ตุ๊กตาแสนกล

5.3

เขียนโดย Glover

วันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 เวลา 17.54 น.

  9 ตอน
  1 วิจารณ์
  14.85K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 16.39 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) ตอนที่ 1

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 1

 

  ...เลือดในกายที่ไหลพล่านอยู่ ณ ตอนนี้ บ่งบอกถึงความผ่าวร้อนของเชื้อเพลิงที่มีอยู่ภายใน การกระทำที่อยู่เบื้องหน้า ราวกับไฟเผาผลาญจิตใจของเขาให้มอดไหม้เป็นจุณ
   “อย่า...!”
   จักรกฤษณ์กระชากเสียงกร้าว ในขณะเดียวกันก็วิ่งพรวดเข้าไปขัดขวาง แต่ก็ไม่ทันซะแล้ว...เพียงแค่ก้านไฟเล็ก ๆ ตกลงสู่พื้น ก็ปรากฏเพลิงร้อนลุกโชนทั่วผืนภาพ แค่นั้นก็ทำให้ชายหนุ่มถึงกับเต้นเร่า ๆ ราวกับโดนไฟคลอกซะเอง สองมือกุลีกุจอดับไฟโดยไม่เกรงว่าเปลวเพลิงที่ลุกโชนอยู่นั้น จะทำให้เขารู้สึกแสบร้อนปานใด
   เรียวหน้าได้รูปสวยถึงกับแดงจัด...เมื่อเห็นผลงานปรากฏอยู่เบื้องหน้า แม้เพลิงนั้นจะดับมอดจนหมดแล้ว แต่ก็ทิ้งซากสีดำเอาไว้เสียเกินกว่าครึ่ง หลงเหลือเพียงควันดำที่ติดตรงปลายจมูก กลิ่นอันขิวเขม็งของก๊าซยังคงตอกย้ำความฉุนเฉียวอยู่ไม่หาย...แต่นั่นก็ไม่เจ็บปวดเท่ากับเสียงหัวเราะอันหยามหยันของพี่ชาย จักรกฤษณ์กัดริมฝีปากแน่นเมื่อเห็นสีหน้าอันสะใจของฝ่ายตรงข้าม ความจริงแล้วพงศักดิ์จัดเป็นพี่ชายที่มีหน้าตาคล้ายคลึงกับเขาไม่น้อยเลยทีเดียว...แต่จนแล้วจนรอดชายหนุ่มก็ยังหาสาเหตุไม่ได้ว่า ทำไมภายในจิตใจถึงได้ขัดแย้งกันถึงขนาดนี้
   “...ไง ผลงานชิ้นโบแดงของแก...ไม่ใช่สิ เรียกว่าผลงานชิ้นโบดำน่าจะถูกกว่า”
    คราวนี้ชายหนุ่มชักจะหมดความอดทน หมัดที่กำเอาไว้นั้นมันแกร่งกร้าวราวกับหิน
   “ไอ้สารเลว...!”
   จักรกฤษณ์สวนหมัดไปที่มุมปากเหยียด ๆ รวดเร็วจนฝ่ายตรงข้ามตั้งตัวแทบไม่ทันถลาลงไปกองกับพื้น จุดประกายความโกรธจัดในทันทีทันใด
   “มึงกล้าต่อยกูเหรอ!”
   พงษ์ศักดิ์ลุกขึ้นพรวด หวังจะตั้นหน้าเอาคืนให้สาแก่ใจ...แต่ความเกรี้ยวกราดของผู้เป็นน้อง ทำให้จักรกฤษณ์ชะงักหมัดเอาไว้ได้ทันก่อนจะถึงผิวหน้า พร้อมกับสวนคืนให้หนักหน่วงยิ่งกว่าเดิมอีก ส่งผลให้ผู้เป็นพี่แผดเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด และเลือดที่ไหลซึมออกมาตรงมุมปากนั้นเป็นหลักฐานของความสมใจ...
   แต่ยัง!.. ยังไม่สาแก่ใจ สิ่งที่มันได้ทำเอาไว้ ทำให้จักรกฤษณ์แทบอยากจะฆ่าพี่ชายให้ตายไปเลยเสียด้วยซ้ำ...ชายหนุ่มจึงกระทืบเท้าดิบ ๆ ถี่รัวใส่ผู้ที่นอนซมอยู่เบื้องล่าง เสียงร้องด้วยความเจ็บระบมจึงกู่ก้องมากยิ่งขึ้น ชั่งเป็นภาพที่น่าสมเพศจริง ๆ ... ความสาแก่ใจคงจะเพิ่มมากขึ้นกว่านี้ หากไม่มีเสียงแข็ง ๆ แทรกเข้ามาซะก่อน
   “หยุด..! ฉันบอกให้แกหยุดเดี๋ยวนี้”
   จักรกฤษณ์ชะงักเท้าเอาไว้ หันไปมองยังต้นเสียงแม้จะรู้ดีว่าเป็นเสียงของใคร จังหวะนั้นทำให้เขาเผลอจนฝ่ายตรงข้ามดีดตัวขึ้นมา พงษ์ศักดิ์กระแทกหมัดเข้ามาที่มุมปากของเขาอย่างแรง เลือดไหลซึมออกมาเล็กน้อยรู้สึกแสบปลาบ แต่ก็ไม่เจ็บเท่าหัวใจ จักรกฤษณ์ถลาจะเอาคืนอีกครั้งแต่ก็โดนผู้เป็นพ่อบดบังเอาไว้ ด้วยความหวงแหน หนำซ้ำยังเป็นเดือดเป็นร้อนแทนโดยการกระชากบุตรรองออกไปให้ห่าง
   “ฉันบอกให้แกหยุด..!”
   “ไม่...ผมจะเอามันให้ตาย..!”
   จักรกฤษณ์ยังไม่ละความพยายาม ผู้เป็นพ่อจึงผลักออกไปจนบุตรชายลงไปกองกับพื้น
   “นี่แกเกิดบ้าอะไรขึ้นมาฮะ..!”
   ผู้ที่นอนซมอยู่เบื้องล่างลุกขึ้นพรวด สบตาเขม็งไปยังผู้ถาม ราวกับจะชำแหละความรู้สึกนึกคิดที่มีอยู่ภายใน
   “คำถามนี้...พ่อควรจะถามลูกชายสุดที่รักของพ่อมากกว่า”
   “แกต่างหากล่ะที่บ้า...เมื่อไหร่แกจะหยุดหาเรื่องพี่ชายแกซักที”
   “หาเรื่อง..?” เนื้อเสียงมีหางแหลมจัด “มันต่างหากล่ะที่เป็นฝ่ายหาเรื่องผมก่อน...มันเผาภาพวาดของผม”
   เผ่าพันธุ์ชำเลืองลงไปยังภาพวาดด้วยสีหน้าที่ไม่ยี่หระอะไรนัก...ออกจะพอใจกับสิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องล่างเสียด้วยซ้ำ
   “ไอ้ภาพวาดเน่า ๆ ของแกน่ะเหรอ...ฉันเป็นคนบอกให้มันเอาไปเผาเอง”
   “พ่อ..!” ความโกรธเคืองที่มีเป็นทุนเดิม บัดนี้ มีความเสียใจแทรกแซงเข้ามาเพิ่มขึ้น
   “พ่อทำกับผมแบบนี้ได้ยังไง..?”
   “ทำไมฉันจะทำไม่ได้...ฉันเคยสั่งแกกี่ครั้งกี่หนแล้วใช่ไหม ว่าอย่าวาดไอ้ภาพบ้า ๆ พวกนี้อีก..!”
   เผ่าพันธุ์กล่าวพร้อมกับชี้นิ้วลงไปที่ภาพ ราวกับจะย้ำให้ชัดว่าเขาเบื่อและเอือมระอามากขนาดไหน
   “ผมจะวาด...มันเป็นสิ่งที่ผมรักทำไมพ่อต้องห้ามผมด้วย”
   “ก็เพราะมันทำให้แกโง่...งี่เง่า ไม่รู้จักคิดน่ะสิ..!”
   “ใช่สิครับ...ใครจะไปเก่งและฉลาดเหมือนลูกชายคนโปรดของพ่อล่ะ”
   “ไม่ต้องมาย้อน...แกมันไม่รักดี ฉันสอนแกดีแค่ไหน ก็ไม่เคยอยู่ในกมลสันดานเลยซักนิด” คำกล่าวหาของบิดาทำให้จักรกฤษณ์อดที่จะแย้มเหยียดที่มุมปากไม่ได้
   “เก็บอะไรดี ๆ ของพ่อ ไว้สอนคนรักดีของพ่อคนเดียวเถอะ...เพราะถึงยังไงสิ่งที่พ่อรัก ก็ไม่มีวันจะเป็นสิ่งที่ดีสำหรับผมไปได้”
   “แก..!” เผ่าพันธุ์ได้แต่คำราม ที่ผ่านมาไม่ว่าจักรกฤษณ์จะทำอะไรก็ไม่เคยได้ใจเขาสักอย่าง วาจาที่เปรยออกมาแต่ละครั้ง จัดจ้าน คมคาย ไม่เคยเห็นหัว ไม่มีความเคารพ ไม่ให้เกียรติ และไม่เชื่อฟังอะไรทั้งสิ้นแม้ว่าเขาจะแนะนำสิ่งดี ๆ ให้ขนาดไหนก็ตาม และสิ่งที่น่าอดสูยิ่งกว่า คือบุตรชายคนนี้ยังเกิดมาวิปริตผิดเพศ ทำให้เขาต้องโดนเพื่อนฝูงล้อเลียนให้ต้องอับอายขายหน้าอยู่บ่อยครั้ง ว่าเกิดมามีลูกเป็นตุ๊ดเป็นเกย์ไม่เหมือนชาวบ้าน ด้วยจิตใจที่ค่อนข้างจะนักเลงและยึดมั่นถือมั่นกับความเป็นบุรุษเพศ จึงทำให้เผ่าพันธุ์รังเกียจบุตรชายคนนี้อย่างไม่มีเหตุผล
   จักรกฤษณ์จ้องมองลงไปที่ภาพวาดอีกครั้ง ก่อนจะหยิบมันขึ้นมาด้วยความหวงแหน ภาพวาดสีน้ำมันที่เขาสู้อุตส่าห์ทุ่มเทแรงกายแรงใจนานนับเกือบปี เพื่อส่งเข้าประกวดในงานศิลปะนานาชาติ...แต่บัดนี้ความเสียหายที่เกิดขึ้นยากที่จะกู้มันกลับคืนมาได้ ภาพนั้นโดนเผาก็เหมือนกับหัวใจของเขาโดยเผาไปด้วย ชายหนุ่มกัดริมฝีปากแน่นอีกครั้ง ส่งสายตาที่แข็งปึกไปให้ หลังจากนั้นก็ส่งเนื้อเสียงที่แข็งกร้าวตามออกไป
   “คราวนี้พ่อทำกับผมมากเกินไปแล้วนะ...พ่อรู้ไหม กว่าผมจะวาดภาพนี้เสร็จได้ ผมต้องใช้เวลามากขนาดไหน”
   “ฉันไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ยิ่งแกวาดมันมากเท่าไหร่ การเรียนของแกก็ยิ่งตกต่ำ ไม่เห็นจะพัฒนาหัวสมองให้มันดีขึ้นมาเลย”
   “แต่อย่างน้อย ๆ มันก็ช่วยพัฒนาจิตใจ...ไม่เหมือนลูกชายคนโปรดของพ่อหรอก เก่ง ฉลาด แต่ปราศจากคุณธรรมจริยธรรม คุณสมบัติเหล่านี้พ่อควรจะสอนมันบ้างนะ”
คราวนี้บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนที่ยืนขนาบอยู่ด้านข้างถึงกับกำหมัดแน่น ด้วยความเจ็บใจกับคำปรามาสนั้น ความฉุนเฉียวที่เกิดขึ้นมิได้แตกต่างไปจากบิดาเลย
   “พ่อดูมันพูดสิ...มันว่าผม”
   เผ่าพันธุ์ได้แต่ยืนนิ่ง...ความเป็นผู้ใหญ่ทำให้เขาสุขุม แต่สายตาที่ส่งไปนั้น ก็ไม่ต่างไปจากน้ำกรดนักหรอก เพราะมันกัดกร่อนจิตใจของฝ่ายตรงข้ามให้ปวดแสบปวดร้อนไปหมดทั้งหัวใจ
จักรกฤษณ์ชำเลืองสายตามองพี่ชายเหยียด ๆ ก่อนจะสาดคำพูดออกมาอย่างต่อเนื่อง
   “...คนเราต่อให้เก่งและฉลาดมาจากไหนก็ตาม แต่ถ้าจิตใจมันสกปรกโสโครก ไปที่ไหนก็คงจะมีแต่คนสาปส่งไม่ให้ผุดไม่ให้เกิด”
   “แล้วชีวิตของแกล่ะไม่ได้โดนสาปส่งหรือไง นอกจากจะเกิดมาวิปริตผิดเพศแล้ว ก็ไม่เห็นว่าคนอย่างแก จะกระทำตัวให้คนเป็นพ่อยอมรับได้เลยซักครั้ง” พงษ์ศักดิ์อดที่จะสวนกลับคืนไม่ได้
ช่างเป็นคำพูดที่จี้ใจดำซะเหลือเกิน...แต่จักรกฤษณ์เชื่อว่าตัวเองมีสติเกินกว่าจะยอมแพ้อะไรง่าย ๆ
   “ยอมรับหรือไม่...ของแบบนี้ ก็คงจะมีแต่พวกใจดับเหมือนกันเท่านั้นแหละ ที่จะอยู่ร่วมกันได้”
    ชายหนุ่มสบตาบิดาอย่างแข็งกร้าวพร้อมทั้งเผยรอยยิ้มที่แสดงถึงความโกรธเกรี้ยว และหยามหยันอยู่ในที
   “อย่าหาว่าผมไม่เตือนก็แล้วกัน ถ้าพ่อยังปล่อยมันเอาไว้อยู่แบบนี้ ซักวันหนึ่ง ลูกชายสุดที่รักของพ่อ...ไม่ตายดีแน่..!”
   เนื้อเสียงที่เน้นหนักในประโยคสุดท้ายทำให้เผ่าพันธุ์ถึงกับหน้าซีด แต่ก็เปลี่ยนเป็นสีแดงจัดโดยเร็วพลัน ริมฝีปากสั่นระรัวด้วยความเดือดดาลที่มีอยู่ภายใน...ถึงตอนนี้เขาชักจะเหลืออดแล้ว ชายวัยกลางคนจึงฟาดหลังมือหยาบ ๆ กระทบที่ผิวหน้าของฝ่ายตรงข้าม จนเรียวหน้านั้นสะบัดไปตามแรงหนักหน่วง ปรากฏรอยเลือดเป็นเส้นเล็ก ๆ ไหลซึมออกมากับโลหะที่แทรกแซงอยู่ภายในนิ้ว
   “ออกไปจากบ้านของฉัน...แล้วไม่ต้องกลับมาเหยียบที่นี่อีก…!”
จักรกฤษณ์ทั้งชาและอึ้ง ความแสบซ่านที่อยู่บนผิวหน้า ทำให้สมองของเขาปั่นป่วนไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก แต่ปากนั่นสิ...ราวกับจะตายด้าน ไม่สามารถจะระบายความอัดอั้นที่มีออกมาได้ ร่างกายของเขาจึงเครียดเคร่งไปทุกอณูผิวพรรณ...มันเจ็บ มันร้าวไปถึงแก่นใน ยิ่งเห็นรอยยิ้มอันหยาบแคลนของผู้เป็นพี่ หัวใจของเขาก็เหมือนกับจะละลายไปด้วยพิษร้อน สิ่งที่ชายหนุ่มทำได้ตอนนี้คือกัดริมฝีปากของตัวเองจนเลือดจะคลั่ง ดวงตาเรียวคมนั่นน่ะหรือ? มันบวมเป่งและแดงช้ำไปหมดเพราะมีของเหลวร้อน ๆ ไหลมาออรวมตัวกันอยู่ข้างใน เตรียมพร้อมที่จะล้นทะลักออกมาทุกวินาที...แต่จะวินาทีไหนล่ะ ถ้าไม่ใช่วินาทีนี้ ถึงชายหนุ่มจะแกร่งขนาดไหนก็ตาม แต่ก็ไม่เก่งเพียงพอที่จะสะกดกลั้นมันเอาไว้ให้ถึงขีดสุดได้...จักรกฤษณ์จึงปล่อยน้ำตาให้ไหลพรากออกมา ไม่สน...และไม่อายใครทั้งนั้น! เขาทิ้งสายตาอันแข็งกร้าวเอาไว้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะวิ่งออกไปด้วยความรวดเร็ว...
ดี..!


   ทันทีที่ถึงห้อง...จักรกฤษณ์ก็พรวดพราดเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าราวกับจะหนีไฟที่กำลังไหม้บ้านอยู่ ไม่นานนักก็มีใครบางคนเข้ามากอดกระชับเอาไว้จากทางด้านหลัง...เขาหยุดชะงัก สัมผัสที่คุ้นเคยทำให้รู้ดีว่าเป็นใคร สิ่งที่มันเกิดขึ้น นิรชาคงเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว
   “พี่จักร...พี่จักรจะไปจริง ๆ เหรอคะ..?” เนื้อเสียงที่อ่อนโยนเผยความสั่นเครือด้วยแรงสะท้าน
   จักรกฤษณ์หันมาสบตากับผู้เป็นน้อง กอดกระชับเอาไว้ด้วยความหวงแหน...จะเรียกได้ว่าเป็นสายเลือดเดียวก็ว่าได้ที่ชายหนุ่มรู้สึกเป็นเดือดเป็นร้อนแทนมากที่สุด น้ำตาของฝ่ายตรงข้ามทำให้เขารู้สึกใจหายเมื่อคิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมา
   “อย่าไปเลยนะคะนิดขอร้อง”
   หัวใจของเขามันอ่อนไปแล้ว แม้ตอนนี้บุคคลที่อยู่ตรงหน้าจะมีน้ำตาให้เขาเห็นหรือไม่ก็ตาม แต่ความผูกพันก็ทำให้เขาแทบจะขาดใจ จะทำยังไงได้ล่ะ ถึงยังไงชายหนุ่มก็ไม่อาจจะทนอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไป
   “นิด พี่เสียใจนะ...แต่นิดก็เห็นแล้วใช่ไหม ว่าเขาตั้งหน้าตั้งตาเหยียบย่ำพี่มากขนาดไหน”
   เนื้อเสียงที่ตอบกลับมาถึงจะอ่อนโยนปานใด ก็ไม่ได้ทำให้ผู้เป็นน้องรู้สึกดีขึ้นมาเลย ตรงกันข้ามกับทำให้นิรชาปล่อยเสียงสะอื้นมากกว่าเดิมอีก
   “อย่าร้องไห้เลยนะ...พี่สัญญา ถ้าพี่หางานทำได้เมื่อไหร่ พี่จะกลับมารับนิดไปอยู่ด้วยกัน พี่ไม่มีวันปล่อย     ให้น้องรักของพี่ต้องทนอยู่ในบ้านนรกหลังนี้ได้นานนักหรอก”
แม้เหตุการณ์ลักษณะนี้จะเกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน...แต่ก็ไม่มีครั้งไหนที่จะชัดเจนไปมากกว่าครั้งนี้ หญิงสาวสะท้าน พี่ชายคนเดียว ที่เปรียบเสมือนตัวยึดเหนี่ยวทางจิตใจ เข้าอกเข้าใจกันมาตลอด หัวใจอันเปราะบางบริสุทธิ์จะพึ่งพาใครได้นับจากนี้ไป
   “ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย...”
   ...นิรชาเปรยเสียงสะอื้นราวกับจะพึมพำกับตัวเองมากกว่า
   “ฟังพี่นะ” จักรกฤษณ์ลูบไล้ศีรษะของผู้เป็นน้องด้วยความรัก...
   “การที่พี่ออกไปจากบ้านหลังนี้ไม่ได้หมายความว่าพี่ทิ้งนิดไปเลย น้องรักของพี่โตแล้วนะ ต่อไปนิดจะต้องเข้มแข็งต้องรู้จักดูแลตัวเองให้มากขึ้นรู้ไหม..?”
น้องสาวไม่เปรยอะไรได้แต่กอดพี่ชายเอาไว้แน่น ปล่อยน้ำตาให้ไหลรินที่หน้าอกของพี่ชาย เนิ่นนานกว่าจะละจากอกกว้าง
   ผู้เป็นพี่ปาดน้ำตาที่ข้างแก้มเบา ๆ เป็นอุ้งมือที่แผ่ซ่านความอบอุ่นจริงใจ...ชายหนุ่มลอบถอนหายใจกับภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ดวงหน้านั้นขาวกระจ่าง ดวงตาแดงช้ำ ผมที่ซอยสั้นระบ่า ทำสีน้ำตาลอ่อนตามสมัยนิยม ยิ่งขับให้ดวงหน้าของสาวน้อยแลดูอ่อนเยาว์มากยิ่งขึ้น
  “นิดต้องอยู่ให้ได้...ถึงพี่จะไม่ไปวันนี้ ซักวันหนึ่งพี่ก็ต้องไปอยู่ดี นิดเข้าใจพี่ใช่ไหม..?”
   นิรชาพนักหน้ารับเบา ๆ ...ทั้งที่ใจยังปรับสภาพไม่ทัน ...
   “สัญญากับพี่ซิ...ว่าต่อไปนี้จะไม่อ่อนแออีก”
   “นิดไม่สัญญาค่ะ...ถ้าพี่จักรไม่สัญญากับนิดก่อน ว่าพี่จักรจะดูแลตัวเองให้ดี ๆ” คราวนี้จักรกฤษณ์เผยรอยยิ้มบริสุทธิ์ เมื่อเห็นน้ำตาของน้องรักเริ่มจะแห้งผากแล้ว
   “จ๊ะ...พี่สัญญา ยังไงพี่ไม่ตายง่าย ๆ แน่ ถ้าพี่ไม่กลับมารับน้องรักของพี่ไปอยู่ด้วย”
   รอยยิ้มเล็ก ๆ จึงเผยออกมาบ้าง...ชายหนุ่มเห็นดังนั้นจึงผละออกมา หันไปจัดเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าต่อ...เสร็จแล้วจึงก้าวเท้าออกมาจากในห้องด้วยท่าทีที่มุ่งมั่น ไม่หวั่นไหวใด ๆ ทั้งสิ้น จะเหลือก็แต่ความห่วงใยที่มีให้กับผู้เป็นน้องเท่านั้น...
ร่างสูงโปร่ง...แกร่งกำยำ เยื้องย่างลงมาจากบันได เรียวหน้านั้นประดับด้วยดวงตาเรียวสวย คิ้วดกดำ จะเรียกว่าหนากว่าดวงตาก็ว่าได้ ทรงผมถูกตัดและซอยให้สั้นตามสมัยนิยม ขับให้เขาดูโดดเด่นทันสมัย แม้จะเป็นหนุ่มที่รักงานศิลป์ แต่ก็เป็นบุคคลที่พึงพอใจให้ในความเรียบเก๋ สไตล์การแต่งตัวของเขาจึงไม่มีเครื่องประดับอะไรมากมาย เสื้อที่ใส่ก็มุ่งเน้นที่เสื้อเชิ้ตคู่กับกางเกงยีนพอดีตัว ชายหนุ่มไม่นิยมเครื่องประดับ ยกเว้นสิ่งสำคัญคือนาฬิกาข้อมือเท่านั้น
   ทันทีที่จักรกฤษณ์ก้าวลงบันไดขั้นสุดท้าย และมีน้องสาวผู้น่ารักเดินตามลงมา...ก็มีบุคคลผู้ไม่พึงประสงค์ยืนรออยู่แล้ว พงษ์ศักดิ์ยังคงส่งรอยยิ้มร้าย ๆ ไม่หาย ก่อให้เกิดมะเร็งในอารมณ์อยู่ลึก ๆ แต่ชายหนุ่มไม่สนใจอะไร เชิดหน้าและเดินผ่านไปอย่างไม่แยแส
   “ไปตายดีนะน้องรัก”
   ขนาดเลี่ยงแล้ว ก็มิวายที่ฝ่ายนั้นจะส่งเนื้อเสียงเยาะเย้ยไล่ตามมา...จักรกฤษณ์หันขวับ ประเคนรอยยิ้มในลักษณะที่ไม่แตกต่างกัน
   “ไปตายดีแน่...แต่น้องรักคงนอนตายตาไม่หลับ ถ้าไม่กลับมาเหยียบหน้าพี่ชายสุดที่รักให้จมตีนก่อน พอ  ถึงวันนั้นคงไม่รังเกียจใช่ไหมครับ”
ประโยคหวานเฉียบ...ทำให้พงษ์ศักดิ์หน้ายับลงไปทันที มือนั้นกำหมัดเอาไว้แน่น ในขณะที่ผู้เป็นน้องเชิดหน้าอย่างไม่เกรงกลัว ริมฝีปากเรียวเล็กเผยอยิ้มยั่วเป็นการท้าทาย
แต่แทนที่จะต่อย พงษ์ศักดิ์กับระงับอารมณ์เอาไว้ได้อย่างเหลือเชื่อ ชายหนุ่มคลายหมัดก่อนจะเปล่งรอยยิ้มอย่างเหนือกว่า
   “ไม่รังเกียจแน่นอน แต่น้องรักของพี่คงไม่มีโอกาสจะกลับมาเหยียบที่นี่อีกแล้วล่ะ”
   “หึ...มีโอกาสหรือไม่ ใครจะห้ามได้ ถ้าคนมันคิดจะกลับมา เตรียมพร้อมเอาไว้ให้ดีก็แล้วกัน”
   จักรกฤษณ์ทิ้งประโยคสุดท้าย...ก่อนจะหันกลับไปทางประตู ชายหนุ่มมองเห็นดวงตาคมกล้าของผู้เป็นพ่อที่จ้องมองมายังอีกมุมหนึ่งของห้อง ดวงตานั้นคือความเร่าร้อนและเย็นชาในเนื้อเดียวกัน เมื่อตาต่อตาประสาน เผ่าพันธุ์ต้องเป็นฝ่ายเบือนหน้าหนีด้วยอาการเอือมระอา ใบหน้านั้นมีรอยเขียวหม่นไปด้วยความหมองมัว
วินาทีนี้...ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมาที่กลางอก ทำไมโลกถึงไม่ยุติธรรมกับเขาอย่างนี้ ใช่ว่าเขาอยากจะจากบ้านหลังนี้ไป ...ใช่จะไม่คิดห่วงใยคนเป็นพ่อ แต่ทำไมล่ะ ใครกันที่เป็นคนสร้างความห่างเหินขึ้นมา ความท้อแท้น้อยใจคงจะไม่เกิดขึ้น...ถ้าไม่มีอคติในหัวสมองของมนุษย์ อคติและทิฐิคือมารร้ายตัวฉกาจที่เกิดขึ้นในใจของทุกคน แม้กระทั่งชายหนุ่มเองก็ยังต้องยอมรับว่าตัวเองก็มีทิฐิมานะไม่แพ้กัน...ทิฐิที่เกิดขึ้นจาการต่อต้านความไร้เหตุผล แต่ไม่ว่ามันจะอยู่ในลักษณะใด ดีงามหรือไม่ อย่างไร? ทิฐิมาเจอกับทิฐิก็เท่ากับความบรรลัยนั่นเอง...
   จักรกฤษณ์ถอนหายใจเฮือกก่อนจะตรงดิ่งออกจากบ้าน กะจะไม่ปล่อยน้ำตาให้ไหลรินออกมาอยู่แล้วเชียว   แต่ก็อดไม่ได้ ดูตาคู่นั้นสิ ราวกับหินเหล็กที่ไร้อารมณ์ จะห่วงหาอาทรซักนิดก็ไม่มี...
   “พี่จักรดูแลตัวเองให้ดี ๆ นะคะ...”
    เสียงอ่อย ๆ แทรกขึ้นก่อนที่ชายหนุ่มจะเปิดประตูขึ้นรถ
   จักรกฤษณ์เผยรอยยิ้ม รวบร่างของน้องสาวเข้ามากอดเอาไว้เป็นครั้งสุดท้าย
   “เราก็เหมือนกัน...พี่ไปก่อนนะ คนดีอย่าขี้แยล่ะ”
   รอยยิ้มที่ผุดขึ้นไม่ได้ทำให้สาวน้อยใจชื้นขึ้นมาเลย ยิ่งเห็นพี่ชายเปิดประตูขึ้นรถ สตาร์ทเครื่องเตรียมพร้อมที่ออกไปจากที่นี่ หัวใจของเธอก็ยิ่งเคว้งคว้างและว้าเหว่ทุกวินาที...


   จักรกฤษณ์บึ่งรถออกจากบ้านด้วยความเร็วที่ปรอทยังอาย...ดึกดื่นค่ำคืนแบบนี้ ทำให้รถราบางตาไปมาก ความว่างเปล่านี้เองทำให้ชายหนุ่มชักจะไม่ไว้ใจกับเจ้ามอเตอร์ไซค์ ที่วิ่งไล่ตามมาจากทางด้านหลัง ถึงเขาจะอยู่ในเกราะกำบังของรถยนต์ แต่ก็เสมือนอยู่ตามลำพัง เพราะพวกนั้นมีกันถึงสองสามคันรถ...ถึงตอนนี้ชายหนุ่มชักจะชะล่าใจเอาไว้ไม่ได้อีกแล้ว
บ้าที่สุด..!
   มอเตอร์ไซค์พวกนั้น ขับขี่วนเวียนล้อมหน้าล้อมหลัง เหมือนจงใจจะกลั่นแกล้ง ชายหนุ่มอยากรู้นัก ว่าพวกมันเป็นใครถึงได้ทำแบบนี้...ถ้าจะหาศัตรูคู่แค้น ชีวิตของเขาต่อให้เลือดร้อนมากขนาดไหนก็ตาม แต่ก็ไม่เคยมีเรื่องกับใครเลยซักครั้ง และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ดูจะประจวบเหมาะกับวันที่เขาออกจากบ้านซะเหลือเกิน จักรกฤษณ์เหยียบคันเร่งให้เร็วขึ้น...เป็นไงเป็นกัน...คนอย่างเขาไม่เคยกลัวความเร็วอยู่แล้ว
แต่ถึงจะเหยียบมิดปานใด...มอเตอร์ไซค์คันหนึ่งก็ยังขนาบข้างเบียดชิดเข้ามาจนได้ ชักจะเหลืออดแล้ว จักรกฤษณ์ตัดสินใจเหลือบมองด้านข้าง ชายคนที่ซ้อนท้ายอยู่ทางด้านหลังนั้นไม่สวมหมวกกันน็อก ดูเขาชูคอและส่งยิ้มมาให้ด้วยความมั่นใจ รูปหน้าที่ปรากฏขึ้นทำให้จักรกฤษณ์ชักจะตงิดอะไรขึ้นมาบางอย่าง ใบหน้านั้นราวกับเขาเคยเห็นที่ไหนมาก่อน บุคลิกขวานผ่าซาก อันธพาลกวนเมืองแบบนี้
    ...ใช่แล้ว...!
    เมื่อรู้คำตอบ ความแสบซ่านยิ่งสุมอก...ไปตายดีนะน้องรัก...เสียงนั้นแทรกซึมเข้ามาในกมลสันดาน จักรกฤษณ์ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพี่ชายแท้ ๆ ของเขาจะทำได้ถึงขนาดนี้ ชายหนุ่มกัดริมฝีปากแน่น เนื้อหน้าแดงจัดไปด้วยเลือดฝาด สายตามุ่งตรงไปยังเบื้องหน้า ถึงจะหวั่น แต่คนอย่างเขาไม่เคยกลัวตาย...เพียงเสี้ยวอารมณ์หนึ่งเท่านั้น เหมือนสวรรค์กลั่นแกล้ง รถบรรทุกที่วิ่งตัดมายังถนนเบื้องหน้าทำให้จักรกฤษณ์ถึงกลับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ...อีกไม่กี่นาทีข้างหน้าความยับเยินก็จะมาถึง
      แต่ไม่...!
      สติสัมปชัญญะดึงเขาไม่ให้ล่องลอย...จักรกฤษณ์ตัดสินใจหักรถลงข้างถนน แม้จะรู้ว่าไม่ปลอดภัยดีนัก แต่ก็ยังดีกว่าวิ่งปราดเข้าไปปะทะกับรถบรรทุกที่มีขนาดที่หนาและใหญ่กว่ามาก ความเร็วที่มีอยู่แล้วก่อนหน้านั้น ทำให้การบังคับเครื่องยนต์เป็นไปได้ยาก...กว่าจะรู้ตัวรถเก๋งคันเก่ามือสอง ที่เขาเพิ่งผ่อนได้ไม่กี่เดือนดี ก็กระทบกับสิ่งกีดขวาง...โดยที่เจ้าตัวไม่อาจจะรับรู้ได้เลยว่ามันคืออะไร
ชั่ววูบเดียวเท่านั้น ความแสบปร๊าบก็บังเกิดขึ้นตามบริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณหน้าผาก...แต่ชายหนุ่มไม่มีโอกาสที่จะรับรู้ความเจ็บปวดได้นานนัก จิตสำนึกก็ดับวูบไป โดยมีความมืดมนเข้ามาแทนที่ ...


***************

โปรดติดตาม ตอนต่อไป


 
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
3.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา