสติเนชั่นนะครับ” อาเรนพูดขึ้นในระหว่างมื้อเช้า  ฉันตอบตกลง  ฉันเองก็อยากจะเที่ยวชมเมืองนี้เป็นทุนอยู่ก่อนแล้วเหมือนกัน

 

 

เช้านี้ฉันและชินต่างก็ไม่กล้าสบตากันและกัน  พอมาคิดดูดีๆแล้ว  ยังไงๆเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้มันก็ไม่ใช่ความฝันอยู่ดี   เกิดเรื่องแบบนั้นระหว่างเราขึ้น   ใครจะไปกล้าสบตาด้วยกันเล่า!

 

 

อาเรนออกปากชวนชินกับแคทเธอรีนด้วย  แต่ทั้งสองต่างก็ปฏิเสธ  ชินบอกว่าวันนี้อยากพักผ่อนมากกว่า   ในขณะที่แคทเธอรีนอ้างว่าตนอยู่อาณาจักรนี้มานานซะจนรู้จักทุกทางในเมืองหมดแล้ว

 

 

ดังนั้นจึงมีแค่ฉัน  อาเรนแล้วก็โมโมะเท่านั้นที่ออกเดินไปเที่ยวในเมืองด้วยกัน  อาเรนแนะนำให้ทั้งสองเดินทางกันด้วยรถม้า

 

 

“อย่าเดินเลย  ที่นี่ถึงจะดูไม่กว้างเท่าไหร่  แต่เส้นทางเดินต่างๆภายในเมืองซับซ้อนมากนะ  ถ้าเกิดหลงกันขึ้นมาล่ะแย่เลย    ถ้าอยากจะชมเมืองนี่จริงๆล่ะก็...นั่งรถม้านี่ล่ะเหมาะที่สุด” อาเรนพูด  ขณะที่ฉันและโมโมะมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างใคร่รู้

 

 

ที่เดอะลาสเดสติเนชั่นเองก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวต่างจากที่อาณาจักรอื่นๆเช่นกัน  บรรยากาศของที่นี่ทำให้นึกถึงเมืองแห่งเทพนิยายที่ชวนให้หลงใหล เมืองของอาเรนสะอาดและมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยมาก  ร้านค้าต่างๆจะตั้งอยู่ในตัวอาคารดูเป็นสัดส่วนไม่ได้แยกออกมาตั้งเป็นแผงออกมานอกอาคารหรือในที่กลางแจ้งเหมือนที่พีโอเนีย    ภายในเมืองดูจะมีการจัดระเบียบเอาไว้เป็นอย่างดีเพราะเห็นคนเดินตรวจตราอยู่อย่างสม่ำเสมอ   จะว่าไป...อีกอย่างที่เป็นจุดเด่นของที่นี่ก็น่าจะเป็นเสาโคมไฟที่จะตั้งอยู่เป็นระยะตามทางเดินนั้นเอง

 

 

“โคมไฟสวยดีนะ” ฉันพูดขึ้น

 

 

“ทั้งอาคาร  ตึกต่างๆ  ตัวปราสาท  หรือแม้แต่ทางเดินภายในเดอะลาสต์เดสติเนชั่นต่างก็ได้รับการออกแบบให้มีความสวยงาม   และสื่อให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่อลังกาลเพื่อให้สมกับเป็นอาณาจักรที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งพักพิงแหล่งสุดท้าย   เป้าหมายสุดท้ายของนักเดินทาง...เดอะลาสเดสติเนชั่น   อย่างไรก็ตามที่นี่ก็มีการนำศิลปะและความสามารถทางสถาปัตยกรรมของมิดไนท์มาประยุกต์ใช้อยู่บ้าง  โคมไฟนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญเลยล่ะครับ    ตอนนี้เจ้าโคมไฟนี่ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของเมืองไปซะแล้ว 

 

 

เอ...อีกอย่างที่แอนน์ยังไม่รู้ก็คือที่นี่จะมีช่วงกลางคืนที่ยาวนานกว่ากลางวันด้วยนะครับ   ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดสาเหตุอะไร...บางคนก็บอกว่าเป็นอิทธิพลมาจากเดอะมิดไนท์ที่ตั้งอยู่ถัดไป    ซึ่งผมไม่ค่อยเชื่อเรื่องนั้นสักเท่าไหร่   แต่ตอนกลางคืนโคมไฟพวกนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆเลยนะครับ  นอกจากช่วยเรานำทางแล้วยังสร้างความสายงามให้แก่อาณาจักรเป็นอย่างมากด้วย”

 

 

“อย่างนี้นี่เอง”  ฉันพยักหน้ารับแล้วมองออกไปนอกข้างทางต่อด้วยความสนใจ

 

 

“ถ้าเป็นเมื่อก่อนแอนน์คงได้เห็นต้นไม้ชนิดหนึ่งที่จะถูกปลูกอยู่ตามทางเดินแล้วล่ะ    ในฤดูใบไม้ผลิทางเดินทุกสายจะเต็มไปด้วยใบไม้ของมัน   ต้นไม้พวกนี้จะไม่เหมือนต้นไม้อื่นๆในยูโทเปีย   เพราะใบของมันจะมีสีขาวบริสุทธิ์เพียงเท่านั้น  ตอนที่ใบของต้นไม้เหล่านั้นพากันร่วงลงมาน่ะสวยมากเลยจริงๆ”  อาเรนพูดขึ้นด้วยแววตาเศร้าๆ

 

 

“เมื่อก่อน?   แต่ทำไมตอนนี้ถึง....เกิดอะไรขึ้นน่ะอาเรน?”

 

 

“เรื่องมันเกิดก็ตอนที่พวกพ่อมดแม่มดบุกเข้ายึดอำนาจที่นี่น่ะสิ     ผมตัดสินใจยอมตกลงรับข้อเสนอกับพวกมันไม่เหมือนกับชินที่ต่อต้าน     หลังจากนั้นพวกพ่อมดแม่มดก็ให้ผมออกคำสั่งให้เผาต้นไม้พวกนี้ซะให้หมดเป็นข้อพิสูจน์ว่าผมจะยอมทำตามที่มันต้องการจริงๆ     ตอนนั้นผมถูกกดดันจนทำอะไรไม่ถูกเลย  แต่เพื่อปกป้องเมืองและประชาชนเอาไว้  รวมทั้งไม่ให้เจ้าพวกนั้นเข้าปกครองเมืองแทน  ผมจึงต้องทำตามนั้น    พอได้มาเห็นสิ่งที่ผมทำลงไปแล้ว....ทำให้ผมรู้สึกว่าตนเองนี่มันไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ”

 

 

“อาเรน...”  ฉันเอื้อมมือไปแตะไล่ของชายหนุ่มเอาไว้

 

 

“ตอนนั้นผมยังอ่อนแอมากและหวาดกลัวเกินไปจึงไม่สามารถต่อกรกับพวกพ่อมดแม่มดที่เข้ามายึดอำนาจได้เลย  บางทีผมก็คิดนะว่าทำไมตนเองถึงไม่กล้าหาญและเด็ดขาดเหมือนชิน    รู้ไหมว่าชินเขาทำยังไง...”

 

 

“....”

 

 

“ชินน่ะนอกจากไม่รับข้อเสนอแล้วยังลงมืดจัดการเจ้าพวกนั้นซะเรียบเลย   ฮ่าๆๆ” อาเรนเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางก่อนที่แววตาของเขาจะเศร้าลงอีกครั้ง   “แต่ก็นะ....หลังจากนั้นพวกพ่อมดแม่มดก็ยกพวกกองกำลังมาซะมากมาย  ดีที่ชินให้พระราชาและราชินีหนีมาก่อนแล้ว    เหลือแต่เขากับทหารองครักษ์และชาวบ้านบางส่วนที่ลุกฮือมาช่วยสู้รบกันอย่างสุดความสามารถ    สุดท้ายชินก็ถูกจับได้ในขณะที่ทหารกับชาวบ้านบางส่วนพากันหนีรอดตายไปได้   ส่วนอาณาจักรฟรีดอมก็ถูกแบล็คฮาร์ทยึดครอง   ถึงผลลัพธ์จะออกมาแย่กว่าอาณาจักรของผม  แต่ผมก็ยังอยากที่จะเป็นแบบชินนะ”

 

 

“อาเรน...แต่ฉันคิดว่าสิ่งที่อาเรนตัดสินใจในตอนนั้นคือสิ่งที่ถูกนะ  ถึงต้นไม้พวกนั้นจะงดงามเพียงใดก็ไม่สามารถทดแทนอาณาจักรได้ทั้งหมดหรอกจริงไหม?      ชินไม่แค่กล้าหาญแต่ยังบ้าบิ่นด้วยอีกต่างหากถึงกล้าทำอะไรแบบนั้นลงไป   อาเรนควรจะดีใจที่สุดไม่ใม่เหรอที่ยังสามารถรักษาอาณาจักรของตนเองเอาไว้ได้”

 

 

“ขอบใจมากนะแอนน์   แต่ต่อจากนี้ไป...ผมจะไม่ยอมอยู่เฉยๆอีกแล้ว  ผมเองก็จะต้องสู้เหมือนกัน  ผมจะไม่ยอมปล่อยให้ทุกอย่างต้องเป็นอย่างนี้ตลอดไปหรอก”   อาเรนกำมือแน่นพร้อมกับก้มหน้าลง  

 

 

ตอนนั้นเองที่ฉันหวนคิดไปถึงคำพูดของเดอะ มิลเลอร์   ฉันจึงเอ่ยถามอาเรนออกไปว่า  “ถ้าอาเรนเอาชนะพวกพ่อมดแม่มดสำเร็จ  อาเรนจะยึดอาณาจักรของพวกเขาด้วยหรือเปล่า?”

 

 

“...”  ชายหนุ่มไม่เอ่ยตอบ

 

 

“อาเรนแค้นพวกพ่อมดแม่มดมากขนาดนั้นเลยเหรอ?”

 

 

อาเรนเงียบไม่ตอบคำถามของฉันอีกครั้ง

 

 

 “แค้นมากสินะ”  ฉันตอบแทนในใจ

 

 

หลังจากนั้นพักใหญ่ทั้งฉันกับอาเรนก็เอาแต่เงียบกันมาตลอดทาง   

 

 

“ต้นไม้พวกนั้นน่ะนะทุกๆปีจะมีต้นไม้เพียงต้นเดียวเท่านั้นที่สามารถผลิใบสีขาวที่มีรูปดาวห้าแฉกอยู่ตรงกลาง  เธอคงรู้สินะว่าดาวห้าแฉกเป็นตราประจำอาณาจักรแห่งนี้     ใบไม้วิเศษนั้นมีเพียงใบเดียวในรอบปีเท่านั้น    พวกเราขนานนามใบไม้ใบนั้นว่า ไวท์ลีฟออฟสตาร์  ว่ากันว่าถ้าใครได้ครอบครองจะได้รับการคุ้มครองจากเทพธิดา  เรียกว่าเป็นใบไม้นำโชคเลยก็ได้นะ   สงสัยว่าชั่วชีวิตนี้ผมคงจะไม่มีวันได้เห็นไวท์ลีฟออฟสตาร์อีกแล้ว”  อาเรนพูดพลางหัวเราะออกมาเบาๆ 

 

 

ฉันพยักหน้าแต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาให้อาเรนลำบากใจอีก    ฉันรู้ว่าอาเรนไม่อยากพูดถึงเรื่องนั้นอีกจึงไม่ได้ซักไซ้อะไร....ใบไม้วิเศษที่ปีหนึ่งจะมีเพียงใบเดียวงั้นเหรอ    ถ้าได้มาจะได้รับความคุ้มครองจากเพทธิดาจริงๆนะเหรอ

 

 

มื้อกลางวันอาเรนพาฉันมาลองทานอาหารพื้นเมืองของที่นี่ดู  รูปร่างมันคล้ายกับพายที่ฉันเคยทานบ่อยๆ  ฉันกัดคำแรกเข้าไปอย่างกล้าๆกลัวๆแต่แล้วก็ต้องประหลาดใจกับรสชาดเข้มข้นที่แฝงอยู่ภายใน  ฉันร้องบอกอร่อยไม่ขาดปาก      หลังจากนั้นอาเรนก็พาฉันเดินไปตามทางเท้านั้นพลางชี้บอกแนะนำร้านรวงที่เราทั้งสองเดินผ่านกันไปเรื่อยๆ    จนกระทั่งถึงเวลาหัวค่ำอาเรนจึงนำฉันเข้าไปภายในสวนที่ตั้งอยู่ในบริเวณของเมือง   ตอนแรกฉันคิดว่าที่นี่คงจะเงียบสงบและเป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนในตัวเมืองซะอีก  แต่แล้วกลับเห็นคนเดินขวักไขว่กันเต็มไปหมด    แถมข้างทางเดินยังเต็มไปด้วยร้านค้าต่างๆมากมาย  เสียงของผู้คนคุยกันเซ๊งแซ่   มีคนตะโกนขายของดังโหวกเหวกอยู่เต็มไปหมด

 

 

ฉันยืนตะลึงงันไปอย่างไม่เชื่อสายตา “นี่มันอะไรกันเนี่ย?”

 

 

“ตกใจไหม...วันนี้ก็คือวันที่ไวท์ลีฟผลิใบยังไงล่ะ  คนที่อาณาจักรนี้จะเรียกวันนี้ว่าไวท์ลีฟเดย์ยังไงล่ะ   เป็นวันที่ทุกคนจะมารวมตัวกันยังสวนแห่งนี้และตั้งร้านค้าเพื่อจัดงานเทศกาลเฉลิมฉลองกัน       ในทุกๆปีของวันนี้ต้นไม้ทุกต้นจะพร้อมใจกันผลิใบของมันให้ตกลงสู่พื้นดิน    ภาพที่เห็นจะสวยงามตระกาลตามากและชาวเมืองก็จะเริ่มต้นการเฉลิมฉลองให้แก่การฟื้นคืนใหม่และอวยพรให้กับผู้ที่ได้ไวท์ลีฟออฟสตาร์ไปครองครองด้วย”

 

 

“อาเรนหมายถึงใบไม้พิเศษหนึ่งเดียวที่อาเรนพูดถึงเมื่อตอนกลางวันนะเหรอ”

 

 

“ใช่แล้วล่ะ...บางทีพวกเราก็ไม่รู้หรอกนะว่าใครกันที่เป็นผู้โชคดีที่ได้รับไวท์ลีฟออฟสตาร์ไปครอบครอง     เอาเถอะ....ถึงตอนนี้ต้นไม้ทุกต้นจะถูกทำลายไปแล้วก็ตาม   แต่ทุกคนก็ยังยืนยันว่าจะจัดงานเทศกาลต่อไปดังเดิม   ผมอยากให้แอนน์ได้มาเห็นจริงๆนะวันงานเทศกาลของอาณาจักรเรา    ค่ำคืนที่ปกคลุมไปด้วยไวท์ลีฟที่งดงาม”  อาเรนพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ

 

 

“ขอบใจมากนะอาเรน  แต่ไม่เป็นไรหรอก  อย่างน้อยฉันก็ได้มีโอกาสมาเที่ยวเทศกาลแล้วนี่หน่า   แค่นี้ฉันก็มีความสุขมากแล้วล่ะ”   ฉันยิ้ม ในขณะที่อาเรนยังคงยืนนิ่งอยู่

 

 

“ไปเถอะ....พาฉันกับโมโมะไปเดินเที่ยวหน่อยสิ     ตอนนี้ฉันอยากเข้าไปเดินจะแย่แล้วล่ะ”  ฉันพูดพลางดึงแขนของอาเรน   จะยังไงก็ช่างเถอะ...ตอนนี้ไม่อยากให้อาเรนคิดถึงแต่เรื่องของการแก้แค้นหรืออดีตเลย

 

 

“ใช่ อาเรน  ฉันเองก็หิวจะแย่แล้วเหมือนกัน  เทศกาลนี้มีอะไรอร่อยๆให้กินไหมล่ะ”  โมโมะพูดออกมาเสียงดัง   และตอนนั้นเองที่อาเรนหัวเราะออกมาได้

 

 

“มีสิโมโมะ   รับรองว่าเธอจะจดจำไม่ลืมเลย  มาเถอะ  เดี๋ยวฉันจะพาเที่ยวให้เอง”  อาเรนเลื่อนมือมาจับมือของฉันเอาไว้   ใบหน้าของเจ้าชายแห่งเดอะลาสเดสติเนชั่นกลับมามีรอยยิ้มอีกครั้งขณะที่จูงมือฉันเข้าสู่งานเทศกาลที่แสนคึกคัก

 

 

ช่างเป็นเทศกาลที่คึกคักจริงๆ    ในมือของฉันเต็มไปด้วยขนมที่อาเรนซื้อให้ทานระหว่างทาง   ตอนนี้โมโมะขึ้นไปบนไหล่ของอาเรนแทนเพราะอาเรนสูงกว่าฉันมาก     โมโมะบอกว่าถ้าอยู่บนไหล่ของอาเรนจะสามารถเห็นร้านรวงมากกว่า      ทุกแห่งเต็มไปด้วยผู้คนมือของอาเรนจึงกุมมือของฉันเอาไว้ตลอดเวลาเพราะกลัวว่าจะพลัดหลงกันไป

 

 

อาเรนทำหน้าที่สมกับเป็นเจ้าถิ่นจริงๆ    เขาแนะนำอาหารอร่อยๆให้กับเราตั้งหลายอย่าง  และโมโมะก็ดูเหมือนจะชอบไปหมดทุกอย่างเหมือนกัน  นอกจากนี้อาเรนยังช่วยอธิบายในบางสิ่งบางอย่างที่ฉันไม่เข้าใจอีกด้วย    อย่างไรก็ตามมีของสิ่งหนึ่งที่ติดใจโมโมะเป็นพิเศษ   อาเรนบอกกับฉันว่าคนที่นี่เรียกมันว่า แอปเปิ้ล   สำหรับฉันถึงจะมีผลไม้ที่ชื่อเหมือนกันกับที่โลกของฉัน  แต่ลักษณะมันกลับต่างกันโดยสิ้นเชิง   แอปเปิ้ลที่ว่านี้มีสีเหลืองอร่ามไปทั้งลูก   นอกจากนั้นบนผิวของมันก็ยังมีลวดลายต่างๆดูแปลกตาอีกด้วย      สำหรับรสชาติของมันฉันขอบอกว่ามันคล้ายกันมากทีเดียว  แต่ของที่นี่จะมีรสจัดกว่ามาก

 

 

“ผลไม้นี้เป็นผลไม้ที่ถูกนำไปบ่มเอาสุรายังไงล่ะ   รสมันจะแรงมากนะ  มีสรรพคุณช่วยกระตุ้นร่างกายยังไงล่ะ แอนน์ก็อย่าทานมากนะ  ยังไม่ค่อยจะหายไข้เลยนี่หน่า”  อาเรนเตือนมาด้วยความเป็นห่วง

 

 

ฉันพยักหน้าก่อนที่จะกัดไปคำหนึ่ง    รสชาติมันหวานฉ่ำมาก...พอกลืนเข้าไปแล้วก็อยากจะกัดคำต่อไปในทันที    ระหว่างที่อาเรน  ฉัน  และโมโมะยังคงเดินเล่นกันต่อไป  ฉันก็กินเจ้าแอปเปิ้ลนั้นไปเรื่อยๆจนรู้ตัวอีกทีก็ไปลูกหนึ่งแล้ว    แน่นอนว่าฉันยังหยิบลูกต่อไปมากินอีก   และลูกต่อไปอีก  ฉันทานมันเข้าไปมากจนโมโมะตกใจเพื่อกันมาพบเขา

 

 

“ตายแล้ว แอนน์ ทำไมกินทีละมากๆอย่างนั้นล่ะ  เธอกินมากกว่าฉันอีกนะเนี่ย!”

 

 

“หืม  เธอว่าอะไรนะ  ฉันได้ยินไม่ค่อยชัด”  เสียงของฉันเหมือนคนที่งัวเงีย  ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าโลกกำลังหมุนอีกแล้ว  แต่ว่า......มันอร่อยจริงๆนะ  ฉันไม่เคยกินอะไรที่หยุดไม่ได้มาก่อนขนนาดนี้เลยจริงๆ

 

 

“แอนน์....นี่ผมเตือนแล้วนี่หน่า  ว่ามันมีฤทธิ์ทำให้มึนเมาได้ถ้ากินเข้าไปมากๆน่ะ  นี่แอนน์ทานไปเยอะเท่าไหร่แล้วครับเนี่ย”   อาเรนรีบเข้ามาประคองฉันเอาไว้     เขาก้มลงไปมองในถุงก่อนอุทานออกมา  “นี่แอนน์ทานส่วนที่เราซื้อมาฝากชินกับแคทเทอรีนจนหมดเกลี้ยงเลยเหรอครับ!”

 

 

“อ๊ะ.....ตอนนี้อยากนอนชะมัดเลยแฮะ”   ฉันชักจะเริ่มพูดไม่รู้เรื่องซะแล้วสิ

 

 

“แอนน์!”  อาเรนเรียกฉัน  แต่ดูเหมือนฉันจะไม่รับรู้อะไรแล้ว  ฉันไม่น่ากินเข้าไปเยอะขนาดนั้นเลยจริงๆ   แต่ถ้าได้กินอีกสักลูกก็คงดีสินะ

 

 

“เฮ้อ...สงสัยแอนน์คงจะเดินต่อไปไม่ไหวแล้วล่ะ  จะกลับไปที่รถม้าตอนนี้ก็ไกลอยู่แถมยังอยู่อีกฟากของเทศกาลอีก  อย่างไรก็ตามตอนนี้เราเข้าไปในสวนส่วนที่ไม่ได้จัดงานก่อนก็แล้วกัน”  อาเรนตัดสินใจในที่สุด

 

 

อาเรนประคองกึ่งอุ้มฉันมาที่ม้านั่งแห่งหนึ่งในสวนส่วนที่ไม่ได้จัดงาน    เขาเอาฝ่ามือมาอังที่หน้าผากของฉันด้วยความเป็นห่วง

 

 

“ตัวร้อนด้วย  ไข้กลับรึไงกัน”

 

 

“แย่แน่เลย อาเรน  ผลไม้นั่นมีฤทธิ์กระตุ้นร่างกายด้วยไม่ใช่เหรอ  แอนน์เองก็เพิ่งจะหายป่วยด้วย...” โมโมะพูดขึ้น

 

 

“นั่นน่ะสิ...ผมอยากให้แอนน์ลองชินของขึ้นชื่อที่อาณาจักรก็เลยคิดว่าแค่ลูกเดียวคงไม่เป็นไร  ไม่คิดว่าแอนน์จะทานเข้าไปเยอะขนาดนี้ซะด้วยสิ”  อาเรนยืนมองดูฉันที่ดูเหมือนจะหลับไปแล้วด้วยความเป็นห่วงมากขึ้นทวีคูณ

 

 

“ปวดหัวจัง...”  ฉันพึมพำออกมา  อาเรนได้ยินดังนั้นก็ยิ่งร้อนใจ   ยิ่งค่ำคืนล่วงเข้ามามากเท่าใด  อากาศก็เย็นลงเท่านั้น  อาการปวดหัวของฉันก็ดูเหมือนจะยิ่งทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น    ความรู้สึกหวิวๆตัวลอยมีความสุขเมื่อครู่ชักจะหายไปซะแล้ว

 

 

“โมโมะ....  เธอช่วยดูแลแอนน์แทนฉันสักครู่ได้ไหม?”  โมโมะที่นั่งอยู่บนตักของแอนน์เงยหน้าขึ้นมองอาเรนด้วยความสงสัย

 

 

“ผมจะกลับไปรถม้าก่อนแล้วจะให้เขานำรถม้าเข้ามารับแอนน์อีกทาง  ระหว่างนั้นเธอช่วยอยู่เป็นเพื่อนแอนน์เขาหน่อยได้ไหม”

 

 

“แต่...รถม้าอยู่ไกลมากนะ  ถ้าไม่อ้อมไปก็ต้องผ่านงานเทศกาลไม่ใช่หรือไง  อาเรนคิดว่าจะใช้เวลานานสักเท่าไหร่กัน?”

 

 

“แต่จะทิ้งไว้อย่างนี้ก็คงแย่เข้าไปใหญ่ใช่ไหมล่ะ...  ผมอาจจะพอพาแอนน์กลับไปด้วยกันได้ในสภาวะปกติแต่ในสภาพร่างกายแบบนี้ยังไงก็คงไม่ไหวล่ะนะ     ที่สำคัญเธอไม่ต้องห่วงนะโมโมะ...ผมไปไม่นานแน่นอน”

 

 

“อาเรนหมายความว่ายังไง?”

 

 

“ลืมไปแล้วรึไง...ผมก็เป็นเจ้าชายคนหนึ่งนะ  พูดง่ายๆก็คือผมก็เป็นนักเวทย์คนหนึ่งยังไงล่ะ”  อาเรนพูดพร้อมกับปลดผ้าคลุมของตนมาคลุมร่างของฉันเอาไว้

 

 

  “จริงด้วย!” โมโมะอุทาน  มันลืมไปเสียสนิทก็ตั้งแต่ได้พบกันอาเรนยังไม่เคยแสดงพลังให้เห็นมาก่อนเลยนนี่หน่า

 

 

น่าแปลก...ในสติอันพร่าเรือนนั้นฉันกลับได้ยินบทสนทนาระหว่างโมโมะกับอาเรนอย่างชัดเจน   จริงสินะ...ฉันลืมไปได้ยังไงกัน  อาเรนเองก็เป็นนักเวทย์คนหนึ่งเหมือนกันนี่หน่า

 

 

“ว่าแต่พลังของอาเรนคืออะไรเหรอ?”  โมโมะเอ่ยถาม

 

 

อาเรนส่งยิ้มลึกลับตอบกลับมา  ก่อนที่ร่างของเขาจะหายวับไป  “ความเร็ว....”

 

 

 

**********

 

 

 

หลังจากที่อาเรนจากไป โมโมะก็ตัดสินใจคืนร่างเป็นจิ้งจอกขนาดใหญ่ในทันที   มันยืนตระหง่านคอยคุ้มครองฉันที่ยังคงไม่ได้สติอยู่  

 

 

แอนน์  เข้มแข็งเอาไว้นะ....

 

 

ยามนั้นฉันที่หลับใหลอยู่ก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมามากขึ้นทุกที   มันรุนแรงขึ้นเสียจนฉันต้องยกมือขึ้นมากุมศีรษะเอาไว้

 

 

“หยุดนะ!”   จู่ๆความฝันที่แสนจะคุ้นตาก็กลับมาอีกครั้ง    ความฝันที่ฉันพยามจะเปิดหนังสือเล่มนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า  แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถเปิดมันออกได้สักที    แต่แล้วระหว่างที่ฉันกำลังวุ่นอยู่กับหนังสือเล่มนั้นนั่นเองก็พลันมีเสียงดนตรีจากที่ไหนสักแห่งก็ดังขึ้น   ฉันเงยหน้าขึ้นมองด้วยสงสัยก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าตนเองไม่ได้อยู่ในสถานที่ที่มีแต่ความแห้งแล้งนั้นอีกต่อไปแล้ว

 

 

ความฝันครั้งนี้ต่างไปจากครั้งที่ผ่านมาอย่างนั้นหรือ?

 

 

ฉันยืนอยู่เพียงลำพังบนพื้นหญ้าเขียวชอุ่ม    ภายใต้ท้องฟ้าสีสันสดใส  ขณะนั้นเองลมเบาๆทก็พัดผ่านมาทำให้ฉันรู้สึกอ่อนไหวอย่างประหลาด

 

 

“เพราะจังเลย...”  ตัวฉันในโลกแห่งความเป็นจริงพึมพำขึ้นทั้งๆที่ยังนอนไม่ได้สติอยู่    ตอนนี้อาการปวดหัวหายไปจนสิ้นแล้ว

 

 

ส่วนตัวฉันในความฝันนั้นกำลังหลับตาลงฟังเพลงนั้นอย่างมีความสุข  มันดังมากจากที่ไหนกันนะ...ฉันคิดพร้อมกับออกเดินไปบนพื้นหญ้าเขียวชอุ่มนั้น  ไปยังที่มาของเสียงเพลง....

 

 

ในความเป็นจริงตัวฉันกำลังลุกขึ้นยืนโดยที่ยังไม่ทันได้ลืมตาขึ้นมาเลย    ร่างของฉันขยับไปเองราวกับมีอะไรบางอย่างควบคุมอยู่....ผ้าคลุมที่อาเรนคลุมไว้ให้ร่วงหล่นลงไปกองกับพื้นในทันที  เมื่อนั้นโมโมะจึงหันขวับกลับมาแล้วเบิกตากว้างด้วยความตกใจ    มันกำลังงงสุดขีดว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉัน   แล้วในที่สุดฉันก็ออกเดินออกไปทั้งๆอย่างนั้น.....

 

 

“แอนน์...!”โมโมะส่งเสียงร้องเรียกฉัน   แต่ตัวฉันกลับยังคงเดินต่อไปราวกับไม่ได้ยินเสียงใดๆ

 

 

“แอนน์  เธอเป็นอะไรไปน่ะ แอน์!”  โมโมะตะโกนพร้อมกับกระโดดออกมาขวางเบื้องหน้าฉัน  

 

 

ไม่ว่าโมโมะจะทำอย่างไรฉันก็ยังคงเดินต่อไปเบื้องหน้าราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น   ในที่สุดจิ้งจอกเก้าหางก็ขยับตัวเพื่อยับยั้งฉันไว้แต่ทันใดนั้นเองโมโมะก็กลับรู้สึกเหมือนมือที่มองไม่เห็นกดร่างของมันเอาไว้  พลังนั้นทำให้มันไม่สามารถขยับตัวไปไหนได้    โมโมะพยายามดิ้นรนสุดความสามารถแต่ก็ไม่เป็นผล 

 

 

“เกิดอะไรขึ้น  ทำไมฉันถึงขยับตัวไม่ได้ล่ะ!”

 

 

โมโมะทำได้เพียงเงยหน้าขึ้นมองร่างของฉันที่กำลังเดินห่างไกลออกไปมากขึ้นทุกทีด้วยความเจ็บใจ 

 

 

“แอนน์  อย่าไป...!” โมโมะตะโกนก้อง

 

 

ฉันกำลังจะเดินไปที่ไหนกันนะ....?  จิตใต้สำนึกกำลังตั้งคำถามกับตัวของฉันเอง  อา...ใช่แล้ว ที่มาของเสียงเพลงอันแสนไพเราะนั้น    เพลงนั้น.....

 

 

ขาของฉันนำฉันมาหยุดอยู่ในที่ที่หนึ่งในโลกแห่งความฝันมันคือต้นไม้ขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมา     ใบของต้นไม้นั้นมีสีขาวบริสุทธิ์....  เสียงเพลงดังมาจากที่นี่นี่เอง....

 

 

“ต้นไวท์ลีฟ...”  ฉันเอ่ยขึ้นมาอย่างคนเหม่อลอยทั้งๆที่ไม่เคยเห็นมันมาก่อน    ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใดถึงแม้ว่าต้นไม้ที่อยู่เบื้องหน้าฉันต้นนี้จะไม่มีใบปรากฏให้เห็นแม้แต่เพียงใบเดียวก็ตาม   แต่ทว่าลำต้นสีขาวบริสุทธิ์ของมันและความรู้สึกส่วนตัวของฉันกลับยืนยันว่าต้นไม้ต้นนี้คือต้นไวท์ลีฟแน่ๆ

 

 

ทำไมไวท์ลีฟต้นนี้ยังคงยืนตระหง่านอยู่แบบนี้นะ?....มันกำลังยื้อชีวิตอยู่เพื่อรอคอยบางอย่าง........รอคอยใครสักคนหนึ่ง   

 

 

ฉันเงยหน้าขึ้นมาพร้อมยื่นมือทั้งสองข้างออกไปเบื้องหน้าด้วยความรู้สึกมากกว่าเหตุผล   ทันใดนั้นใบไม้ใบหนึ่งก็ปรากฏออกมาจากลำต้นของต้นไม้ที่ดูเหมือนจะตายแล้วนั้น    มันคือใบไม้สีขาวบริสุทธิ์ไม่ผิดแน่...เสียงเพลงที่แสนไพเราะดังขึ้นอีกครั้งในขณะที่ใบไม้ใบนั้นค่อยๆร่วงลงมาที่มือของฉัน  ในที่สุดใบไม้สีขาวนั้นก็มาหยุดสงบนิ่งอยู่ในมือทั้งสองข้างของฉันพร้อมๆกันนั้นเสียงเพลงที่พิเศษก็ค่อยๆเงียบสงบลงไปเช่นกัน      ฉันเอาแต่ก้มลงมองใบไม้ในมือราวกับต้องมนต์สะกด    ใจกลางของใบไม้ใบนั้นมีสัญลักษณ์รูปดาวห้าแฉกปรากฏอยู่อย่างชัดเจน ...สัญลักษณ์นั้นมีสีแดงสดดั่งเลือด

 

 

ไวท์ลีฟออฟสตาร์....

 

 

จู่ๆฉันก็สะดุ้งเฮือกพร้อมกับกระพริบตาถี่ๆราวกับคนที่เพิ่งจะตื่นจากความฝัน

 

 

“อ๊ะ...นี่ฉันเป็นอะไรไปเนี่ย.?”  ฉันเอ่ยขณะที่สะบัดศีรษะของตัวเองเบาๆ  กพอก้มลงไปมองในมือก็เห็นใบไม้สีขาวที่สงบนิ่งอยู่ในฝ่ามือทั้งสองของฉัน 

 

 

ไม่ใช่ความฝัน...ใบไม้นี้คือ...

 

 

“ไวท์ลีฟออฟสตาร์!”  ฉันพึมพำพลางยกขึ้นมาดูใกล้ๆ  ฉันไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเลยจริงๆ

 

 

“ไม่จริงน่ะ.....ทำไม?” ฉันตะลึงไปกับสิ่งที่เห็นนั้น  “ไหนอาเรนบอกว่า...ต้นไม้ทุกคนถูกทำลายไปแล้วนี่..อ๊ะ”  ทันใดนั้นใบไม้ใบนั้นก็ส่องสว่างออกมา    แสงสว่างนั้นจ้ามากขึ้นเรื่อยๆจนฉันต้องปิดตาตัวเองเอาไว้

 

 

“เกิดอะไรขึ้น?”  ฉันอุทานออกมาด้วยตกใจ  แต่แสงสว่างสีขาวนั้นปรากฏออกมาแค่เพียงแว่บเดียวก็พลันหายไปอย่างไร้ร่องรอย   ไวท์ลีฟออฟสตาร์ในมือของฉันก็เหมือนกัน   ตอนแรกฉันตกใจมากแต่แล้วก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่ไม่คุ้นเคยกำลังห้อยอยู่ที่คอของฉันเอง   

 

 

“...”  ฉันยกมือขึ้นไปแตะที่ลำคอของตนเองอย่างไม่แน่ใจ     แต่ก็สัมผัสได้ว่ามีสร้อยเส้นหนึ่งกำลังห้อยอยู่คอของฉันเมื่อฉันก้มลงไปหยิบมันขึ้นมาดูจึงเห็นว่าสายสร้อยนั้นมีสีขาวบริสุทธิ์แล้วแข็งแรงมาก  สิ่งที่ห้อยอยู่กับสร้อยนั้นก็คือ...ไวท์ลีฟออฟสตาร์ที่แปรสภาพกลายเป็นผลึกหินเสียแล้ว

 

 

“เป็นไปได้ยังไงกัน?”  ฉันพึมพำจ้องมองไปที่สร้อยนั้นอย่างไม่วางตา

 

 

ทันใดนั้นก็มีเสียงของฝีเท้าอันแผ่วเบาดังขึ้นเบื้องหลังของฉัน   ด้วยสัญชาตญาณทำให้ฉันรีบซ่อนสร้อยคอเส้นนั้นโดยพลันก่อนที่จะหันหลังกลับไป

 

 

“เดอะมิลเลอร์!”  ฉันร้องออกมาด้วยตกในสุดขีด

 

 

 

**********

 

 

ปล.  อา....เว้นช่วงนานเกินไปหน่อย ขอโทษน๊า...จะใครยังมีใครตามอ่านอยู่ไหม?  ฮือๆๆๆ   บทนี้เริ่มต้นด้วยความโรแมนติกพอเขียนแล้วก็ใจเต้นตามไปเหมือนกัน  แต่เลิฟซีนแค่เบาๆเนอะ  บทหน้าเรื่องราวจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว (อย่างนี้เขาเรียกว่สปอยล์ป่ะ แหะๆๆ)   ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านกันนะ  คอมเม้นติชมตามสบายจ้า ^^

ส่วนบทหน้าจะลงภายในเดือนสิงหานี้แหละจ้า.....

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
6.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา