Tale of Utopia

6.9

เขียนโดย The_Paper

วันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 เวลา 18.12 น.

  15 บท
  8 วิจารณ์
  19.51K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2556 12.54 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

12) บทที่ 11 แพนดอร่า

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 11 แพนดอร่า

 

 

ฉันก้าวออกมาจากโอเวอร์โซลทางอีกฟากหนึ่งได้ไม่เท่าไหร่ก็ตระหนักได้ว่าความอบอุ่นและความสบายใจได้จางหายไปหมดสิ้น  เป็นความจริงที่ว่าเราพ้นจากการคุ้มครองจากเอสคาราสแล้วอย่างสิ้นเชิงแล้ว    ไม่รู้ว่าฉันระแวงไปเองหรือเปล่า.....แต่ฉันรู้สึกเหมือนได้กลิ่นของเลือดล่องลอยมาตามสายลมอย่างไรไม่รู้

 

 

“ต่อจากนี้ไปพวกเราทุกคนคงต้องระวังตัวกันให้มากขึ้นแล้วล่ะ”  ชินหันไปเตือนทุกคน

 

 

โมโมะยังคงสภาพอยู่ในร่างจริง

 

 

“ฉันคงต้องใช้เวลาอยู่นอกโอเวอร์โซลอีกพักหนึ่งแหละกว่าไอเวทย์บริสุทธิ์ที่อยู่ในตัวจะจางหายไป  ช่วงนี้ฉันก็เลยต้องอยู่ในร่างจริงไปก่อนน่ะสิ” 

 

 

“ไม่เป็นไร...ถึงจะพรางตัวไม่ได้  แต่ตอนนี้โมโมะก็พลังที่สำคัญอีกกำลังของพวกเราไปแล้วล่ะ”  ชินเอ่ยพร้อมกับพยักหน้าให้จิ้งจอกเก้าหาง

 

 

อย่างไรก็ตามดูเหมือนเอเรียสจะกลับมามีใบหน้ากลับมาอ่อนเยาว์ดังเดิมแล้ว

 

 

ฉันลูบผมสีดำของตัวเองอย่างคิดถึงราวกับว่าฉันได้จากมันมานานแสนนาน  ก่อนที่จะเดินทางออกจากโอเวอร์โซล    ฉันขอให้องค์ราชินีช่วยปกปิดร่างจริงของฉันเอาไว้  ท่านจึงใช้พลังของเอสคาราสทำให้สีผมและสีตาของฉันกลับมาเป็นดังเดิม 

 

 

“เมื่อเจ้าต้องการเช่นนั้น  เอสคาราสก็จะมอบพลังนั้นเพื่อปกปิดเจ้า...  แต่เจ้าต้องอย่าลืมตัวตนที่แท้จริงของตัวเจ้าเองซะล่ะ” เสียงของราชินีดังขึ้น  เมื่อฉันหวนนึกไปถึงเหตุการณ์นั้น

 

 

พวกเราทุกคนในตอนนี้ต่างสวมเสื้อคลุมสีดำเพื่อที่จะได้ไม่เป็นที่สังเกตจนเกินไป  แม้แต่โมโมะเองก็ต้องใช้ผ้าสีดำคลุมตัวเอาไว้เช่นกัน    นี่ก็เป็นเวลาสามวันเต็มแล้วตั้งแต่ที่พวกเราเดินทางออกจากโอเวอร์โซล

 

 

“ต่อจากนี้ไป ถ้าไม่จำเป็นห้ามใช้เวทมนต์อีก” ชินประกาศขึ้น

 

 

“ตอนนี้ฉันกะประมาณว่าถ้าเราเดินทางกันไม่หยุดอีกราวๆครึ่งวันก็น่าจะถึงแพนดอร่าแล้วล่ะ   เพราะฉะนั้นพวกเราคงต้องหยุดดูทีท่าของกองทัพกันตรงนี้ก่อน     ถ้าเข้าไปใกล้เกินไปตอนนี้คงอันตรายน่าดู    ส่วนคืนนี้ฉันจะลอบไปพบกับอาเรนที่ค่ายทหารเพื่อนัดหมายกำหนดการณ์ที่แน่นอนอีกครั้งหนึ่งเสียก่อน    ระหว่างที่ฉันไม่อยู่นั้นอย่าใช้เวทมนต์โดยพร่ำเพรื่อล่ะ  เพราะฉันกับอาเรนจะพาลคิดว่าเกิดอะไรขึ้น     ยามนี้ทางฝั่งดาร์คอาเธอร์ก็คงพยายามจับพลังเวทย์แปลกปลอมอยู่เหมือนกัน  ไม่ว่าจะทำอะไรก็ขอให้คิดให้รอบคอบก่อน  เข้าใจกันนะทุกคน....”  ทุกคนพยักหน้า  ในขณะที่ฉันรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก

 

 

พลบค่ำวันนั้นฉันเดินออกมาส่งชินแต่เพียงลำพัง

 

 

“ชิน...  ระวังตัวด้วยนะ”  ฉันพูดด้วยเสียงเศร้าๆ

 

 

“อะไรกัน  ฉันไปไม่นานหรอกหน่า  อย่าทำหน้าเศร้าแบบนั้นสิ    แอนน์มีอะไรหรือเปล่า...?” ชินถามด้วยความสงสัย

 

 

“ไม่มีหรอก....” ฉันโกหก 

 

 

“ชินไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น  ชินก็จะไม่ลืมฉันใช่ไหม  ในฐานะเพื่อนคนหนึ่ง....”  ฉันเอ่ยประโยคหลังออกมาอย่างแผ่วเบา

 

 

“ใครจะไปลืมเธอลงได้กันละ  พูดอะไรแปลกๆ...พูดยังกับจะไม่ได้เจอกันอีกแล้วงั้นแหละ...”

 

 

“เปล่าสักหน่อย  รีบไปเถอะ อาเรนคงคอยอยู่แล้วล่ะ” 

 

 

ชินปีนขึ้นไปบนหลังม้า

 

 

“นี่...”  ก่อนจากไปชินหันมามองที่ฉันอีกครั้ง  “อย่าลืมนะ  ว่าฉันจะเป็นคนปกป้องเธอเอง”

 

 

“อืม”   ฉันพยักหน้าพร้อมกับยิ้มให้ในขณะที่ชินควบม้าจากไปในยามราตรี    วินาทีนั้นฉันได้แต่ยืนนิ่งน้ำตาไหลออกมาเงียบๆ     ฉันหวังเอาไว้ลึกว่าคำทำนายที่ฉันฝันถึงจะไม่เป็นจริง   แต่ดูเหมือนจะเลี่ยงไม่ได้ซะแล้ว   

 

 

ถ้าความฝันนั้นเป็นจริง......นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉัน......

 

 

“เข้มแข็งหน่อยสิ..ตัวฉัน!”   ฉันใช้เวลาเช็ดน้ำตาออกไปเพียงไม่นาน       ก่อนจะปรับอารมณ์ตนเองแล้วเดินเข้าไปรวมกลุ่มกับโมโมะและเอรียสที่อยู่ห่างออกไม่มากนัก

 

 

พื้นดินแถบนี้ดูไร้ชีวิตชีวาแปลกๆ  ทั้งๆที่มีต้นไม้ขึ้นอยู่ทั่วไปแต่กลับไม่รู้สึกถึงความเป็นป่าเลยแม้แต่น้อย  พวกเรานั่งลงพักอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง   จากตรงนั้นเมื่อฉันมองตรงไปยังทิศทางที่อาณาจักรแพนดอร่าตั้งอยู่ก็เห็นหอคอยสูงเสียดฟ้าหอหนึ่งตั้งเด่นห่างออกไป

 

 

“นั้นหอคอยอะไรน่ะ?”  ฉันถามเอเรียสที่กำลังจับจ้องหอคอยนั้นอยู่เช่นกัน

 

 

“หอคอยแห่งแพนดอร่า   เป็นหอคอยที่เกือบจะสูงที่สุดในยูโทเปีย  ที่นั้นคือใจกลางของอาณาจักรแพนดอร่า   ดาร์คอาเธอร์ตอนนี้ก็คงจะอยู่ที่นั่นนะแหละ”

 

 

“ทำไมดาร์คอาเธอร์ถึงไม่เคยออกจากนอกหอคอยนั้นเลยน๊า....” โมโมะพูดขึ้น

 

 

“ก็เพราะศาสตร์มืดยังไงล่ะ....”  เอเรียสตอบ

 

 

“ศาสตร์มืด...?”  ฉันถามด้วยความสงสัย

 

 

“ผู้ที่ถูกศาสตร์มืดครอบงำจิตใจทั้งหมดจะมีพลังมหาศาลจนไม่มีผู้ต้านทานก็จริง   แต่ก็จะไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ใต้แสงสว่างได้อีกต่อไป”

 

 

“หมายความว่า....”

 

 

“ใช่แล้วล่ะ...ดาร์คอาเธอร์ไม่สามารถดำรงชีวิตภายใต้แสงสว่างของดวงอาทิตย์ได้   ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยเขาจึงขังตัวเองไว้ในหอคอยชั่วร้ายนั่นยังไงล่ะ”

 

 

“ถ้าต้องแบบนั้น....ต้องขังตัวเองไว้ในความมืดแบบนั้นได้พลังมาแล้วจะมีประโยชน์อันใดกัน  ทำไมเขาถึงคิดทำอะไรชั่วร้ายขนาดนี้ได้นะ...”  ฉันรำพึงขึ้นมา  ซึ่งเอเรียสก็ไม่ได้เอ่ยตอบคำใด

 

 

คืนนั้นทั้งฉัน  โมโมะ  และเอเรียสต่างเอนตัวพิงกับรากไม้แล้วงีบหลับไปทั้งๆอย่างนั้น   ชินบอกว่าจะรีบนัดแนะกับอาเรนและกลับมาที่นี่ก่อนสว่าง   แต่ทว่าในกลางดึกนั่นเองเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น

 

 

ฉันรู้สึกตัวเป็นคนแรกเพราะรอรับสถานการณ์เอาไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว

 

 

“ค่ำคืนนี้ดูท่าจะยาวนานซะแล้วสิ....เอเรียส  โมโมะรีบตื่นเถอะ!”  ฉันพูดพร้อมกับลุกยืนขึ้นพร้อมกับรีบวิ่งเข้าไปดับกองไฟ 

 

 

“ว่าไงนะ!”  เอเรียสหันมาจ้องฉันเขม็ง

 

 

“โมโมะ  เอเรียส  เตรียมตัวเร็วเข้า!  ท่าทางดาร์คอาเธอร์จะชิงลงมือก่อนซะแล้วล่ะ    เวลาที่กองทัพของทั้งสองฝ่ายต้องปะทะกันคงมาถึงเร็วกว่าที่เราคาดการณ์ไว้   สงสัยว่าพวกเราคงจะรอชินไม่ได้แล้วล่ะ...”

 

 

“เป็นไปได้ยังไง....ดาร์คอาเธอร์รู้แผนการณ์ของเราเข้าซะแล้วอย่างนั้นเหรอ?”

 

 

“ไม่หรอก...ดาร์คอาเธอร์คงไม่คิดว่าฉันที่เป็นผู้ถูกเลือกจะกล้าเอาตัวเองเข้าเสี่ยงแบบนี้หรอก    เพราะอย่างนั้นเวลานี้แหละเหมาะที่สุดที่จะลอบเข้าไปในแพนดอร่า....ดาร์คอาเธอร์จะต้องคาดไม่ถึงอย่างแน่นอน”  ฉันเอ่ยออกมาอย่างหนักแน่น

 

 

“เอ๊ะ....แล้วชินล่ะ?”

 

 

“เขากลับมาไม่ทันหรอก....พวกเราคงต้องลุยกันเองซะแล้วล่ะ”

 

 

“แต่ว่า...” โมโมะทำท่าจะทักท้วง

 

 

“ถ้าไม่ฉวยโอกาสนี้ไว้....แผนที่ทุกคนวางไว้อาจจะต้องพังทลายก็ได้นะ   เราต้องลงมือเดี๋ยวนี้...”

 

 

เอเรียสและโมโมะไม่ถามว่าฉันมั่นใจขนาดนั้นได้อย่างไร     แต่สุดท้ายทั้งสองลุกขึ้นยืนเตรียมพร้อมต่อสู้ทันที

 

 

ทันใดนั้นร่างสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งออกมาจากแพนดอร่า  ดูเหมือนพวกมันจะยังไม่มีเป้าหมายที่แน่นอนแต่ก็ตรงดิ่งไปทางกองทัพของอาเรน     เมื่อนั้นฉันจึงรีบตัดสินใจในทันที

 

 

“รีบขึ้นมาเร็ว...” ฉันเสกจรวดกระดาษขึ้นมาในชั่วพริบตา   เอเรียสกับโมโมะไม่รอช้ารีบปีนขึ้นไปทันที   วินาทีถัดมาฉันก็นำจรวดกระดาษขึ้นบินด้วยความเร็วสูงอย่างไม่รอช้า

 

 

“จะให้รู้ไม่ได้ว่าฉันมาถึงที่นี่แล้ว”  ฉันคิด  ฉันบังคับให้จรวดบินขึ้นไปเหนือเมฆ ฉันไม่เคยพาตัวเองบินสูงขนาดนี้มาก่อนตอนนี้ไม่มีสิ่งใดที่อยู่เบื้องล่างสามารถมองเห็นพวกเราได้แล้ว   และสิ่งที่จะสามารถนำทางฉันได้ในขณะนี้ก็มีเพียงหอคอยแพนดอร่าสีดำสนิทที่สูงเสียดฟ้าเพียงเท่านั้น

 

 

“ถึงยังไงเราก็ควรจะรอชินอยู่ดีนะ....เขาเป็นคนที่รู้แผนการรบดีที่สุด”  เอเรียสอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นมา

 

 

“เขาจะต้องเข้าใจแล้วตามเรามาเองล่ะ  ขืนรอล่ะก็...ไม่ทันการณ์แน่”  ฉันตอบ

 

 

“ฉันเชื่อใจเธอนะ....แอนน์”  โมโมะเอ่ยพร้อมพยักหน้า

 

 

“เฮ้อ....แบบนี้คงต้องเป็นไงเป็นกันแล้วน่ะสิ!”  เอเรียสเอ่ยพลางดึงคันธนูออกมาเตรียมพร้อมไว้

 

 

“ขอบใจมากนะทุกคน...”

 

 

เอเรียสกับโมโมะหันมามองหน้ากัน  “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไปกันเลย!”

 

 

ฉันพยักหน้าอีกครั้งขณะที่ใช้พลังบังคับให้จรวดกระดาษพุ่งตรงไปยังแพนดอร่าทันที

 

 

ชิน...ฉันจะรอเธอนะ  ขอให้ทันเวลาด้วยเถอะ....

 

 

 

**********

 

 

 

 

“ชิน...ฉันดีใจจริงๆที่เห็นนายอีกครั้ง  นายขี่ม้ามาไกลแต่ตอนนี้เราคงมีเวลาเหลือไม่มากนัก....”  อาเรนเอ่ยพลางตบหลังเพื่อนรักอย่างรักใคร่

 

 

“ฉันเข้าใจดี...อย่าเสียเวลาเลย  พวกเจ้าวางแผนอย่างไรก็รีบบอกฉันมาเถอะ”  ชินน้ำมาดื่มอย่างกระหายขณะที่ก้าวขาเข้าไปในกระโจมอย่างว่องไว

 

 

“แอนน์สบายดีใช่ไหม?”  อาเรนอดที่จะถามไม่ได้

 

 

“อืม...โชคดีจริงๆที่แอนน์กลับมาปกติเหมือนเดิมแล้ว   การที่พาเธอไปที่โอเวอร์โซลเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว”

 

 

“หมายความว่าเศษกระจกพวกนั้น....”

 

 

“ใช่....พลังของที่นั้นชำระล้างเศษเศษกระจกให้ออกไปจากตัวแอนน์จนหมดแล้วล่ะ   ตอนนี้เธอพร้อมสู้เต็มที่เชียวล่ะ”

 

 

“ฉันอยากไปพบเธอด้วยตนเองจริงๆ”  อาเรนเอ่ย

 

 

“รีบคุยเรื่องสำคัญกันก่อนเถอะในตอนนี้...” ชินเอ่ยเตือนด้วยเสียงคร่ำเครียด

 

 

“อืม...”

 

 

เมื่อเจ้าชายทั้งสองก้าวเข้าไปภายในกระโขมก็เห็นบรรดาแม่ทัพยืนรออยู่แล้ว

 

 

“เจ้าชายชิน!”

 

 

ชินที่ยามนี้องอาจยิ่งกว่าครั้งไหนพยักหน้าให้กับทุกคนก่อนที่จะก้มลงมอแผนที่ตรงหน้าอย่างใคร่ครวญ

 

 

“พวกเราจะเริ่มแผนการพรุ่งนี้ทันทีที่ตะวันขึ้น ณ ขอบฟ้าสินะ”

 

 

“ครับ  ในช่วงที่พระอาทิตย์ปรากฏให้เห็นจะเป็นช่วงเวลาที่พวกเราได้เปรียบมากที่สุด    พวกเราเชื่อว่าการยกทัพครั้งนี้จะต้องดึงความสนใจของดาร์คอาเธอร์มาที่พวกเราได้อย่างแน่นอน...”

 

 

“อืม  ระหว่างนั้นฉันกับผู้ถูกเลือกจะลอบเข้าไปภายในแพนดอร่าเอง    เป้าหมายของเราก็คือหอคอยแพนดอร่าที่เจ้าดาร์คอาเธอร์ผู้ชั่วช้ามันแอบซ่อนตัวอยู่นั่นเอง!”

 

 

“ผู้ถูกเลือกทราบแผนการนี้เป็นอย่างดีแล้วใช่ไหมครับ?”

 

 

“แน่นอนเธอพร้อมสู้เต็มที่แล้ว  ที่สำคัญตอนนี้เธอก็เดินทางมาถึงแล้วแต่กำลังซ่อนตัวอยู่เพื่อทำตามแผนการที่วางไว้  ขอให้ทุกคนวางใจ”  เมื่อได้ยินชินเอ่ยออกมาเช่นนี้ทุกคนก็พากันพยักหน้าด้วยความพอใจ

 

 

“อย่างไรก็ตามนอกจากทัพหน้าแล้ว  ยังมีกองทหารหน่วยเล็กแทรกซึมแพนดอร่าจากทางอื่นด้วยยิ่งดึงความสนใจออกไปได้หลายทางมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีมากเท่านั้น”  อาเรนเอ่ยเสริมขึ้นมา

 

 

“ศึกครั้งนี้พวกเราจะต้องถล่มแพนดอร่าและลากคอของดาร์คอาเธอร์ออกมาให้ได้   สงครามระหว่างพ่อมดแม่มดและนักเวทย์จะต้องจบลงในวันพรุ่งนี้   เพื่อความสงบสุขของยูโทเปีย!”  ชินตะโกนก้อง

 

 

“เฮ....!”  บัดนั้นทุกคนที่เหลือภายในกระโจมก็ส่งเสียงโห่รับอย่างฮึกเหิม

 

 

“ฟิ้ว....บึ้ม!”

 

 

“เสียงอะไรน่ะ!”  ชินกับอาเรนพูดขึ้นพร้อมกัน  เมื่อทั้งสองพุ่งออกจากกระโจมในค่ายก็เห็นร่างสีดำจำนวนมากมุ่งมาที่ค่ายด้วยความเร็วสูงพร้อมกับปรากฏแสงของเปลวเพลิงปรากฏอยู่ใกล้ๆค่ายรบ

 

 

“ดาร์คอาเธอร์... มันใช้ภูตดำเข้าโจมตีเราซะแล้ว!”  อาเรนพูดพร้อมกับชักดาบออกมา

 

 

“อะไรกัน....ฉันคิดว่ามันจะยังไม่กล้าบุกมาอีกจนกว่าจะถึงรุ่งสาง  แบบนี้พวกเราคงรอให้ถึงสว่างไม่ไหวซะแล้ว.... ทุกคนข้าศึกบุกแล้ว  เตรียมรับมือเร็วเข้า!”  อาเรนตะโกนก้อง  เมื่อนั้นภายในค่ายก็วุ่นวายไปหมด

 

 

“แอนน์!” ชินใจหายวาบ

 

 

เขารีบวิ่งตรงไปที่คอกม้าในทันทีก่อนจะกระโดดขึ้นขี่ม้าอย่างรวดเร็ว     เขากำลังจะควบม้าออกไปแล้วแต่ฉับพลันเขาก็ชะงักกึกไป  พลังเวทย์มหาศาลนี้ของใครกัน...พลังที่เต็มไปด้วยแสงสว่างแบบนี้ไม่ใช่ของดาร์คอาเธอร์แน่ๆ 

 

 

ความรู้สึกนี้....แอนน์!

 

 

แต่ก่อนที่เขาจะทำอะไรต่อไปนั้นเอง  เสียงของแอนน์ก็ดังก้องขึ้นในหัวของเขา

 

 

“ชิน...ฉันจะรอเธอนะ”  ชินมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างไม่ตั้งใจดวงตาทั้งสองข้างของเขาเบิกกว้างไปด้วยความตกตะลึง

 

 

“ชิน! ทำไมนายยังไม่รีบกลับไป....”  อาเรนซึ่งอยู่บนหลังม้าเช่นกันรีบบังคับม้ามาอยู่ใกล้ชินที่ตอนนี้เอาแต่เหม่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้า

 

 

“ไปแล้ว..”

 

 

“ว่าไงนะ?”

 

 

“แอนน์ไปยังแพนดอร่าแล้ว  เธอไปเพราะรู้ว่าต้องไปในทันที   ตามกำหนดการณ์เธอรู้ว่าถ้าไม่อาศัยจังหวะนี้แผนของเราคงไม่สำเร็จ”  ชินตอบด้วยน้ำเสียงปกติดวงตายังคงจ้องมองไปยังท้องฟ้า

 

 

“แล้วนายละชิน?  นายจะปล่อยให้แอนน์ไปเผชิญหน้ากับดาร์คอาเธอร์เพียงลำพังหรือยังไง?”

 

 

“เหตุการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว อาเรน...” ชินละสายตาจากท้องฟ้าในที่สุดก่อนที่จะเอื้อมมือมาบีบไหล่ของอาเรนแน่น  “นาทีนี้...สิ่งที่ฉันควรทำก็คือร่วมต่อสู้กับนาย”

 

 

“ชิน!” อาเรนแปลกใจระคนยินดี  พอเขามองเห็นแววตาที่แน่วแน่ของชินก็พยักหน้ารับ “ถ้ามีเพื่อนที่รู้ใจอย่างนายเคียงข้างฉันยามรบแล้วล่ะก็...  ชิน...ไม่มีอะไรที่จะทำให้ฉันรู้สึกยินดีไปมากกว่านี้แล้ว”

 

 

ชายหนุ่มทั้งสองคนชูดาบของตนขึ้นเหนือศีรษะ

 

 

“เพื่อยูโทเปีย!”  ชินพูด

 

 

“เพื่อยูโทเปีย!” อาเรนกล่าวตาม

 

 

เมื่อนั้นเจ้าชายทั้งสองก็พลันควบม้าเข้าสู่สนามรบไปพร้อมๆกัน

 

 

 

**********

 

 

 

“นั้นอะไรน่ะ?” เอเรียสร้องขึ้นเมื่อทุกคนเข้าไปใกล้อาณาจักรมากขึ้น  ฉันเองก็รู้สึกเหมือนเอเรียส... มีบางสิ่งบางอย่างปกป้องที่นี่อยู่    บางสิ่งบางอย่างที่ไม่ยอมให้ใครผ่านเข้าไปภายในอาณาจักร....  ม่านเวทย์มนต์

 

 

“โมโมะ... ฝากด้วยนะ”  ฉันพูด

 

 

จิ้งจอกเก้าหางพยักหน้ารับทันที  มันเร่งพลังขึ้นจนขนสีขาวยาวของมันตั้งชัน  หางทั้งเก้าของมันชูขึ้นอย่างงามสง่า

 

 

“จะทำอะไรน่ะ!”  เอเรียสถามขึ้นอย่างตกใจ  เขายังตามฉันกับโมโมะไม่ทัน

 

 

“จับเอาไว้แน่นๆก็แล้วกัน  เราจะฝ่าเข้าไปภายในคราวเดียวนี่ล่ะ”  ฉันพูดพร้อมกับหมอบตัวลง  เอเรียสรีบทำตามทันที

 

 

จรวดกระดาษยังคงพุ่งเข้าไปใกล้ม่านเวทย์มนต์นั้นทุกขณะโดยไม่ได้ลดความเร็วลงเลยแม้แต่น้อย   ยิ่งเข้าไปใกล้ฉันก็ยิ่งรู้สึกถึงแรงต้านที่แผ่ออกมาจากม่านเวทย์มนต์นั้น  กลิ่นอายของเวทย์มนต์นี้เหมือนฉันจะเคยปะทะมาก่อนแต่ฉันยังนึกไม่ออกว่าเป็นของใคร......  อย่างไรก็ตามฉันก็ยังคงเร่งความเร็วของจรวดกระดาษเพื่อต้านพลังนั้นขึ้นไปอีก

 

 

ขณะเดียวกันนั้นเองโมโมะก็อ้าปาก....เมื่อนั้นเปลวไฟปรากฏขึ้นกลางอากาศ  ในไม้ช้าเปลวไฟนั้นก็มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ       ตอนนั้นเองที่ฉันสังเกตเห็นว่าตรงข้อเท้าของโมโมะที่ห้อยกำไลอัญมณีสีแดงอยู่นั้นกำลังเปล่งแสงออกมาเป็นจังหวะ

 

 

“ท่านแอนน์!  เราจะชนอยู่แล้วนะ!”  เอเรียสร้องขึ้นมาอย่างตระหนก

 

 

ชั่วจังหวะนั้นเองโมโมะก็ปล่อยเปลวเพลิงขนาดยักษ์ลูกนั้นออกไปปะทะกับม่านเวทย์  ฉันนำจรวดพุ่งไปตามวิถีของเปลวเพลิงที่ถูกยิงออกไปทันที

 

 

พริบตาถัดมาฉันก็รู้ว่ามันจะต้องสำเร็จ   ม่านเวทย์มนต์เกิดความเสียหายกลายเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่ขึ้น  ฉันนำจรวดบินทะลุเข้าไปภายในอาณาจักรทันที   ดูเหมือนฉันจะพาทุกคนผ่านม่านเวทมนต์มาได้สำเร็จอย่างหวุดหวิด   เพราะหลังจากนั้นม่านเวทย์มนต์ก็ซ่อมตัวเองอย่างรวดเร็ว   เพียงชั่วไม่กี่อึดใจม่านเวทมนต์นั้นก็กลับมาเป็นดังเดิมซะแล้ว

 

 

เมื่อผ่านจุดที่อันตรายที่สุดมาได้....ฉันก็หันกลับไปมองที่ม่านเวทย์มนต์นั้นอย่างใคร่ครวญมากขึ้น   ในที่สุดฉันก็จำความรู้สึกนี้ได้...  ฉันจำได้แล้วว่ากลิ่นอายแบบนี้เป็นของใคร   แต่ตอนนั้นฉันไม่เอ่ยปากพูดอะไรออกไป

 

 

“นึกว่าจะตายซะแล้ว”  เอเรียสพูดขึ้นด้วยเสียงหอบๆ

 

 

ฉันกับโมโมะหันมามองหน้ากันแล้วแอบหัวเราะออกมาเบาๆ

 

 

แต่ดูเหมือนว่าพวกเราทั้งสามจะสบายใจกันไม่ได้นานเท่าไหร่นัก   ทันใดนั้นเวทย์มนต์โจมตีก็ถูกยิงมาจากเบื้องล่าง  มันพุ่งมาเร็วมากจนฉันบังคับจรวดให้หลบไปได้อย่างฉิวเฉียด

 

 

“อะไรน่ะ!”  โมโมะร้อง  ไม่ทันขาดคำก็มีพลังเวทย์ถูกยิงขึ้นมาอีก คราวนี้ไม่ได้มาทีละลูก  แต่มาทีเกือบจะเต็มท้องฟ้าไปหมด  ฉันต้องบังคับจรวดกระดาษให้หลบการโจมตีอย่างเต็มที่จนไม่สามารถตอบโต้อะไรได้เลย

 

 

“แย่แล้ว...”   จู่ๆกลางอากาศเบื้องหน้าก็มีร่างสีดำจำนวนหนึ่งปรากฏขึ้น    ฉันยังไม่ทันมองเห็นพวกมันได้ชัดพอที่จะระบุว่ามันคืออะไร...พวกมันก็พุ่งเข้ามาโจมตีจรวดกระดาษซะแล้ว    ฉันไม่มีทางเลือกนอกจากรีบเสกดาบขึ้นมาแล้วฟันร่างสีดำพวกนั้นกลับทันที     ชั่วพริบตาที่ฉันเสียสมาธิไปพลังเวทย์สายหนึ่งก็ถูกยิงมาโดนที่ส่วนปลายของจรวดกระดาษเอาไว้จนได้

 

 

“กรี๊ด!”  ฉันอุทานขณะที่จรวดกระดาษเสียสมดุลจนเอียงไปอีกทางหนึ่ง  ทำเอาเอเรียสและโมโมะแทบจะตกลงไปข้างล่าง

 

 

“พวกนั้นคือภูตดำนี่หน่า...”  น้ำเสียงของเอเรียสเต็มไปด้วยความหนักใจ

 

 

“พวกมันมาทำอะไรที่นี่?”  โมโมะร้อง

 

 

“ฝีมือดาร์คอาเธอร์แน่ๆ    การลอบเข้ามาในแพนดอร่าของพวกเราล้มเหลวซะแล้วสิ  เขารู้แล้วว่ามีผู้บุกรุก!”  เอเรียส เอ่ย  ตอนนี้เขาพยายามยิงธนูเวทย์ใส่ภูตดำพวกนั้นแต่ไม่ได้ผลมากนัก    ฉันเองก็ยังคิดหาทางออกไม่เจอนอกพยายามควบคุมจรวดกระดาษที่กำลังเสียสมดุลให้ไปในทิศทางที่ต้องการด้วยความยากลำบาก

 

 

เหล่าภูตดำเองก็ยังคงบุกดจมตีอย่างต่อเนื่อง     จนในที่สุดฉันก็พลาดจนได้......จรวดกระดาษถูกยิงอีกครั้ง   ตอนนี้จรวดกระดาษเสียหายจนกระทั่งฉันบังคับให้มันบินอยู่ต่อไม่ได้อีกแล้ว       ฉันใจหายวูบ....แต่ก็ต้องยิ่งตระหนกไปมากกว่านั้นเมื่อคราวนี้ภูตดำตนหนึ่งบุกเข้ามาประชิดตัวของฉันพร้อมกับผลักฉันตกจากจรวดกระดาษอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด    โมโมะกับเอเรียสยิ่งไม่สามารถบินต่อไปได้ด้วยจรวดกระดาษโดยเฉพาะยิ่งไม่มีฉันอยู่     สุดท้ายทั้งสองก็พลอยตกลงมาด้วย 

 

 

“โมโมะช่วยเอเรียสด้วย ไม่ต้องห่วงฉัน!”  ฉันตะโกนขณะที่ยังคงยันร่างของภูตดำเอาไว้สุดแรง  แรงของภ๔ตมากมายจนฉันแทบจะต้านไม่ไหว.....แต่อยู่ดีๆภูตดำก็ค่อยๆสลายไป  

 

 

“อะไรกัน....” ฉันสงสัยแต่เข้าใจในทันเมื่อเห็นจี้ไวท์ลีฟส่องแสงออกมาวูบหนึ่งแล้วจึงจางไป    ฉันยกมันขึ้นมาพิจารณาด้วยความขอบคุณ   สติกลับมาอย่างรวดเร็วเมื่อเป็นอิสระฉันก็ไม่รอช้าที่จะเสกกระดาษให้กลายมาเป็นปีกให้ฉันทันที

 

 

โมโมะพ่นไฟลูกมหึมาออกมาอีกครั้งเพื่อโจมตีภูตดำที่พากันบินตามลงมา   มันพุ่งเข้าไปรับเอเรียสมาไว้บนหลังได้สำเร็จ   ในที่สุดฉันก็ลงมาถึงพื้นได้อย่างปลอดภัยก่อน   ในขณะที่เอรียสเองก็ขี่โมโมะลงมาถึงพื้นอย่างปลอดภัยเช่นกัน  เราทั้งสามไม่มีเวลาแม้แต่จะพูดคำใดต่อกันนอกจากรีบออกวิ่งไปในทันที    นั่นก็เพราะทั้งฉัน โมโมะ  และเอรียสต่างก็สัมผัสได้ว่าฝ่ายตรงข้ามจำนวนไม่น้อยกำลังมุ่งเข้ามาใกล้   พลังเวทย์ที่ถูกยิงขึ้นมาจากเบื้องล่างหมายความว่าจะต้องมีพ่อมดแม่มดบางส่วนประจำการอยู่ในเมืองเป็นแน่

 

 

พวกเราพากันหอบด้วยเหนื่อยจากการวิ่งเมื่อครู่จนมาลงเอยกันอยู่ในตรอกแห่งหนึ่งหลังจากที่พยายามหลบเลี่ยงพวกพ่อมดแม่มดที่พยายามตามหาพวกเราอยู่   ขณะนี้หอคอยแห่งแพนดอร่าอยู่ห่างออกไปไม่มากเท่าไหร่แล้ว

 

 

“ยิ่งเข้าใกล้หอคอยเท่าไหร่  พวกพ่อแม่มดก็ยิ่งเพิ่มจำนวนขึ้น.....”  ฉันกระซิบ

 

 

“พวกมันรู้ว่าถึงอย่างไรเราก็ต้องเข้าไปในหอคอย”  เอเรียสกระซิบตอบ

 

 

“เพราะดาร์คอาเธอร์ออกมาไม่ได้สินะ”  โมโมะพึมพำ

 

 

“จุดอ่อนของเค้านี่ล่ะ....” ฉันพูด “สิ่งที่ต้องตอบแทนกับพลังมหาศาลที่ได้รับมายังไงล่ะ”

 

 

“ถ้าอย่างนั้นเราคงต้องคิดแผนด่วนแล้วล่ะ” เอเรียสเสนอ

 

 

“ทำยังไงล่ะ เรามีอยู่กันแค่สามคนเอง”  โมโมะเอ่ยเสียงอ่อย

 

 

“แค่สาม....  หืม  ฉันพอจะมีแผนแล้วล่ะ”  ฉันยิ้มกริ่ม   ขณะที่เอเรียสกับโมโมะหันมามองฉันทันที   นาทีถัดมาเราสามคนก็สุมหัววางแผนกันอย่างไม่รอช้า

 

 

“ตกลงตามนี้นะ” ฉันสรุปหลังจากอธิบายแผนที่ตนพึ่งคิดขึ้นสดๆจบ

 

 

“บอกตามตรงฉันไม่ค่อยเห็นด้วยกับแผนเท่าไหร่หรอกนะ  แต่ตอนนี้คงไม่แผนอะไรที่ดีไปกว่านี้แล้วล่ะ”  เอเรียสกล่าวก่อนจะพยักหน้าตกลง

 

 

“ฉันก็รู้สึกไม่ดีเลย  ถ้าเกิดพลาดขึ้นมา...” โมโมะพูดขึ้นอย่างขวัญเสีย

 

 

“เราต้องทำได้สิ!” ฉันยืนยัน “ฉันรู้ว่าแผนนี้มันออกจะเสี่ยงไปหน่อย  แต่กว่าที่พวกพ่อมดแม่มดจะรู้ตัวก็คงจะต้องใช้เวลามากพอดูล่ะ  ขึ้นอยู่กับเอเรียสแล้วก็โมโมะนะ..ช่วยฉันหน่อยได้ไหม?”

 

 

“เอาไงเอากัน....” โมโมะเอ่ยในที่สุด

 

 

“งั้นลุยเลย!” ฉันพูด

 

 

“อื้ม!” ทั้งสองตอบรับ

 

 

หลังจากนั้นร่างเลียนแบบของฉัน  โมโมะและเอเรียสรวมทั้งห้ากลุ่มก็ถูกสร้างขึ้นด้วยพลังของฉัน  ฉันไม่ค่อยจะถนัดในการใช้พลังในแบบนี้นักจึงรู้สึกเหนื่อยไม่น้อย  แต่คิดว่าคงจะพอไหว   แผนของฉันคือการลอกเลียนแบบร่างของฉันและคนอื่นๆด้วยกระดาษของฉันนั่นเอง

 

 

“ไป!”  ฉันกระซิบ    ทันใดนั้นร่างที่ฉันเสกขึ้นแยกทางกันไปตามทิศทางที่ฉันกำหนดทันที   หลังจากนั้นฉันจึงหันกลับมาเสกร่างปลอมให้กับโมโมะและเอเรียสอีกคนละหนึ่งร่าง   

 

 

“ระวังตัวด้วยนะ...”  เอเรียสเตือนฉันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะจากกัน

 

 

“แอนน์...” โมโมะร้องเรียก

 

 

“อย่าทำเสียงแบบนั้นสิ  ไม่ต้องห่วงหรอก  เชื่อฉันสิ”

 

 

“เข้าใจแล้ว โชคดีนะ”

 

 

“อืม...” แล้วโมโมะและเอเรียสกับร่างปลอมของฉันก็พุ่งหายไปในอีกทิศทางหนึ่งทันที

 

 

ยามนี้มีเพียงฉันเท่านั้นที่ยังคงนั่งซุ่มอยู่ในที่ซ่อนเดิม   แน่นอนว่าฉันสามารถรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของร่างปลอมที่ฉันเสกขึ้นได้ในทุกขณะ   ท่าทางว่าแผนของฉันจะได้ผล...พวกพ่อมดแม่มดดูเหมือนจะโจมตีใส่พวกร่างปลอมอย่างรวดเร็วในทันทีที่พบเห็น

 

 

“กลุ่มแรกเสร็จไปแล้ว..” ฉันกระซิบพร้อมกับลุกยืนขึ้น ดึงผ้าคลุมขึ้นคลุมศีรษะ  “ถึงเวลาที่ฉันเองก็ต้องออกไปบ้างซะแล้วสิ”

 

 

สำหรับตัวเองฉันใช้เพียงแต่ใช้พลังพรางตัวเพื่อไม่ใครสามารถมองเห็นฉันได้เท่านั้น    เพื่อความรวดเร็วฉันจึงติดปีกให้ตัวเองด้วยกระดาษแล้วออกบินไปที่หอคอยแห่งแพนดอร่าในทันที   ดูเหมือนทุกอย่างจะเป็นไปตามแผน   แต่ตอนนี้ร่างปลอมถูกทำลายไปแล้วสามกลุ่มยังเหลืออีกสองกลุ่ม  และร่างปลอมอีกร่างหนึ่งที่อยู่กับโมโมะและเอเรียส

 

 

พอเข้ามาใกล้มากขึ้นฉันก็รู้ดีว่าไม่สามารถบินขึ้นไปบนหอคอยได้ทันที....มีม่านเวทย์มนต์ป้องกันไว้อีกแล้ว  ตอนแรกฉันกำลังคิดว่าจะลอบเข้าไปทางไหนอีกดี   แต่แล้วฉันก็จับพลังของใครคนหนึ่งได้เสียก่อน....

 

 

“เฮ้อ...”   ฉันถอนหายใจก่อนที่จะปลดปีกของตนออกรวมทั้งพลังพรางตัวก่อนจะก้าวเดินผ่านประตูเข้าไปในหอคอยอย่างไม่เกรงกลัว     ใครคนหนึ่งยืนรอฉันอยู่อย่างเปิดเผยไปไม่น้อยกว่ากัน   ในไม่ช้าฉันก็ได้ยืนเผชิญหน้ากับใครคนนั้นเข้าจนได้    คนที่ฉันเผชิญหน้าอยู่ในขณะนี้ไม่ผิดจากที่ฉันคาดเอาไว้เลย  เดอะมิลเลอร์.....   ฉันรู้ดีว่าฉันไม่อาจหลบรอดสายตาเขาไปได้  คงมีแต่ต้องเผชิญหน้ากันตรงๆเพียงเท่านั้น

 

 

“ฉันคิดแล้วว่ายังไงเธอก็คงจะมาที่นี่จนได้”  เดอะมิลเลอร์กล่าว

 

 

“ยังต้องการหนังสืออีกหรือไง?”  ฉันพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยจนตนเองยังต้องแปลกใจ

 

 

“ตอนนี้ไม่แล้วล่ะ  หืม...ดูเหมือนเธอจะกำจัดเศษกระจกของฉันออกไปจนหมดเลยนี่”

 

 

“ใช่...”  ฉันตอบ

 

 

“ดูเธอเปลี่ยนไปนะ....ไม่มีท่าทีลังเลเหลืออยู่อีกแล้วนี่หน่า  เกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่?”

 

 

“ฉันไม่ใช่คนเดิมเหมือนคนที่นายเคยทำร้ายอีกต่อไปแล้ว”

 

 

“.....”    

 

 

“ฉันนึกว่าหลังจากเหตุการณ์นั้นฉันคงจะต้องเกลียดนายมากๆ  แต่ตอนนี้ฉันกลับไม่รู้สึกอย่างนั้น    ตอนนี้ฉันรู้สึกสงสารนายมากกว่า”

 

 

เดอะมิลเลอร์เอาแต่จ้องฉันนิ่ง

 

 

“ฉันรู้สึกได้ว่าสิ่งที่เธอทำไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการจะทำจากใจของเธอเอง    เธอกำลังถูกครอบงำอยู่ใช่ไหม...?”

 

 

“นี่...เธอ...”

 

 

“ไม่ว่านายจะเป็นใคร  เดอะมิลเลอร์....นักเวทย์ผู้แปรพักตร์หรืออะไรก็ตามแต่  อะไรกันแน่คือสิ่งที่นายต้องการจริงๆลองใช้กระจกของนายส่องดูในสิ่งที่หัวใจของนายกำลังเรียกร้องอยู่สิ!”  ฉันเอ่ย  ขณะที่รู้สึกได้ว่ากลุ่มตัวปลอมสองกลุ่มที่เหลือถูกทำลายจนสิ้นแล้ว    แสดงว่าตอนนี้เหลือแต่กลุ่มของโมโมะกับเอเรียสแล้วสินะ...

 

 

“หึหึ  เธอดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคนไปจริงๆด้วย  ดูเข้มแข็งและเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากจนน่าขนลุกเชียวล่ะ”

 

 

“ฉันเองก็ได้เรียนรู้อะไรจากหลายๆสิ่ง   นายเองก็เป็นคนหนึ่งที่สอนฉันนะ”

 

 

“ได้คำตอบแล้วงั้นเรอะ...”

 

 

“ใช่...ฉันคิดว่าฉันได้คำตอบแล้ว”  เดอะมิลเลอร์นิ่งเงียบไปจนไม่สามารถเดาความรู้สึกออก

 

 

“ตอนแรกฉันก็กะว่าจะมาเอาเศษกระจกที่เหลือออกให้เธอ         แต่ตอนนี้คงไม่จำเป็นแล้วสินะ    เธอคงมาหาดาร์คอาเธอร์ล่ะสิ....คนๆนั้นอยู่ที่ชั้นบนสุดน่ะ”  มิลเลอร์ตอบออกมาอย่างง่ายดาย

 

 

“งั้นเหรอ....” ฉันยิ้มพร้อมกับก้าวเดินออกไปข้างหน้า

 

 

แต่ทว่าขณะที่ฉันเดินผ่านเดอะมิลเลอร์นั่นเอง ฉันก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้  เรื่องที่ฉันอยากถามผู้ชายคนนี้มานานแล้ว  “นายมีชื่อไหม... คือ..ฉันไม่อยากเรียกใครว่าเดอะมิลเลอร์เลย   อยากเรียกนายด้วยชื่อมากกว่า...”

 

 

“ซาเกียร์” เขาตอบอย่างแผ่วเบา

 

 

“ลาก่อน  ซาเกียร์...”  ฉันยิ้มพร้อมออกเดินต่อไป

 

 

“เราจะได้พบกันอีกไหม?”  เขาหลุดปากถามออกไปโดยไม่รู้ตัว

 

 

ฉันชะงักเท้าแล้วจึงหันกลับมายิ้มให้ซาเกียร์อีกครั้ง    ฉันทำได้เพียงเท่านี้เองแล้วฉันจึงออกวิ่งขึ้นบันไดไปสู่ชั้นบนสุดของหอคอยปล่อยให้ชายหนุ่มยืนอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง

 

 

เดอะมิลเลอร์  เขาจ้องมองแผ่นหลังของหญิงสาวที่วิ่งจากไป  แล้วจึงยิ้มให้กับตัวเอง

 

 

“ถือว่านี่เป็นคำขอโทษแล้วกันนะ....แอนนา เบลล์” ชายหนุ่มปลดผนึกม่านเวทย์ที่เขาเสกเอาไว้ทั้งที่ครอบคลุมอาณาจักร  และหอคอยแพนดอร่าแล้วจึงหายตัวไป

 

 

“ผมกำลังจะกลับไปหาท่านแล้วนะครับ  เดอะเปเปอร์...”  ซาเกียร์ส่งจิตออกไปหาใครคนหนึ่งขณะที่หลับตาลง

 

 

 

**********

 

 

 

ฉันออกวิ่งไปสุดฝีเท้า.....เวลาเหลือไม่มากแล้ว  ตอนนี้โมโมะกับเอเรียสกำลังดึงความสนใจของพ่อมดแม่มดคนอื่นๆเอาไว้อย่างสุดความสามารถ    ถ้าพวกพ่อมดแม่มดข้างนอกนั้นเจอโมโมะกับเอเรียสล่ะก็....  ถ้าทั้งสองคนเป็นอะไรไปล่ะก็   ฉันต้องไม่ให้อภัยตัวเองแน่ๆ

 

 

บันไดเวียนนั้นนำฉันมาถึงจุดหมายปลายทางในที่สุด      ฉันหยุดวิ่งพลางมองไปรอบๆจึงรู้ว่าตนเองกำลังอยู่ในห้องโถงขนาดใหญ่   ห้องโถงนั้นมีกำแพงและเพดานที่สร้างขึ้นจากกระจกทั้งหมด   กระจกพวกนั้นไม่ใช่กระจกธรรมดาแต่เป็นกระจกสีดำ  ฉันมองไม่เห็นท้องฟ้าภายนอกแต่จากที่กะเวลาแล้วว่าตอนนี้ควรจะเป็นตอนใกล้รุ่งเช้าไม่ผิดแน่  

 

 

สุดท้ายฉันก็มองไปยังอีกฟากหนึ่งของห้องโถง   ตอนนั้นเองฉันก็ได้เห็น...พ่อมดผู้ชั่วร้ายที่เป็นตัวการของสงครามครั้งนี้   ดาร์คอาเธอร์นั่งนิ่งเป็นรูปปั้นอยู่บนเก้าอี้หรูหราของกษัตริย์    ดวงตาและผมของเขามีสีดำสนิทผิดธรรมชาติของยูโทเปียเช่นเดียวกันกับฉัน   ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะยังดูหนุ่มแน่นขนาดนี้   ดูจากใบหน้าแล้วเขาน่าจะมีอายุราว 30 ปีเท่านั้น     อย่างไรก็ตามเพียงแค่ฉันได้เห็นสีหน้าของเขา    และแววตาที่เขามองมายังฉัน  ฉันก็กลับรู้สึกขนลุกซู่ขึ้นทั้งตัวอย่างไม่มีสาเหตุ

 

 

“ผู้ถูกเลือก...”  เสียงเขาฟังดูน่าสะพรึงกลัว

 

 

“ดาร์คอาเธอร์!”  ฉันกระซิบ

 

 

ทันใดนั้นเขาก็ผุดลุกขึ้นยืนแล้วกระแทกไม้เท้าในมือลงกับพื้นอย่างแรง  วินาทีนั้นกระจกทั้งหมดภายในห้องโถงนั้นแตกกระจายจนหมดทันที

 

 

 

**********

 

 

ปล. ลงไปลงมาเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าลงจนใกล้จะจบแล้ว (เฮ้ย...อะไรกัน! 5555+)  ตอนนี้ยังมีคนตามอ่านอยู่ใช่ไหมน๊า...ขอบคุณมากๆนะที่ตามอ่านกันมาถึงขนาดนี้   แล้วพบกันใหม่บทหน้าจ้า...

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
6.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา