Tale of Utopia

6.9

เขียนโดย The_Paper

วันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 เวลา 18.12 น.

  15 บท
  8 วิจารณ์
  19.50K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2556 12.54 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

11) บทที่ 10 จิตวิญญาณแห่งยูโทเปีย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

หมายเหตุ : พอดีบทนี้มีเพลงประกอบด้วย (Insert Song) มันจะเล่นอัตโนมัติ (ไม่ชอบเลย  แต่ใส่ลิงค์ให้ไปกดเล่นเองไม่เป็นอ่ะจ๊ะ -*-)  หากเป็นการรบกวนก็ขออภัยด้วยเนอะ (เผื่อกำลังฟังเพลงอื่นอยู่ 5555)  แต่อยากให้ลองฟังกันดู  ขอบใจมากจ้า ^^

 

บทที่ 10 จิตวิญญาณแห่งยูโทเปีย

 

 

วันงานเฉลิมฉลอง

 

ฉันนั่งอยู่หน้ากระจกเพียงลำพังพลางเฝ้ามองภาพสะท้อนของตนเองอย่างเหม่อลอย  ฉันจะทำได้ไหมนะ... สิ่งที่มารีนแนะนำมามันดีแน่แล้วหรือ   แต่มาถึงจุดนี้แล้ว  ยังไงๆก็ต้องทำให้เต็มที่แล้วละสินะ     ฉันหลับตาลงพร้อมกับรวบรวมสมาธิ  ชั่วไม่นานพลังก็ก่อตัวขึ้นภายในร่างกายของฉัน    ฉันไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัดสินใจทำในครั้งนี้จะดีหรือเปล่า   แต่ตอนนี้ฉันพร้อมแล้วที่จะปลดปล่อยตนเองในค่ำคืนนี้

 

 

ระหว่างนั้นการแสดงของเหล่าภูตก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว  พวกภูตกำลังร่วมกันร้องเพลงประสานเสียง  มันเป็นเพลงที่ไพเราะมากทีเดียวฟังดูเหมือนกับบทสวดอะไรสักอย่าง  มารีนบอกกับฉันว่าเพลงที่พวกภูตร้องเป็นเพลงที่ร้องขึ้นในทุกปีในวันนี้  เป็นเพลงที่มีความหมายว่าขอบคุณเอสคาราสที่คอยปกป้องคุ้มครองและมองพลังให้กับยูโทเปียมานานแสนนาน   และจากนี้เรื่อยๆไป

 

 

ต่อจากนั้นเป็นการแสดงของเอเรียส  เขาแสดงความสามารถของตัวเองด้วยการใช้สมุนไพร   สิ่งที่เขาทำมีเพียงแต่แจกชาให้กับทุกคนเท่านั้นเอง  ชานั้นแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีสี  แต่พอจิบคำแรกก็รู้สึกอบอุ่นกลิ่นหอมอ่อนๆของมันทำให้ฉันรู้สึกราวกับกำลังล่องลอยอยู่ในสรวงสวรรค์เลยทีเดียว   ดูเหมือนว่าความสามารถทางด้านสมุนไพรของเขาทำให้ทุกคนประทับใจไม่มากก็น้อย

 

 

ตามมาด้วยการแสดงของโมโมะ  โมโมะใช้สิ่งที่ตนเองถนัดนั้นคือ เวทย์ไฟ  มันพ่นลูกไฟขนาดใหญ่ออกมาก่อนที่จะใช้หางของมันเองทำให้เปลวเพลิงเหล่านั้นเปลี่ยนรูปกลายเป็นรูปร่างของสัตว์ชนิดต่างๆได้อย่างน่าอัศจรรย์  การแสดงนั้นจบท้ายด้วยพุไฟที่แสนสวยงามและตระกาลตา   เสียงปรบมือดังกึกก้องทันทีที่มันแสดงจบ

 

 

ส่วนชิน....เขาใช้พลังเงาของเขาพาร่างของตนไปยังกลางลานแสดงอย่างฉับไว   หลังจากนั้นเขาก็เสกร่างเงาลอกเลียนแบบร่างของตนเองขึ้นมาหลายสิบตน    ร่างแปลงทั้งหมดชักดาบแล้วเข้าโจมตีร่างจริงในทันที   ชินตัวจริงกวัดแกว่งดาบด้วยท่วงท่าที่สง่างาม   แม้ว่าเขากำลังต่อสู้อยู่แต่กลับดูราวกับว่าเขากำลังเต้นรำอยู่มากกว่า   ในไม่ช้าชินตัวจริงก็เป็นฝ่ายชนะ   เขาจบท้ายการแสดงของเขาด้วยการปักดาบลงกับพื้น  เงาสีดำขนาดใหญ่แผ่ครอบคลุมไปทั่วบริเวณ  ก่อนที่จะมีใครรู้ตัวดอกไอริสก็ร่วงโรยลงมาจากท้องฟ้าจนนับไม่ถ้วน   ชินโค้งคำนับตอนนั้นเองดอกไอริสที่ชินเสกขึ้นจึงค่อยๆเลือนหายไป  เสียงปรบมือนั้นดังไม่น้อยไปกว่าของโมโมะ และเอเรียสแล้ว    

 

 

การแสดงของทั้งสามจบลงแล้ว  ในขณะที่ใจของฉันเต้นรัว....การแสดงชุดต่อไปก็ถึงเวลาของฉันแล้วสินะ

 

 

ชั่วขณะนั้นเองความเงียบงันก็เข้ามาครอบคลุมสถานที่แห่งนั้นทันที  ดูเหมือนทุกคนกำลังตั้งตารอคอยบางสิ่งอยู่  การแสดงชุดต่อไป...  การแสดงของผู้ถูกเลือก   ชินเองก็มองไปที่ลานแสดงตาไม่กระพริบเช่นเดียวกัน   เขาไม่ได้เห็นเธอมาหลายสัปดาห์แล้ว  ช่วงหลังดูเหมือนแอนน์จะทำท่าห่างเหินเขาแบบแปลกๆ  

 

 

เธอสบายดีหรือเปล่านะ.....เรื่องที่เธอไม่สบายใจ  ตอนนี้หายกังวลแล้วหรือยัง?   ดูเหมือนแอนน์จะมีเรื่องบางอย่างกำลังปิดบังเขาอยู่   มาถึงวันนี้เธอพร้อมที่จะบอกเขาแล้วหรือยัง?

 

 

“ฉันคิดถึงเธอนะ...แอนน์”

 

 

ทันใดนั้นเสียงกระดิ่งก็ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ  ภูตสาวคนหนึ่งเดินนำร่างที่อยู่ในผ้าคลุมสีขาวบางมายังกลางลานแสดง    ผ้าคลุมสีขาวนั้นทำให้ไม่มีใครสามารถเห็นใบหน้าของหญิงสาวได้ชัดเจนนัก  ภูตสาวตนนั้นสั่นกระดิ่งพร้อมๆกับเดินไปรอบๆร่างของหญิงสาว  ในที่สุดเธอก็หยุดสั่นกระดิ่ง   ดนตรีจึงเริ่มบรรเลง

 

 

ผ้าคลุมสีขาวถูกดึงออกไปอย่างแผ่วเบา   ผมสีเงินเป็นประกายระยิบระยับเพราะสะท้อนกับแสงของจันทราดูงดงามราวกับภาพนิมิต       ชินจ้องมองไปที่ร่างนั้นอย่างตกตะลึง   เธอนั้นเอง...ถึงสีผมจะเปลี่ยนไปเขาก็ยังคงจำเธอได้เป็นอย่างดี   เธออยู่ในชุดราตรีกระโปรงยาวสีขาวดูพลิ้วไหว   บริเวณหน้าอกถูกประดับด้วยโลหะสีทองแกะสลักลวดลายสวยงาม   มีผ้าบางส่วนปลิวไสวออกมาจากทางด้านหลังของเธอเมื่อสายลมพัดมาหาตัวเธออย่างแผ่วเบา  ทันใดนั้นเธอก็ลืมตาขึ้น....ตาของเธอก็เปลี่ยนสีด้วย  ดวงตาสีฟ้าสดใสของเธอประสานกับดวงตาของชายหนุ่มในทันที

 

 

*“ลองเงี่ยฟังดูสิ....เธอจะได้ยินเสียงที่อยู่ไกลแสนไกล 

เสียงใครสักคน  ฮัมเพลงที่แสนจะน่าประหลาดใจ

เสียงนั้น  เหมือนดั่งเสียงศักดิ์สิทธิ์  เหมือนดั่งความฝัน

ดังนั้นให้ฉันได้หลับท่ามกลางพวกมันเถอะนะ เสียงของหญิงสาวสะท้อนก้อง  มันช่างไพเราะจับใจตรึงทุกสายตาเอาไว้  ความรู้สึกนี้ตราตรึงทุกสิ่งราวกับจะทำให้เวลาของโลกใบนี้หยุดเดิน 

 

 “ทำไมโลกนี้ถึงได้มีแต่ความขัดแย้ง   ทำไมถึงมีแต่ความไร้น้ำใจกันนะ?” อย่างไม่คาดคิดร่างของหญิงสาวอีกคนก็ปรากฏตัวขึ้น   นั้นคือแอนนานั้นเอง   แอนน์คนนี้อยู่ในชุดพื้นเมืองที่เขาคุ้นตามาโดยตลอด  เธอร้องเพลงต่อจากแอนน์ในชุดราตรีสีขาวที่ยืนอยู่ก่อนหน้านั้นได้อย่างแนบเนียน

 

 

ไม่ทันไรร่างของแอนน์ในชุดวันงานเต้นรำที่เดอะลาสต์เดสติเนชั่นก็ปรากฏตัวขึ้นแล้วร้องเพลงนั้นต่อด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน 

 

 

“ยามอาทิตย์อัสดง  ที่สองเราเฝ้าตลอดมา ที่เมฆสีแดงสดนั้น....”

 

 

“แต่บัดนี้กลับอยู่เคียงข้างฉันไม่ได้อีกแล้ว...” แอนน์ปรากฏตัวขึ้นอีกคนในชุดที่แปลกตาไปกว่าชุดอื่นๆ    แว่บแรกชินเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ   แต่เพียงชั่วครู่เดียวเขาก็นึกออกว่ามันคือชุดที่แอนน์ใส่ติดตัวมาจากบ้านเกิดของเธอนั้นเอง  เธอผู้นั้นปรากฏกายขึ้นพร้อมกับก้าวเข้ามาร่วมร้องเพลงด้วยอีกคน

 

 

และแล้วแอนน์ทั้ง 4 คนร่วมร้องเพลงไปพร้อมๆไป

 

 

“ยามที่สายฝนสีเงินโปรยปรายลงมา

มันทำให้ฉันคิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของตัวเอง และทำให้น้ำตาไหลริน 

ฝนดาวตกที่แตกกระจายร่วงหล่นลงมา  สัมผัสกับตัวเธอ กับไหล่ของเธอ นั้นคือ Amrita”

 

 

ณ ตอนนั้นเองแอนน์ในภาพอดีตทั้งสามก็ค่อยๆเลือนหาย    แอนน์ที่มีผมสีเงินหายไปเป็นคนสุดท้าย    ภาพที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าเขาก็คือภาพของหญิงสาวที่กำลังนั่งอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือ      เขาไม่เคยเห็นบ้านเธอมาก่อน  นั้นเองหรือบ้านของเธอ..... 

 

 

 

 

“หัวใจของเธอคงสามารถรับรู้ถึงยามค่ำคืนได้  เมื่อโลกของเรากำลังร้องไห้”     เธอร้องเพลงในขณะที่เดินไปยังประตูสู่ยูโทเปีย

 

 

“ถ้าบาดแผลนั้นทำร้ายเธอ....” ภาพเปลี่ยนไปเป็นภาพของแอน์ในชุดพื้นเมืองที่กำลังเดินไปในทุ่งพีโอนี....  และช่วงเวลาที่เธอยู่บนเรือในมิดไนท์ 

 

 

“และพุ่งความปรารถนาของเธอออกไปราวกับธนูไปยังฟากฟ้า”  ณ ตอนนี้แอนน์กลับยืนอยู่บนกระดาษจรวดที่บินท่องไปในยามราตรี

 

 

“ยามที่สายฝนสีเงินโปรยปรายลงมา มันทำให้ฉันคิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของตัวเอง” แอนน์ในชุดราตรีสีขาวกำลังร้องเพลงอยู่ที่ระเบียงของปราสาทเดอะลาสต์เดินติเนชั่น

 

 

“ได้โปรดหยุดการไหลของเวลาด้วยเถิด” กลีบของดอกไอริสปลิวไปทั่ว  ในขณะที่หญิงสาวนั่งชันเข่าร้องเพลงอยู่ในทุ่งดอกไอริสเพียงลำพัง

 

 

ภาพของเอสคาราสผุดขึ้นมา  แอนน์ยืนอยู่ตรงภายในห้องหนังสือที่บรรจุความทรงจำทั้งหมดของยูโทเปียเอาไว้ 

 

 

“เสียงของสายฝนดังกึกก้องไปจนถึงขอบฟ้า มีบางอย่างที่ยังคงแน่นอนในวันเหล่านั้น  นั้นคือ Amrita”

 

 

เสียงดนตรีดังขึ้น  ขณะนั่นเองพลังของหญิงสาวก็ทำให้ชินได้เห็นภาพของอดีตที่เขาและเธอมีร่วมกัน   ภาพที่เขาและเธอเจอกันเป็นครั้งแรก    ภาพที่แอนน์เอื้อมมือไปรับไวท์ลีฟ   ภาพที่เธอวิ่งไปตามชั้นหนังสือด้วยใบหน้ากังวลใจ    ภาพของแคทเธอรีน  อาเรน  เอเรียส โมโมะและเขา   เขาเห็นเงาเลือนรางของคน 2 คนในทุ่งดอกไอริส   ชั่วขณะนั้นชินเบิกตากว้าง  ฉับพลันภาพก็พลันเปลี่ยนไปเป็นภาพที่แอนน์ยืนอยู่ในโบสถ์ร่างกายของเธอ  และภายในโบสถ์เต็มไปด้วยเลือด   มือจ่อดาบไปที่ผู้รอดชีวิตคนสุดท้าย   เขาประสานสายตากับแอนน์ที่หน้าเปื้อนเลือดนั้น   พอรู้ตัวอีกทีเขากลับกำลังประสานตากับแอนน์ที่อยู่ในเวลาปัจจุบันเสียแล้ว

 

 

หญิงสาวเสกกระดาษขึ้นนับไม่ถ้วน กระดาษเหล่านั้นวนไปรอบๆตัวของเธอ  แล้วแอนน์ที่ยืนตรงหน้าเขาก็เปล่งเสียงร้องเพลงออกมาอีกครั้ง  ชินไม่อยากจะเชื่อว่าแอนน์จะกลับมาใช้พลังได้อีกครั้งอย่างสมบูรณ์แบบถึงขนาดนี้  ราวกับว่าเธอเกิดใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง  เหมือนกับเอสามารถเริ่มต้นใหม่ได้อีกครั้ง

 

 

“ยามที่สายฝนสีเงินโปรยปรายลงมา

มันทำให้ฉันคิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของตัวเอง และทำให้น้ำตาไหลริน 

แล้วกลายเป็นสายฝนโปรยปรายลงบนตัวเธอ  นั้นคือ Amrita”

 

 

เธอเคลื่อนไหวไปรอบๆเหมือนกำลังเต้นรำ   เมื่อสิ้นเสียงเพลงมือทั้งสองข้างของเธอก็ประสานกันอยู่ที่หน้าอก   กระดาษเหล่านั้นหยุดยิ่งอยู่ชั่วขณะก่อนที่จะเคลื่อนไหวกลายเป็นผีเสื้อบินไปในท้องฟ้ายามราตรี   แสงประกายระยิบระยับลอยละล่องไปในอากาศเช่นเดียวกัน 

 

 

วินาทีนั้นเศษกระจกก็พลันสลายออกจากร่างของหญิงสาวไปจนหมดสิ้นแล้ว.....

 

 

ทุกคนเงียบกริบเหมือนกำลังเข้าสู่ภวังค์ไปชั่วขณะ   แต่แล้วองค์ราชินีก็เป็นคนปรบมือขึ้นเป็นคนแรก  หลังจากนั้นทุกคนจึงพากันปรบมือตาม   จนในที่สุดเสียงปรบมือก็ดังกึกก้องไปทั่วและยาวนานยิ่งกว่าการแสดงของผู้ใด   เสียงของหญิงสาวดูเหมือนจะเข้าไปถึงในใจของทุกๆคน   

 

 

ชินเห็นเธอยิ้ม....เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเธอยิ้มแบบนี้  ยิ้มมาจากใจหลังจากที่เกิดเรื่องในคืนวันนั้น   เธอก้มตัวลงทำความเคารพก่อนที่จะเดินจากไปเงียบๆ

 

 

 

**********

 

 

 

“ภาพพวกนั้น....”   ชินพึมพำ

 

 

“แอนน์ร้องเพราะสุดๆไปเลยว่าไหม” โมโมะที่อยู่ข้างๆร้องขึ้นอย่างชื่นชม

 

 

“โมโมะ...ภาพเมื่อกี๊..”

 

 

“ภาพอะไรงั้นเหรอชิน”  มันทำท่าทางสงสัย   ชินขมวดคิ้วดูเหมือนจะไม่มีใครเห็นภาพนั้นเลย  แล้วเขาก็ตระหนักได้ว่านั้นเป็นภาพที่เธอตั้งใจจะให้เขาได้เห็นแต่เพียงผู้เดียว

 

 

งานในค่ำคืนนั้นจบลงด้วยความประทับใจ   ชินเดินตามหาแอนน์ไปทั่ว แต่กลับไม่พบ  ในที่สุดก่อนที่เขาจะตัดใจ เขาก็ออกไปเดินนอกบริเวณที่จัดงานสังสรรค์กันอยู่    ในที่สุดเขาก็พบเธอ....แอนน์ยังคงอยู่ในชุดสีขาวที่แสนงดงามนั้น  เธอนั่งอยู่บนชิงช้าธรรมชาติใกล้ๆกับธารน้ำที่กำลังไหลเอื่อยๆด้วยท่าทางผ่อนคลาย

 

 

ฉันทำอะไรลงไปนี่...  ฉันถอนหายใจเบาๆ    ทั้งๆที่ฉันสัญญากับแคทเธอรีนไปแล้วแท้ๆนะ  ต่อจากนี้ฉันจะกล้าไปพบหน้าชินได้ยังไงกัน

 

 

“นั่งคิดอะไรอยู่...”  เสียงของชินดังขึ้นเบื้องหลังฉัน  ทำให้ฉันสะดุ้งตกใจจึงรีบลุกยืนอย่างไม่ทันตั้งตัวนาทีนั้นเองที่รากไม้ที่ขวางทางอยู่ทำให้ฉันเสียหลัก   ชินรีบพุ่งเข้ามารับตัวฉันเอาไว้ทันที   พอฉันรู้ตัวอีกทีก็พบว่าตนเองกำลังอยู่ในอ้อมแขนของชินซะแล้ว

 

 

“ระวังหน่อยสิ  ซุ่มซ่ามไม่เปลี่ยนเลยนะ”  ชินพูดพร้อมกับพยุงฉันให้ยืนขึ้น  แต่ยังคงไม่คลายวงแขนออก

 

 

“....”  ฉันเงียบ   ไม่รู้จะพูดว่าอะไรดี

 

 

“เธอสวยมากเลยนะ” อยู่ดีๆชินก็ก้มลงมากระซิบที่ข้างหูของฉัน  พร้อมกับเอามือมาแตะผมสีเงินของฉันเบาๆ

 

 

“แปลกไหม....ผมกับสีตาฉันเปลี่ยนก็เพราะไอเวทย์ที่นี่...”

 

 

“ไอเวทย์ที่นี่บริสุทธิ์มันจะเผยความจริงทุกสิ่ง”  ชินกระซิบ

 

 

“ชินคือ....”

 

 

“ภาพที่ฉันเห็น  มันคือความทรงจำของเราใช่ไหม?”   ขินเอ่ยขึ้นแบบไม่อ้อมค้อมอีกต่อไป

 

 

ฉันนิ่งเงียบ ฉันไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว

 

 

“แอนน์…” เขาเอามือมาเขี่ยแก้มของฉันเบาๆ  ฉันแทบจะรู้สึกถึงไออุ่นของลมหายใจชินที่อยู่ห่างไปไม่ถึงคืบ  เขายังคงไม่ยอมปล่อยฉัน

 

 

“ฉันไม่เป็นไรแล้วล่ะ”  ฉันพูดพร้อมกับยิ้ม  ชินยิ้มตอบฉันแล้วจึงค่อยๆคลายอ้อมแขนออก  ฉันเขยิบตัวห่างออกมาจากชิน  พร้อมกับมองไปที่เขา  เขาดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นกว่าครั้งแรกที่ฉันพวกเขามากมาย  พอได้มองดูเขาแบบนี้ฉันก็รู้สึกเหมือนยิ่งห่างไกล  ชินจะต้องเป็นเจ้าชายที่ดีได้แน่ๆ  และจะต้องเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่อีกด้วย

 

 

“ไว้ร้องเพลงให้ฉันฟังบ่อยๆสิ  ได้ไหม...”

 

 

“อืม”

 

 

“นี่เรื่องในคืนงานเต้นรำน่ะ  ที่ทุ่งดอกไอริส.....”

 

 

“ช่างเถอะ  ไม่มีอะไรหรอก”  ฉันไม่กล้ารอให้เขาพูดจบประโยค

 

 

“งั้นเหรอ”  น้ำเสียงของชินฟังดูเศร้า  นั้นพลอยทำให้ฉันรู้สึกเศร้าไปด้วย  ฉันหันหลังให้ชินแล้วจึงเดินจากไป

 

 

ทันใดนั้นมือของชินก็มากำข้อมือของฉันเอาไว้แน่น   ก่อนที่ฉันจะร้องบอกอะไรเขาก็ดึงฉันให้เข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขาอีกครั้ง   เขาไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว ชินก้มลงมาจูบฉัน  ช่วงเวลานั้นฉันรู้สึกเหมือนได้กลิ่นของไอริส  มันกำลังผลิบานอยู่รอบๆตัวของเรา  กึ่งจริงกึ่งฝันอย่างน่าประหลาด   ฉันพริ้มตาหลับลงและรู้สึกเลื่อนลอย   จูบครั้งนี้อ่อนหวานและยาวนานยิ่งกว่าครั้งก่อน   ฉันรู้สึกไปเองหรือเปล่า....แต่ฉันกลับรู้สึกว่าได้ปลดปล่อยภาระอะไรที่หนักอึ้งอยู่ในใจฉันมานานออกไปได้อีกอย่างหนึ่ง  ฉันอยากจะเก็บความรู้สึกดีๆในวินาทีนี้เอาไว้ไปชั่วนิรันดร์   เมื่อชินถอนริมฝีปากออก...เราทั้งสองก็ยังคงไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกแม้แต่คำเดียว  

 

 

ฉันไม่ได้ถามว่าทำไมเขาจึงทำเช่นนั้น  เขาก็ไม่ได้ถามว่าทำไมฉันถึงไม่ขัดขืนเขา    ฉันจำไม่ได้ว่าเมื่อไหร่ที่ฉันผล็อยหลับไปในอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นนั้น...หลับไปด้วยความอ่อนเพลียในที่สุด

 

 

ตอนเช้าฉันก็พบว่าตัวเองอยู่บนเตียงซะแล้ว   ฉันจำไม่ค่อยได้เท่าไหร่ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกันแน่   หลังการแสดงฉันได้พบกับชินตามลำพัง  แล้วเราก็...

 

 

ตอนนั้นเองฉันก็เหลือบไปมองบนโต๊ะจึงเห็นดอกไอริสวางสงบนิ่งอยู่พร้อมกับกระดาษที่มีข้อความเขียนไว้ว่า

 

 

“อรุณสวัสดิ์ เจ้าหญิง...”  ฉันอมยิ้ม  เมื่อคืนไม่ใช่ความฝันละสินะ

 

 

ฉันหยิบดอกไอริสขึ้นมาสูดกลิ่น 

 

 

“ยังไงเสียฉันก็เป็นผู้ถูกเลือก   ฉันจะต้องสู้เพื่อยูโทเปีย  เพื่อทุกคน  เพื่อคนที่ฉันรัก  ถึงแม้ว่าฉันจะต้องจากที่นี่ไปตลอดกาลก็ตาม   ขอบใจนะชินที่มอบความเข้มแข็งให้กับฉัน”

 

 

หลังจากค่ำคืนนั้นฉันก็รู้สึกเหมือนกับเป็นคนใหม่   ฉันไม่ได้ฝันร้ายอีกแล้ว....แน่นอนว่าไม่ได้ฝันถึงชั้นวางหนังสือพวกนั้นอีกต่อไปแล้วด้วย     ในเมื่อยังไม่ถึงเวลาฉันก็ไม่ควรที่จะไปกังวลกับมันแล้วละสินะ       ตอนนี้ฉันพร้อมที่จะเปิดรับทุกสิ่งแล้วจริงๆ   ฉันรู้สึกถึงความเป็นตัวของตัวเองมากกว่าครั้งใด   อาการอ่อนเพลียและบาดแผลทางจิตใจที่สร้างความเสียหายเรื้อรังมานานดูเหมือนจะมลายหายไปสิ้นแล้ว       ในทุกๆวันฉันมักจะออกบินไปด้วยจรวดกระดาษของฉันเพียงลำพังเสมอ  สายลมที่พัดผ่านร่างของฉันไปเหมือนกับกำลังเติมพลังให้กับฉันในทุกช่วงลมหายใจ

 

 

ฉันกลับมามั่นใจที่จะใช้พลังของตนอีกครั้ง   รู้สึกดียิ่งกว่าครั้งไหนๆที่ได้บินไปบนท้องฟ้าด้วยตนเองได้อีกครา  เดอะเปเปอร์คนก่อนจะเป็นใครเกิดอะไรขึ้น....ฉันไม่อยากที่จะเก็บมาคิดอีก   ตอนนี้ฉันก็คือฉัน....  ฉันคือเดอะเปเปอร์เหมือนกัน   และฉันจะไม่มีวันเลือกทางผิดเหมือนกับที่ทุกคนกลัวอย่างแน่นอน 

 

 

ในเวลาว่างฉันก็เข้าไปอ่านหนังสือภายในเอสคาราสอยู่เสมอ   อยู่ที่นี่แล้ว.....ฉันรู้สึกเหมือนอยู่ที่บ้านอีกครั้งหนึ่งเลยทีเดียว  หนังสือล้อมรอบตัวฉันอยู่มันกำลังรอให้ฉันเปิดมันอ่าน    กลิ่นไอของหนังสือนับพันยังคงทำให้ฉันตื่นเต้นได้ทุกครั้ง

 

 

“แอนน์นี่ชอบอ่านหนังสือจริงๆเลยนะ”  มารีนมักจะหาฉันเจอที่เอสคาราสอยู่เสมอๆ

 

 

“มารีนละ ไม่ชอบอ่านหนังสือเหรอ?”

 

 

“ฉันชอบฟังมากกว่า  ว่าแต่เธอดูเปลี่ยนไปนะแอนน์  ดูร่าเริงกว่าแต่ก่อนตั้งเยอะ...” มารีนยิ้มแบบมีเลศนัย  “หรือว่าความรักกำลังผลิบานกันจ๊ะ  ที่ฉันแนะนำไปน่ะได้ผลไหม?”

 

 

“ไม่ใช่เพราะเรื่องนั้นหรอกคะ”  ฉันหัวเราะ  ทั้งๆที่ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันอาจจะทำได้แค่เพียงฝืนยิ้มเท่านั้นเอง

 

 

“เหรอ  งั้นเพราะอะไรกันนะ?”

 

 

“นั้นสิคะ”

 

 

“ตัดสินใจได้แล้วใช่ไหมล่ะ?”

 

 

“เอ๊ะ!”

 

 

“เธอน่ะ เลือกทางเดินที่เป็นของตัวเองได้แล้วสินะ”

 

 

“คะ ฉันเลือกแล้ว” ฉันยิ้ม  มารีนยิ้มพร้อมกับบีบมือของฉันเอาไว้เหมือนจะให้กำลังใจ  ฉันบีบมือเธอตอบ

อย่างไรก็ตามวันเวลาแห่งความสงบสุขนั้นคงอยู่ไม่นาน  เวลาที่โอเวอร์โซลผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับติดปีกบิน  ในที่สุดข่าวของอาเรนก็ถูกส่งมาถึง...

 

 

 

**********

 

 

 

“การรบมาถึงขั้นแตกหักแล้ว  ทั้งทางฝ่ายอาเรนและดาร์คอาเธอร์ต่างก็กำลังเตรียมทัพครั้งใหญ่เพื่อการรบครั้งสุดท้ายอยู่  ศึกตัดสินแพ้ชนะอยู่ที่ศึกครั้งหน้านี่แหละ  เพราะตอนนี้ทั้งสองฝ่ายต่างก็เสียหายไปไม่น้อยเลย”  ชินพูดเสียงเครียด

 

 

“อาเรนปลอดภัยดีใช่ไหม?” ฉันถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง

 

 

“อืม  หมอนั่นไม่เป็นไรง่ายๆหรอก”

 

 

“แล้วเจ้าชายอาเรนต้องการให้พวกเราทำอย่างไรต่อไปหรือครับ?”  เอเรียสเอ่ยถาม

 

 

“เท่าที่ผ่านมาทำให้อาเรนแน่ใจว่าดาร์คอาเธอร์จะไม่มีทางออกรบด้วยตนเอง  เขาจะไม่ยอมออกจากปราสาทเด็ดขาด....”  ชินเอ่ยเสียงเครียด

 

 

“อาเรนคงจะบอกว่าให้พวกเราอาศัยจังหวะช่วงที่ต่างฝ่ายต่างพาทหารไปออกรบ  แล้วพวกเราค่อยลอบเข้าไปภายแพนดอร่าโดยอาศัยช่วงจังหวะนั้นล่ะสินะ”    ฉันเป็นคนพูดต่อแทนชิน    ทำเอาทุกคนหันมามองฉันอย่างแปลกใจ

 

 

“แอนน์......นี่เธอ”

 

 

“มาถึงสักทีสินะ” ฉันรำพึงขึ้น  จะได้พบกันแล้วสินะ....ดาร์คอาเธอร์

 

 

“แอนน์หมายความว่าเธอ....” โมโมะหันมาถาม

 

 

“อื้ม  ฉันจะสู้!” ฉันพูดพร้อมกับลุกยืนขึ้น “ตอนนี้ฉันรู้แล้วล่ะว่าสิ่งที่ฉันทำได้มันคืออะไรกันแน่”

 

 

“ไม่ต้องห่วงพวกเราจะไปกับเธอด้วย” ชินพูดขึ้น

 

 

ฉันพยักหน้า  พวกเขาไม่มีทางตามฉันขึ้นไปถึงจุดนั้นได้หรอก  การต่อสู้นั้นมีเพียงฉันกับดาร์คอาเธอร์เท่านั้น    ความฝันเมื่อคืนที่ฉันฝันเห็นอนาคตบอกฉันไว้เช่นนั้น....  แต่ฉันไม่คิดที่จะบอกเรื่องนี้กับใครหรอกนะ

 

 

“เอเรียส  ฉันคิดว่าท่านไม่ควรไปร่วมกับเรานะ ท่านน่ะ...”

 

 

“ถึงผมจะเป็นแพทย์ แต่ก็ใช้อาวุธได้คล่องนะ  ผมเก่งเรื่องธนูมากรับรองฝีมือได้เลย”  เอเรียสพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น 

 

 

“ท่านอย่าห้ามผมให้เสียเวลาเลยดีกว่าเจ้าชาย  ยังไงผมก็จะไปด้วยให้ได้!” ชินที่ตอนแรกคิดจะขัดขวางจึงต้องชะงักงันไป

 

 

“เราจะออกเดินทางกันเมื่อไหร่?”  โมโมะถาม

 

 

“พรุ่งนี้เช้าเลย” ชินตอบ

 

 

คืนสุดท้ายที่โอเวอร์โซลนั้นองค์ราชินีได้เรียกทุกคนไปพบเป็นการส่วนตัวทีละคนเพื่อที่จะมอบของขวัญก่อนออกเดินทางให้      เอเรียสได้รับตำหรับยาของเหล่าภูตเป็นของขวัญ        และเมล็ดพืชที่สามารถปลูกได้ทุกหนทุกแห่งอีกถุงหนึ่ง  โมโมะได้รับกำไลสำหรับสวมที่ข้อเท้าทั้งสี่ มันทำขึ้นจากฝีมือของเหล่าภูต  อัญมณีสีแดงที่ประดับอยู่ทำให้โมโมะดูสง่างามขึ้น  นอกจากนั้นสิ่งนี้ยังจะทำให้โมโมะใช้พลังได้ทรงอานุภาพมากขึ้นอีกด้วย

 

 

ชินได้รับดาบเล่มใหม่   เขากล่าวขอบคุณไม่หยุดเพราะดาบเล่มนั้นเป็นดาบที่ถูกตีขึ้นมาเป็นอย่างดีและมีความงดงามอย่างที่สุด  จุดเด่นที่สุดของดาบก็คืออัญมณีที่ประดับไว้มีสีเช่นเดียวกับสีตาของชิน  ชินกวัดแกว่งดาบใหม่ด้วยความพอใจ  และในที่สุดฉันจึงถูกเรียกเข้าไปพบเป็นคนสุดท้าย 

 

 

“สำหรับเจ้าดูเหมือนจะพิเศษกว่าคนอื่นอยู่สักหน่อย” องค์ราชินีพูดพร้อมกับมอบถุงกำมะหยี่เล็กๆใบหนึ่งให้กับฉัน  ฉันรับมันมาไว้ในมือรับรู้ถึงน้ำหนักของของบางอย่างที่อยู่ภายใน  แต่ฉันไม่สามารถบอกได้ว่ามันคืออะไร

 

 

“ข้าอยากให้เจ้าเอ่ยคำสาบานต่อข้า  เมื่อเจ้ารับของสิ่งนี้ไป..”

 

 

“ได้คะ”

 

 

“เจ้าจะต้องห้ามเปิดออกดูเด็ดขาดว่าภายในมีอะไรอยู่จนกว่าจะถึงเวลา”

 

 

“เวลาอะไรคะ”

 

 

“เจ้าจะรู้เอง  และเจ้าห้ามให้ใครเห็นของสิ่งนี้ หรือนำมันไปให้ใครเด็ดขาด”

 

 

ถึงข้อนี้ฉันทำหน้าสงสัย “แม้แต่...”

 

 

“ใช่ แม้แต่ชิน โมโมะ เอเรียสหรือว่าใครก็ตาม..”องค์ราชินีพูดอย่างหนักแน่น  ฉันนิ่งไปครู่เดียวก่อนที่จะพยักหน้า

 

 

“ฉันสาบานคะ”

 

 

“อย่ากังวลไปเลย  สิ่งนี้เอสคาราสเป็นคนประทานมาให้เจ้า”

 

 

“เอสคาราส!”  ฉันประหลาดใจ

 

 

องค์ราชินีพยักหน้า  แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก “และต่อไปคือของขวัญจากข้า” องค์ราชินียื่นมือมาเบื้องหน้า  ทันใดนั้นจี้ไวท์ลีฟก็สั่นแล้วค่อยๆลอยออกจากใต้เสื้อของฉัน

 

 

“มันจะคอยคุ้มครองเจ้าตลอดไป           และนำให้เจ้าได้พบแต่สิ่งดีๆ”      นางประทับริมฝีปากลงบนจี้ไวท์ลีฟนั้น  ตราสัญลักษณ์ที่เป็นรูปดาวหกแฉกของเดอะลาสเดสติเนชั่นหายไปในทันที       ก่อนที่บนไวท์ลีฟจะกลับมีสัญลักษณ์เป็นต้นเอสคาราส...สัญลักษณ์แห่งโอเวอร์โซลปรากฏอยู่แทน

 

 

“มันจะเป็นแสงสว่างเมื่อยามที่ทุกสิ่งมืดมิด....”

 

 

“ขอบคุณมากนะคะ” ฉันรับสร้อยนั้นคืน “ขอบคุณสำหรับทุกๆสิ่ง”

 

 

องค์ราชินีสวมกอดฉันอย่างแนบแน่นก่อนที่จะคลายออก  พระนางกระซิบที่ข้างหูของฉันว่า “ทุกอย่างจะลงเอยด้วยดี”

 

 

อาหารเย็นวันนี้ทุกคนต่างถามกันเป็นเสียงเดียวว่าฉันได้รับของขวัญอะไรจากราชินี      ฉันจึงดึงสร้อยออกมาให้ทุกคนดู  เอเรียสบอกว่าคล้ายกับใบไม้ในตำนานมาก  ทุกคนตื่นเต้นกันใหญ่  ฉันกล่าวขอบคุณ     ตลอดงานนั้นฉันไม่ได้เอ่ยถึงสิ่งที่เอสคาราสมอบมาให้ฉันเลย

 

 

เมื่อพระอาทิตย์ฉายแสงออกมาเป็นแสงแรกของวัน  ฉันและคนอื่นๆก็พร้อมสำหรับการเดินทางแล้ว

 

 

“ขอโทษนะที่พวกเราไปส่งได้ถึงเท่านี้เอง” มารีนกล่าวกับฉัน

 

 

“แค่นี้ก็ขอบคุณมากแล้วล่ะ  ขอบคุณมากนะมารีน”

 

 

“ฉันจะคิดถึงเธอ  ที่จริงฉันอยากไปกับเธอนะ  แต่พี่บอกว่ายังไม่ถึงเวลานี่น่ะสิ..” ฉันทำหน้าสงสัย แต่ไม่ทันจะถามอะไรองค์ราชินีก็เดินทางมาถึงแล้ว

 

 

“ลาก่อนผู้ถูกเลือก  ลาก่อนเจ้าชายแห่งฟรีดอม  ลาก่อนโมโมะจิ้งจอกเก้าหางผู้องอาจ  ลาก่อนเอเรียส  ท่านจะต้องได้ช่วยคนอีกจำนวนมากแน่ๆในอนาคต”

 

 

“ลาก่อน” ฉันพูด

 

 

“แล้วเจอกัน” มารีนโบกมือลา ฉันจึงได้แต่โบกมือลาตอบ

 

 

ลาก่อนเอสคาราส...สุดท้ายฉันก็บอกลามันด้วยความคิด  นี่คงจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะได้มาเห็นเอสคาราส....

 

 

**********

 

ปล.  หวา!!! หายตัวไปนานคนที่ตามอ่านอยู่ยังไม่หายกันไปไหนใช่ไหม??? (ฮือๆๆ)  ขออภัยจริงๆจ้า

ตอนนี้เหมือนกับเป็นการเปิดโลกใหม่ของแอนน์ (ตัวเอกของเรา)  อีกครั้งอย่างไรอย่างนั้น   ต่อจากนี้ไปก็จะมีแต่เรื่องหนักๆให้ฝ่าฟันล่ะนะ  

บทนี้มาแปลกกว่าบทอื่นๆเพราะมีเพลงประกอบด้วย (รอมานาน)  ลองดูเนอะว่าจะเวิร์คไหม? แหะๆ

อย่างไรก็ตามก็ขอมอบเครดิตต้นฉบับเพลงนี้ด้วยนะ (เนื้อไทยนั้นเราแปลเอง และดัดแปลงบางส่วนเพื่อให้เข้ากับเนื้อเรื่องนะ)  ถ้าใครสนใจก็ไปตามต่อในอากู๋ (google) ตามสะดวกนะ...........            แปลจากเพลง Amrita จากอนิเมชั่นเรื่อง Tsubasa Chronicle- Tori Kago no Kuni no Himegumi movie  จ้า

แล้วจะรีบมาลงตอนต่อเร็วๆนี้จ้า

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
6.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา