The Tale Of Lilian.
เขียนโดย ปรัสรา
วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2556 เวลา 22.52 น.
แก้ไขเมื่อ 8 เมษายน พ.ศ. 2556 14.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) SS.4
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“อะไรนะ! เดินทางไปแล้วเมื่อสามวันก่อน!” เซอนาร์แทบเอาศีรษะโขกกับโต๊ะติดต่อของโรงแรมห้าดาวกลางหนทางเชื่อมต่อกับอาณาจักรเวอซันส์กับจักรวรรดิเชอโรล แต่เขารักตัวเองมากเกินกว่าจะทำอย่างนั้น แล้วเวลาในการกระแทกศีรษะตัวเองยังใช้กระชากคอเสื้อพนักงานผู้น่าสงสารไปแล้วด้วย เขาเตรียมส่งสัญญาณเรียกพวกร่างบึกๆที่ใช้รับมือการนี้มาโดยเฉพาะแล้วด้วย
เฮอลิออสก้มหน้าลงอย่างครุ่นคิด แม้จะเรียกว่าครุ่นคิด ใจหนึ่งก็กล่าวโทษตัวเองจนแทบจะเรียกได้ว่าเครียดหนัก เขาเองก็เป็นคนบอกให้ลัดเลาะเส้นทางของป่านั่น ถ้าฟังอีกฝ่ายตั้งแต่แรกล่ะก็ บางทีเขาอาจจะตามพวกนางทันก็ได้! จุดนี้เองที่เขาพบว่าคู่หูการเดินทางใจดีมากในการมาก่นด่าอย่างที่กลัว ที่ผ่านมาเขาทำอย่างเต็มที่และสำเร็จเกือบทุกครั้ง นั่นเพราะกังวลว่ามันจะออกมาแย่และมีคนตำหนิ
อนึ่ง...บุตรชายขุนนางแค่ลืมว่าตัวเองต้องโทษใคร เพราะเอาเวลาส่วนนั้นไปสอบถามพนักงานโรงแรม ถ้าเขาถามข้อมูลได้ ทำไมพวกกองทหารจะถามไม่ได้ แล้วคู่สนทนากึ่งขู่กรรโชกนี้บอกใครไปบ้างล่ะ?
ชายผู้น่าสงสารเริ่มโมโห แทนที่จะบอกไปตามคำที่สาวสวยสองคนนั้นกำชับดีๆ ก็... “ข้าไม่...”
เหรียญทองเหรียญหนึ่งถูกชูขึ้น “ทางไหน?”
“ข้าไม่เคยบอกใครเลยครับ!” พนักงานโรงแรมคว้าเงินรางวัลโดยพลัน “แต่พวกนางบอกว่าให้บอกกับพวกท่านเพียงสองคนเท่านั้น พวกนางไปทางอาณาจักรอีสเตอร์”
อาณาจักรอีสเตอร์...งั้นแปลว่าต้องลัดเลาะรอยต่อระหว่างชายแดนของเชอโรลกับป่าไปไกลพอสมควรเพื่อมุ่งสู่ทางเข้าที่นั่น ไม่สิ...พวกนางไปทางนั้นไม่ได้เพราะมีด่านตรวจคนเข้าเมือง ที่นั่นขบวนพ่อค้าเร่และดยุคสูงศักดิ์แค่ไหนก็ต้องแสดงตัวออกมาให้ครบทุกคน จะแถวยาวเหยียดแค่ไหนก็เถอะ เป็นอันรู้ดีว่าพวกตรวจคนเข้าออกเมืองเป็นพวกเขี้ยวและกักขฬะพอ หากผู้เข้าออกไม่ยอมทำตามระเบียบเสียดีๆ
“ห้ามบอกใครล่ะ ไม่งั้น...ข้าจะให้ท่านพ่อสั่งปิดโรงแรมนี้เสียเลย” เขาขู่ ถึงจะเกินหน้าที่ของท่านเสนาบดีไปหน่อย (แน่นอนว่าไม่เกินอำนาจหรอก) ซึ่งพนักงานโรงแรมทำนองนี้ล้วนรู้ดีว่าแขกที่มาพักไม่ค่อยธรรมดา ถ้าถูกสั่งให้บอกว่า ‘ไม่รู้’ ก็จง ‘ไม่รู้’ เพราะเหรียญทองช่างไร้ค่าเมื่อยามที่ถูกปิดปาก
เซอนาร์ซื้อของกินจากขบวนพ่อค้าเร่ที่มาตั้งชั่วคราวและในพักในกระโจมที่เตรียมมาเอง แลดูขลายตลาดชาวบ้านดีเหมือนกัน แต่จะต่างก็ตรงที่พ่อค้าเร่จะไม่หยุดที่ไหนนานๆ สินค้าแต่ละอย่างอาจจะมีเพียงครั้งเดียวในรอบสิบปี หากว่ามันหายากพอ ‘ใครใคร่ซื้ออะไรก็จงรีบๆซื้อเสียดีกว่า’ นั่นคือประกาศที่ติดไว้หน้าโรงแรมหรูหรา ซึ่งมีกิจการสาขาย่อยเป็นโรงแรมมอซอสำหรับพวกเงินน้อย จุดเด่นคือมีป้ายแบบเดียวกันเปี๊ยบ!
ตอนนี้คนที่จ่ายไปไม่ต่ำกว่าสี่เหรียญทองตั้งแต่ออกเดินทางเริ่มคิดหนัก หากมุ่งหน้าตอนนี้ยังมีเวลาค้นหาอีกครึ่งวันแน่ๆ แต่ถ้ารักสบายเข้าว่าและเห็นเวลาอีกครึ่งวันเป็นสิ่งสำคัญ เขาควรจะกลับไปยังโรงแรมแมรี่เว็ตเธอร์ เพื่อขอห้องพักดีๆอาหารเที่ยงอร่อยๆ รวมไปถึงมื้อเย็นสำหรับคืนนี้
...เซอนาร์ยอมรับว่าเขาอยากเห็นแก่ตัวและต้องการอย่างหลังมากกว่าจริงๆ เพราะการเข้าแค้มป์ของพวกอาจารย์สุดเขี้ยวที่ท่านเสนาบดีจ่ายให้อย่างงาม ล้วนแต่พาเขาไปลำบากลำบน บอกให้หัดจุดไฟจากการเอาไม้มาถูบ้างล่ะ หัดกางเต็นท์บ้างล่ะ อะไรบ้างล่ะ ถึงตอนนี้มันยังไม่มีประโยชน์เลย เพราะการหุงอาหารล่าสัตว์จับปลาดักตีหัวไก่ก็เป็นฝีมือนักรบหนุ่มด้วยกันทั้งสิ้น
แต่คนที่มีหน้าที่เกือบทุกอย่างได้บรรจงลากเขาไปอย่างทะนุถนอม ทะนุถนอมมากจนแขนแทบหลุด! เพื่อไปยืนฟังการเจรจาอะไรสักอย่างกับขบวนพ่อค้าอะไรสักอย่างที่เตรียมตัวออกเดินทาง ดูหน้าตาเข้าสิ แต่ละคนบ่งบอกยี่ห้อว่าขุนโจรสิบแปดมงกุฎทั้งนั้น บุตรชายขุนนางยืนกอดอกหน้าตาบอกบุญไม่รับอยู่ใกล้เคียงนั้นเอง เขาไม่ยอมเข้าไปใกล้พวกที่คำนวณตัวเลขอะไรไม่รู้เกี่ยวกับเขาหรอก เขาไม่มีสามสิบหกยี่สิบหกสามสิบหกเหมือนผู้หญิงหรอกนะ!
เอ...เดี๋ยวก่อนสิ ยี่สิบเหรียญทอง สามสิบเหรียญทอง บ้างก็ร้อยเหรียญทอง เฮ้ย! นี่มันราคาตอนประมูลทาสในตลาดประมูลนี่! เซอนาร์รีบกลับไปยืนข้างกายจนแทบจะฝังเป็นอวัยวะเกินของนักรบหนุ่ม เขามีเจ้านี่เป็นโล่นะ...ขอบอก ถ้าคิดจะจับไปขายต้องผ่านเพื่อนสุดหินคนนี้ก่อน! เอ่อ...ถ้าผ่านไปได้ เขาจะเสนอเกมวิ่งไล่จับให้คิดดูอีกทีแล้วกัน!
ก่อนจะทันรู้ตัว คนขี้กลัวที่หันไปเจอสาวงามของขบวนก็โดนโยนขึ้นเกวียนที่มีแต่ชายหน้าเหี้ยมเต็มไปหมด...
“อย่าไปยุ่งกับพวกผู้หญิงนะขอรับ นายท่าน” เด็กหนุ่มหน้าหวานคนหนึ่งมุดออกมาจากกองชุมนุมขายร่างบึก พร้อมรอยยิ้มเจิดจ้าสว่างไสวที่มากเกินพอดี “พวกนั้นเป็นคุณผู้หญิงน้อยๆทั้งนั้น อืม...แต่พวกนางไม่ได้อยู่ในฐานะมารดาข้าหรอกนะ”
“พวกที่กล้าไปยุ่งกลายเป็นเงือกไปแล้ว” หนึ่งในนั้นสนับสนุนคำพูดของคุณชายน้อยประจำขบวน บุตรชายเพียงคนเดียวของหัวหน้า ซึ่งมีภรรยาเป็นสิบ
กลายเป็นเงือก...มีขากลายเป็นหาง? เอ่อ... หรือว่าอยู่ใต้น้ำและไม่ต้องใช้อากาศหายใจอีกต่อไป...
เฮอลิออนกลอกตาอยู่ครู่หนึ่งกับเสียงเจื้อยแจ้วจำนรรจาแล้วแกะห่อข้าวที่กองคาราวานส่งมาให้ตั้งแต่ต้น เขาอยากให้คนข้างกายช่วยนั่งลงแล้วหยุดถามนู่นถามนี่เสียทีเถอะ ดูท่าแล้ว...อีกฝ่ายคงยังไม่รู้ตัวแน่ๆ หรือว่ารู้แล้วแต่ทำใจดีสู้เสือ? นั่นสินะ...บอกไว้ก่อนคงไม่เสียหาย
นักรบหนุ่มดึงคนที่โต้ตอบการสนทนาอย่างกล้าๆกลัวๆพลางกระซิบ ถึงจะอาศัยมาในขบวนเดินทางเดียวกันได้ ทางที่ดีอย่าส่งเสียงรบกวนอะไรดีกว่า เพราะที่นี่คือขบวนพ่อค้าเถื่อน คำว่า ‘เถื่อน’ มาจากคำว่าความหมายทุกอย่าง ตั้งแต่ส่งข้าวของสินค้าแบบไม่ถูกต้องถูกหลักเท่าไรแล้ว ยังครอบคลุมถึงคำว่า ‘ป่าเถื่อนกับโยนลงจากเกวียน’ ด้วย มีขบวนให้เดินทาง มีหลังคาให้บังแดด นั่นคือทางที่ดีที่สุดแล้ว ท่านหัวหน้ากองเคยพูดคุยกับพวกนี้ตอนที่พาพวกเขาไปปฏิบัติภารกิจ เขาจึงเรียนรู้ได้ไงล่ะ!
ถ้าไม่ใช่พ่อค้าเร่ ไม่ใช่เข้าไปตรงๆ หรือผ่านทางที่ต้องหยุดตรวจที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองล่ะก็ แปลว่าสิ่งที่พวกนางใช้เดินทางต้องเป็นอะไรที่ไม่ผ่านทางนั้นเช่นกัน แล้วใครจะรู้เส้นทางลับพวกนั้นดีกว่าขบวนพ่อค้าเถื่อน? สาเหตุที่ชายร่างบึกอยู่เต็มคันรถไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอก
“ถ้าจะกระซิบดังขนาดนี้ ข้าว่าเจ้าตะโกนออกมาเลยดีกว่า” หนึ่งในชายร่างบึกที่ว่าเอ่ยขึ้นอย่างรำคาญ อันที่จริงเสียงที่เฮอลิออนใช้นับว่าเบาที่สุดเท่าที่จัสามารถแล้ว แต่หูของพวกเขาดีเกินไปต่างหาก
จูเนียร์ เด็กหนุ่มหน้าหวานคนเดิมที่สวมชุดแบบชาวอาหรับ ซึ่งคนในขบวนก็สวมชุดแบบนี้ทั้งนั้น เขาเบียดร่างของพวกตัวโตออกมาได้สำเร็จ โดยมีช่องว่างเพียงไม่กี่เซนติเมตรเท่านั้น นี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำพให้รูปร่างเพรียวบางสะโอดสะองนัก หรือไม่...คงมาจากการที่เป็นเบาะรองนั่งให้คนพวกนี้ตั้งแต่เด็ก สำหรับคนตัวโตๆ คุณชายน้อยก็เหมือนผ้าพันคอขนสัตว์ เบาติดมือและบางทีก็หาไม่เจอในคนหมู่มาก เรื่องการนั่งทับก็ต้องมีบ้าง
อย่างไรก็ตาม คำพูดของเฮอลิออนทำให้เขาเงียบลงไปได้ทันที ไม่สนกระทั่งการเบียดกระแซะของจูเนียร์เลยบแม้แต่น้อย เอ่อ...ก็มาเบียดทำไมเล่า? เซอนาร์รีบเบียดนักรบหนุ่มเพื่อหนีทันที
“ถ้าเจ้าหากระเป๋าตังค์อยู่ล่ะก็ มันอยู่ที่ข้าต่างหาก” เฮอลิออนส่งสายตาปรามพลางใช้มือกันๆเพื่อไล่ฝ่ายนั้นให้หนีไป “เราจ่ายเงินให้หัวหน้ากองไปแล้วและเขารับประกันความปลอดภัย ฉะนั้น...เจ้าห้ามละเมิดข้อตกลง”
“เราเป็นพ่อค้าเถื่อนนะ พี่ชาย” จูเนียร์ยักคิ้ว พลางกระโดดเข้าสู่อ้อมกอดของเซอนาร์โดยตรง “ถ้าข้าจะควานหาเหรียญทองจากตัวพี่ชายสวยๆคนนี้ล่ะก็ ข้าคงเข้าประชิดติดแนบตั้งแต่วินาทีแรกแล้ว” ก่อนจะส่งสายตาออดอ้อนไปให้คนที่อุ้มตนอยู่ “เฮ้อ... ท่านทำให้ข้านึกถึงความหวานในหอนางโลมดอกท้อทางทิศตะวันออกเลย”
นักรบหนุ่มสบถด่าพวกที่เสี้ยมสอนเรื่องผิดศีลธรรมให้เด็ก ก่อนจะส่งสายตาสงสารให้กับเขา “เจ้าไม่น่ามารู้เรื่องพวกนี้เลย เด็กควรขาวเหมือนผ้า...เอ่อ...ผ้าเพิ่งซัก? เอ่อ...ผ้าขาวน่ะ”
“คิดลึกจัง พี่ชาย ตอนนั้นข้าสิบขวบเองนะ ข้าอ้อนพวกนางแล้วก็ได้รับขนมมาต่างหาก” เด็กหนุ่มวัยสิบสี่ปีหัวเราะคิกคักระหว่างยักคิ้ว “ระหว่างนั้นพวกพี่ชายตัวโตๆก็ปล้นร้านเหล้าฝั่งตรงข้ามไป สงสัยจะไม่ถูกกันมั้ง?”
ป้อนขนมเด็กที่เป็นบุตรชายของหัวหน้าโจร แถมยังเป็นระหว่างการปล้นอีก! เฮอลิออนชักรู้สึกทะแม่งๆกับขบวนคาราวานนี้เต็มที นอกจากเป็นพวกพ่อค้าขนของเถื่อนขายของไม่ถูกหลักทำนองคลองธรรมแล้ว ยังเป็นโจรปล้นร้านเหล้าด้วยเรอะ! ถึงกระนั้น...ใจนางยากแท้หยั่งถึงจริงๆ ถ้าเป็นเขาหรือเซอนาร์ต้องมานั่งตัวสั่นไม่กล้าแตะแน่ๆ
แม้จะกล่าวได้ว่าบุคคลทั้งสองในข้างต้นคืออัศวินพิทักษ์เจ้าหญิงแห่งโชคชะตา หรืออนึ่งจะเรียกว่าเจ้าหญิงแห่งการเยียวยา ดูเหมือนว่าขบวนของพวกเขาทั้งสองจะห่างไกลกันลิบลับ ในขณะที่พวกเขาลัดเลาะผ่านป่าไป แม่น้ำสายหนึ่งที่มีเรือลำน้อยของขบวนประมงแล่นฉิวพร้อมสุราฮาเฮกลับตัดกลางป่าโดยตรง ฝ่ายผู้ชายก็ดื่มเหล้าตกปลากันไป ฝ่ายภรรยาหรือผู้หญิงเตรียมอาหารเลี้ยงแบบไม่อั้น พวกชาวประมงที่ล่องเรือเล่นพวกนี้จะสนิทสนมกับพวกตรวจคนเข้าเมืองเป็นพิเศษ โดยเฉพาะยามที่มีเสบียงของฝากรสชาติหวานกรอบแบบนี้
ด้วยน้ำใจกล้างใหญ่ของคนสายน้ำ หญิงสาวทั้งสองพบว่ากุ้งแม่น้ำตัวโตๆของที่นี่เนื้อหวานดีเหลือเกิน แถมยังย่างด้วยฝีมือของมืออาชีพอีกต่างหาก แรกๆลิเดเรียอาจกล้าๆกลัวๆอยู่บ้าง แต่พอโดนสหายร่วมชะตากรรมยัดใส่ปากไปชิ้นโต ดูเหมือนนางจะเริ่มอร่อยกับเขาแล้วเหมือนกัน
นี่ก็เป็นอีกมื้อที่กุ้งตัวโตเป็นอาหารจานหลัก เพราะทุกคนจะโปรดปรานมากกว่าเนื้อปลา แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีวัตถุดิบชนิดที่ว่าออกมาเสิร์ฟเลย เมอไนเลี่ยนได้ทั้งประสบการณ์การปิ้งอาหารและตกปลาจากคนในเรือมากมาย ส่วนลิเดเรียจำได้นิดๆหน่อยๆแต่เน้นเรื่องการย่างมากกว่า อย่างน้อยงานในครัวก็เป็นหน้าที่ของสุภาพสตรีได้
หัวหน้าในหมู่ภรรยาหรือในที่นี้เรียกกันว่มูแอร์ มูแอร์อาจไม่ได้ฟังเรื่องเล่าทุกส่วนของนาง แต่ฟังเฉพาะส่วนที่มีคนออกตามหา หรือเมอไนเลี่ยนชอบกัดอยู่บ่อยๆว่าเป็นการตามหาคนเสียมากกว่า เพราะอีกฝ่ายไม่เคยปล่อยเวลาให้ไหลไป โดยไม่พูดเรื่องอัศวินแห่งโชคชะตาเกินหนึ่งชั่วโมง
มูแอร์เป็นหญิงวัยกลางคนที่ร่างท้วมอยู่สักหน่อย แต่แน่นอนว่าแข็งแรงมากพอๆกับผู้ชาย นางยื่นน้ำชาให้เจ้าหญิง เนื่องจากเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายไม่ต้องการแตะน้ำเมาเลยอย่างจริงจัง ผิดกับเมอไนเลี่ยนที่เมาหลับตั้งแต่วันแรก ตอนนี้วันเวลาถัดจากพวกเฮอลิออนมาราวสามถึงสี่วันได้แล้ว เท่ากับว่าพวกนางอยู่บนเรือนี้มาครบหนึ่งสัปดาห์พอดี หากไม่เจอเรือระหว่างเดินทะลุเข้าไปในป่าอย่างหลงๆงงๆล่ะก็ ป่านนี้พวกนางคงเดินเท้าจ้ำกันเข้าไปแล้ว
มูแอร์โอบร่างของเจ้าหญิงสองคนไว้เหมือนบุตรสาว แม้คนทั้งสองจะอึดอัดแต่ก็รู้สึกดี “เอาล่ะ ข้าว่าเรามาค้นหาปัญหาระหว่างพวกเจ้ากันดีกว่า ถ้ายังรักที่จะเดินทางด้วยกันน่ะนะ ข้าชอบสันติสุขและสามัคคี ลูกเรือหรือคนที่ขึ้นเรือข้าจึงควรจะสามัคคีเช่นกัน”
เมอไนเลี่ยนมองเจ้าหญิงแห่งการเยียวยาอีกคน ก่อนจะช้อนตามองมูแอร์อีกครั้งหนึ่ง พวกนางไม่สามัคคีตรงไหนกัน?
“เอาล่ะ ข้าสังเกตพวกเจ้ามาโดยตลอด ระหว่างที่เจ้า...ลิเดเรีย มักรอคอยคาดหวังเสมอว่าอัศวินของตนจะมาพบ แต่เรื่องนี้ข้าเห็นด้วยกับเมอไนเลี่ยน บางครั้งเจ้าต้องเรียนรู้ที่จะยืนหยัดขึ้นสู้ด้วยตนเอง หากมีผู้มุ่งร้ายซึ่งอัศวินช่วยเจ้าไม่ได้ขึ้นมาเล่า? เจ้าจะทำอย่างไร” มูแอร์กล่าวด้วยน้ำเสียงเมตตากึ่งสอนสั่ง ก่อนจะหันไปทางเมอไนเลี่ยน “เราทุกคนรู้ดีว่าเจ้าไม่ได้มีพรสวรรค์ในฐานะชาวประมงเท่านั้น ยังมีความสามารถไม่แพ้บุรุษเพศเลยทีเดียว ในขณะเดียวกัน...เจ้าทระนงตัวเกินไป มันจะเป็นไฟที่เผาผลาญทุกสิ่งได้ แม้ในบุรุษยังต้องอ่อนโยน เจ้าเป็นสตรีโดยแท้ จำต้องมีสิ่งนั้นบ้าง”
นักรบหญิงพยักหน้ารับอย่างไม่เต็มใจนัก ในใจก็เถียงไปอย่างคนหัวดื้อ ความอ่อนหวานเหลาะแหละแบบฝ่ายโน้นน่ะรึ? แต่ไหนแต่ไร โชคชะตากำหนดให้นางเป็นฝ่ายที่มีแข็งแกร่งอยู่แล้ว ไยต้องไปทำตัวเป็นกุลสตรีตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงแต่ตั้งฟ้าสางจรดจันทราลับกันล่ะ ดาบคู่กายช่วงนางได้มาโดยตลอด และมันจะช่วยนางต่อไปเรื่อยๆโดยไม่ต้องใช้คำพูดหวานหูดูเป็นเจ้าหญิงแบบนั้นหรอก
แม้จะยิ้มรับกับคำสอน นัยน์ตาของลิเดเรียอดสะท้อนความกิ่งเกรงออกมาไม่ได้ ลุกขึ้นมาจับดาบสู้หรือ? ทั้งที่นางเป็นผู้หญิงไร้เกราะน่ะรึ แล้วยังคำพูดกระโชกโฮกฮากเหล่านั้นอีก การตกปลาอาจเป็นสิ่งที่สุภาพสตรีทั่วไปสามารถทำได้อย่างไม่ผิดกฏระเบียบมารยาทใด แต่ใช่ว่าผู้หญิงต้องออกท่าทางเหวี่ยงเบ็ดเสียขนาดนั้นนี่ แล้วการโอบคอแตะเนื้อต้องตัวบุรุษอย่างห้าวหาญ เมาหลับไปด้วยกันแบบนั้น นางไม่เคยถูกเสี้ยมสอนมาเลยสักนิด ตอนนี้ก็ไม่คิดจะเรียนรู้ด้วย
มูแอร์มองหญิงสาวทั้งสองซึ่งมีความคิดตรงกันใน ‘การเดินทาง’ แต่กลับไม่ปรารถนาจะยอมรับและสัมผัสในสิ่งที่ตนไม่เคยลอง บางทีสวรรค์อาจสร้างให้พวกนางแตกต่างเพื่อเป็นจุดเติมเต็มกันและกัน ทว่า...นี่อาจเป็นจุดต่างมากจนเกินไปก็ได้ เพราะแทนที่รอยฟันปลาจะประกบติดแน่นตามความแตกต่าง นิสัยเหล่านั้นกลับหันคมมาใส่กันเองอย่างเงียบงัน ถ้าปล่อยไว้แบบนี้สุดท้ายก็ต้องแตกกันอยู่ดี ไฉนเลยมูแอร์จะยื่นมือไปขัดขวางอนาคตได้?
หัวหน้าภรรยาบนเรือประมงอันเต็มไปด้วยเสียงเฮฮานี้ทิ้งท้ายไว้ให้พวกนางคิดเพียงแค่ว่า...โลกนี้เปลี่ยนไปตามสถานที่ แม้นางจะไม่ได้ยกตัวอย่างขึ้นมาเพราะไม่รู้ฐานะแท้จริงของทั้งสอง แต่ใจความนั้นสรุปได้ว่า...เมื่อลิเดเรียเป็นเจ้าหญิง นางสามารถรอคอยการปกป้องจากชาวเมืองและทหาร หากว่านางก้าวเข้าสู่กลางสมรภูมิรบ สิ่งเดียวที่นางทำได้คือหยิบอาวุธขึ้นมาเพื่อฝ่าฟันสู่จุดหมายเท่านั้น
เช่นเดียวกับสถานที่ของเมอไนเลี่ยน นางอาจเติบโตขึ้นมาอย่างโหดร้าย ไม่เชื่อในความเป็นสุภาพบุรุษหรือการปกป้องของเพศตรงข้าม ไม่เชื่อว่าความอ่อนหวานน่าเอ็นดูใจช่วยใครได้ ทว่า...โลกใบนี้ไม่ได้เต็มไปด้วยสมรภูมิ เมื่อนางก้าวเข้าสู่สวนดอกไม้แสนหวานซึ่งมีกลิ่นหอมรายล้อมกาย นางจะพบว่าดาบในมือถูกเก็บลงฝัก แน่นอนว่าแค่เก็บมันลงชั่วคราว ไม่ใช่โยนทิ้งไปทันทีที่เจอสวนดอกไม้ดั่งสวรรค์นั้น เพราะไม่มีใครยืนยันว่าสมรภูมิรบจะมาติดชิดปลายเท้านางเมื่อใด
คล้อยหลังมูแอร์ ลิเดเรียสบตากับเจ้าหญิงร่วมชะตากรรมอย่างเงียบงัน หากสุดท้ายอีกฝ่ายก็เลื่อนเบือนหน้าหนีไป พวกนางเดินทางเพื่อรอเวลาแห่งการเยียวยาเท่านั้น ไม่ได้มาเพื่อผูกมิตรกับใคร สิ่งที่พวกนางรู้คือเมื่อปักดาบลงในตัวอีกฝ่าย มีเพียงคนเดียวที่จะได้รับการดำรงคงอยู่ ส่วนใครจะเป็นอย่างไรหรือเกิดอะไรกับผู้ถูกแทง นางไม่ทราบเลยแม้แต่น้อย แต่ต่างก็รู้ดีว่าไม่คงไม่คุ้มค่าในการลองแน่นอน
เพราะสิ่งที่ใช้เดิมพันอาจเป็น...ชีวิต
พวกนางโตขึ้นมาเสมือนเหรียญคนละด้าน โดยมีกึ่งกลางกำแพงแห่งชะตากรรมเดียวกัน แต่ทุกคน...และใจของพวกนางรู้ดี สิ่งที่เป็นกำแพงไม่ได้แค่โชคชะตาเท่านั้น บางที...สิ่งที่แข็งและเปลี่ยนแปลงไม่ได้มากกว่าโชคชะตา คงเป็นบางอย่างที่เรียกว่า..กำแพงน้ำแข็งแห่งความเชื่อใจในตัวกันและกัน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ