Tale of Utopia
เขียนโดย The_Paper
วันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 เวลา 18.12 น.
แก้ไขเมื่อ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2556 12.54 น. โดย เจ้าของนิยาย
10) บทที่ 9 เอสคาราส
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 9 เอสคาราส
เช้าตรู่วันต่อมาแคทเธอรีนเดินออกมาส่งชินด้วยตนเอง นั้นทำให้ฉันพยายามเดินห่างออกมาจากตรงนั้นทันที
“รักษาตัวด้วยนะ” อาเรนพูดกับฉัน
“ขอบใจนะ อาเรนไม่ต้องห่วงหรอก อาเรนเองก็ระวังตัวให้มากนะ”
“อืม” อาเรนพยักหน้ารับ
“ได้เวลาแล้ว ทุกคนออกเดินกันได้แล้ว” เอเรียสกล่าวขึ้นเมื่อมองไปยังทิศตะวันออก แสงจากดวงอาทิตย์เริ่มฉายขึ้นบนท้องฟ้าแล้ว ฉันผละจากอาเรนในขณะที่ชินก็ผละออกมาจากแคทเธอรีนได้สำเร็จ
การเดินทางครั้งนี้เราทุกคนเดินทางกันด้วยม้า ชินไม่สามารถใช้พลังพาทุกคนไปพร้อมๆกันได้ ในขณะที่ฉันก็ไม่อยากใช้พลังของตนเองอีก
“ชิน ฉันจะรออยู่ที่เอเทอนอลนะ” เสียงของแคทเธอรีนตะโกนไล่หลังมา
ชินเพียงแต่พยักหน้าว่ารับรู้แล้วเท่านั้น
“แคทเธอรีนจะกลับเอเทอนอลงั้นเหรอ?” ฉันถาม
“อืม ที่นี่ไม่ปลอดภัยเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว ที่เอเทอนอลเหตุการณ์ยังสงบกว่านี้มาก ที่ที่ห่างไกลออกไปถึงที่นั่นตอนนี้ปลอดภัยแล้วล่ะ ท่านพ่อกับท่านแม่ของฉันเองก็จะไปกับแคทเธอรีนด้วย”
ทุกคนเตรียมตัวกันถึงขนาดนี้....ครั้งนี้คงจะเป็นศึกตัดสินระหว่างพ่อมดแม่มดกับนักเวทย์แล้วสินะ ฉันคิดในใจ
“ฉันยังไม่มีโอกาสกล่าวลาพวกท่านเลย...”
“อย่าคิดมากหน่า พวกท่านเข้าใจดี พอจบศึกตรงนี้แล้วเดี๋ยวก็ได้พบกันแหละน่า ไปกันเถอะ”
“อืม”
เราจะได้...พบพวกท่านอีกงั้นเหรอ ฉันคิดในใจ
เอเรียสคงเคยเดินผ่านเส้นทางนี้มาแล้วจริงๆ เขานำทางด้วยความชำนาญพอสมควร โมโมะดูจะตื่นเต้นเป็นพิเศษ อาจเป็นเพราะได้เดินทางในป่าอีกครั้งกระมัง ก็หลังๆมานี้มันต้องอยู่แต่ในเมืองมาโดยตลอดนี่หน่า ภูมิประเทศแถบนี้งดงามมากจริงๆ ถึงฉันจะยังคงมีเรื่องกังวลอยู่ในใจอีกมาก แต่ก็อดที่จะรู้สึกดีไปกับบรรยากาศแวดล้อมไปไม่ได้
“เหนื่อยไหม?” ชินมักจะคอยถามฉันด้วยความเป็นห่วงอยู่เสมอ มาถึงตอนนี้มันทำให้ฉันเกิดคำถามขึ้นอยู่ตลอดเวลาว่าที่เขาดีกับฉัน เพราะฉันคล้ายกับเดอะเปเปอร์อีกคนหรือเปล่านะ?
ยิ่งฉันระแคะระคายเรื่องของเดอะเปเปอร์คนก่อนมากขึ้นเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งอยากรู้มากขึ้นเท่านั้น....แต่ยิ่งรู้มากเท่าไหร่ทำไมกลับยิ่งรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้นกันแน่นะ?
การขี่ม้าไม่ได้น่าเบื่ออย่างที่คิด ฉันยอมรับว่าฉันชอบการเดินทางแบบนี้มากเลยทีเดียว สัตว์ชนิดนี้ดูเป็นสัตว์ที่รักสงบ และดูสง่างามอย่างน่าประหลาด ม้าที่นี่ต่างจากที่โลกของฉันเล็กน้อย มันตัวใหญ่กว่าขนยาวกว่า ฉันลูบแผงคอของมันอย่างใจลอย ขณะที่กำลังรอเอเรียสกำลังตรวจสอบเส้นทางอยู่
“เราใกล้จะถึงกันแล้วล่ะ” เอเรียสพูดขึ้น ชินถอนหายใจโล่งอกด้วยความยินดี
“งั้นรีบไปกันเถอะ!”
“อืม โอเวอร์โซลจะไม่ต้อนรับใครหลังตะวันตกดินซะด้วยสิ” เอเรียสกล่าวพลางมองไปที่ดวงอาทิตย์ด้วยความกังวล ยามนี้ดวงตะวันคล้อยมากแล้ว ยามเย็นกำลังจะมาถึงในไม่ช้า
“รีบเข้าเถอะ!” ทั้งหมดรีบควบม้าด้วยความเร็วไปตามทิศทางที่เอเรียสนำไปทันที
“ถึงแล้วล่ะ....” เอเรียสหยุดม้าอยู่ที่หน้าประตูขนาดยักษ์ที่สร้างจากท่อนซุงขนาดใหญ่เกินกว่าที่ฉันจินตนาการถึง มันสูงเสียดฟ้า ดูน่ากลัวและน่าเกรงขามในเวลาเดียวกัน แสงอาทิตย์สุดท้ายกำลังจะลับขอบฟ้าไป
ก่อนที่ทั้งหมดจะทำอะไรต่อไปนั้นเอง ประตูนั้นก็เปิดออกอย่างช้าๆ เหล่าภูตพรูออกมาจากอีกฟากของประตูเข้าล้อมรอบทุกคนเอาไว้ในทันทีสร้างความตื่นตระหนกต่อฉันและคนอื่นๆเป็นอย่างมาก
“ลงจากม้ากันเถอะ” เสียงของเอเรียสกระซิบบอกทุกคน
ทุกๆคนจึงค่อยลงจากหลังม้าอย่างเงียบเชียบ
“พวกเราเป็นผู้คุ้มครองผู้ถูกเลือก ได้โปรดให้เราได้ผ่านเข้าไปในโอเวอร์โซลด้วยเถิด” เสียงของชินดังก้องไปในความเงียบ
ภูตตนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าก้าวออกมาข้างหน้า “ถ้าเช่นนั้น จงแสดงพลังของผู้ถูกเลือกให้เราเห็นด้วย”
ฉันสะดุ้งขณะที่ทุกสายตาเบนมาที่ฉันในทันที มือของฉันที่วางอยู่ข้างลำตัวกำแน่นก่อนที่จะคลายออก ดูเหมือนจะไม่มีทางเลือกอื่นสำหรับฉันเลย
ฉันรวบรวมพลัง เพื่อทุกคน...ครั้งนี้ฉันจะขอผิดสัญญาที่ให้ไว้กับตัวเองสักครั้ง ฉันใช้เวลานานกว่าจะรวบรวมพลังได้ ฉันต้องทำให้ได้ ความหวังของทุกคนฝากอยู่ที่ฉัน ฉันให้กำลังกับตัวเอง ทันใดนั้นกระดาษแผ่นหนึ่งก็ถูกเสกขึ้น ฉันหลับตาลงกระดาษนั้นพับไปด้วยเวทมนต์ของฉันเอง ในไม่ช้าดอกไอริสก็ปรากฏต่อสายตาทุกคน มันนอนสงบนิ่งอยู่ในมือของฉัน ฉันมองมันด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ทั้งๆที่ฉันตัดสินใจไปแล้วแท้ๆ...ชินเองก็จ้องดอกไอริสนั้นนิ่งไปเหมือนกัน
ตอนนั้นเองเหล่าภูตทั้งหมดก็คุกเข่าลงกับพื้น ภูตที่เป็นหัวหน้ากล่าวออกมาในทันทีว่า “ยินดีต้อนรับผู้ถูกเลือกและคณะเดินทางทั้งหลาย ราชินีของพวกเราได้รอพวกท่านอยู่แล้ว”
ชิน เอเรียสและโมโมะพากันลอบถอนใจออกมาด้วยความโล่งอก รอฉันอยู่....ราชินีรู้ว่าฉันจะต้องเดินทางมาที่นี่อย่างนั้นหรือ...
เรากลับขึ้นไปนั่งบนม้าในขณะที่พวกภูตเป็นคนจูงม้าให้กับพวกเรา ฉันมองไปรอบๆด้วยความอัศจรรย์ใจเพราะที่นี่เต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียวชะอุ่มไปหมด พอเราข้ามฟากผ่านประตูมาปุ๊บสิ่งที่ฉันสัมผัสได้เป็นสิ่งแรกคือกลิ่นของต้นไม้ใบหญ้าที่ทับถมกันมานานหลายสิบปี สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือทางเดินที่ทอดยาวไปข้างหน้า ข้างทางมีต้นไม้สูงใหญ่คอยทำหน้าที่กำบังไอแดดที่สาดส่องมา แต่ในยามเย็นนี้อาจทำให้ดูอึมครึมลึกลับอย่างน่าประหลาด
หลังจากเดินไปพักใหญ่ทางเดินนั้นก็สิ้นสุดลง ฉันมองไปรอบๆแล้วจึงรู้สึกเหมือนกับว่าตนเองได้เข้ามาอยู่ในอีกโลกหนึ่ง บรรดาต้นไม้ยังคงปรากฏให้เห็นเต็มไปหมด แต่ละต้นล้วนสูงจนมองไม่เห็นยอด ลำต้นของมันก็ใหญ่มโหฬาร ที่ลำต้นนั้นดูเหมือนจะมีสิ่งที่คล้ายบันไดอยู่ บันไดนั้นหมุนเป็นเกลียวตามลักษณะของลำต้นนั้นสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ตามจุดต่างๆตามความสูงที่ต่างกันไปก็จะมีกระท่อมอยู่เป็นระยะๆ พวกเขาอาศัยอยู่บนต้นไม้อย่างนั้นหรือ... ฉันคิด
“โมโมะ!” ฉันร้องออกมาอย่างตกใจ อยู่ดีๆร่างของโมโมะก็กลายมาเป็นร่างจิ้งจอกขนาดใหญ่
“เกิดอะไรขึ้น?” ชินถาม
“ที่นี่เต็มไปด้วยไอเวทย์บริสุทธิ์ มันจะเผยความจริงทุกอย่าง จิ้งจอกเก้าหางของพวกท่านจึงกลายร่างมาเป็นร่างจริงยังไงล่ะ” ภูตที่เป็นหัวหน้าเป็นคนตอบ
“ท่านมีนามว่าอะไรหรือ ท่านภูต?” ฉันถาม รู้สึกถึงความเป็นมิตรจากภูตตนนี้
“ลูซิเฟอร์ครับ ท่านแอนนา เบลล์”
“ท่านรู้จักฉัน...”
“ทุกคนที่นี่รู้จักผู้ถูกเลือกครับ เอสคาราสเองก็ทำนายบอกเราว่าท่านจะมาเยือนในไม่ช้า”
“คำทำนาย...เอสคาราส?”
“ภูตทุกตนต่างก็เป็นนักทำนายโดยสายเลือดอยู่แล้วครับ ส่วนสิ่งอื่นใดที่ท่านต้องการรู้ เมื่อท่านได้พบกับราชินี ท่านจะได้ถามด้วยตนเองครับ เชิญทางนี้เลยครับ”
*********
ลูซิเฟอร์นำพวกเราเดินขึ้นต้นไม้ผ่านบันไดวนเหล่านั้น ถึงเวลาที่พวกเราจะต้องลงจากม้าแล้ว น่าแปลกที่ระยะทางเดินไกลขนาดนั้น แต่ฉันกลับไม่รู้สึกเมื่อยหรืออ่อนล้าเลย ฉันกลับรู้สึกสุขใจ อบอุ่น และสงบเมื่อได้อยู่ที่นี่
พวกเราเดินผ่านที่พักอาศัยที่อยู่ตามระดับความสูงขึ้นไปเป็นลำดับ จนในที่สุดเราก็มาถึงยอด ฉันไม่คาดคิดเลยว่าจะได้มาเห็นลานกว้างปรากฏอยู่บนที่แห่งนี้ เพดานของที่นี่ก็คือท้องฟ้ายามราตรีที่พรั่งพรายไปด้วยดวงดารานั้นเอง
ราชินีอยู่ที่นั่น ฉันรู้สึกได้ในทันที พระนางเองก็ดูเหมือนจะรู้ถึงการมาของฉันแล้ว เมื่อเราเข้ามาใกล้กันจนสามารถมองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายได้ ดวงตาของเราก็ประสานกันในทันที
วินาทีนั้นดูเหมือนโลกทั้งใบจะมีเพียงฉันกับองค์ราชินีเท่านั้น เราทั้งสองอยู่ห่างกันเพียงแค่เอื้อม ฉันไม่สามารถละสายตาไปจากพระนางได้เลย
“ยินดีต้อนรับแอนนา เบลล์” เสียงของพระนางช่างไพเราะจับใจ ใบหน้าที่แสนงดงามส่งยิ้มมาให้ฉันอย่างอ่อนโยน
“ไม่เป็นไรแล้วล่ะ...”
“เอ๊ะ!” ฉันสะดุ้ง เมื่อพระนางยื่นมือมาแตะที่แก้มของฉัน
“อดีตที่ผ่านไปแล้วนั้นไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้แล้วก็จริง แต่ปัจจุบันและอนาคตยังคงรอเจ้าอยู่นะ เพราะฉะนั้นเรามาทำปัจจุบันให้ดี เพื่ออนาคตที่สดใสกันเถอะนะ”
ฉันร้องไห้ออกมาอย่างตื้นตันใจ พระนางใช้มือซับน้ำตาของฉันเอาไว้อย่างแผ่วเบา
ชั่วขณะนั้นเองฉันก็กลับมาสู่โลกของความเป็นจริง
“แอนน์...เหม่ออะไรนะ?” โมโมะนี่เองที่ดึงฉันกลับสู่ความเป็นจริง
“ไม่มีอะไรหรอก...” เมื่อครู่นี้มันคือความฝันหรือเปล่านะ อย่างไรก็ตามฉันก็ยังคงรู้สึกถึงความชื้นที่ดวงตา
บัดนี้ฉันและองค์ราชินีอยู่ใกล้กันจนมองเห็นอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจนแล้ว พระนางดูเหมือนในความฝันเมื่อครู่เสียเหลือเกิน ผมสีทองยาวสลวย ดวงตาสีฟ้าดั่งท้องฟ้า
ทันใดนั้นองค์ราชินีก็แอบส่งยิ้มให้กับฉัน ฉันตระหนักได้ในชั่วขณะนั้นเองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ไม่ใช่ความฝัน
“ยินดีต้องรับสู่ทุกคนสู่โอเวอร์โซล ข้ามีนามว่าเกริด้า ซีน เป็นคนปกครองที่นี่ในขณะนี้”
เอเรียสก้าวออกไปข้างหน้ากว่าทุกคนแล้วจึงคุกเข่าลง “ข้าเอเรียส รู้สึกเป็นเกียรติอย่างสูงสุดที่ได้พบพระองค์” เขาพูดแล้วจึงยืนขึ้นพร้อมกับถอยหลังกลับเข้ามาดั่งเดิม ฉันพึ่งจะเห็นว่าใบหน้าของเอเรียสดูเหมือนอายุมากขึ้นหลายปี เพราะไอเวทย์ที่นี่งั้นรึ?
ชินทำท่าจะคุกเข่าตาม แต่องค์ราชินีกลับยกมือห้ามไว้ “ท่านเป็นถึงเจ้าชายไม่ต้องคุกเข่าให้ข้าหรอก”
ชินจึงเพียงแต่โค้งคำนับ “ข้าชิน อาเชอร์ เจ้าชายแห่งอาณาจักรฟรีดอม ขอบคุณมากที่ให้การต้อนรับพวกเรา”
“ฉันต้องยินดีอยู่แล้ว เอสคาราสบอกว่าผู้ถูกเลือกจะมา ฉันเองก็ตั้งตารอเวลานี้มานานแสนนาน”
“ส่วนฉันชื่อโมโมะ เอ่อ...ที่นี่ต้นไม้เยอะดีนะ” คำพูดตอนหลังของโมโมะทำให้ทุกคนอมยิ้ม แม้แต่องค์ราชินีเองก็ตาม
“ขอบใจเจ้ามาก ข้ายินดีเหลือเกินที่ได้พบจิ้งจอกเก้าหางอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้พบเห็นมานาน”
“ฉัน...” ฉันทำท่าจะพูดแนะนำตัวเอง
“เธอคือแอนนา เบลล์ จากฟลอเรนซ์ อาศัยอยู่บนโลกอีกโลกหนึ่งที่อยู่คนละมิติกับยูโทเปีย ผู้ถูกเลือกผู้ได้รับคำทำนายว่า เป็นสายลมแห่งความหวังของยูโทเปีย” องค์ราชินีเอ่ยขึ้น ฉันรู้สึกแปลกใจ พระนางรู้ได้อย่างไรว่าฉันมาจากเมืองที่ชื่อฟลอเรนซ์ แล้วคำทำนายนั่น....
“พวกท่านคงจะเดินทางมาเหนื่อยๆ คืนนี้จงพักผ่อนให้สบายก่อนเถิด เรายังมีเวลาที่จะสนทนากันต่อจากนี้อีกนานพอดู”
ทุกคนถูกนำไปยังที่พักที่อยู่ในบริเวณเดียวกัน แม้แต่โมโมะก็มีที่พักเฉพาะของมันเอง ฉันมองดูรอบๆที่พักด้วยความพอใจ ห้องของฉันอยู่สูงกว่าของคนอื่นๆ และเมื่อเดินออกไปที่ระเบียงฉันก็สามารถมองท้องฟ้ายามค่ำคืนได้อย่างกระจ่างตา สายลมแห่งโอเวอร์โซลพัดผ่านมาพร้อมกับหอบเอาความกังวลต่างๆที่ติดตัวฉันอยู่ไปกันมันด้วย ฉันรู้สึกสบายใจและสงบมากกว่าที่ผ่านมา และในค่ำคืนนั้นก็เป็นอีกค่ำคืนหนึ่งในไม่กี่คืนที่ฉันหลับไปโดยไม่ได้ฝันถึงอะไรเลย
เช้าตรู่เมื่อทุกคนลงมาพบกัน ณ จุดนัดพบ ฉันก็ค่อยโล่งอกที่พบว่าทุกคนอยู่ในชุดพื้นเมืองของโอเวอร์โซลกันหมด นั่นก็เพราะฉันเองก็แอบกึ่งถูกบังคับให้ใส่กระโปรงสีเขียวอ่อนที่งดงามตัวหนึ่งที่เป็นชุดพื้นเมืองเข้าเหมือนกัน มันทำให้ฉันรู้สึกแปลกๆไปบ้างแต่ก็ใส่สบายดี ตั้งแต่เช้าฉันถูกพวกภูตมาช่วยทำอะไรให้เสียจนเกือบจะทุกอย่าง มันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนกับฉันเป็นเจ้าหญิงเลยทีเดียว
วันนี้ลูซิเฟอร์ยังคงเป็นผู้นำพาเราไปเช่นเคย ทั้งหมดถูกนำมายังต้นไม้ขนาดยักษ์ต้นหนึ่ง ใบของมันมีสีเขียวแต่อีกด้านกลับเป็นสีขาวเต็มต้น เสียงของนกร้องระงมไปทั่ว ฉันมองไปยังต้นไม้นั้นราวกับต้องมนต์สะกด ฉันเคยต้นไม้นี้ที่ไหนกันนะ....
“เอสคาราส... พวกท่านรู้สึกอย่างไรบ้างเมื่อได้มองต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ต้นนี้” องค์ราชินีอยู่ในชุดสีทองวิจิตรเอ่ยขึ้น ไม่มีใครรู้ว่าพระนางมาอยู่ข้างๆตั้งแต่เมื่อใด
“ผมรู้สึกสงบอย่างประหลาด” เอเรียสกล่าว เขาเอามือแตะที่หน้าอกแล้วก้มลงเหมือนจะอธิษฐาน
“ฉันรู้สึกคิดถึงแม่” โมโมะเอ่ยขึ้นอย่างเศร้าๆ องค์ราชินีลูบหัวของมันด้วยความห่วงใย
“แม่เจ้าได้ไปอยู่ในที่ที่ดีแล้วนะ นางต้องดีใจแน่ เมื่อได้รู้ว่าเจ้าเติบโตขึ้นเป็นจิ้งจอกเก้าหางที่แข็งแกร่งและองอาจถึงเพียงนี้”
“จิตวิญญาณแห่งยูโทเปีย....” ชินกระซิบ แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นสัมผัสอันฉับไวขององค์ราชินีไปได้
“ใช่แล้ว เจ้าชาย หัวใจของยูโทเปียอยู่ที่นี่”
“หมายความว่าอย่างไรกัน?” ฉันถาม
“ต้นไม้ต้นนี้คือ แหล่งกำเนิดเวทมนต์ทั้งหมดทั้งปวงยังไงล่ะ ถ้าต้นไม้นี้ตายไปพลังที่ค้ำจุนยูโทเปียก็จะสลายไปด้วย และเมื่อถึงเวลานั้นยูโทเปียก็จะถึงกาลอวสาน”
ฉันมองต้นไม้ที่อยู่เบื้องหน้าด้วยความรู้สึกที่แปลกใหม่
“เข้าไปในเอสคาราสกันเถอะ” องค์ราชินีกล่าวจับมือฉันเอาไว้ แล้วออกเดินนำทุกคนเข้าไปภายในโพรงต้นไม้เอสคาราสนั้น
ข้างในเอสคาราสเป็นภาพที่ฉันไม่คาดคิดจะได้เห็น ภายในเอสคาราสคือห้องหนังสือขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมา พื้นตรงกลางเป็นที่โล่งๆแต่พื้นที่ส่วนที่ติดกับลำต้นนั้นล้วนแต่เป็นชั้นวางหนังสือทั้งสิ้น ชั้นหนังสือนี้ดูเหมือนจะสูงขึ้นไปเรื่อยๆอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เป็นครั้งแรกที่ฉันตกตะลึงไปกับหนังสือจำนวนที่มากมายถึงเพียงนี้ ที่นี่คงจะใหญ่กว่าห้องหนังสือที่บ้านฉันถึงหลายร้อยพันเท่า นอกจากนั้นภายในเอสคาราสมีบางสิ่งบางอย่างคล้ายกับหิ่งห้อยลอยอยู่เต็มไปหมดด้วย มันส่องแสงสีทองออกมาและลอยละล่องไปทั่ว ฉันรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก การได้อยู่กับหนังสือจำนวนมากมายถึงเพียงนี้ช่างเป็นความรู้สึกที่ดีเสียเหลือเกิน
“ที่นี่คือแหล่งรวบรวมความทรงจำของยูโทเปียยังไงล่ะ” องค์ราชินีกล่าวกับทุกคน
ทุกคนพากันมองไปรอบๆด้วยความตื่นตาตื่นใจ ฉันไล่นิ้วไปตามสันหนังสือด้วยความคุ้นเคย จะบอกว่าฉันสามารถอยู่ที่นี่ได้ตลอดทั้งชีวิตของฉันเลยก็ว่าได้
“ดูเจ้าจะชอบที่นี่มากนะ” องค์ราชินีกล่าวกับฉันขณะที่ทุกคนแยกย้ายกันไปตามมุมต่างๆภายในเอสคาราส ต่างจากฉันที่เอาแต่นั่งนิ่งมองไปยังชั้นหนังสือแล้วอมยิ้มโดยที่ไม่ได้ไปเดินค้นหาหนังสือเหมือนคนอื่นๆ
“ที่นี่เหมือนกับที่บ้านฉันมากเลยคะ”
“งั้นหรือ ถ้าเช่นนั้นบ้านเจ้าคงเป็นสถานที่ที่วิเศษมาก”
“ใช่คะ ฉันใช้ชีวิตอยู่ในห้องหนังสือมาโดยตลอด มันทำให้ฉันมีกำลังใจที่จะอยู่ต่อไป แม้ว่าจะต้องอยู่เพียงลำพังคะ”
“แต่ตอนนี้เจ้าไม่ได้อยู่เพียงลำพังแล้วนี่”
“เอ๊ะ...!”
“เจ้ามีมิตรสหายมากมายที่นี่ ข้าเองก็เป็นหนึ่งในนั้นนะ”
“องค์ราชินี...ฉันดีใจมากที่ได้มาที่ยูโทเปีย แม้ว่าฉันจะต้องจากที่นี่ไปในสักวันฉันก็จะไม่ลืมความทรงจำเหล่านี้ที่เกิดขึ้นแน่นอนคะ”
“ถ้าถึงเวลานั้น ที่นี่ก็จะไม่ใครลืมเจ้าเหมือนกัน”
ฉันทำหน้าสงสัย
“นับตั้งแต่เจ้าก้าวประตูเพื่อมาสู่ยูโทเปีย เรื่องราวของเจ้าก็ได้ถูกบันทึกเอาไว้ ณ ที่แห่งนี้แล้ว”
ตอนนั้นเองฉันก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “งั้น...เรื่องราวของเดอะเปเปอร์อีกคนก็ต้องถูกบันทึกเอาไว้ที่นี่เหมือนกันสินะคะ”
“เจ้าอยากรู้เรื่องของเดอะเปเปอร์อีกคนงั้นหรือ?”
“คะ...ฉันอยากรู้”
“จะว่ายังไงดีล่ะ หนังสือที่นี่ถึงแม้จะบันทึกทุกเรื่องราว แต่ก็ใช่ว่าเจ้าจะได้รู้ในเรื่องราวนั้นๆหรอกนะ.... มันต้องขึ้นอยู่กับเวลาที่เหมาะสมด้วย ถ้าเจ้าอยากรู้จริงๆละก็....ลองหลับตาแล้วอธิษฐานดูสิจ๊ะ แล้วเอสคาราสจะเป็นคนตัดสินเอง”
ฉันพยักหน้าแล้วจึงหลับตาลงเพื่ออธิษฐานทันที แต่พอเวลาผ่านไปกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้แต่น้อย ฉันถอนหายใจออกมาอย่างผิดหวัง นี่ฉันยังต้องรอไปอีกนานเท่าไหร่กัน...เวลาที่เหมาะสมงั้นหรือ...?
“อย่ารีบร้อนนักเลยแอนนา มีเรื่องที่เจ้าจะทำ ณ ตอนนี้มากมาย” องค์ราชินีกล่าวเหมือนจะให้กำลังใจ “เจ้าอยากรู้เรื่องเดอะเปเปอร์คนนั้นไปทำไมหรือ?”
“ฉันได้รู้มาว่าเดอะเปเปอร์อีกคนก็มีพลังแบบเดียวกัน...ไม่สิฉันต่างหากที่มีพลังเหมือนเดอะเปเปอร์ นอกจากนั้นยังทราบอีกว่าตอนนี้เดอะเปเปอร์คนนั้นถูกครอบงำด้วยด้านมืด ฉันสงสัยมาตลอดเลย...แต่ทุกคนก็พากันปิดบังฉัน ฉันอยากรู้ว่าทำไม? และเพราะอะไรกันแน่นะคะ?”
“อืม...จะว่ายังไงดีล่ะเดอะเปเปอร์คนนั้นก็เคยเป็นผู้ถูกเลือกมาก่อนนะ เจ้ารู้มาก่อนหรือเปล่า?” องค์ราชินีกล่าว ฉันรู้สึกใจหายเป็นอย่างมาก นี่มัน...เหมือนที่ฉันคิดไว้ไม่มีผิด
“เธอคนนั้นก็เคยมาที่นี่ครั้งหนึ่งเช่นเดียวกัน และฉันพูดได้เต็มปากเลยว่าแว่บแรกตอนที่ได้เจอเจ้า ฉันก็คิดว่าเจ้ามีส่วนคล้ายกับเดอะเปเปอร์คนนั้นมากเหมือนกัน” ฉันเงียบกริบ “แต่กลับมีส่วนที่แตกต่างกันมากกว่า” องค์ราชินีพูดต่อ คำพูดนั้นทำให้ฉันรู้สึกโล่งใจอย่างประหลาด
“เกิดอะไรขึ้นกับเดอะเปเปอร์คนนั้นคะ?”
“ความกระหายในอำนาจ กระหายในพลังที่ตนไม่สมควรได้น่ะสิที่ทำให้เด็กสาวคนนั้นต้องกลายเป็นปิศาจร้าย แต่ฉันรู้ดีว่าเธอจะไม่เลือกทางแบบนั้น แอนนา เบลล์”
จากน้ำเสียงขององค์ราชินี พระนางคงไม่อยากจะสนทนาเรื่องนี้ต่อเท่าใดนัก ฉันจึงไม่ได้ถามต่อ
“คือแล้วก็...ตอนนี้ฉันกำลังตามหาหนังสือเล่มหนึ่งอยู่คะ” จู่ๆ เรื่องนี้ก็ผุดขึ้นมาในหัวของฉัน ฉันไม่คิดเหมือนกันว่าตนเองจะกล้าถามคำถามนี้ออกมา
“หนังสืออะไรล่ะ?”
ฉันรู้สึกว่าเรื่องหนังสือในความฝันเป็นเรื่องที่ควรจะเล่าให้ใครสักคนฟัง ฉันจึงตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดแม้กระทั่งเรื่องเรื่องภาพของผู้หญิงปริศนาในหนังสือที่ฉันเห็นเป็นครั้งสุดท้ายนั้นด้วย
“หนังสือเล่มนั้นจะมาหาเจ้าเองในที่สุด...” หลังจากเงียบไปนานองค์ราชินีก็เอ่ยขึ้น
“ทุกๆคนจะมีสิ่งที่เอาไว้กักเก็บจิตวิญญาณของตัวเองเอาไว้ทั้งนั้น....ในรูปแบบของเจ้ามันคงเป็นหนังสือ จากที่เจ้าเล่าเจ้าคงถูกกระตุ้นให้เปิดหนังสือออกอ่านก่อนจะถึงเวลาอันควร ภาพในหนังสือจึงบิดเบือนไป นอกจากนี้เดอะมิลเลอร์บอกว่าเทพธิดาได้ฝากหนังสือเล่มนั้นเอาไว้ด้วยใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นหนังสือเล่มนั้นต้องมีอะไรมากกว่าที่ควรจะเป็นแน่”
“เดอะมิลเลอร์เขาต้องการหนังสือของฉันไปทำไมกันคะ?”
“อย่าไปสนใจพ่อหนุ่มหลงผิดคนนั้นเลย เมื่อก่อนเขาเป็นคนที่ดีมากนะ แต่ตอนนี้กลายเป็นตัวอันตรายไปซะแล้ว แต่เจ้าเองก็รอดมาอย่างหวุดหวิดไม่ใช่หรือ...”
“คะ?”
“ถ้าเจ้าโดนขโมยหนังสือไปในขณะที่มันยังไม่พร้อมละก็.... เจ้าจะไม่ได้เป็นตัวของตัวเองอีกต่อไป” ฉันฟังแล้วขนลุกซู่
“เจ้ามีบางสิ่งบางอย่างคุ้มครองอยู่ ข้ารู้สึกได้”
ฉันรู้สึกแปลกใจ ตอนนั้นเองฉันก็เอามือไปแตะที่สร้อยคออย่างไม่รู้ตัว
“สร้อยเส้นนี้...” ฉันถอดมันออกแล้วยื่นให้กับองค์ราชินี ฉันนึกออกแล้ว...
“ครั้งแรกที่ฉันเอสคาราส ฉันรู้สึกคุ้นตามากเหมือนเคยที่ไหนมาก่อน ทั้งๆที่ฉันพึ่งจะมาที่นี่เป็นครั้งแรก ฉันจำได้แล้วคะ....ฉันเคยเห็นต้นไม้แบบนี้มาแล้วจริงๆ ถึงจะต้นเล็กกว่ามากก็ตาม แต่ต้นไม้ที่ให้สร้อยคอนี้กับฉันคือเอสคาราสไม่ผิดแน่”
องค์ราชินีพิจารณาสร้อยเส้นนั้นด้วยความสนใจก่อนที่จะส่งคืนให้ฉัน “อา...ข้าก็จำได้แล้วเช่นกัน กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว โอเวอร์โซลได้มอบต้นกล้าต้นหนึ่งของเอสคาราสให้กับเดอะลาสเดสติเนชั่นไปต้นหนึ่ง ข้าเชื่อว่าไวท์ลีฟของเจ้าต้องมาจากต้นนั้นแน่ พลังเวทย์แบบนี้ข้าจำได้ดี ไม่น่าแปลกใจที่เจ้าจะรู้สึกคุ้นเคยกับเอสคาราส ไวท์ลีฟนี่เองสินะที่คุ้มครองเจ้าไว้ ไม่เช่นนั้นหนังสืออาจจะถูกขโมยไปแล้วก็ได้”
วันนั้นฉันได้สนทนากับองค์ราชินีอีกหลายเรื่อง เรารู้สึกถูกชะตาในกันและกันเป็นอย่างมาก วันพรุ่งนี้เราทุกคนนัดพบกันอีกที่เอสคาราสนี้ ฉันกำลังตั้งหน้าตั้งตารออย่างใจจดใจจ่อ และภาวนาให้วันพรุ่งนี้มาถึงโดยไว
นานมาแล้วที่ฉันเกิดความรู้สึกอยากให้วันพรุ่งมาถึง....
***********
ตั้งแต่ฉันมาอยู่ที่โอเวอร์โซลฉันยอมรับว่าตนเองเปลี่ยนไปในหลายๆอย่าง ฉันสามารถพูดคุยได้กับทุกคนอย่างเป็นปกติอีกครั้งและสามารถมองโลกผ่านสายคู่นี้ได้อย่างไม่มีความรู้สึกหม่นหมองอย่างที่เคยเป็นอีกต่อไป แต่ทว่าตั้งแต่คืนนั้นที่ฉันให้คำมั่นสัญญากับแคทเธอรีนไป ฉันก็เป็นคนสร้างกำแพงกั้นระหว่างฉันกับชินขึ้นมาอย่างเงียบๆ
ฉัน...แทบจะไม่ได้พูดกับชินเลย
ในทุกๆวันของที่นี่เราทุกคนต่างก็มีกิจกรรมที่ตนเองรักที่จะทำ เอรียสมักจะไปขลุกอยู่กับพวกภูตที่เป็นหมอสมุนไพรของโอเวอร์โซล โมโมะก็ออกไปตระเวนในป่าภายในโอเวอร์โซลบ่อยๆเป็นประจำ บางครั้งก็มีพวกภูตไปด้วยกัน น่ายินดีเหลือเกินที่โมโมะเข้ากับทุกคนที่นี่ได้เป็นอย่างดี ภูตทุกตนดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสพบเห็นจิ้งจอกเก้าหางอีกครั้ง ชินเองบางครั้งก็ออกไปเดินป่ากับโมโมะด้วย แต่โดยส่วนมากแล้วเขาจะไปฝึกอาวุธกับพวกภูตที่เป็นทหาร หรือไม่ก็ศึกษาตำราการปกครอง เขาดูเป็นเจ้าชายยิ่งกว่าที่ฉันเคยรู้สึกมาก่อน ในอนาคตเขาจะต้องเป็นเจ้าชายที่ดีและสามารถปกครองอาณาจักรฟรีดอมได้แน่ ส่วนตัวฉันก็ไปนั่งคุยกับองค์ราชินีอยู่ทุกเวลาเท่าที่จะเป็นไปได้ ได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับยูโทเปียมากมาย องค์ราชินีทรงมีงานมาก ดังนั้นฉันจึงใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในเอสคาราสเพียงลำพังเสียมากกว่า ซึ่งนั่นก็ถูกใจฉันเป็นอย่างมาก
“เรื่องของเศษกระจกที่ยังคงหลงเหลือยู่ในตัวของเจ้าน่ะ ข้าคิดว่าเราพอจะหาทางออกกันได้แล้วล่ะ” องค์ราชินีเอ่ยขึ้น ขณะที่รับประทานของว่างยามบ่ายร่วมกับฉันเพียงสองคน
“จริงเหรอคะ!” จะว่าไปฉันก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องเศษกระจกอีกเลยนับตั้งแต่ได้ก้าวเข้ามาที่นี่ ฉันลืมจุดประสงค์ที่เรามาที่นี่จนหมดได้ยังไงกันนะ
“ข้าได้ปรึกษากับเอเรียสและพวกหมอของทางเราแล้ว การที่จะทำให้เศษกระจกที่เดอะมิลเลอร์ถ่ายทอดมายังเจ้าสลายไป เราคงต้องให้เจ้าใช้พลังจิตวิญญาณของตัวเจ้าเองขจัดมันออกมา”
“เศษกระจก...พลังจิตวิญญาณของฉัน ทำอย่างไรหรือคะ?”
“แม้ว่การที่เจ้ามาอยู่ที่นี่จะทำให้พลังด้านมืดเบาบางลงมากก็ตาม แต่เจ้าก็คงไม่มีทางหายสนิทถ้าปล่อยเอาไว้แบบนี้ยังคงมีบางคืนใช่ไหม...ที่เจ้าต้องฝันร้าย สิ่งที่ทำให้ด้านมืดของเจ้าขึ้นเป็นใหญ่ในเวลานั้นก็คือเศษกระจกของเดอะมิลเลอร์ยังไงล่ะ มันยังคงเหลือบางส่วนอยู่ในตัวของเจ้า เจ้าต้องเป็นผู้ขจัดมันออกไปเองนะ ไม่เช่นนั้นเจ้าก็จะไม่สามารถกลับมาใช้พลังได้อย่างดั่งเดิมตลอดกาล”
“แต่ฉันสัญญากับตัวเองไว้แล้วว่าจะไม่ใช้พลังนั่นอีกนี่คะ” ฉันเอ่ยตอบกลับไปอย่างดื้อดึง
“เจ้ากลัวงั้นรึ?” องค์ราชินีเอ่ยถามฉันอย่างอ่อนโยน ฉันได้แต่พยักหน้า
“ถ้าเราสลายเศษกระจกพวกนั้นได้ เจ้าก็จะสามารถควบคุมพลังของตนเองได้อย่างสมบูรณ์อีกครั้งหนึ่ง เจ้าไม่จำเป็นต้องไปกลัวด้านมืดของตัวเจ้าเองอีกแล้ว”
“ถ้าฉันทำไม่ได้ละคะ ฉันไม่อยากจะฆ่าใครอีกแล้ว ภาพเหตุการณ์วันนั้น ฉันไม่สามารถลบมันออกไปจากใจได้เลย” ยิ่งพูดภาพในวันนั้นก็ทำท่าจะกลับมาหลอกหลอนฉันอีกครั้ง แต่ตอนนั้นเองอย่างคาดไม่ถึงองค์ราชินีรั้งตัวฉันเข้าไปมากอด
“เจ้าช่างเป็นเด็กที่อ่อนโยนเสียเหลือเกินนะ พลังนั้นเป็นของเจ้าอย่างแน่อนอน แอนนา เบลล์ ถ้าเจ้าควบคุมมันไม่ได้ก็คงไม่มีใครสามารถทำได้อีกแล้ว เจ้ายังต้องก้าวเดินต่อไปข้างหน้านะ อนาคตของยูโทเปียก็อยู่ในมือของเจ้า....”
“ฉัน....” ฉันจะทำได้งั้นเหรอ
“ข้าเชื่อในตัวเจ้านะ”
หลังจากที่ฉันนิ่งเงียบไปนาน ในที่สุดฉันก็พยักหน้า “คะ ฉันจะลองดู...” ฉันพูดในที่สุด
“ไม่ต้องกลัวหรอก ตอนนี้เจ้าอยู่ที่โอเวอร์โซลนะ ที่นี่ทุกคนจะเป็นนายของตัวเอง ที่นี่เอสคาราสจะคอยคุ้มครองเจ้า” ฉันก้มหน้ารับ
นับจากวันนั้นองค์ราชินีและฉันก็ได้ใช้เวลาร่วมกันมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ฉันต้องเก็บตัวและไม่ได้พบกับชิน โมโมะและเอเรียสเลย องค์ราชินีบอกว่านับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฉันจะต้องไม่ไปพบคนเหล่านั้นจนกว่าจะถึงวันปลดปล่อย
“อีกสิบห้าวันที่จะถึงนี้จะมีงานประจำปีที่จัดขึ้นในหมู่ภูตของพวกเรา เป็นการฉลองให้กับเอสคาราสที่ปกป้องคุ้มครองเรามาโดยตลอด ทุกปีทางเราจะมีการจัดการแสดงครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น ปีนี้ข้าจะให้เจ้าและเพื่อนของเจ้าเข้าร่วมการแสดงครั้งนี้ พวกเจ้าแต่ละคนจะต้องมีการแสดงหนึ่งอย่างที่แสดงถึงจิตวิญญาณของตนเอง”
“หมายความว่า...”
“ใช่แล้วแอนนา เบลล์ ข้าจะทำให้เจ้าพร้อมก่อนที่จะถึงวันนั้น”
“ฉันยังไม่รู้เลยว่าจะแสดงอะไรดี ฉันเองก็ไม่มีความสามารถพิเศษอะไร”
“ทุกคนมีความสามารถพิเศษในตัวเองทั้งนั้นแหละจ๊ะ”
“แต่...”
“เจ้าชอบทำอะไรยามว่างล่ะ”
“อ่านหนังสือคะ ฉันไม่คิดว่า....”
“เวลาที่เจ้าไม่สบายใจละ”
“อืม ฉันก็ชอบนั่งมองท้องฟ้า ขี่จักรยาน และก็ร้องเพลงมั้งคะ”
“นั้นละๆ เสียงของเจ้าน่ะไพเราะมากเลยนะ”
“เอ๊ะ....?” ฉันตกใจ ฉันชอบร้องเพลงนะ แต่ฉันไม่เคยร้องเพลงต่อหน้าคนเยอะๆมาก่อน
“ข้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องมีสักเพลงที่เป็นเพลงของเจ้าอย่างแน่นอน” องค์ราชินีพูดต่อ แล้วฉันก็รู้ตัวในทันทีว่า ฉันคงไม่สามารถคัดค้านอะไรได้แล้วแน่ๆ
ฉันพยายามคิดว่าตนเองควรจะร้องเพลงอะไรดี แต่ก็หาเพลงที่เหมาะสมไม่ได้เลย ไม่ว่าจะทำยังไงฉันก็อดคิดไม่ได้ว่าฉันต้องไม่สำเร็จแน่ๆ....ยิ่งใกล้วันงานเท่าไหร่ความกังวลของฉันก็มีแต่จะทวีเพิ่มขึ้นเท่านั้น
เมื่อวันเฉลิมฉลองใกล้เข้ามาเหล่าภูตต่างก็วุ่นอยู่กับการเตรียมงานกันใหญ่ ทั้งชิน โมโมะและเอเรียสก็คงกำลังซ้อมการแสดงของตนเองอยู่แน่ ฉันคิดขณะที่ออกมายืนที่ระเบียง สายลมของที่นี่ยังคงให้ความรู้สึกดีๆเช่นเคย ฉันสูดลมหายใจลึกก่อนที่เดินลงจากที่พักเพื่อไปยังจุดนัดพบ
“โอ้ ในที่สุดก็ได้เวลาสักทีนะ” องค์ราชินีพูดขึ้นอย่างยินดีทันทีที่เห็นฉัน
“ได้เวลาอะไรเหรอคะ...?” ฉันสงสัยในคำพูดขององค์ราชินี
“แอนนา ไม่มีใครในยูโทเปียที่มีผมและดวงตาสีดำหรอกนะ แม้ว่าคนผู้นั้นจะมาจากต่างโลกก็ตาม”
“เอ๊ะ....แต่ฉัน...”
“ลองมองดูตัวเองสิ” องค์ราชินีชี้มือไปยังอ่างน้ำที่ตั้งอยู่ไม่ห่างออกไปนัก ฉันรีบเดินไปแล้วก้มลงมองทันที ภาพที่สะท้อนกลับมาทำเอาฉันตกตะลึงไปชั่วขณะ
หญิงสาวงดงามผู้หนึ่งมองฉันตอบกลับมา ดวงตาของฉันที่เคยมีสีดำสนิทตอนนี้กลายเป็นสีฟ้าใสดูราวกับท้องฟ้ายามฤดูร้อน ส่วนผมของฉันที่เคยสีดำเช่นเดียวกันก็กลับกลายเป็นสีเงินดูราวกับพายุแต่กลับเป็นประกายเมื่อกระทบกับแสงสว่าง
นี่คือ...ตัวฉันงั้นหรือ
“เกิดอะไรขึ้น?” ฉันกระซิบ....
“มันคือตัวจริงของเจ้า”
“ตัวจริง?”
“ไอเวทย์ที่นี่บริสุทธิ์ มันจะเผยความจริงทุกสิ่ง...” องค์ราชินีพูดประโยคเดียวกับที่ลูซิเฟอร์เคยพูด
“แต่ผมกับสีตาของฉัน ก็เป็นสีดำมาโดยตลอดนี่หน่า...แล้วทำไม?”
“โลกของเจ้าไม่มีพลังเวทย์นี่ ที่เจ้าตาสีฟ้าบ่งบอกถึงท้องฟ้าที่แสนกว้างใหญ่และเต็มไปด้วยอิสระ ผมสีเงินหมายถึงพลังอันมหาศาลและคาดการณ์ไม่ได้ อา...ยามนี้เจ้าช่างดูงดงามสมกับที่เป็นความหวังของยูโทเปียเสียจริง!” ฉันจ้องมองไปที่องค์ราชินีที่มีผมสีทองสว่างและดวงตาสีฟ้าสดใสก่อนจะหันกลับมามองตนเองในกระจกด้วยความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย
“หมายความว่าสีตาสีผมของฉันจะไม่มีวันกลับเป็นอย่างเดิมแล้วเหรอคะ?” ฉันอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมาด้วยความกังวล
“ตราบใดที่เจ้ายังอยู่ในยูโทเปียเท่านั้นแหละจ๊ะ หากเจ้าไม่ใช่พลังปลอมแปลงตนเองล่ะก็นะ........แต่เมื่อเจ้าไปจากยูโทเปียและกลับสู่โลกเดิมของเจ้าสีผมกับสีตาของเจ้าก็จะค่อยๆกลับมาเป็นดั่งเดิมเอง เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอกนะ เจ้าไม่ชอบรูปลักษณ์ของตนเองในตอนนี้อย่างนั้นหรือ...แอนนา เบลล์?”
“ไม่รู้สิคะ...แต่ฉันมองตัวเองในตอนนี้แล้วรู้สึกแปลกจริงๆ”
“เขื่อฉันเถอะ....ไม่ว่าจะเป็นใครในตอนนี้หากได้เห็นโฉมของเจ้าเขาจะต้องไม่มีวันลืมอย่างแน่นอน ยากนะ...ที่จะพบใครสักคนที่มีตัวจริงที่งดงามและบริสุทธิ์เช่นนี้”
“องค์ราชินีกล่าวเกินไปแล้วล่ะคะ เอ๊ะ...แล้วถ้าเป็นแบบนี้งั้นสีผมและสีตาของชิน โมโมะและเอเรียส ทุกคน....”
“ทุกคนเป็นชาวยูโทเปียแต่กำเนิดน่ะ เพราะอย่างนั้นสีผมและดวงตาของพวกเขาเป็นอย่างนั้นมาแต่ต้นแล้วล่ะจ๊ะ”
“อย่างนั้นเองเหรอคะ...” ฉันจ้องมองเงาสะท้อนของตัวเองให้เต็มตาอีกครั้ง...พอได้มองเห็นตัวเองแบบชัดๆแล้ว ฉันก็เริ่มรู้สึกว่าภาพที่สะท้อนกลับมานั้นเป็นภาพของตัวฉันเองขึ้นมาหน่อยหนึ่งแล้วแฮะ
ตัวจริงของฉัน....ชินจะมองเห็นตัวจริงของฉันขึ้นมาบ้างหรือเปล่านะ?
“นั้นผู้ถูกเลือกใช่ไหมคะ?” ตอนนั้นเองที่เสียงใสๆของหญิงสาวคนหนึ่งเรียกร้องความสนใจของฉัน เมื่อฉันหันไปมองก็เห็นภูตสาวตนหนึ่งกำลังเดินมาพร้อมกับรอยยิ้ม ผมของเธอมีสีน้ำตาลอ่อนและดวงตาสีฟ้าสดใสเช่นเดียวกับองค์ราชินี
“ใช่แน่ๆเลย เธอช่างงดงามมากจริงๆ!” ภูตตนนั้นกล่าวอีกครั้ง เธอคำนับให้กับองค์ราชินีเล็กน้อย
“สวัสดีจ๊ะฉันชื่อเกริด้า มารีนเป็นน้องสาวขององค์ราชินีเองล่ะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ ในขณะที่ฉันฟังแล้วก็รู้สึกอึ้งๆ
“สวัสดีคะ ฉันแอนนา เบลล์” ฉันรีบแนะนำตัวทันที ทำท่าจะทำความเคารพ
“ทำตัวตามสบายเถอะนะ ยังไงฉันก็ไม่ใช่ราชินีสักหน่อย ฮ่าๆๆ ต่อจากนี้ก็ฝากตัวด้วยล่ะ”
“ค่ะ?” ฉันเริ่มงง
“หลังจากนี้ข้าเองก็คงต้องวุ่นอยู่กับการเตรียมงานเหมือนกัน เพราะฉะนั้นต่อจากไปมารีน...น้องสาวของข้าจะเป็นคนดูแลเจ้าต่อล่ะกันนะ นางเก่งเรื่องพวกนี้มากเพราะฉะนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น” องค์ราชินีรีบอธิบายให้ฉันฟัง ฉันพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“พี่คะ พี่น่ะรีบกลับไปทำงานได้แล้ว ทุกคนรออยู่นะ ตอนนี้ผู้ถูกเลือกเป็นของหนูแล้วนะ”
“เข้าใจแล้ว ฝากด้วยนะ”
“จ้า...”
ฉันมององค์ราชินีกับน้องสาวพูดกันด้วยความรู้สึกประหลาด ทั้งสองดูเหมือนจะมีนิสัยต่างกันมากเสียเหลือเกิน องค์ราชินีที่ดูสุขุมเยือกเย็นเหมือนกับน้ำนิ่ง แต่มารีนผู้เป็นน้องสาวกลับเต็มไปด้วยความสดใสร่าเริงเหมือนท้องทะเลที่เต็มไปด้วยคลื่นไม่มีผิด
“เอาล่ะ จากนี้ไปเธอก็เรียกฉันว่ามารีนนะ แล้วฉันจะให้ฉันเรียกเธอว่าอะไรดีล่ะ?” มารีนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงร่าเริงทันทีที่อยู่กันฉันเพียงสองคน
“แอนน์ก็ได้คะ”
“ไม่ต้องยืนเกร็งขนาดนั้นก็ได้ บอกให้ทำตัวตามสบายไง” ฉันยืนนิ่งอึ้งยังคงปรับอารมณ์ตามไม่ทันสักเท่าไหร่
“ถ้างั้นอันดับแรกเรามาวัดตัวกันก่อนดีไหม?”
“เอ๊ะ....วัดตัวงั้นเหรอคะ?”
“ใช่….” แล้วมารีนก็ดึงมือฉันไปวัดตัวอย่างที่พูดจริงๆ
“ฉันคิดว่าอย่างเธอน่าจะเหมาะกับสีขาวนะ อืม...คิดเพลงที่จะร้องออกรึยัง?”
“ฉันยังไม่รู้เลยคะ”
“ลองร้องเพลงที่แต่งเองสิ...แบบนั้นเธอน่าจะสื่ออารมณ์ออกมาได้ดีกว่านะ”
“คะ? คือ...ฉันไม่มีหรอกคะ เพลงที่แต่งเองนะ”
“ลองแต่งดูสิ ยังมีเวลาอีกหลายวันกว่างานเฉลิมฉลองจะมาถึงนี่หน่า”
“คะ...พอมารีนแนะนำแบบนี้ ฉันก็เลยคิดลองแต่งเพลงดูก็น่าจะดีเหมือนกัน” ฉันกับมารีนหันมายิ้มให้แก่กัน
“แล้วเธอมีคนรักหรือยังเอ่ย...?” อยู่ดีๆมารีนก็ถามขึ้น ฉันหน้าแดงขึ้นทันทีทั้งที่ตัวเองสั่นหน้าปฏิเสธ
“มีสินะ ใครกันน๊าหนุ่มผู้โชคดีคนนั้น?” มารีนรีบถามต่อทันที
“แต่ฉันไม่ได้บอกว่าฉันมีเลยนะคะ...”
“หรือว่าเจ้าชายขี้เก็กคนนั้น?” มารีนพร้อมกับเหล่ตามองฉัน
“เจ้าชายขี้เก็ก?”
“ก็เจ้าชายแห่งฟรีดอมไง คนที่ผมสีน้ำเงิน ตาสีเขียวน่ะ”
ฉันยิ่งหน้าแดงเข้าไปใหญ่
“ถูกเผงเลยใช่ไหมล่ะ!”
ฉันรู้สึกว่าตัวเองหน้าร้อนวูบ แต่ชั่วขณะนั้นเองฉันก็คิดถึงความเป็นจริงและคำมั่นสัญญาที่เคยให้ไว้ รอยยิ้มก็เลือนหายไปจากใบหน้าของฉันในทันที
“มีอะไรหรือเปล่า?” มารีนเห็นฉันเงียบไปจึงเอ่ยถามขึ้นมา
“ไม่คะ.... ไม่มีอะไรคะ”
มารีนจ้องฉันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเอ่ยว่า “งานฉลองที่กำลังจะถึงนี้ ถือโอกาสบอกความในใจกับเขาไปเลยดีไหมล่ะ?”
“ว่าไงนะคะ!” ฉันสะดุ้ง
“เอาอย่างนี้ดีกว่านะ....” มารีนเอี้ยวตัวมากระซิบที่ข้างหูของฉัน ฉันนั่งนิ่งแล้วฟังไปด้วยความอัศจรรย์ใจ ประหลาดใจ และสนใจในที่สุดฉ
***********
ปล. อยากลงตอนที่เกี่ยวกับโอเวอร์โซลและเอสคาราสมานานแล้ว แหะๆ..... ขอให้ทุกคนอ่านกันอย่างมีความสุขเนอะ มีอะไรติชมได้เสมอจ้า พบกันใหม่ตอนหน้านะทุกคน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ