ตุ๊กตาแสนกล

5.3

เขียนโดย Glover

วันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 เวลา 17.54 น.

  9 ตอน
  1 วิจารณ์
  14.73K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 16.39 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) ตอนที่ 2

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
บทที่ 2
 
จักรกฤษณ์รู้สึกเบาสบายอย่างบอกไม่ถูก สายหมอกที่รายล้อมรอบตัวนั้นเป็นสีขาวบริสุทธิ์ ให้ความรู้สึกเย็นสดชื่นเหลือเกิน…
ชายหนุ่มหลับตาพริ้มสูดลมหายใจเข้าลึกราวกับจะล่องลอยไปยังสุญญากาศ นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้ซึมซับกับบรรยากาศแบบนี้ ชีวิตที่ผ่านพ้นมานั้นมีแต่ความแห้งกร้านและผ่าวร้อน ร้อนทั้งกายร้อนทั้งใจ ทำให้หัวใจของเขามันเหนื่อยล้าเหลือเกิน...จนตอนนี้จักรกฤษณ์แทบอยากจะละสังขารให้มันรู้แล้วรู้รอดไปซะ ไม่ต้องรับต้องรู้อะไรทั้งสิ้น...ว่าแล้วชายหนุ่มก็นึกอธิษฐานในใจ ขอให้ดวงจิตของเขาล่องลอยไปยังที่สงบสุข ที่ ๆ มีแต่เขาคนเดียวเท่านั้น ไม่ต้องสัมพันธ์เกี่ยวดองกับใคร...ต่อไปนี้เขาจะตรัสรู้และเข้าสู่นิพพาน ...
อะ...! ชายหนุ่มแทบสำรอกกับความคิดของตัวเอง อะไรกันคิดอย่างกับคนใกล้ตายก็ไม่ปาน
พอมีคำว่า “ตาย!” หลุดออกมาจากหัวสมอง จักรกฤษณ์ก็ต้องเบิกตากว้าง
ใช่สินะ...นี่เขาตายไปแล้วหรือยังไง?
 ภาพอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นปรากฏชัด...แม้กระทั่งบุคคลที่ทำให้เขาต้องเป็นแบบนี้ก็โผล่พรวดขึ้นมาในมโนสำนึก อารมณ์ที่กำลังจะปลงตกเมื่อสักครู่เริ่มจะขุ่นมัวขึ้นมาอีกครั้ง...
คำพูดของใครบางคน แทรกซึมเข้ามาในหัวสมอง
...ไปตายดีนะน้องรัก!...
เสียงนั้นยิ่งตอกย้ำความอุบัติ ที่กำลังเกิดขึ้นกับเขาอยู่ ณ ตอนนี้
ไม่..! คนอย่างจักรกฤษณ์ไม่มีวันยอมแพ้อะไรง่าย ๆ  ยิ่งรู้ว่าใครเป็นต้นเหตุ แล้วชายหนุ่มจะนอนตายตาหลับได้ยังไงกัน..!
จักรกฤษณ์เหลือบมองบรรยากาศรอบด้าน มีแต่สายหมอกอันขาวบริสุทธิ์อยู่เป็นเวิ้งว้าง ไร้ขอบเขต วินาทีนี้ความหวาดกลัวเริ่มแทรกซึมเข้ามา จิตใต้สำนึกบอกให้รู้ว่าชีวิตของเขาไม่ปกติสุขแล้ว...ชายหนุ่มวิ่งหาหนทางด้วยความเคว้งคว้าง ที่ ๆ เขาอยู่ตรงนี้ ไม่มีกรงขัง ไม่มีประตูที่ปิดตาย แต่ในขณะเดียวกันมันก็ไม่มีทางให้ออก ...ทำยังไงดีล่ะ ยิ่งคิดก็ยิ่งร้อนรนในจิตใจ
นี่เขาจะต้องตายจริง ๆ เหรอนี่..!
ทันใดนั้นก็มีเสียง ๆ หนึ่งดังแทรกขึ้ ...
...แจ๊กกี้...
เป็นเสียงที่ทำให้จักรกฤษณ์ใจชื้นขึ้นมาบ้าง จากความหวังที่แห้งผาก กลับมีหยาดน้ำที่ชุ่มช่ำโรยรินลงมา แจ๊กกี้ คือนามหนึ่งของเขานั่นเอง มันเป็นชื่อที่ “คิม” เพื่อนรักของเขาเรียกขานอยู่เป็นประจำ ผลจากการที่คิมเป็นหนุ่มตะวันตก ทำให้เรียวลิ้นของเขามีปัญหากับคำว่า “จักรกฤษณ์” เพื่อนหนุ่มจึงผันชื่อนั้นให้เป็นคำว่า “แจ๊กกี้” โดยไม่ฟังฟ้าฟังลมใด ๆ ทั้งสิ้น ...แต่จักรกฤษณ์ก็ไม่มีปัญหาอะไร ความสนิทสนมและมิตรภาพต่างหากคือสิ่งที่สำคัญ...อีกอย่างชายหนุ่มออกจะพอใจเสียด้วยซ้ำ เพราะชื่อนี้มีทั้งความเปรี้ยว เท่และน่ารักอยู่ในตัว...
...แจ๊กกี้...
เสียงนั้นดังขึ้นมาอีกครั้ง...คราวนี้ชายหนุ่มจับสังเกตอะไรขึ้นมาได้ ...มันผิดไปจากที่ควรจะเป็น ปกติแล้วเนื้อเสียงของคิมจะกังวานใส จังหวะเสียงนั้นฟังได้สรรพว่าเป็นหนุ่มชาวต่างชาติ แต่เสียงนี้สิกลับตรงกันข้าม มันทั้งใหญ่ ทุ้ม นุ่มนวล และมีเสน่ห์อย่างแปลกประหลาด ชายหนุ่มรู้สึกถึงพลังบางอย่างที่มีอยู่ภายใน เหมือนมันจะดึงดูดและกลืนกินเขาเข้าไปทั้งตัว วินาทีนี้เขาชักจะลังเลขึ้นมาซะแล้วสิ นี่เสียงของเพื่อนรักของเขาผิดเพี้ยนไปมากขนาดนั้นเชียวหรือ? หรือเป็นเพราะมิติที่แตกต่างทำให้เสียงนั้นเปลี่ยนไปตามความเหมาะสม และความดังนั้นก็ดูเหมือนจะแผ่ซ่านมาจากเบื้องบน ครอบคลุมไปทั่วอาณาจักร ก่อเกิดเป็นเสียงสะท้อน สอดประสานให้เกิดความแตกต่าง...
แต่จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม...เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่เขาจะมาทำการวิจัยใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่ามันจะผิด แปลก แหวกยังไง เนื้อเสียงที่ว่านี้คือที่พึ่งตัวสุดท้ายแล้วสำหรับเขา จักรกฤษณ์มองหาต้นเสียง จับไม่ถูกว่ามันมาจากไหน รู้แต่เพียงว่ามันมาจากเบื้องบนและเหมือนจะจี้ลงมาตรงกลางกระหม่อมของเขาโดยตรง เมื่อทำอะไรไม่ได้ ชายหนุ่มจึงตั้งจิตสมาธิขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ดึงเขาให้ล่องลอยไปตามเสียงนั้น ดวงตาเรียวคมหลับพริ้มด้วยความแน่วแน่ สูดลมหายใจลึกด้วยความตั้งมั่น ณ วินาทีที่กระแสจิตของเขาสงบนิ่งเยือกเย็นที่สุด เสียงนั้นก็ดังขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย...
แจ๊กกี้...
และในทันทีทันใด ชายหนุ่มก็รู้สึกเหมือนมีเกลียวคลื่นบาง ๆ หมุนวนรอบตัวเองให้ล่องลอยไปตามกระแสลม
......................
กว่าจะรู้สึกตัวอีกครั้ง...ก็ไม่รู้ว่าเวลาผ่านพ้นไปเนิ่นนานเท่าไรแล้ว จักรกฤษณ์รู้เพียงว่าหัวสมองอันเต็มไปด้วยขี้เลื่อยของเขานั้นมันเบาหวิวเหลือเกิน ราวกับว่าข้างในมันเป็นกลวงยังไงยังงั้น แหม !..ยิ่งคิดก็ยิ่งตอกย้ำความโง่เขลาของตัวเอง แต่ชายหนุ่มรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ มันช่างโล่งโปร่งเบาสบาย ไม่ร้อนไม่หนาวใด ๆ ทั้งสิ้น อีกอย่างมันยังให้ความรู้สึกผ่อนคลายสบายอารมณ์เหลือเกิน จวบจนกระทั่งรู้สึกว่าตัวเองคงจะนอนเสียเต็มอิ่มแล้ว จักรกฤษณ์จึงค่อย ๆ เปิดตาขึ้น...จากภาพที่เลือนรางค่อย ๆ ชัดเจน คราวนี้ชายหนุ่มแทบช็อกกับความโอ่โถงที่อยู่ตรงหน้า นี่มันอะไรกัน..! หรือว่าอุบัติเหตุทำให้กลไกการทำงานในหัวสมองของเขาผิดเพี้ยนไป ถึงได้เห็นอะไรที่มันใหญ่โตโอ่อ่าขนาดนี้...นี่มันเรือนยักษ์เลยนะนี่
ชายหนุ่มหลับตานิ่งอีกครั้ง...สูดลมหายใจลึก มันเบาสบายแต่ราวกับว่าไม่ได้ออกแรงใด ๆ เลย เขาตั้งสมาธิทำจิตใจให้สงบสุข เผื่อภาพที่เห็นเมื่อสักครู่นี้จะเป็นการตาฝาดไปเท่านั้น ได้สติแล้วจักรกฤษณ์ก็ค่อย ๆ แย้มเปลือกตาขึ้นทีละนิด ๆ เบิกโพลงจนเต็มดวงตา คราวนี้เขายิ่งใจหายวาบมากกว่าเดิมอีก สถานที่ ๆ อยู่ตรงหน้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อสักครู่นี้เลย ชายหนุ่มรู้สึกว่าตัวเองเล็กราวกับหนู...หัวใจของเขาเต้นระส่ำ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยรู้สึกหวาดกลัวอะไรเท่านี้มาก่อน
 หรือว่านี่คือสวรรค์! ใคร ๆ ต่างก็รู้ดีว่า คนดีที่ตายไปแล้วย่อมได้ขึ้นสวรรค์กันทั้งนั้น เพราะดูข้าวของเครื่องใช้พวกนั้นสิ มันก็ไม่ได้แตกตางไปจากเครื่องใช้ของมนุษย์สักเท่าไร จะผิดไปก็แต่ขนาดเท่านั้นที่มันดูจะใหญ่โตกว่าเป็นร้อยเท่าพันเท่า ว่าแต่เมืองสวรรค์มันใหญ่ขนาดนี้เชียวหรือ ชายหนุ่มได้แต่พินิจในใจ ถ้าต่างขนาดนี้ อีพวกนางฟ้านางสวรรค์ไม่หนีแวบไปหมดเลยหรือไง...เพราะมันดูน่ากลัวมากกว่าจะดูน่าอภิรมย์
ดูเตียงนั่นสิ...เบ้อเร่อเบอร่าขนาดนั้น มันสามารถบรรจุคนได้เป็นร้อย ๆ คนเลยนะเนี่ย ไหนจะโต๊ะเครื่องแป้งนั่นอีก ชุดโซฟาที่อยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง และนั่นทีวี...! เอ๊าะ ไม่น่าเชื่อว่าเมืองสวรรค์จะมีทีวีกับเขาด้วยเหมือนกัน แหม...ทีวีจอแบนยี่ห้อดังด้วยสิ เริดซะไม่มีอะ จะว่าไปแล้วเทวดาผู้เป็นเจ้าของก็ไม่ธรรมดาเลยนะเนี่ย ถ้าเปรียบกับโลกมนุษย์ มันก็ระดับไฮโซดี ๆ นี่เอง แต่กลับเป็นไฮโซที่เรียบเก๋ มีสไตล์ ไม่ใช่ไฮโซที่ฟู่ฟ่าฟุ่มเฟือย จะประดับตกแต่งอะไรก็ดูเลี่ยมทองและดูรกหูรกตาไปซะหมด สวรรค์ที่อยู่ตรงหน้าเขานี่ล่ะบรรเจิดสุด โทนสีของเครื่องใช้แต่ละอย่างเน้นโทนสีน้ำตาลอ่อน ไปจนถึงเข้ม สีขาวดำ และสีเขียวต่าง ๆ หลายระดับ
แต่ถึงจะดูดีขนาดไหนก็ตาม...ย่อมไม่ใช่ที่ ๆ เขาจะทนอยู่ได้ มันดูกว้างขวางและเวิ้งว้างเกินไป ใครกันแน่นะที่จับเขาเข้ามาอยู่ในนี้ มันน่าตีให้ตายเลยจริง ๆ คิดแล้ว ก็มีคำว่าหนีหลุดเข้ามาในหัวสมอง
ใช่...เขาต้องหนี..!
เรื่องอะไรจะทนอยู่ในบ้านหลังนี้...คงจะมีแต่ยักษ์เท่านั้นแหละที่จะทนอยู่ได้
แต่เจ้ากรรม..! ทำไมเขาจึงเคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้เลย จะหันหน้าก็ยังไม่ได้ ทำได้แค่เพียงเหลือบตาดูเท่านั้น บ้าที่สุด...! จะว่าเขากลัวซะจนเออเรอร์ก็ไม่ใช่ ออกแรงมากเท่าไรก็ยังเหมือนเดิม ถึงตัวจะเบาแต่ก็รู้สึกว่าแข็งกร้าวราวกับหิน ตอนนี้จักรกฤษณ์ชักไม่แน่ใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วสิ คนขึ้นสวรรค์มันรู้สึกอย่างนี้หรอกหรือ นิ่งชาราวกับคนเป็นอัมพาตไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย...
ในระหว่างที่ชายหนุ่มกำลังคิดหาคำตอบอยู่นั้น ก็มีเสียงดัง...กริ๊ก...มาจากทางด้านหนึ่งของห้อง ชายหนุ่มเหลือบตาไปยังข้าง ๆ เพราะไม่สามารถจะหันหัวไปได้
โอ้...นั่น!
สิ่งที่เพิ่งปรากฏขึ้น ...ทำให้เขาแทบจะเป็นลม
 เอริกกกกกกกกก..!
ใครก็ได้ช่วยด้วย..! ฮือ...ตายแน่ ๆ
 

 
 
โปรดติดตามตอนต่อไป
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
3.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา