Tale of Utopia
6.9
เขียนโดย The_Paper
วันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 เวลา 18.12 น.
15 บท
8 วิจารณ์
19.21K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2556 12.54 น. โดย เจ้าของนิยาย
11) บทที่ 10 จิตวิญญาณแห่งยูโทเปีย
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความหมายเหตุ : พอดีบทนี้มีเพลงประกอบด้วย (Insert Song) มันจะเล่นอัตโนมัติ (ไม่ชอบเลย แต่ใส่ลิงค์ให้ไปกดเล่นเองไม่เป็นอ่ะจ๊ะ -*-) หากเป็นการรบกวนก็ขออภัยด้วยเนอะ (เผื่อกำลังฟังเพลงอื่นอยู่ 5555) แต่อยากให้ลองฟังกันดู ขอบใจมากจ้า ^^
บทที่ 10 จิตวิญญาณแห่งยูโทเปีย
วันงานเฉลิมฉลอง
ฉันนั่งอยู่หน้ากระจกเพียงลำพังพลางเฝ้ามองภาพสะท้อนของตนเองอย่างเหม่อลอย ฉันจะทำได้ไหมนะ... สิ่งที่มารีนแนะนำมามันดีแน่แล้วหรือ แต่มาถึงจุดนี้แล้ว ยังไงๆก็ต้องทำให้เต็มที่แล้วละสินะ ฉันหลับตาลงพร้อมกับรวบรวมสมาธิ ชั่วไม่นานพลังก็ก่อตัวขึ้นภายในร่างกายของฉัน ฉันไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัดสินใจทำในครั้งนี้จะดีหรือเปล่า แต่ตอนนี้ฉันพร้อมแล้วที่จะปลดปล่อยตนเองในค่ำคืนนี้
ระหว่างนั้นการแสดงของเหล่าภูตก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว พวกภูตกำลังร่วมกันร้องเพลงประสานเสียง มันเป็นเพลงที่ไพเราะมากทีเดียวฟังดูเหมือนกับบทสวดอะไรสักอย่าง มารีนบอกกับฉันว่าเพลงที่พวกภูตร้องเป็นเพลงที่ร้องขึ้นในทุกปีในวันนี้ เป็นเพลงที่มีความหมายว่าขอบคุณเอสคาราสที่คอยปกป้องคุ้มครองและมองพลังให้กับยูโทเปียมานานแสนนาน และจากนี้เรื่อยๆไป
ต่อจากนั้นเป็นการแสดงของเอเรียส เขาแสดงความสามารถของตัวเองด้วยการใช้สมุนไพร สิ่งที่เขาทำมีเพียงแต่แจกชาให้กับทุกคนเท่านั้นเอง ชานั้นแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีสี แต่พอจิบคำแรกก็รู้สึกอบอุ่นกลิ่นหอมอ่อนๆของมันทำให้ฉันรู้สึกราวกับกำลังล่องลอยอยู่ในสรวงสวรรค์เลยทีเดียว ดูเหมือนว่าความสามารถทางด้านสมุนไพรของเขาทำให้ทุกคนประทับใจไม่มากก็น้อย
ตามมาด้วยการแสดงของโมโมะ โมโมะใช้สิ่งที่ตนเองถนัดนั้นคือ เวทย์ไฟ มันพ่นลูกไฟขนาดใหญ่ออกมาก่อนที่จะใช้หางของมันเองทำให้เปลวเพลิงเหล่านั้นเปลี่ยนรูปกลายเป็นรูปร่างของสัตว์ชนิดต่างๆได้อย่างน่าอัศจรรย์ การแสดงนั้นจบท้ายด้วยพุไฟที่แสนสวยงามและตระกาลตา เสียงปรบมือดังกึกก้องทันทีที่มันแสดงจบ
ส่วนชิน....เขาใช้พลังเงาของเขาพาร่างของตนไปยังกลางลานแสดงอย่างฉับไว หลังจากนั้นเขาก็เสกร่างเงาลอกเลียนแบบร่างของตนเองขึ้นมาหลายสิบตน ร่างแปลงทั้งหมดชักดาบแล้วเข้าโจมตีร่างจริงในทันที ชินตัวจริงกวัดแกว่งดาบด้วยท่วงท่าที่สง่างาม แม้ว่าเขากำลังต่อสู้อยู่แต่กลับดูราวกับว่าเขากำลังเต้นรำอยู่มากกว่า ในไม่ช้าชินตัวจริงก็เป็นฝ่ายชนะ เขาจบท้ายการแสดงของเขาด้วยการปักดาบลงกับพื้น เงาสีดำขนาดใหญ่แผ่ครอบคลุมไปทั่วบริเวณ ก่อนที่จะมีใครรู้ตัวดอกไอริสก็ร่วงโรยลงมาจากท้องฟ้าจนนับไม่ถ้วน ชินโค้งคำนับตอนนั้นเองดอกไอริสที่ชินเสกขึ้นจึงค่อยๆเลือนหายไป เสียงปรบมือนั้นดังไม่น้อยไปกว่าของโมโมะ และเอเรียสแล้ว
การแสดงของทั้งสามจบลงแล้ว ในขณะที่ใจของฉันเต้นรัว....การแสดงชุดต่อไปก็ถึงเวลาของฉันแล้วสินะ
ชั่วขณะนั้นเองความเงียบงันก็เข้ามาครอบคลุมสถานที่แห่งนั้นทันที ดูเหมือนทุกคนกำลังตั้งตารอคอยบางสิ่งอยู่ การแสดงชุดต่อไป... การแสดงของผู้ถูกเลือก ชินเองก็มองไปที่ลานแสดงตาไม่กระพริบเช่นเดียวกัน เขาไม่ได้เห็นเธอมาหลายสัปดาห์แล้ว ช่วงหลังดูเหมือนแอนน์จะทำท่าห่างเหินเขาแบบแปลกๆ
เธอสบายดีหรือเปล่านะ.....เรื่องที่เธอไม่สบายใจ ตอนนี้หายกังวลแล้วหรือยัง? ดูเหมือนแอนน์จะมีเรื่องบางอย่างกำลังปิดบังเขาอยู่ มาถึงวันนี้เธอพร้อมที่จะบอกเขาแล้วหรือยัง?
“ฉันคิดถึงเธอนะ...แอนน์”
ทันใดนั้นเสียงกระดิ่งก็ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ภูตสาวคนหนึ่งเดินนำร่างที่อยู่ในผ้าคลุมสีขาวบางมายังกลางลานแสดง ผ้าคลุมสีขาวนั้นทำให้ไม่มีใครสามารถเห็นใบหน้าของหญิงสาวได้ชัดเจนนัก ภูตสาวตนนั้นสั่นกระดิ่งพร้อมๆกับเดินไปรอบๆร่างของหญิงสาว ในที่สุดเธอก็หยุดสั่นกระดิ่ง ดนตรีจึงเริ่มบรรเลง
ผ้าคลุมสีขาวถูกดึงออกไปอย่างแผ่วเบา ผมสีเงินเป็นประกายระยิบระยับเพราะสะท้อนกับแสงของจันทราดูงดงามราวกับภาพนิมิต ชินจ้องมองไปที่ร่างนั้นอย่างตกตะลึง เธอนั้นเอง...ถึงสีผมจะเปลี่ยนไปเขาก็ยังคงจำเธอได้เป็นอย่างดี เธออยู่ในชุดราตรีกระโปรงยาวสีขาวดูพลิ้วไหว บริเวณหน้าอกถูกประดับด้วยโลหะสีทองแกะสลักลวดลายสวยงาม มีผ้าบางส่วนปลิวไสวออกมาจากทางด้านหลังของเธอเมื่อสายลมพัดมาหาตัวเธออย่างแผ่วเบา ทันใดนั้นเธอก็ลืมตาขึ้น....ตาของเธอก็เปลี่ยนสีด้วย ดวงตาสีฟ้าสดใสของเธอประสานกับดวงตาของชายหนุ่มในทันที
*“ลองเงี่ยฟังดูสิ....เธอจะได้ยินเสียงที่อยู่ไกลแสนไกล
เสียงใครสักคน ฮัมเพลงที่แสนจะน่าประหลาดใจ
เสียงนั้น เหมือนดั่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ เหมือนดั่งความฝัน
ดังนั้นให้ฉันได้หลับท่ามกลางพวกมันเถอะนะ” เสียงของหญิงสาวสะท้อนก้อง มันช่างไพเราะจับใจตรึงทุกสายตาเอาไว้ ความรู้สึกนี้ตราตรึงทุกสิ่งราวกับจะทำให้เวลาของโลกใบนี้หยุดเดิน
“ทำไมโลกนี้ถึงได้มีแต่ความขัดแย้ง ทำไมถึงมีแต่ความไร้น้ำใจกันนะ?” อย่างไม่คาดคิดร่างของหญิงสาวอีกคนก็ปรากฏตัวขึ้น นั้นคือแอนนานั้นเอง แอนน์คนนี้อยู่ในชุดพื้นเมืองที่เขาคุ้นตามาโดยตลอด เธอร้องเพลงต่อจากแอนน์ในชุดราตรีสีขาวที่ยืนอยู่ก่อนหน้านั้นได้อย่างแนบเนียน
ไม่ทันไรร่างของแอนน์ในชุดวันงานเต้นรำที่เดอะลาสต์เดสติเนชั่นก็ปรากฏตัวขึ้นแล้วร้องเพลงนั้นต่อด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน
“ยามอาทิตย์อัสดง ที่สองเราเฝ้าตลอดมา ที่เมฆสีแดงสดนั้น....”
“แต่บัดนี้กลับอยู่เคียงข้างฉันไม่ได้อีกแล้ว...” แอนน์ปรากฏตัวขึ้นอีกคนในชุดที่แปลกตาไปกว่าชุดอื่นๆ แว่บแรกชินเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ แต่เพียงชั่วครู่เดียวเขาก็นึกออกว่ามันคือชุดที่แอนน์ใส่ติดตัวมาจากบ้านเกิดของเธอนั้นเอง เธอผู้นั้นปรากฏกายขึ้นพร้อมกับก้าวเข้ามาร่วมร้องเพลงด้วยอีกคน
และแล้วแอนน์ทั้ง 4 คนร่วมร้องเพลงไปพร้อมๆไป
“ยามที่สายฝนสีเงินโปรยปรายลงมา
มันทำให้ฉันคิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของตัวเอง และทำให้น้ำตาไหลริน
ฝนดาวตกที่แตกกระจายร่วงหล่นลงมา สัมผัสกับตัวเธอ กับไหล่ของเธอ นั้นคือ Amrita”
ณ ตอนนั้นเองแอนน์ในภาพอดีตทั้งสามก็ค่อยๆเลือนหาย แอนน์ที่มีผมสีเงินหายไปเป็นคนสุดท้าย ภาพที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าเขาก็คือภาพของหญิงสาวที่กำลังนั่งอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือ เขาไม่เคยเห็นบ้านเธอมาก่อน นั้นเองหรือบ้านของเธอ.....
“หัวใจของเธอคงสามารถรับรู้ถึงยามค่ำคืนได้ เมื่อโลกของเรากำลังร้องไห้” เธอร้องเพลงในขณะที่เดินไปยังประตูสู่ยูโทเปีย
“ถ้าบาดแผลนั้นทำร้ายเธอ....” ภาพเปลี่ยนไปเป็นภาพของแอน์ในชุดพื้นเมืองที่กำลังเดินไปในทุ่งพีโอนี.... และช่วงเวลาที่เธอยู่บนเรือในมิดไนท์
“และพุ่งความปรารถนาของเธอออกไปราวกับธนูไปยังฟากฟ้า” ณ ตอนนี้แอนน์กลับยืนอยู่บนกระดาษจรวดที่บินท่องไปในยามราตรี
“ยามที่สายฝนสีเงินโปรยปรายลงมา มันทำให้ฉันคิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของตัวเอง” แอนน์ในชุดราตรีสีขาวกำลังร้องเพลงอยู่ที่ระเบียงของปราสาทเดอะลาสต์เดินติเนชั่น
“ได้โปรดหยุดการไหลของเวลาด้วยเถิด” กลีบของดอกไอริสปลิวไปทั่ว ในขณะที่หญิงสาวนั่งชันเข่าร้องเพลงอยู่ในทุ่งดอกไอริสเพียงลำพัง
ภาพของเอสคาราสผุดขึ้นมา แอนน์ยืนอยู่ตรงภายในห้องหนังสือที่บรรจุความทรงจำทั้งหมดของยูโทเปียเอาไว้
“เสียงของสายฝนดังกึกก้องไปจนถึงขอบฟ้า มีบางอย่างที่ยังคงแน่นอนในวันเหล่านั้น นั้นคือ Amrita”
เสียงดนตรีดังขึ้น ขณะนั่นเองพลังของหญิงสาวก็ทำให้ชินได้เห็นภาพของอดีตที่เขาและเธอมีร่วมกัน ภาพที่เขาและเธอเจอกันเป็นครั้งแรก ภาพที่แอนน์เอื้อมมือไปรับไวท์ลีฟ ภาพที่เธอวิ่งไปตามชั้นหนังสือด้วยใบหน้ากังวลใจ ภาพของแคทเธอรีน อาเรน เอเรียส โมโมะและเขา เขาเห็นเงาเลือนรางของคน 2 คนในทุ่งดอกไอริส ชั่วขณะนั้นชินเบิกตากว้าง ฉับพลันภาพก็พลันเปลี่ยนไปเป็นภาพที่แอนน์ยืนอยู่ในโบสถ์ร่างกายของเธอ และภายในโบสถ์เต็มไปด้วยเลือด มือจ่อดาบไปที่ผู้รอดชีวิตคนสุดท้าย เขาประสานสายตากับแอนน์ที่หน้าเปื้อนเลือดนั้น พอรู้ตัวอีกทีเขากลับกำลังประสานตากับแอนน์ที่อยู่ในเวลาปัจจุบันเสียแล้ว
หญิงสาวเสกกระดาษขึ้นนับไม่ถ้วน กระดาษเหล่านั้นวนไปรอบๆตัวของเธอ แล้วแอนน์ที่ยืนตรงหน้าเขาก็เปล่งเสียงร้องเพลงออกมาอีกครั้ง ชินไม่อยากจะเชื่อว่าแอนน์จะกลับมาใช้พลังได้อีกครั้งอย่างสมบูรณ์แบบถึงขนาดนี้ ราวกับว่าเธอเกิดใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง เหมือนกับเอสามารถเริ่มต้นใหม่ได้อีกครั้ง
“ยามที่สายฝนสีเงินโปรยปรายลงมา
มันทำให้ฉันคิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของตัวเอง และทำให้น้ำตาไหลริน
แล้วกลายเป็นสายฝนโปรยปรายลงบนตัวเธอ นั้นคือ Amrita”
เธอเคลื่อนไหวไปรอบๆเหมือนกำลังเต้นรำ เมื่อสิ้นเสียงเพลงมือทั้งสองข้างของเธอก็ประสานกันอยู่ที่หน้าอก กระดาษเหล่านั้นหยุดยิ่งอยู่ชั่วขณะก่อนที่จะเคลื่อนไหวกลายเป็นผีเสื้อบินไปในท้องฟ้ายามราตรี แสงประกายระยิบระยับลอยละล่องไปในอากาศเช่นเดียวกัน
วินาทีนั้นเศษกระจกก็พลันสลายออกจากร่างของหญิงสาวไปจนหมดสิ้นแล้ว.....
ทุกคนเงียบกริบเหมือนกำลังเข้าสู่ภวังค์ไปชั่วขณะ แต่แล้วองค์ราชินีก็เป็นคนปรบมือขึ้นเป็นคนแรก หลังจากนั้นทุกคนจึงพากันปรบมือตาม จนในที่สุดเสียงปรบมือก็ดังกึกก้องไปทั่วและยาวนานยิ่งกว่าการแสดงของผู้ใด เสียงของหญิงสาวดูเหมือนจะเข้าไปถึงในใจของทุกๆคน
ชินเห็นเธอยิ้ม....เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเธอยิ้มแบบนี้ ยิ้มมาจากใจหลังจากที่เกิดเรื่องในคืนวันนั้น เธอก้มตัวลงทำความเคารพก่อนที่จะเดินจากไปเงียบๆ
**********
“ภาพพวกนั้น....” ชินพึมพำ
“แอนน์ร้องเพราะสุดๆไปเลยว่าไหม” โมโมะที่อยู่ข้างๆร้องขึ้นอย่างชื่นชม
“โมโมะ...ภาพเมื่อกี๊..”
“ภาพอะไรงั้นเหรอชิน” มันทำท่าทางสงสัย ชินขมวดคิ้วดูเหมือนจะไม่มีใครเห็นภาพนั้นเลย แล้วเขาก็ตระหนักได้ว่านั้นเป็นภาพที่เธอตั้งใจจะให้เขาได้เห็นแต่เพียงผู้เดียว
งานในค่ำคืนนั้นจบลงด้วยความประทับใจ ชินเดินตามหาแอนน์ไปทั่ว แต่กลับไม่พบ ในที่สุดก่อนที่เขาจะตัดใจ เขาก็ออกไปเดินนอกบริเวณที่จัดงานสังสรรค์กันอยู่ ในที่สุดเขาก็พบเธอ....แอนน์ยังคงอยู่ในชุดสีขาวที่แสนงดงามนั้น เธอนั่งอยู่บนชิงช้าธรรมชาติใกล้ๆกับธารน้ำที่กำลังไหลเอื่อยๆด้วยท่าทางผ่อนคลาย
ฉันทำอะไรลงไปนี่... ฉันถอนหายใจเบาๆ ทั้งๆที่ฉันสัญญากับแคทเธอรีนไปแล้วแท้ๆนะ ต่อจากนี้ฉันจะกล้าไปพบหน้าชินได้ยังไงกัน
“นั่งคิดอะไรอยู่...” เสียงของชินดังขึ้นเบื้องหลังฉัน ทำให้ฉันสะดุ้งตกใจจึงรีบลุกยืนอย่างไม่ทันตั้งตัวนาทีนั้นเองที่รากไม้ที่ขวางทางอยู่ทำให้ฉันเสียหลัก ชินรีบพุ่งเข้ามารับตัวฉันเอาไว้ทันที พอฉันรู้ตัวอีกทีก็พบว่าตนเองกำลังอยู่ในอ้อมแขนของชินซะแล้ว
“ระวังหน่อยสิ ซุ่มซ่ามไม่เปลี่ยนเลยนะ” ชินพูดพร้อมกับพยุงฉันให้ยืนขึ้น แต่ยังคงไม่คลายวงแขนออก
“....” ฉันเงียบ ไม่รู้จะพูดว่าอะไรดี
“เธอสวยมากเลยนะ” อยู่ดีๆชินก็ก้มลงมากระซิบที่ข้างหูของฉัน พร้อมกับเอามือมาแตะผมสีเงินของฉันเบาๆ
“แปลกไหม....ผมกับสีตาฉันเปลี่ยนก็เพราะไอเวทย์ที่นี่...”
“ไอเวทย์ที่นี่บริสุทธิ์มันจะเผยความจริงทุกสิ่ง” ชินกระซิบ
“ชินคือ....”
“ภาพที่ฉันเห็น มันคือความทรงจำของเราใช่ไหม?” ขินเอ่ยขึ้นแบบไม่อ้อมค้อมอีกต่อไป
ฉันนิ่งเงียบ ฉันไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว
“แอนน์…” เขาเอามือมาเขี่ยแก้มของฉันเบาๆ ฉันแทบจะรู้สึกถึงไออุ่นของลมหายใจชินที่อยู่ห่างไปไม่ถึงคืบ เขายังคงไม่ยอมปล่อยฉัน
“ฉันไม่เป็นไรแล้วล่ะ” ฉันพูดพร้อมกับยิ้ม ชินยิ้มตอบฉันแล้วจึงค่อยๆคลายอ้อมแขนออก ฉันเขยิบตัวห่างออกมาจากชิน พร้อมกับมองไปที่เขา เขาดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นกว่าครั้งแรกที่ฉันพวกเขามากมาย พอได้มองดูเขาแบบนี้ฉันก็รู้สึกเหมือนยิ่งห่างไกล ชินจะต้องเป็นเจ้าชายที่ดีได้แน่ๆ และจะต้องเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่อีกด้วย
“ไว้ร้องเพลงให้ฉันฟังบ่อยๆสิ ได้ไหม...”
“อืม”
“นี่เรื่องในคืนงานเต้นรำน่ะ ที่ทุ่งดอกไอริส.....”
“ช่างเถอะ ไม่มีอะไรหรอก” ฉันไม่กล้ารอให้เขาพูดจบประโยค
“งั้นเหรอ” น้ำเสียงของชินฟังดูเศร้า นั้นพลอยทำให้ฉันรู้สึกเศร้าไปด้วย ฉันหันหลังให้ชินแล้วจึงเดินจากไป
ทันใดนั้นมือของชินก็มากำข้อมือของฉันเอาไว้แน่น ก่อนที่ฉันจะร้องบอกอะไรเขาก็ดึงฉันให้เข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขาอีกครั้ง เขาไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว ชินก้มลงมาจูบฉัน ช่วงเวลานั้นฉันรู้สึกเหมือนได้กลิ่นของไอริส มันกำลังผลิบานอยู่รอบๆตัวของเรา กึ่งจริงกึ่งฝันอย่างน่าประหลาด ฉันพริ้มตาหลับลงและรู้สึกเลื่อนลอย จูบครั้งนี้อ่อนหวานและยาวนานยิ่งกว่าครั้งก่อน ฉันรู้สึกไปเองหรือเปล่า....แต่ฉันกลับรู้สึกว่าได้ปลดปล่อยภาระอะไรที่หนักอึ้งอยู่ในใจฉันมานานออกไปได้อีกอย่างหนึ่ง ฉันอยากจะเก็บความรู้สึกดีๆในวินาทีนี้เอาไว้ไปชั่วนิรันดร์ เมื่อชินถอนริมฝีปากออก...เราทั้งสองก็ยังคงไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกแม้แต่คำเดียว
ฉันไม่ได้ถามว่าทำไมเขาจึงทำเช่นนั้น เขาก็ไม่ได้ถามว่าทำไมฉันถึงไม่ขัดขืนเขา ฉันจำไม่ได้ว่าเมื่อไหร่ที่ฉันผล็อยหลับไปในอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นนั้น...หลับไปด้วยความอ่อนเพลียในที่สุด
ตอนเช้าฉันก็พบว่าตัวเองอยู่บนเตียงซะแล้ว ฉันจำไม่ค่อยได้เท่าไหร่ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หลังการแสดงฉันได้พบกับชินตามลำพัง แล้วเราก็...
ตอนนั้นเองฉันก็เหลือบไปมองบนโต๊ะจึงเห็นดอกไอริสวางสงบนิ่งอยู่พร้อมกับกระดาษที่มีข้อความเขียนไว้ว่า
“อรุณสวัสดิ์ เจ้าหญิง...” ฉันอมยิ้ม เมื่อคืนไม่ใช่ความฝันละสินะ
ฉันหยิบดอกไอริสขึ้นมาสูดกลิ่น
“ยังไงเสียฉันก็เป็นผู้ถูกเลือก ฉันจะต้องสู้เพื่อยูโทเปีย เพื่อทุกคน เพื่อคนที่ฉันรัก ถึงแม้ว่าฉันจะต้องจากที่นี่ไปตลอดกาลก็ตาม ขอบใจนะชินที่มอบความเข้มแข็งให้กับฉัน”
หลังจากค่ำคืนนั้นฉันก็รู้สึกเหมือนกับเป็นคนใหม่ ฉันไม่ได้ฝันร้ายอีกแล้ว....แน่นอนว่าไม่ได้ฝันถึงชั้นวางหนังสือพวกนั้นอีกต่อไปแล้วด้วย ในเมื่อยังไม่ถึงเวลาฉันก็ไม่ควรที่จะไปกังวลกับมันแล้วละสินะ ตอนนี้ฉันพร้อมที่จะเปิดรับทุกสิ่งแล้วจริงๆ ฉันรู้สึกถึงความเป็นตัวของตัวเองมากกว่าครั้งใด อาการอ่อนเพลียและบาดแผลทางจิตใจที่สร้างความเสียหายเรื้อรังมานานดูเหมือนจะมลายหายไปสิ้นแล้ว ในทุกๆวันฉันมักจะออกบินไปด้วยจรวดกระดาษของฉันเพียงลำพังเสมอ สายลมที่พัดผ่านร่างของฉันไปเหมือนกับกำลังเติมพลังให้กับฉันในทุกช่วงลมหายใจ
ฉันกลับมามั่นใจที่จะใช้พลังของตนอีกครั้ง รู้สึกดียิ่งกว่าครั้งไหนๆที่ได้บินไปบนท้องฟ้าด้วยตนเองได้อีกครา เดอะเปเปอร์คนก่อนจะเป็นใครเกิดอะไรขึ้น....ฉันไม่อยากที่จะเก็บมาคิดอีก ตอนนี้ฉันก็คือฉัน.... ฉันคือเดอะเปเปอร์เหมือนกัน และฉันจะไม่มีวันเลือกทางผิดเหมือนกับที่ทุกคนกลัวอย่างแน่นอน
ในเวลาว่างฉันก็เข้าไปอ่านหนังสือภายในเอสคาราสอยู่เสมอ อยู่ที่นี่แล้ว.....ฉันรู้สึกเหมือนอยู่ที่บ้านอีกครั้งหนึ่งเลยทีเดียว หนังสือล้อมรอบตัวฉันอยู่มันกำลังรอให้ฉันเปิดมันอ่าน กลิ่นไอของหนังสือนับพันยังคงทำให้ฉันตื่นเต้นได้ทุกครั้ง
“แอนน์นี่ชอบอ่านหนังสือจริงๆเลยนะ” มารีนมักจะหาฉันเจอที่เอสคาราสอยู่เสมอๆ
“มารีนละ ไม่ชอบอ่านหนังสือเหรอ?”
“ฉันชอบฟังมากกว่า ว่าแต่เธอดูเปลี่ยนไปนะแอนน์ ดูร่าเริงกว่าแต่ก่อนตั้งเยอะ...” มารีนยิ้มแบบมีเลศนัย “หรือว่าความรักกำลังผลิบานกันจ๊ะ ที่ฉันแนะนำไปน่ะได้ผลไหม?”
“ไม่ใช่เพราะเรื่องนั้นหรอกคะ” ฉันหัวเราะ ทั้งๆที่ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันอาจจะทำได้แค่เพียงฝืนยิ้มเท่านั้นเอง
“เหรอ งั้นเพราะอะไรกันนะ?”
“นั้นสิคะ”
“ตัดสินใจได้แล้วใช่ไหมล่ะ?”
“เอ๊ะ!”
“เธอน่ะ เลือกทางเดินที่เป็นของตัวเองได้แล้วสินะ”
“คะ ฉันเลือกแล้ว” ฉันยิ้ม มารีนยิ้มพร้อมกับบีบมือของฉันเอาไว้เหมือนจะให้กำลังใจ ฉันบีบมือเธอตอบ
อย่างไรก็ตามวันเวลาแห่งความสงบสุขนั้นคงอยู่ไม่นาน เวลาที่โอเวอร์โซลผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับติดปีกบิน ในที่สุดข่าวของอาเรนก็ถูกส่งมาถึง...
**********
“การรบมาถึงขั้นแตกหักแล้ว ทั้งทางฝ่ายอาเรนและดาร์คอาเธอร์ต่างก็กำลังเตรียมทัพครั้งใหญ่เพื่อการรบครั้งสุดท้ายอยู่ ศึกตัดสินแพ้ชนะอยู่ที่ศึกครั้งหน้านี่แหละ เพราะตอนนี้ทั้งสองฝ่ายต่างก็เสียหายไปไม่น้อยเลย” ชินพูดเสียงเครียด
“อาเรนปลอดภัยดีใช่ไหม?” ฉันถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“อืม หมอนั่นไม่เป็นไรง่ายๆหรอก”
“แล้วเจ้าชายอาเรนต้องการให้พวกเราทำอย่างไรต่อไปหรือครับ?” เอเรียสเอ่ยถาม
“เท่าที่ผ่านมาทำให้อาเรนแน่ใจว่าดาร์คอาเธอร์จะไม่มีทางออกรบด้วยตนเอง เขาจะไม่ยอมออกจากปราสาทเด็ดขาด....” ชินเอ่ยเสียงเครียด
“อาเรนคงจะบอกว่าให้พวกเราอาศัยจังหวะช่วงที่ต่างฝ่ายต่างพาทหารไปออกรบ แล้วพวกเราค่อยลอบเข้าไปภายแพนดอร่าโดยอาศัยช่วงจังหวะนั้นล่ะสินะ” ฉันเป็นคนพูดต่อแทนชิน ทำเอาทุกคนหันมามองฉันอย่างแปลกใจ
“แอนน์......นี่เธอ”
“มาถึงสักทีสินะ” ฉันรำพึงขึ้น จะได้พบกันแล้วสินะ....ดาร์คอาเธอร์
“แอนน์หมายความว่าเธอ....” โมโมะหันมาถาม
“อื้ม ฉันจะสู้!” ฉันพูดพร้อมกับลุกยืนขึ้น “ตอนนี้ฉันรู้แล้วล่ะว่าสิ่งที่ฉันทำได้มันคืออะไรกันแน่”
“ไม่ต้องห่วงพวกเราจะไปกับเธอด้วย” ชินพูดขึ้น
ฉันพยักหน้า พวกเขาไม่มีทางตามฉันขึ้นไปถึงจุดนั้นได้หรอก การต่อสู้นั้นมีเพียงฉันกับดาร์คอาเธอร์เท่านั้น ความฝันเมื่อคืนที่ฉันฝันเห็นอนาคตบอกฉันไว้เช่นนั้น.... แต่ฉันไม่คิดที่จะบอกเรื่องนี้กับใครหรอกนะ
“เอเรียส ฉันคิดว่าท่านไม่ควรไปร่วมกับเรานะ ท่านน่ะ...”
“ถึงผมจะเป็นแพทย์ แต่ก็ใช้อาวุธได้คล่องนะ ผมเก่งเรื่องธนูมากรับรองฝีมือได้เลย” เอเรียสพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ท่านอย่าห้ามผมให้เสียเวลาเลยดีกว่าเจ้าชาย ยังไงผมก็จะไปด้วยให้ได้!” ชินที่ตอนแรกคิดจะขัดขวางจึงต้องชะงักงันไป
“เราจะออกเดินทางกันเมื่อไหร่?” โมโมะถาม
“พรุ่งนี้เช้าเลย” ชินตอบ
คืนสุดท้ายที่โอเวอร์โซลนั้นองค์ราชินีได้เรียกทุกคนไปพบเป็นการส่วนตัวทีละคนเพื่อที่จะมอบของขวัญก่อนออกเดินทางให้ เอเรียสได้รับตำหรับยาของเหล่าภูตเป็นของขวัญ และเมล็ดพืชที่สามารถปลูกได้ทุกหนทุกแห่งอีกถุงหนึ่ง โมโมะได้รับกำไลสำหรับสวมที่ข้อเท้าทั้งสี่ มันทำขึ้นจากฝีมือของเหล่าภูต อัญมณีสีแดงที่ประดับอยู่ทำให้โมโมะดูสง่างามขึ้น นอกจากนั้นสิ่งนี้ยังจะทำให้โมโมะใช้พลังได้ทรงอานุภาพมากขึ้นอีกด้วย
ชินได้รับดาบเล่มใหม่ เขากล่าวขอบคุณไม่หยุดเพราะดาบเล่มนั้นเป็นดาบที่ถูกตีขึ้นมาเป็นอย่างดีและมีความงดงามอย่างที่สุด จุดเด่นที่สุดของดาบก็คืออัญมณีที่ประดับไว้มีสีเช่นเดียวกับสีตาของชิน ชินกวัดแกว่งดาบใหม่ด้วยความพอใจ และในที่สุดฉันจึงถูกเรียกเข้าไปพบเป็นคนสุดท้าย
“สำหรับเจ้าดูเหมือนจะพิเศษกว่าคนอื่นอยู่สักหน่อย” องค์ราชินีพูดพร้อมกับมอบถุงกำมะหยี่เล็กๆใบหนึ่งให้กับฉัน ฉันรับมันมาไว้ในมือรับรู้ถึงน้ำหนักของของบางอย่างที่อยู่ภายใน แต่ฉันไม่สามารถบอกได้ว่ามันคืออะไร
“ข้าอยากให้เจ้าเอ่ยคำสาบานต่อข้า เมื่อเจ้ารับของสิ่งนี้ไป..”
“ได้คะ”
“เจ้าจะต้องห้ามเปิดออกดูเด็ดขาดว่าภายในมีอะไรอยู่จนกว่าจะถึงเวลา”
“เวลาอะไรคะ”
“เจ้าจะรู้เอง และเจ้าห้ามให้ใครเห็นของสิ่งนี้ หรือนำมันไปให้ใครเด็ดขาด”
ถึงข้อนี้ฉันทำหน้าสงสัย “แม้แต่...”
“ใช่ แม้แต่ชิน โมโมะ เอเรียสหรือว่าใครก็ตาม..”องค์ราชินีพูดอย่างหนักแน่น ฉันนิ่งไปครู่เดียวก่อนที่จะพยักหน้า
“ฉันสาบานคะ”
“อย่ากังวลไปเลย สิ่งนี้เอสคาราสเป็นคนประทานมาให้เจ้า”
“เอสคาราส!” ฉันประหลาดใจ
องค์ราชินีพยักหน้า แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก “และต่อไปคือของขวัญจากข้า” องค์ราชินียื่นมือมาเบื้องหน้า ทันใดนั้นจี้ไวท์ลีฟก็สั่นแล้วค่อยๆลอยออกจากใต้เสื้อของฉัน
“มันจะคอยคุ้มครองเจ้าตลอดไป และนำให้เจ้าได้พบแต่สิ่งดีๆ” นางประทับริมฝีปากลงบนจี้ไวท์ลีฟนั้น ตราสัญลักษณ์ที่เป็นรูปดาวหกแฉกของเดอะลาสเดสติเนชั่นหายไปในทันที ก่อนที่บนไวท์ลีฟจะกลับมีสัญลักษณ์เป็นต้นเอสคาราส...สัญลักษณ์แห่งโอเวอร์โซลปรากฏอยู่แทน
“มันจะเป็นแสงสว่างเมื่อยามที่ทุกสิ่งมืดมิด....”
“ขอบคุณมากนะคะ” ฉันรับสร้อยนั้นคืน “ขอบคุณสำหรับทุกๆสิ่ง”
องค์ราชินีสวมกอดฉันอย่างแนบแน่นก่อนที่จะคลายออก พระนางกระซิบที่ข้างหูของฉันว่า “ทุกอย่างจะลงเอยด้วยดี”
อาหารเย็นวันนี้ทุกคนต่างถามกันเป็นเสียงเดียวว่าฉันได้รับของขวัญอะไรจากราชินี ฉันจึงดึงสร้อยออกมาให้ทุกคนดู เอเรียสบอกว่าคล้ายกับใบไม้ในตำนานมาก ทุกคนตื่นเต้นกันใหญ่ ฉันกล่าวขอบคุณ ตลอดงานนั้นฉันไม่ได้เอ่ยถึงสิ่งที่เอสคาราสมอบมาให้ฉันเลย
เมื่อพระอาทิตย์ฉายแสงออกมาเป็นแสงแรกของวัน ฉันและคนอื่นๆก็พร้อมสำหรับการเดินทางแล้ว
“ขอโทษนะที่พวกเราไปส่งได้ถึงเท่านี้เอง” มารีนกล่าวกับฉัน
“แค่นี้ก็ขอบคุณมากแล้วล่ะ ขอบคุณมากนะมารีน”
“ฉันจะคิดถึงเธอ ที่จริงฉันอยากไปกับเธอนะ แต่พี่บอกว่ายังไม่ถึงเวลานี่น่ะสิ..” ฉันทำหน้าสงสัย แต่ไม่ทันจะถามอะไรองค์ราชินีก็เดินทางมาถึงแล้ว
“ลาก่อนผู้ถูกเลือก ลาก่อนเจ้าชายแห่งฟรีดอม ลาก่อนโมโมะจิ้งจอกเก้าหางผู้องอาจ ลาก่อนเอเรียส ท่านจะต้องได้ช่วยคนอีกจำนวนมากแน่ๆในอนาคต”
“ลาก่อน” ฉันพูด
“แล้วเจอกัน” มารีนโบกมือลา ฉันจึงได้แต่โบกมือลาตอบ
ลาก่อนเอสคาราส...สุดท้ายฉันก็บอกลามันด้วยความคิด นี่คงจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะได้มาเห็นเอสคาราส....
**********
ปล. หวา!!! หายตัวไปนานคนที่ตามอ่านอยู่ยังไม่หายกันไปไหนใช่ไหม??? (ฮือๆๆ) ขออภัยจริงๆจ้า
ตอนนี้เหมือนกับเป็นการเปิดโลกใหม่ของแอนน์ (ตัวเอกของเรา) อีกครั้งอย่างไรอย่างนั้น ต่อจากนี้ไปก็จะมีแต่เรื่องหนักๆให้ฝ่าฟันล่ะนะ
บทนี้มาแปลกกว่าบทอื่นๆเพราะมีเพลงประกอบด้วย (รอมานาน) ลองดูเนอะว่าจะเวิร์คไหม? แหะๆ
อย่างไรก็ตามก็ขอมอบเครดิตต้นฉบับเพลงนี้ด้วยนะ (เนื้อไทยนั้นเราแปลเอง และดัดแปลงบางส่วนเพื่อให้เข้ากับเนื้อเรื่องนะ) ถ้าใครสนใจก็ไปตามต่อในอากู๋ (google) ตามสะดวกนะ........... แปลจากเพลง Amrita จากอนิเมชั่นเรื่อง Tsubasa Chronicle- Tori Kago no Kuni no Himegumi movie จ้า
แล้วจะรีบมาลงตอนต่อเร็วๆนี้จ้า
บทที่ 10 จิตวิญญาณแห่งยูโทเปีย
วันงานเฉลิมฉลอง
ฉันนั่งอยู่หน้ากระจกเพียงลำพังพลางเฝ้ามองภาพสะท้อนของตนเองอย่างเหม่อลอย ฉันจะทำได้ไหมนะ... สิ่งที่มารีนแนะนำมามันดีแน่แล้วหรือ แต่มาถึงจุดนี้แล้ว ยังไงๆก็ต้องทำให้เต็มที่แล้วละสินะ ฉันหลับตาลงพร้อมกับรวบรวมสมาธิ ชั่วไม่นานพลังก็ก่อตัวขึ้นภายในร่างกายของฉัน ฉันไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัดสินใจทำในครั้งนี้จะดีหรือเปล่า แต่ตอนนี้ฉันพร้อมแล้วที่จะปลดปล่อยตนเองในค่ำคืนนี้
ระหว่างนั้นการแสดงของเหล่าภูตก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว พวกภูตกำลังร่วมกันร้องเพลงประสานเสียง มันเป็นเพลงที่ไพเราะมากทีเดียวฟังดูเหมือนกับบทสวดอะไรสักอย่าง มารีนบอกกับฉันว่าเพลงที่พวกภูตร้องเป็นเพลงที่ร้องขึ้นในทุกปีในวันนี้ เป็นเพลงที่มีความหมายว่าขอบคุณเอสคาราสที่คอยปกป้องคุ้มครองและมองพลังให้กับยูโทเปียมานานแสนนาน และจากนี้เรื่อยๆไป
ต่อจากนั้นเป็นการแสดงของเอเรียส เขาแสดงความสามารถของตัวเองด้วยการใช้สมุนไพร สิ่งที่เขาทำมีเพียงแต่แจกชาให้กับทุกคนเท่านั้นเอง ชานั้นแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีสี แต่พอจิบคำแรกก็รู้สึกอบอุ่นกลิ่นหอมอ่อนๆของมันทำให้ฉันรู้สึกราวกับกำลังล่องลอยอยู่ในสรวงสวรรค์เลยทีเดียว ดูเหมือนว่าความสามารถทางด้านสมุนไพรของเขาทำให้ทุกคนประทับใจไม่มากก็น้อย
ตามมาด้วยการแสดงของโมโมะ โมโมะใช้สิ่งที่ตนเองถนัดนั้นคือ เวทย์ไฟ มันพ่นลูกไฟขนาดใหญ่ออกมาก่อนที่จะใช้หางของมันเองทำให้เปลวเพลิงเหล่านั้นเปลี่ยนรูปกลายเป็นรูปร่างของสัตว์ชนิดต่างๆได้อย่างน่าอัศจรรย์ การแสดงนั้นจบท้ายด้วยพุไฟที่แสนสวยงามและตระกาลตา เสียงปรบมือดังกึกก้องทันทีที่มันแสดงจบ
ส่วนชิน....เขาใช้พลังเงาของเขาพาร่างของตนไปยังกลางลานแสดงอย่างฉับไว หลังจากนั้นเขาก็เสกร่างเงาลอกเลียนแบบร่างของตนเองขึ้นมาหลายสิบตน ร่างแปลงทั้งหมดชักดาบแล้วเข้าโจมตีร่างจริงในทันที ชินตัวจริงกวัดแกว่งดาบด้วยท่วงท่าที่สง่างาม แม้ว่าเขากำลังต่อสู้อยู่แต่กลับดูราวกับว่าเขากำลังเต้นรำอยู่มากกว่า ในไม่ช้าชินตัวจริงก็เป็นฝ่ายชนะ เขาจบท้ายการแสดงของเขาด้วยการปักดาบลงกับพื้น เงาสีดำขนาดใหญ่แผ่ครอบคลุมไปทั่วบริเวณ ก่อนที่จะมีใครรู้ตัวดอกไอริสก็ร่วงโรยลงมาจากท้องฟ้าจนนับไม่ถ้วน ชินโค้งคำนับตอนนั้นเองดอกไอริสที่ชินเสกขึ้นจึงค่อยๆเลือนหายไป เสียงปรบมือนั้นดังไม่น้อยไปกว่าของโมโมะ และเอเรียสแล้ว
การแสดงของทั้งสามจบลงแล้ว ในขณะที่ใจของฉันเต้นรัว....การแสดงชุดต่อไปก็ถึงเวลาของฉันแล้วสินะ
ชั่วขณะนั้นเองความเงียบงันก็เข้ามาครอบคลุมสถานที่แห่งนั้นทันที ดูเหมือนทุกคนกำลังตั้งตารอคอยบางสิ่งอยู่ การแสดงชุดต่อไป... การแสดงของผู้ถูกเลือก ชินเองก็มองไปที่ลานแสดงตาไม่กระพริบเช่นเดียวกัน เขาไม่ได้เห็นเธอมาหลายสัปดาห์แล้ว ช่วงหลังดูเหมือนแอนน์จะทำท่าห่างเหินเขาแบบแปลกๆ
เธอสบายดีหรือเปล่านะ.....เรื่องที่เธอไม่สบายใจ ตอนนี้หายกังวลแล้วหรือยัง? ดูเหมือนแอนน์จะมีเรื่องบางอย่างกำลังปิดบังเขาอยู่ มาถึงวันนี้เธอพร้อมที่จะบอกเขาแล้วหรือยัง?
“ฉันคิดถึงเธอนะ...แอนน์”
ทันใดนั้นเสียงกระดิ่งก็ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ภูตสาวคนหนึ่งเดินนำร่างที่อยู่ในผ้าคลุมสีขาวบางมายังกลางลานแสดง ผ้าคลุมสีขาวนั้นทำให้ไม่มีใครสามารถเห็นใบหน้าของหญิงสาวได้ชัดเจนนัก ภูตสาวตนนั้นสั่นกระดิ่งพร้อมๆกับเดินไปรอบๆร่างของหญิงสาว ในที่สุดเธอก็หยุดสั่นกระดิ่ง ดนตรีจึงเริ่มบรรเลง
ผ้าคลุมสีขาวถูกดึงออกไปอย่างแผ่วเบา ผมสีเงินเป็นประกายระยิบระยับเพราะสะท้อนกับแสงของจันทราดูงดงามราวกับภาพนิมิต ชินจ้องมองไปที่ร่างนั้นอย่างตกตะลึง เธอนั้นเอง...ถึงสีผมจะเปลี่ยนไปเขาก็ยังคงจำเธอได้เป็นอย่างดี เธออยู่ในชุดราตรีกระโปรงยาวสีขาวดูพลิ้วไหว บริเวณหน้าอกถูกประดับด้วยโลหะสีทองแกะสลักลวดลายสวยงาม มีผ้าบางส่วนปลิวไสวออกมาจากทางด้านหลังของเธอเมื่อสายลมพัดมาหาตัวเธออย่างแผ่วเบา ทันใดนั้นเธอก็ลืมตาขึ้น....ตาของเธอก็เปลี่ยนสีด้วย ดวงตาสีฟ้าสดใสของเธอประสานกับดวงตาของชายหนุ่มในทันที
*“ลองเงี่ยฟังดูสิ....เธอจะได้ยินเสียงที่อยู่ไกลแสนไกล
เสียงใครสักคน ฮัมเพลงที่แสนจะน่าประหลาดใจ
เสียงนั้น เหมือนดั่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ เหมือนดั่งความฝัน
ดังนั้นให้ฉันได้หลับท่ามกลางพวกมันเถอะนะ” เสียงของหญิงสาวสะท้อนก้อง มันช่างไพเราะจับใจตรึงทุกสายตาเอาไว้ ความรู้สึกนี้ตราตรึงทุกสิ่งราวกับจะทำให้เวลาของโลกใบนี้หยุดเดิน
“ทำไมโลกนี้ถึงได้มีแต่ความขัดแย้ง ทำไมถึงมีแต่ความไร้น้ำใจกันนะ?” อย่างไม่คาดคิดร่างของหญิงสาวอีกคนก็ปรากฏตัวขึ้น นั้นคือแอนนานั้นเอง แอนน์คนนี้อยู่ในชุดพื้นเมืองที่เขาคุ้นตามาโดยตลอด เธอร้องเพลงต่อจากแอนน์ในชุดราตรีสีขาวที่ยืนอยู่ก่อนหน้านั้นได้อย่างแนบเนียน
ไม่ทันไรร่างของแอนน์ในชุดวันงานเต้นรำที่เดอะลาสต์เดสติเนชั่นก็ปรากฏตัวขึ้นแล้วร้องเพลงนั้นต่อด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน
“ยามอาทิตย์อัสดง ที่สองเราเฝ้าตลอดมา ที่เมฆสีแดงสดนั้น....”
“แต่บัดนี้กลับอยู่เคียงข้างฉันไม่ได้อีกแล้ว...” แอนน์ปรากฏตัวขึ้นอีกคนในชุดที่แปลกตาไปกว่าชุดอื่นๆ แว่บแรกชินเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ แต่เพียงชั่วครู่เดียวเขาก็นึกออกว่ามันคือชุดที่แอนน์ใส่ติดตัวมาจากบ้านเกิดของเธอนั้นเอง เธอผู้นั้นปรากฏกายขึ้นพร้อมกับก้าวเข้ามาร่วมร้องเพลงด้วยอีกคน
และแล้วแอนน์ทั้ง 4 คนร่วมร้องเพลงไปพร้อมๆไป
“ยามที่สายฝนสีเงินโปรยปรายลงมา
มันทำให้ฉันคิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของตัวเอง และทำให้น้ำตาไหลริน
ฝนดาวตกที่แตกกระจายร่วงหล่นลงมา สัมผัสกับตัวเธอ กับไหล่ของเธอ นั้นคือ Amrita”
ณ ตอนนั้นเองแอนน์ในภาพอดีตทั้งสามก็ค่อยๆเลือนหาย แอนน์ที่มีผมสีเงินหายไปเป็นคนสุดท้าย ภาพที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าเขาก็คือภาพของหญิงสาวที่กำลังนั่งอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือ เขาไม่เคยเห็นบ้านเธอมาก่อน นั้นเองหรือบ้านของเธอ.....
“หัวใจของเธอคงสามารถรับรู้ถึงยามค่ำคืนได้ เมื่อโลกของเรากำลังร้องไห้” เธอร้องเพลงในขณะที่เดินไปยังประตูสู่ยูโทเปีย
“ถ้าบาดแผลนั้นทำร้ายเธอ....” ภาพเปลี่ยนไปเป็นภาพของแอน์ในชุดพื้นเมืองที่กำลังเดินไปในทุ่งพีโอนี.... และช่วงเวลาที่เธอยู่บนเรือในมิดไนท์
“และพุ่งความปรารถนาของเธอออกไปราวกับธนูไปยังฟากฟ้า” ณ ตอนนี้แอนน์กลับยืนอยู่บนกระดาษจรวดที่บินท่องไปในยามราตรี
“ยามที่สายฝนสีเงินโปรยปรายลงมา มันทำให้ฉันคิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของตัวเอง” แอนน์ในชุดราตรีสีขาวกำลังร้องเพลงอยู่ที่ระเบียงของปราสาทเดอะลาสต์เดินติเนชั่น
“ได้โปรดหยุดการไหลของเวลาด้วยเถิด” กลีบของดอกไอริสปลิวไปทั่ว ในขณะที่หญิงสาวนั่งชันเข่าร้องเพลงอยู่ในทุ่งดอกไอริสเพียงลำพัง
ภาพของเอสคาราสผุดขึ้นมา แอนน์ยืนอยู่ตรงภายในห้องหนังสือที่บรรจุความทรงจำทั้งหมดของยูโทเปียเอาไว้
“เสียงของสายฝนดังกึกก้องไปจนถึงขอบฟ้า มีบางอย่างที่ยังคงแน่นอนในวันเหล่านั้น นั้นคือ Amrita”
เสียงดนตรีดังขึ้น ขณะนั่นเองพลังของหญิงสาวก็ทำให้ชินได้เห็นภาพของอดีตที่เขาและเธอมีร่วมกัน ภาพที่เขาและเธอเจอกันเป็นครั้งแรก ภาพที่แอนน์เอื้อมมือไปรับไวท์ลีฟ ภาพที่เธอวิ่งไปตามชั้นหนังสือด้วยใบหน้ากังวลใจ ภาพของแคทเธอรีน อาเรน เอเรียส โมโมะและเขา เขาเห็นเงาเลือนรางของคน 2 คนในทุ่งดอกไอริส ชั่วขณะนั้นชินเบิกตากว้าง ฉับพลันภาพก็พลันเปลี่ยนไปเป็นภาพที่แอนน์ยืนอยู่ในโบสถ์ร่างกายของเธอ และภายในโบสถ์เต็มไปด้วยเลือด มือจ่อดาบไปที่ผู้รอดชีวิตคนสุดท้าย เขาประสานสายตากับแอนน์ที่หน้าเปื้อนเลือดนั้น พอรู้ตัวอีกทีเขากลับกำลังประสานตากับแอนน์ที่อยู่ในเวลาปัจจุบันเสียแล้ว
หญิงสาวเสกกระดาษขึ้นนับไม่ถ้วน กระดาษเหล่านั้นวนไปรอบๆตัวของเธอ แล้วแอนน์ที่ยืนตรงหน้าเขาก็เปล่งเสียงร้องเพลงออกมาอีกครั้ง ชินไม่อยากจะเชื่อว่าแอนน์จะกลับมาใช้พลังได้อีกครั้งอย่างสมบูรณ์แบบถึงขนาดนี้ ราวกับว่าเธอเกิดใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง เหมือนกับเอสามารถเริ่มต้นใหม่ได้อีกครั้ง
“ยามที่สายฝนสีเงินโปรยปรายลงมา
มันทำให้ฉันคิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของตัวเอง และทำให้น้ำตาไหลริน
แล้วกลายเป็นสายฝนโปรยปรายลงบนตัวเธอ นั้นคือ Amrita”
เธอเคลื่อนไหวไปรอบๆเหมือนกำลังเต้นรำ เมื่อสิ้นเสียงเพลงมือทั้งสองข้างของเธอก็ประสานกันอยู่ที่หน้าอก กระดาษเหล่านั้นหยุดยิ่งอยู่ชั่วขณะก่อนที่จะเคลื่อนไหวกลายเป็นผีเสื้อบินไปในท้องฟ้ายามราตรี แสงประกายระยิบระยับลอยละล่องไปในอากาศเช่นเดียวกัน
วินาทีนั้นเศษกระจกก็พลันสลายออกจากร่างของหญิงสาวไปจนหมดสิ้นแล้ว.....
ทุกคนเงียบกริบเหมือนกำลังเข้าสู่ภวังค์ไปชั่วขณะ แต่แล้วองค์ราชินีก็เป็นคนปรบมือขึ้นเป็นคนแรก หลังจากนั้นทุกคนจึงพากันปรบมือตาม จนในที่สุดเสียงปรบมือก็ดังกึกก้องไปทั่วและยาวนานยิ่งกว่าการแสดงของผู้ใด เสียงของหญิงสาวดูเหมือนจะเข้าไปถึงในใจของทุกๆคน
ชินเห็นเธอยิ้ม....เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเธอยิ้มแบบนี้ ยิ้มมาจากใจหลังจากที่เกิดเรื่องในคืนวันนั้น เธอก้มตัวลงทำความเคารพก่อนที่จะเดินจากไปเงียบๆ
**********
“ภาพพวกนั้น....” ชินพึมพำ
“แอนน์ร้องเพราะสุดๆไปเลยว่าไหม” โมโมะที่อยู่ข้างๆร้องขึ้นอย่างชื่นชม
“โมโมะ...ภาพเมื่อกี๊..”
“ภาพอะไรงั้นเหรอชิน” มันทำท่าทางสงสัย ชินขมวดคิ้วดูเหมือนจะไม่มีใครเห็นภาพนั้นเลย แล้วเขาก็ตระหนักได้ว่านั้นเป็นภาพที่เธอตั้งใจจะให้เขาได้เห็นแต่เพียงผู้เดียว
งานในค่ำคืนนั้นจบลงด้วยความประทับใจ ชินเดินตามหาแอนน์ไปทั่ว แต่กลับไม่พบ ในที่สุดก่อนที่เขาจะตัดใจ เขาก็ออกไปเดินนอกบริเวณที่จัดงานสังสรรค์กันอยู่ ในที่สุดเขาก็พบเธอ....แอนน์ยังคงอยู่ในชุดสีขาวที่แสนงดงามนั้น เธอนั่งอยู่บนชิงช้าธรรมชาติใกล้ๆกับธารน้ำที่กำลังไหลเอื่อยๆด้วยท่าทางผ่อนคลาย
ฉันทำอะไรลงไปนี่... ฉันถอนหายใจเบาๆ ทั้งๆที่ฉันสัญญากับแคทเธอรีนไปแล้วแท้ๆนะ ต่อจากนี้ฉันจะกล้าไปพบหน้าชินได้ยังไงกัน
“นั่งคิดอะไรอยู่...” เสียงของชินดังขึ้นเบื้องหลังฉัน ทำให้ฉันสะดุ้งตกใจจึงรีบลุกยืนอย่างไม่ทันตั้งตัวนาทีนั้นเองที่รากไม้ที่ขวางทางอยู่ทำให้ฉันเสียหลัก ชินรีบพุ่งเข้ามารับตัวฉันเอาไว้ทันที พอฉันรู้ตัวอีกทีก็พบว่าตนเองกำลังอยู่ในอ้อมแขนของชินซะแล้ว
“ระวังหน่อยสิ ซุ่มซ่ามไม่เปลี่ยนเลยนะ” ชินพูดพร้อมกับพยุงฉันให้ยืนขึ้น แต่ยังคงไม่คลายวงแขนออก
“....” ฉันเงียบ ไม่รู้จะพูดว่าอะไรดี
“เธอสวยมากเลยนะ” อยู่ดีๆชินก็ก้มลงมากระซิบที่ข้างหูของฉัน พร้อมกับเอามือมาแตะผมสีเงินของฉันเบาๆ
“แปลกไหม....ผมกับสีตาฉันเปลี่ยนก็เพราะไอเวทย์ที่นี่...”
“ไอเวทย์ที่นี่บริสุทธิ์มันจะเผยความจริงทุกสิ่ง” ชินกระซิบ
“ชินคือ....”
“ภาพที่ฉันเห็น มันคือความทรงจำของเราใช่ไหม?” ขินเอ่ยขึ้นแบบไม่อ้อมค้อมอีกต่อไป
ฉันนิ่งเงียบ ฉันไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว
“แอนน์…” เขาเอามือมาเขี่ยแก้มของฉันเบาๆ ฉันแทบจะรู้สึกถึงไออุ่นของลมหายใจชินที่อยู่ห่างไปไม่ถึงคืบ เขายังคงไม่ยอมปล่อยฉัน
“ฉันไม่เป็นไรแล้วล่ะ” ฉันพูดพร้อมกับยิ้ม ชินยิ้มตอบฉันแล้วจึงค่อยๆคลายอ้อมแขนออก ฉันเขยิบตัวห่างออกมาจากชิน พร้อมกับมองไปที่เขา เขาดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นกว่าครั้งแรกที่ฉันพวกเขามากมาย พอได้มองดูเขาแบบนี้ฉันก็รู้สึกเหมือนยิ่งห่างไกล ชินจะต้องเป็นเจ้าชายที่ดีได้แน่ๆ และจะต้องเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่อีกด้วย
“ไว้ร้องเพลงให้ฉันฟังบ่อยๆสิ ได้ไหม...”
“อืม”
“นี่เรื่องในคืนงานเต้นรำน่ะ ที่ทุ่งดอกไอริส.....”
“ช่างเถอะ ไม่มีอะไรหรอก” ฉันไม่กล้ารอให้เขาพูดจบประโยค
“งั้นเหรอ” น้ำเสียงของชินฟังดูเศร้า นั้นพลอยทำให้ฉันรู้สึกเศร้าไปด้วย ฉันหันหลังให้ชินแล้วจึงเดินจากไป
ทันใดนั้นมือของชินก็มากำข้อมือของฉันเอาไว้แน่น ก่อนที่ฉันจะร้องบอกอะไรเขาก็ดึงฉันให้เข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขาอีกครั้ง เขาไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว ชินก้มลงมาจูบฉัน ช่วงเวลานั้นฉันรู้สึกเหมือนได้กลิ่นของไอริส มันกำลังผลิบานอยู่รอบๆตัวของเรา กึ่งจริงกึ่งฝันอย่างน่าประหลาด ฉันพริ้มตาหลับลงและรู้สึกเลื่อนลอย จูบครั้งนี้อ่อนหวานและยาวนานยิ่งกว่าครั้งก่อน ฉันรู้สึกไปเองหรือเปล่า....แต่ฉันกลับรู้สึกว่าได้ปลดปล่อยภาระอะไรที่หนักอึ้งอยู่ในใจฉันมานานออกไปได้อีกอย่างหนึ่ง ฉันอยากจะเก็บความรู้สึกดีๆในวินาทีนี้เอาไว้ไปชั่วนิรันดร์ เมื่อชินถอนริมฝีปากออก...เราทั้งสองก็ยังคงไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกแม้แต่คำเดียว
ฉันไม่ได้ถามว่าทำไมเขาจึงทำเช่นนั้น เขาก็ไม่ได้ถามว่าทำไมฉันถึงไม่ขัดขืนเขา ฉันจำไม่ได้ว่าเมื่อไหร่ที่ฉันผล็อยหลับไปในอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นนั้น...หลับไปด้วยความอ่อนเพลียในที่สุด
ตอนเช้าฉันก็พบว่าตัวเองอยู่บนเตียงซะแล้ว ฉันจำไม่ค่อยได้เท่าไหร่ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หลังการแสดงฉันได้พบกับชินตามลำพัง แล้วเราก็...
ตอนนั้นเองฉันก็เหลือบไปมองบนโต๊ะจึงเห็นดอกไอริสวางสงบนิ่งอยู่พร้อมกับกระดาษที่มีข้อความเขียนไว้ว่า
“อรุณสวัสดิ์ เจ้าหญิง...” ฉันอมยิ้ม เมื่อคืนไม่ใช่ความฝันละสินะ
ฉันหยิบดอกไอริสขึ้นมาสูดกลิ่น
“ยังไงเสียฉันก็เป็นผู้ถูกเลือก ฉันจะต้องสู้เพื่อยูโทเปีย เพื่อทุกคน เพื่อคนที่ฉันรัก ถึงแม้ว่าฉันจะต้องจากที่นี่ไปตลอดกาลก็ตาม ขอบใจนะชินที่มอบความเข้มแข็งให้กับฉัน”
หลังจากค่ำคืนนั้นฉันก็รู้สึกเหมือนกับเป็นคนใหม่ ฉันไม่ได้ฝันร้ายอีกแล้ว....แน่นอนว่าไม่ได้ฝันถึงชั้นวางหนังสือพวกนั้นอีกต่อไปแล้วด้วย ในเมื่อยังไม่ถึงเวลาฉันก็ไม่ควรที่จะไปกังวลกับมันแล้วละสินะ ตอนนี้ฉันพร้อมที่จะเปิดรับทุกสิ่งแล้วจริงๆ ฉันรู้สึกถึงความเป็นตัวของตัวเองมากกว่าครั้งใด อาการอ่อนเพลียและบาดแผลทางจิตใจที่สร้างความเสียหายเรื้อรังมานานดูเหมือนจะมลายหายไปสิ้นแล้ว ในทุกๆวันฉันมักจะออกบินไปด้วยจรวดกระดาษของฉันเพียงลำพังเสมอ สายลมที่พัดผ่านร่างของฉันไปเหมือนกับกำลังเติมพลังให้กับฉันในทุกช่วงลมหายใจ
ฉันกลับมามั่นใจที่จะใช้พลังของตนอีกครั้ง รู้สึกดียิ่งกว่าครั้งไหนๆที่ได้บินไปบนท้องฟ้าด้วยตนเองได้อีกครา เดอะเปเปอร์คนก่อนจะเป็นใครเกิดอะไรขึ้น....ฉันไม่อยากที่จะเก็บมาคิดอีก ตอนนี้ฉันก็คือฉัน.... ฉันคือเดอะเปเปอร์เหมือนกัน และฉันจะไม่มีวันเลือกทางผิดเหมือนกับที่ทุกคนกลัวอย่างแน่นอน
ในเวลาว่างฉันก็เข้าไปอ่านหนังสือภายในเอสคาราสอยู่เสมอ อยู่ที่นี่แล้ว.....ฉันรู้สึกเหมือนอยู่ที่บ้านอีกครั้งหนึ่งเลยทีเดียว หนังสือล้อมรอบตัวฉันอยู่มันกำลังรอให้ฉันเปิดมันอ่าน กลิ่นไอของหนังสือนับพันยังคงทำให้ฉันตื่นเต้นได้ทุกครั้ง
“แอนน์นี่ชอบอ่านหนังสือจริงๆเลยนะ” มารีนมักจะหาฉันเจอที่เอสคาราสอยู่เสมอๆ
“มารีนละ ไม่ชอบอ่านหนังสือเหรอ?”
“ฉันชอบฟังมากกว่า ว่าแต่เธอดูเปลี่ยนไปนะแอนน์ ดูร่าเริงกว่าแต่ก่อนตั้งเยอะ...” มารีนยิ้มแบบมีเลศนัย “หรือว่าความรักกำลังผลิบานกันจ๊ะ ที่ฉันแนะนำไปน่ะได้ผลไหม?”
“ไม่ใช่เพราะเรื่องนั้นหรอกคะ” ฉันหัวเราะ ทั้งๆที่ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันอาจจะทำได้แค่เพียงฝืนยิ้มเท่านั้นเอง
“เหรอ งั้นเพราะอะไรกันนะ?”
“นั้นสิคะ”
“ตัดสินใจได้แล้วใช่ไหมล่ะ?”
“เอ๊ะ!”
“เธอน่ะ เลือกทางเดินที่เป็นของตัวเองได้แล้วสินะ”
“คะ ฉันเลือกแล้ว” ฉันยิ้ม มารีนยิ้มพร้อมกับบีบมือของฉันเอาไว้เหมือนจะให้กำลังใจ ฉันบีบมือเธอตอบ
อย่างไรก็ตามวันเวลาแห่งความสงบสุขนั้นคงอยู่ไม่นาน เวลาที่โอเวอร์โซลผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับติดปีกบิน ในที่สุดข่าวของอาเรนก็ถูกส่งมาถึง...
**********
“การรบมาถึงขั้นแตกหักแล้ว ทั้งทางฝ่ายอาเรนและดาร์คอาเธอร์ต่างก็กำลังเตรียมทัพครั้งใหญ่เพื่อการรบครั้งสุดท้ายอยู่ ศึกตัดสินแพ้ชนะอยู่ที่ศึกครั้งหน้านี่แหละ เพราะตอนนี้ทั้งสองฝ่ายต่างก็เสียหายไปไม่น้อยเลย” ชินพูดเสียงเครียด
“อาเรนปลอดภัยดีใช่ไหม?” ฉันถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“อืม หมอนั่นไม่เป็นไรง่ายๆหรอก”
“แล้วเจ้าชายอาเรนต้องการให้พวกเราทำอย่างไรต่อไปหรือครับ?” เอเรียสเอ่ยถาม
“เท่าที่ผ่านมาทำให้อาเรนแน่ใจว่าดาร์คอาเธอร์จะไม่มีทางออกรบด้วยตนเอง เขาจะไม่ยอมออกจากปราสาทเด็ดขาด....” ชินเอ่ยเสียงเครียด
“อาเรนคงจะบอกว่าให้พวกเราอาศัยจังหวะช่วงที่ต่างฝ่ายต่างพาทหารไปออกรบ แล้วพวกเราค่อยลอบเข้าไปภายแพนดอร่าโดยอาศัยช่วงจังหวะนั้นล่ะสินะ” ฉันเป็นคนพูดต่อแทนชิน ทำเอาทุกคนหันมามองฉันอย่างแปลกใจ
“แอนน์......นี่เธอ”
“มาถึงสักทีสินะ” ฉันรำพึงขึ้น จะได้พบกันแล้วสินะ....ดาร์คอาเธอร์
“แอนน์หมายความว่าเธอ....” โมโมะหันมาถาม
“อื้ม ฉันจะสู้!” ฉันพูดพร้อมกับลุกยืนขึ้น “ตอนนี้ฉันรู้แล้วล่ะว่าสิ่งที่ฉันทำได้มันคืออะไรกันแน่”
“ไม่ต้องห่วงพวกเราจะไปกับเธอด้วย” ชินพูดขึ้น
ฉันพยักหน้า พวกเขาไม่มีทางตามฉันขึ้นไปถึงจุดนั้นได้หรอก การต่อสู้นั้นมีเพียงฉันกับดาร์คอาเธอร์เท่านั้น ความฝันเมื่อคืนที่ฉันฝันเห็นอนาคตบอกฉันไว้เช่นนั้น.... แต่ฉันไม่คิดที่จะบอกเรื่องนี้กับใครหรอกนะ
“เอเรียส ฉันคิดว่าท่านไม่ควรไปร่วมกับเรานะ ท่านน่ะ...”
“ถึงผมจะเป็นแพทย์ แต่ก็ใช้อาวุธได้คล่องนะ ผมเก่งเรื่องธนูมากรับรองฝีมือได้เลย” เอเรียสพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ท่านอย่าห้ามผมให้เสียเวลาเลยดีกว่าเจ้าชาย ยังไงผมก็จะไปด้วยให้ได้!” ชินที่ตอนแรกคิดจะขัดขวางจึงต้องชะงักงันไป
“เราจะออกเดินทางกันเมื่อไหร่?” โมโมะถาม
“พรุ่งนี้เช้าเลย” ชินตอบ
คืนสุดท้ายที่โอเวอร์โซลนั้นองค์ราชินีได้เรียกทุกคนไปพบเป็นการส่วนตัวทีละคนเพื่อที่จะมอบของขวัญก่อนออกเดินทางให้ เอเรียสได้รับตำหรับยาของเหล่าภูตเป็นของขวัญ และเมล็ดพืชที่สามารถปลูกได้ทุกหนทุกแห่งอีกถุงหนึ่ง โมโมะได้รับกำไลสำหรับสวมที่ข้อเท้าทั้งสี่ มันทำขึ้นจากฝีมือของเหล่าภูต อัญมณีสีแดงที่ประดับอยู่ทำให้โมโมะดูสง่างามขึ้น นอกจากนั้นสิ่งนี้ยังจะทำให้โมโมะใช้พลังได้ทรงอานุภาพมากขึ้นอีกด้วย
ชินได้รับดาบเล่มใหม่ เขากล่าวขอบคุณไม่หยุดเพราะดาบเล่มนั้นเป็นดาบที่ถูกตีขึ้นมาเป็นอย่างดีและมีความงดงามอย่างที่สุด จุดเด่นที่สุดของดาบก็คืออัญมณีที่ประดับไว้มีสีเช่นเดียวกับสีตาของชิน ชินกวัดแกว่งดาบใหม่ด้วยความพอใจ และในที่สุดฉันจึงถูกเรียกเข้าไปพบเป็นคนสุดท้าย
“สำหรับเจ้าดูเหมือนจะพิเศษกว่าคนอื่นอยู่สักหน่อย” องค์ราชินีพูดพร้อมกับมอบถุงกำมะหยี่เล็กๆใบหนึ่งให้กับฉัน ฉันรับมันมาไว้ในมือรับรู้ถึงน้ำหนักของของบางอย่างที่อยู่ภายใน แต่ฉันไม่สามารถบอกได้ว่ามันคืออะไร
“ข้าอยากให้เจ้าเอ่ยคำสาบานต่อข้า เมื่อเจ้ารับของสิ่งนี้ไป..”
“ได้คะ”
“เจ้าจะต้องห้ามเปิดออกดูเด็ดขาดว่าภายในมีอะไรอยู่จนกว่าจะถึงเวลา”
“เวลาอะไรคะ”
“เจ้าจะรู้เอง และเจ้าห้ามให้ใครเห็นของสิ่งนี้ หรือนำมันไปให้ใครเด็ดขาด”
ถึงข้อนี้ฉันทำหน้าสงสัย “แม้แต่...”
“ใช่ แม้แต่ชิน โมโมะ เอเรียสหรือว่าใครก็ตาม..”องค์ราชินีพูดอย่างหนักแน่น ฉันนิ่งไปครู่เดียวก่อนที่จะพยักหน้า
“ฉันสาบานคะ”
“อย่ากังวลไปเลย สิ่งนี้เอสคาราสเป็นคนประทานมาให้เจ้า”
“เอสคาราส!” ฉันประหลาดใจ
องค์ราชินีพยักหน้า แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก “และต่อไปคือของขวัญจากข้า” องค์ราชินียื่นมือมาเบื้องหน้า ทันใดนั้นจี้ไวท์ลีฟก็สั่นแล้วค่อยๆลอยออกจากใต้เสื้อของฉัน
“มันจะคอยคุ้มครองเจ้าตลอดไป และนำให้เจ้าได้พบแต่สิ่งดีๆ” นางประทับริมฝีปากลงบนจี้ไวท์ลีฟนั้น ตราสัญลักษณ์ที่เป็นรูปดาวหกแฉกของเดอะลาสเดสติเนชั่นหายไปในทันที ก่อนที่บนไวท์ลีฟจะกลับมีสัญลักษณ์เป็นต้นเอสคาราส...สัญลักษณ์แห่งโอเวอร์โซลปรากฏอยู่แทน
“มันจะเป็นแสงสว่างเมื่อยามที่ทุกสิ่งมืดมิด....”
“ขอบคุณมากนะคะ” ฉันรับสร้อยนั้นคืน “ขอบคุณสำหรับทุกๆสิ่ง”
องค์ราชินีสวมกอดฉันอย่างแนบแน่นก่อนที่จะคลายออก พระนางกระซิบที่ข้างหูของฉันว่า “ทุกอย่างจะลงเอยด้วยดี”
อาหารเย็นวันนี้ทุกคนต่างถามกันเป็นเสียงเดียวว่าฉันได้รับของขวัญอะไรจากราชินี ฉันจึงดึงสร้อยออกมาให้ทุกคนดู เอเรียสบอกว่าคล้ายกับใบไม้ในตำนานมาก ทุกคนตื่นเต้นกันใหญ่ ฉันกล่าวขอบคุณ ตลอดงานนั้นฉันไม่ได้เอ่ยถึงสิ่งที่เอสคาราสมอบมาให้ฉันเลย
เมื่อพระอาทิตย์ฉายแสงออกมาเป็นแสงแรกของวัน ฉันและคนอื่นๆก็พร้อมสำหรับการเดินทางแล้ว
“ขอโทษนะที่พวกเราไปส่งได้ถึงเท่านี้เอง” มารีนกล่าวกับฉัน
“แค่นี้ก็ขอบคุณมากแล้วล่ะ ขอบคุณมากนะมารีน”
“ฉันจะคิดถึงเธอ ที่จริงฉันอยากไปกับเธอนะ แต่พี่บอกว่ายังไม่ถึงเวลานี่น่ะสิ..” ฉันทำหน้าสงสัย แต่ไม่ทันจะถามอะไรองค์ราชินีก็เดินทางมาถึงแล้ว
“ลาก่อนผู้ถูกเลือก ลาก่อนเจ้าชายแห่งฟรีดอม ลาก่อนโมโมะจิ้งจอกเก้าหางผู้องอาจ ลาก่อนเอเรียส ท่านจะต้องได้ช่วยคนอีกจำนวนมากแน่ๆในอนาคต”
“ลาก่อน” ฉันพูด
“แล้วเจอกัน” มารีนโบกมือลา ฉันจึงได้แต่โบกมือลาตอบ
ลาก่อนเอสคาราส...สุดท้ายฉันก็บอกลามันด้วยความคิด นี่คงจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะได้มาเห็นเอสคาราส....
**********
ปล. หวา!!! หายตัวไปนานคนที่ตามอ่านอยู่ยังไม่หายกันไปไหนใช่ไหม??? (ฮือๆๆ) ขออภัยจริงๆจ้า
ตอนนี้เหมือนกับเป็นการเปิดโลกใหม่ของแอนน์ (ตัวเอกของเรา) อีกครั้งอย่างไรอย่างนั้น ต่อจากนี้ไปก็จะมีแต่เรื่องหนักๆให้ฝ่าฟันล่ะนะ
บทนี้มาแปลกกว่าบทอื่นๆเพราะมีเพลงประกอบด้วย (รอมานาน) ลองดูเนอะว่าจะเวิร์คไหม? แหะๆ
อย่างไรก็ตามก็ขอมอบเครดิตต้นฉบับเพลงนี้ด้วยนะ (เนื้อไทยนั้นเราแปลเอง และดัดแปลงบางส่วนเพื่อให้เข้ากับเนื้อเรื่องนะ) ถ้าใครสนใจก็ไปตามต่อในอากู๋ (google) ตามสะดวกนะ........... แปลจากเพลง Amrita จากอนิเมชั่นเรื่อง Tsubasa Chronicle- Tori Kago no Kuni no Himegumi movie จ้า
แล้วจะรีบมาลงตอนต่อเร็วๆนี้จ้า
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
6.8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ