The Tale Of Lilian.
-
เขียนโดย ปรัสรา
วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2556 เวลา 22.52 น.
6 session
0 วิจารณ์
9,245 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 8 เมษายน พ.ศ. 2556 14.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) SS.2
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ “พวกนางหนีไปแล้ว” เฮอลิออนมาแจ้งข่าว ทั้งที่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องแจ้ง “เจ้าไม่คิดจะตามหาเหรอ?”
“ตามทำไม เดี๋ยวพวกทหารพระราชาก็ตามมาเองนั่นแหละ”
แม้ท่าทีจะไม่เชื่อเอาอย่างจริงจัง แต่ใจหนึ่งของบุตรชายขุนนางก็อดคิดถึงสิ่งทั้งหลายนั่นไม่ได้ พวกนางจำเป็นต้องหลอกด้วยเรื่องไร้สาระนี้ไปเพื่ออะไร? หากเป็นเหตุผลเชิงเหยียดหยามที่เขาใช้ยั่วโมโหคนตรงหน้าล่ะก็ เซอนาร์ก็ว่าพวกนางคงมีวิธีที่ดีกว่านี้หลายเท่านัก
ไปป์สีเงินขลิบทองถูกจุดขึ้นสูบ ระหว่างมองแผ่นหลังของนักรบหนุ่มถอยออกไปเรื่อยๆ กองเอกสารตรงหน้าที่ผู้เป็นบิดาให้เขาจัดการเกี่ยวกับงานด้านกิจการส่วนตัวถูกปล่อยทิ้งไว้ แทนที่ด้วยเท้าที่ยกขึ้นมาพาดอย่างไร้มารยาทแทน ต้องสนใจทำไมกันมารยาท? ในเมื่อในห้องนี้ไม่มีใคร คนหนึ่งมาเพื่อธุระแล้วก็ออกไป เป็นแบบนี้ทั้งวันนั่นแหละ
บุตรชายขุนนางเลิกแขนเสื้อด้านขวาขึ้น รอยกุหลาบสีน้ำเงินดอกนั้นได้จางไปแล้ว แต่เรื่องราวและการคงอยู่ของมันได้เกิดขึ้น เขารู้แจ้งแก่ใจดี ทาสหญิงคนหนึ่งกับเจ้าหญิงตัวประกันคงไม่ทำอะไรแบบเดียวกัน เพียงเพราะต้องการทำเรื่องต้องห้ามหรือก้าวสู่ตำแหน่งของภรรยาที่ถูกต้องของพวกชนชั้นสูงหรอกนะ? แววตาของพวกนางไร้สิ่งใดเจือปน แต่เป็นใจเขาเองที่ไม่คิดจะเชื่อและไม่เคยปรารถนาจะเชื่อ
กรอบรูปไม้มันวาวสอดรูปของเขาในงานเลี้ยงแสนรื่นรมย์ ที่นั่นมีหญิงสาวมากหน้าหลายตาและสนใจในฐานันดรหน้าตาเขาอย่างยิ่ง ถูกต้อง...สนใจในฐานันดร แล้วจึงเลื่อนมาเป็นหน้าตา ไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องความดีกับศีลธรรม เพราะชนชั้นสูงในอาภรณ์หรูหราทั้งหลาย ใช่ว่าจิตใจที่งดงามดังเปลือกนอกแห่งกายาเช่นเดียวกันนี่? เขาเองก็เช่นกัน เขาทราบว่าตนเองไม่ใช่คนดีอะไรเลย
แต่การนั่งผิดท่าผิดมารยาทจำต้องยุติลง เมื่อท่านขุนนางเดินเข้ามา ท่านเป็นคนที่มีกายสูงชะลูดและใบหน้าดุแกมหยิ่งแบบพวกชนชั้นสูงเฮี้ยบทั้งหลาย ในขณะเดียวกัน นัยน์ตาที่ส่อเค้าความขุ่นเคืองเริ่มเพิ่มกำลังขึ้น เมื่อเห็นว่าบุตรชายไม่ได้กำลังลงมือจัดการงานเอกสารในกิจการอยู่ แม้เรื่องค้าขายโดยส่วนใหญ่จะมีผู้จัดการที่รู้ใจเขาคอยดูแลให้ แต่ท่านขุนนางยังปรารถนาให้บุตรชายทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเสียที
ท้ายที่สุด...นัยน์ตาที่ประสานกัน ท่านขุนนางก็เป็นฝ่ายอ่อนลง ท่านนั่งลงในที่ประจำของตัวเองทุกครั้งที่มาในห้องนี้ “มันจะเสร็จก่อนเย็นนี้ได้ใช่ไหม ข้าไม่อยากให้มีเรื่องค้างคาจนถึงมื้อเย็น”
“ข้าไม่ทราบ” และนั่นคือความจริง
สำหรับผู้ที่มีใบหน้าดุแกมหยิ่ง เมื่อใบหน้านั้นเริ่มผ่อนลงและอ่อนโยนขึ้นเพราะกำลังพูดกับบุตรชาย ความน่ากลัวเริ่มจางหายไปอย่างช้าๆพร้อมกลิ่นอายเมตตาที่ปรากฏ ท่านเสนาบดีพบว่าอีกฝ่ายกำลังคิด แน่ล่ะ ไม่ใช่เรื่องของมารีแอนน่า เลดี้เบอรัคไกวส์ หรือสาวน้อยลอเรนน่า แต่เป็นเรื่องบางอย่างที่ควรค่าแก่การคิด ท่านใคร่รู้ว่ามันคืออะไร สิ่งใดที่ทำให้บุตรชายจอมเสเพลมานั่งไตร่ตรองเช่นนี้ได้?
เซอนาร์คล้ายจะอ้าปากเอ่ยวาจาออกมาอยู่หลายครั้ง แล้วมันก็หยุดลง เหมือนจะเอ่ย , แล้วก็หยุด จนท่านเสนาบดีต้องเตือนทางอ้อมว่าตนไม่มีเวลาว่างทั้งวัน โดยการยกนาฬิกาพกทองคำขึ้นมามอง อันที่จริงนี่เป็นความบังเอิญในการแวะเวียนเข้ามาดูเท่านั้น ท่านไม่คาดคิดว่าต้องใช้เวลานานขนาดนี้ด้วยซ้ำ
เซอนาร์พอจะรับรู้ในการเตือนของบิดา เขาลงไปนั่งข้างกายและพิงไหล่เหมือนเด็ก “ท่านพ่อ มีบางคนบอกในเรื่องที่ลูกไม่เชื่ออย่างที่สุด”
“มีสิ่งใดในโลกที่ไม่น่าเชื่อถือกันเล่า?” มารดาของเฮอลิออนหัวเราะกับเรื่องที่ทำให้บุตรชายกลับมาเยือนอีกครั้ง
เขาเป็นเด็กหนุ่มที่น่าชื่นชม ประพฤติดีและมีวินัยมาตั้งแต่เด็ก นั่นทำให้ครอบครัวชนชั้นกลางเล็กๆครอบครัวหนึ่งจะภาคภูมิได้ นอกเหนือจากฝีมือทำขนมปังที่สืบทอดกันมา ทั้งยังช่วยเหลือดูแลตัวเองมาตั้งแต่เยาว์วัย มันนานมากจนนางเองยังจำไม่ได้เลย ว่าครั้งสุดท้ายที่นักรบหนุ่มหันหน้ามาปรึกษาคือเมื่อไร?
แม้จะกล่าวว่าตนเองพร้อมจะเป็นอัศวินพิทักษ์เจ้าหญิงแห่งโชคชะตา เจ้าหญิงผู้ต้องมีชีวิตอยู่จนถึงเวลาแห่งการเยียวยา เขาก็อดหนักใจในเรื่องนี้ไม่ได้ เฮอลิออนเพิ่งทราบว่าตนเองเป็นหนึ่งในกองค้นหา แต่เขาควรทำอย่างไร? ค้นหาเพื่อส่งตัวว่าที่พระสนมแก่พระราชา? ส่งนางทาสหญิงเผ่านักรบสู่ที่คุมขัง? สู่การฝึกปรือฝีมือเพื่อเป็นกำลังรบในราชอาณาจักรต่อไป? หรือว่า...
พวกนางกล่าวว่าตนเองต้องเดินทางเพื่อต้อนรับวันเวลาแห่งการเยียวยา สิ่งนี้จะมาถึงเมื่อใด หากว่าเขาหันหลังจากผู้ที่อาจจะเป็นชะตากรรมของโลก แล้วทำผลงานเพื่อรับใช้ตามคำสั่งเบื้องบนเฉกเช่นทุกทีเล่า หากว่ามันเป็นหนทางที่ผิด หากว่าเขาได้ทำลายโอกาสแห่งสิ่งที่ตนเองยังไม่ทราบแน่ชัดว่าคืออะไร หากว่าเป็นเช่นนั้น...
สีหน้ากลัดกลุ้มของเขาทำให้ช่างทำขนมปังหญิงอดยิ้มออกมาไม่ได้ นางถอดผ้ากันเปื้อนลายดอกไม้ผืนเก่า ต่อให้บุตรชายกล่าวว่าสามารถใช้เงินเลี้ยงดูตนได้อย่างสบาย หรือมอบของกำนัลราคาแพงมาให้มากมาย สิ่งที่นางปรารถนาคือการทำในสิ่งที่รักต่อไป การตื่นขึ้นมานวดแป้งขนมปังเฉกเช่นทุกวัน ซึ่งนางอยากและได้รับไม้กลึงอันใหม่ใหญ่กว่าเดิมมาเรียบร้อยแล้ว
เมื่อครู่นี้ เฮอลิออนเพิ่งเล่าสิ่งที่เหมือนนิทานปรัมปราออกมา คงเป็นบางส่วนจากสิบแน่นอน ซึ่งนางเองก็ไม่ทราบว่าควรเชื่อหรือไม่ เจ้าหญิงมีอยู่จริงในโลกใบนี้ เจ้าหญิงในราชวงศ์และพระราชวัง แต่เจ้าหญิงแห่งการเยียวยาโลกเยียวยาในทางใดกันเล่า? นางอยากให้เขานำความเรื่องหญิงสาวในดวงใจสักคนกลับมามากกว่า แม้เฮอลิออนยังคงเป็นเด็กชายตัวน้อยอยู่เสมอก็เถอะ มันต้องเป็นหัวข้อที่ให้คำปรึกษาได้ง่ายกว่าแน่
แต่สำหรับตอนนี้...นางคือมารดาที่มีคำปรึกษาให้เสมอ
“ลูกรัก ไม่มีใครหนีหน้าที่พ้นหรอก ไม่ว่าเจ้าจะปฏิเสธแค่ไหน” นางวางมือลงบนฝ่ามือหยาบกร้านจากการฝึกซ้อมของเขา “แต่หน้าที่นั้นคืออะไร นั่นคือสิ่งที่เจ้าต้องตัดสินใจเอง สิ่งสำคัญคือเจ้าต้องไม่เสียดายในการทิ้งอย่างใดอย่างหนึ่ง หากเจ้าช่วยพวกนางในตอนนี้ มันอาจเป็นโอกาสแรกและโอกาสเดียว อนึ่ง...ถ้ามันเป็นเรื่องโกหก เจ้าคงโดนลดขั้น หนักถึงการลงโทษร้ายแรง แน่นอนว่าถ้านางพูดความจริง เจ้าคือวีรบุรุษ”
“ข้าไม่ได้อยากเป็นวีรบุรุษ ข้า...เซอนาร์ไม่เชื่อด้วยซ้ำว่าพวกนางพูดจริง” เขากล่าวเบาๆ คำกล่าวอ้างนั้นราวกับต้องการใช้ชื่อใครสักคนมาเป็นโล่ป้องว่าตนไม่ได้คิดในสิ่งที่ว่าเลย คงเพราะมันย้อนแย้งกับสิ่งที่เคยกล่าวไว้ ถ้าเจ้าไม่คิดว่าพวกนางเป็นเจ้าหญิงแห่งโชคชะตาที่ต้องพิทักษ์ ข้าจะทำหน้าที่นั้นเองโดยสมบูรณ์ ตอนนี้เขากลับเป็นฝ่ายสงสัยในเรื่องนั้นเสียเอง สมควรที่ไหนกัน!
สำหรับนักรบ พลทหาร อัศวินหรือราชองครักษ์ทุกคน สิ่งสำคัญคือการทำตามหน้าที่และคำสั่งอย่างเคร่งครัด เฮอลิออนเองก็ทำหน้าที่เช่นนี้มาตลอด เขาไม่เคยเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนาย ไม่ว่าเงินจำนวนมหาศาล , สาวงามหรืออำนาจราชศักดิ์เพียงใดไม่เคยซื้อใจเขาได้เลย แต่เรื่องนี้มันผิดกัน เขายังคงซื่อสัตย์เฉกเช่นวันวานที่เคยรับใช้องค์ราชา แต่คำสั่งของพระองค์อาจทำลายล้างโลกใบนี้ได้!
แม้เขาจะไม่ทราบความหมายของการเยียวยา แต่พอจะสัมผัสได้ว่ามันร้ายแรงพอสมควร
แล้วเขาควรทำอย่างไรดี?
“ทำตามใจเจ้าสิ เจ้าทำแบบนั้นมาตลอดไม่ใช่รึ?” ท่านเสนาบดีมองคนที่ยกไปป์ขึ้นสูบอย่างเงียบเหงา หลังเล่าประหลาดมหัศจรรย์พันลึกระหว่างเจ้าหญิงว่าที่พระสนมกับทาสหญิงเผ่านักรบออกมา หากเทียบกับเฮอลิออนที่เก็บความลับบางส่วนแล้ว ฝั่งนี้กลับเล่าออกมาโดยไม่ปิดบังส่วนใดเลย คงเพราะความไว้ใจในสายเลือดและอาการที่สื่อออกมาให้ทราบว่า ‘เรื่องนี้เป็นความลับ’
ท่านเสนาบดีไม่คิดเข้าข้างบุตรชายตัวเองโดยการยุยงให้เข้าร่วมกับเจ้าหญิงแห่งชะตากรรมแน่นอน รวมทั้งไม่หักห้ามเพราะรู้ดีถึงความหมายของโชคชะตา ห้ามอย่างไร สุดท้ายก็ได้ทำหรือ ‘ต้องทำ’ อยู่ดี มนุษย์เรามีเรื่องแปลกประหลาดแบบนี้เสมอ
สิ่งสำคัญยิ่งยวดในตอนนี้ นั่นคือไม่รู้ว่าบุตรชายทราบหรือไม่ เรื่องที่พระราชามีคำสั่งให้เร่งติดตามว่าที่พระสนมกลับมาโดยด่วน ทั้งยังประสานกับเมืองที่ตนได้รับชัยทั้งหลายให้รีบนำพวกนางกลับคืนสู่อาณาจักรอย่างรวดเร็วที่สุด แม้จะไม่ใช่คืนก็พระราชพิธีแต่งตั้นฐานะแก่นาง การหนีไปเช่นนี้นับว่าหักหน้าพระองค์ไม่น้อยเลยทีเดียว
คำตอบของผู้เป็นบิดาเหมือนเขาวงกต ปลายทางของวาจานั้นมีความหมายอย่างไร? การทำตามใจตนคือการทำตัวตามสบาย เช้าตื่นมาก็ล่าสัตว์ ตกเย็นก็เข้าสโมสร ยามค่ำสับเปลี่ยนงานเลี้ยงไปเรื่อยๆเพื่อค้นหาใครสักคนสำหรับตลอดคืนหรือ รึว่าท่านกำลังหมายถึงการแน่ใจและมุ่งเข้าไปหาเจ้าหญิงสององค์นั้น บอกนางว่าพวกเขาเชื่อในการปกป้อง
“ท่านพ่อ ท่านคิดหรือเปล่าว่าข้าเป็นคนไม่ได้เรื่อง?” เด็กหนุ่มกัดไปป์เบาๆเมื่อกล่าวออกไป
ท่านเสนาบดีเลิกคิ้ว “เจ้าอยากได้ความจริงหรือคำโกหกกันล่ะ?” ก่อนจะมองออกไปเบื้องหน้า โต๊ะทำงาน ชั้นหนังสือ พื้นหินมันวาว อาจมีสักสิ่งที่เขาตั้งใจจับจ้อง นอกจากเหม่อ “ถ้าเจ้าอยากได้คำโกหก คำตอบคือเจ้าสมบูรณ์แบบแล้ว เจ้ามีเสน่ห์กับผู้หญิง เรียนรู้ได้ไวในหลายๆเรื่อง”
เซอนาร์กัดไปป์แน่นขึ้น แล้วถ้าเขาต้องการ ‘ความจริง’ ล่ะ?
“ความจริงก็คือ...เราทุกคนล้วนไม่ได้เรื่อง ตัวข้าเองก็เถอะ เด็กใจกล้าที่สบตาข้าโดยไม่ร้องไห้ควรค่าแก่การยกย่องเป็นวีรบุรุษ ข้าคือคนที่ไม่ได้เรื่องกับพวกเด็กๆ” ท่านกล่าวอย่างอึดอัดในเรื่องนี้ สังเกตได้จากการขยับตัวเล็กน้อย “ส่วนเจ้า แม้หน้าหวานไปบ้างเพราะถอดแบบจากมารดา แต่ก็มีเสน่ห์และใจดีกับพวกเด็กๆ ถามว่าไม่ได้เรื่องกับอะไรบ้าง โอ้...ร่ายยาวเลย อยากฟังไหมล่ะ”
เขาคลายฟันกับออกจากส่วนที่กัดไว้ อยากจะทราบ ทว่า...มันคงดีกว่าหากว่าเป็นความลับในตอนนี้ คนเราล้วนมีข้อด้อยในแต่ละเรื่อง มันสมควรจะรู้ในถูกเวลา ไม่ใช่ในตอนที่เขากำลังสับสนกับสิ่งที่เรียกวาภาระหน้าที่ตามโชคชะตา บางทีการที่เขาสับสน คงเพราะว่ามันเป็นโชคชะตาที่ควรสับสน มันร่ำร้องให้เขาตามหาเพื่อพิทักษ์พวกนางอย่างสมบูรณ์ มิใช่โยนหน้าที่ให้กับนักรบหนุ่มเพียงผู้เดียว
ตอนนี้เขารู้แต่ว่าตัวเองกำลังลองเสี่ยงทายในใจ ถ้าเขานับหนึ่งถึงสิบแล้วเจ้านั่นยังไม่เอาม้ามารับเขาไปร่วมผจญภัยด้วยล่ะก็ เขาจะถือว่าทุกอย่างเป็นโมฆะจริงๆด้วย
หนึ่ง...
สอง...
สาม...
เป็นโมฆะจริงๆนะ~!
ห้า...
หก...
เจ็ด...
ก๊อก...ก๊อก เสียงเคาะประตูดังขึ้น ตามด้วยร่างของสาวใช้ในชุดกระโปรงสีส้ม สวมผ้ากันเปื้อนสีขาวผืนใหญ่ นางมาพร้อมกับน้ำชาเพราะเจ้านายอยู่ในห้องกันมานานพอสมควรแล้ว บางทีพวกเขาอาจจะกระหายน้ำและรอใครสักคนยกชามาเสิร์ฟ นั่นคือหน้าที่ที่สาวใช้พึงปฏิบัติ
เก้า...
สิบ...
เงียบกริบ!
“ท่านพ่อ ลูกคิดว่า...”
ร่างหนึ่งคุ้นตาเดินเข้ามาอย่างว่องไว “ขออภัยท่านเสนาบดี ข้าอยู่ทักทายไม่ได้ รวมทั้งต้องขอตัวบุตรชายของท่านโดยด่วน”
“มีเวลาน้ำชาสำหรับเราทั้งสามไหม?” ท่านเสนาบดีกล่าวอย่างสุขุม แต่นัยน์ตาเจือความขบขัน เมื่อเห็นว่าบุตรชายแสดงความดีใจออกมาทางสีหน้าเพียงใด
“แน่นอน...ท่านพ่อ เมื่อข้ากลับมา” เขากล่าวพร้อมรอยยิ้ม “แต่ตอนนี้...ข้าต้องขอตัวไปทำธุระตามพรหมลิขิตกับใครบางคนก่อน”
เสียงประตูได้ปิดลงไปครู่หนึ่งแล้ว พร้อมสาวใช้ที่รั้งรอร่างไว้เพื่อดูว่าเจ้านายยังต้องการสิ่งใดเพิ่มเติมหรือเปล่า บางทีอาจจะใช่ ท่านมีคำถามหนึ่งซึ่งอาจจะไม่ต้องการคนตอบ ทว่า...คนฟังยังคงมีประโยชน์เสมอสำหรับสิ่งนี้ “ ‘เมื่อข้ากลับมารึ?’ นี่บุตรชายข้าโตพอสำหรับคำพูดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!”
“พวกนางหนีไปได้” เสียงเล่าขานของชายผู้หนึ่งดังไปทั่วทั้งห้องลับใต้ดิน มีเพียงแสงเทียนจากเชิงเทียนเล็กๆที่เขาถือมาเท่านั้น
บุคคลผู้ปรากฏในเงามืดสวมผ้าคลุมปิดหน้าตา เขามีร่างเล็กที่สูงราวเมตรครึ่งและเผยตัวออกมาจากหลังเสาทีละน้อย ฝ่ายนั้นทวนคำด้วยน้ำเสียงแหบคล้ายคนแก่จนแยกไม่ออกว่าเป็นหญิงหรือชาย เสียงนั้นบ่นพึมพำในลำคออย่างโมโห ก่อนจะส่งสัญญาณให้คนร้อนรนสงบใจลง
“ข้าควรทำอย่างไรดี!” ชายผู้ถือเชิงเทียนคุกเข่ากล่าวออกไปจนกึ่งจะเป็นตะโกนพร้อมความร้อนใจ ไม่แพ้แสงที่วูบวาบตามแรงลม เงาของเขาปัดป่ายซ้ายที... ขวาที... ตามการโยกตัวไปมา โดยบุคคลในเงามืดนั้นรอจนกว่าเขาจะสงบลง ซึ่งชายผู้นั้นเข้าใจในความเงียบของบทสนทนาดี
“ข้าพยายามแก้ไขในสิ่งนี้อย่างสุดความสามารถแล้ว หวังว่าท่านจะไม่เคืองโกรธ” แววตาของชายถือเชิงเทียนเศร้าสร้อย หากแต่ความเงียบยังคงปรากฏ บ่งบอกถึงอารมณ์อันคุกรุ่นของคนในชุดคลุม
คล้อยหลังเขาไปไม่นาน เสียงแหบห้าวนั่นกรีดร้องขึ้นมาแหลมสูงราวกับเป็นเสียงร้องของนกมุ่งร้ายเหยื่ออย่างที่สุด!
“ตามทำไม เดี๋ยวพวกทหารพระราชาก็ตามมาเองนั่นแหละ”
แม้ท่าทีจะไม่เชื่อเอาอย่างจริงจัง แต่ใจหนึ่งของบุตรชายขุนนางก็อดคิดถึงสิ่งทั้งหลายนั่นไม่ได้ พวกนางจำเป็นต้องหลอกด้วยเรื่องไร้สาระนี้ไปเพื่ออะไร? หากเป็นเหตุผลเชิงเหยียดหยามที่เขาใช้ยั่วโมโหคนตรงหน้าล่ะก็ เซอนาร์ก็ว่าพวกนางคงมีวิธีที่ดีกว่านี้หลายเท่านัก
ไปป์สีเงินขลิบทองถูกจุดขึ้นสูบ ระหว่างมองแผ่นหลังของนักรบหนุ่มถอยออกไปเรื่อยๆ กองเอกสารตรงหน้าที่ผู้เป็นบิดาให้เขาจัดการเกี่ยวกับงานด้านกิจการส่วนตัวถูกปล่อยทิ้งไว้ แทนที่ด้วยเท้าที่ยกขึ้นมาพาดอย่างไร้มารยาทแทน ต้องสนใจทำไมกันมารยาท? ในเมื่อในห้องนี้ไม่มีใคร คนหนึ่งมาเพื่อธุระแล้วก็ออกไป เป็นแบบนี้ทั้งวันนั่นแหละ
บุตรชายขุนนางเลิกแขนเสื้อด้านขวาขึ้น รอยกุหลาบสีน้ำเงินดอกนั้นได้จางไปแล้ว แต่เรื่องราวและการคงอยู่ของมันได้เกิดขึ้น เขารู้แจ้งแก่ใจดี ทาสหญิงคนหนึ่งกับเจ้าหญิงตัวประกันคงไม่ทำอะไรแบบเดียวกัน เพียงเพราะต้องการทำเรื่องต้องห้ามหรือก้าวสู่ตำแหน่งของภรรยาที่ถูกต้องของพวกชนชั้นสูงหรอกนะ? แววตาของพวกนางไร้สิ่งใดเจือปน แต่เป็นใจเขาเองที่ไม่คิดจะเชื่อและไม่เคยปรารถนาจะเชื่อ
กรอบรูปไม้มันวาวสอดรูปของเขาในงานเลี้ยงแสนรื่นรมย์ ที่นั่นมีหญิงสาวมากหน้าหลายตาและสนใจในฐานันดรหน้าตาเขาอย่างยิ่ง ถูกต้อง...สนใจในฐานันดร แล้วจึงเลื่อนมาเป็นหน้าตา ไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องความดีกับศีลธรรม เพราะชนชั้นสูงในอาภรณ์หรูหราทั้งหลาย ใช่ว่าจิตใจที่งดงามดังเปลือกนอกแห่งกายาเช่นเดียวกันนี่? เขาเองก็เช่นกัน เขาทราบว่าตนเองไม่ใช่คนดีอะไรเลย
แต่การนั่งผิดท่าผิดมารยาทจำต้องยุติลง เมื่อท่านขุนนางเดินเข้ามา ท่านเป็นคนที่มีกายสูงชะลูดและใบหน้าดุแกมหยิ่งแบบพวกชนชั้นสูงเฮี้ยบทั้งหลาย ในขณะเดียวกัน นัยน์ตาที่ส่อเค้าความขุ่นเคืองเริ่มเพิ่มกำลังขึ้น เมื่อเห็นว่าบุตรชายไม่ได้กำลังลงมือจัดการงานเอกสารในกิจการอยู่ แม้เรื่องค้าขายโดยส่วนใหญ่จะมีผู้จัดการที่รู้ใจเขาคอยดูแลให้ แต่ท่านขุนนางยังปรารถนาให้บุตรชายทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเสียที
ท้ายที่สุด...นัยน์ตาที่ประสานกัน ท่านขุนนางก็เป็นฝ่ายอ่อนลง ท่านนั่งลงในที่ประจำของตัวเองทุกครั้งที่มาในห้องนี้ “มันจะเสร็จก่อนเย็นนี้ได้ใช่ไหม ข้าไม่อยากให้มีเรื่องค้างคาจนถึงมื้อเย็น”
“ข้าไม่ทราบ” และนั่นคือความจริง
สำหรับผู้ที่มีใบหน้าดุแกมหยิ่ง เมื่อใบหน้านั้นเริ่มผ่อนลงและอ่อนโยนขึ้นเพราะกำลังพูดกับบุตรชาย ความน่ากลัวเริ่มจางหายไปอย่างช้าๆพร้อมกลิ่นอายเมตตาที่ปรากฏ ท่านเสนาบดีพบว่าอีกฝ่ายกำลังคิด แน่ล่ะ ไม่ใช่เรื่องของมารีแอนน่า เลดี้เบอรัคไกวส์ หรือสาวน้อยลอเรนน่า แต่เป็นเรื่องบางอย่างที่ควรค่าแก่การคิด ท่านใคร่รู้ว่ามันคืออะไร สิ่งใดที่ทำให้บุตรชายจอมเสเพลมานั่งไตร่ตรองเช่นนี้ได้?
เซอนาร์คล้ายจะอ้าปากเอ่ยวาจาออกมาอยู่หลายครั้ง แล้วมันก็หยุดลง เหมือนจะเอ่ย , แล้วก็หยุด จนท่านเสนาบดีต้องเตือนทางอ้อมว่าตนไม่มีเวลาว่างทั้งวัน โดยการยกนาฬิกาพกทองคำขึ้นมามอง อันที่จริงนี่เป็นความบังเอิญในการแวะเวียนเข้ามาดูเท่านั้น ท่านไม่คาดคิดว่าต้องใช้เวลานานขนาดนี้ด้วยซ้ำ
เซอนาร์พอจะรับรู้ในการเตือนของบิดา เขาลงไปนั่งข้างกายและพิงไหล่เหมือนเด็ก “ท่านพ่อ มีบางคนบอกในเรื่องที่ลูกไม่เชื่ออย่างที่สุด”
“มีสิ่งใดในโลกที่ไม่น่าเชื่อถือกันเล่า?” มารดาของเฮอลิออนหัวเราะกับเรื่องที่ทำให้บุตรชายกลับมาเยือนอีกครั้ง
เขาเป็นเด็กหนุ่มที่น่าชื่นชม ประพฤติดีและมีวินัยมาตั้งแต่เด็ก นั่นทำให้ครอบครัวชนชั้นกลางเล็กๆครอบครัวหนึ่งจะภาคภูมิได้ นอกเหนือจากฝีมือทำขนมปังที่สืบทอดกันมา ทั้งยังช่วยเหลือดูแลตัวเองมาตั้งแต่เยาว์วัย มันนานมากจนนางเองยังจำไม่ได้เลย ว่าครั้งสุดท้ายที่นักรบหนุ่มหันหน้ามาปรึกษาคือเมื่อไร?
แม้จะกล่าวว่าตนเองพร้อมจะเป็นอัศวินพิทักษ์เจ้าหญิงแห่งโชคชะตา เจ้าหญิงผู้ต้องมีชีวิตอยู่จนถึงเวลาแห่งการเยียวยา เขาก็อดหนักใจในเรื่องนี้ไม่ได้ เฮอลิออนเพิ่งทราบว่าตนเองเป็นหนึ่งในกองค้นหา แต่เขาควรทำอย่างไร? ค้นหาเพื่อส่งตัวว่าที่พระสนมแก่พระราชา? ส่งนางทาสหญิงเผ่านักรบสู่ที่คุมขัง? สู่การฝึกปรือฝีมือเพื่อเป็นกำลังรบในราชอาณาจักรต่อไป? หรือว่า...
พวกนางกล่าวว่าตนเองต้องเดินทางเพื่อต้อนรับวันเวลาแห่งการเยียวยา สิ่งนี้จะมาถึงเมื่อใด หากว่าเขาหันหลังจากผู้ที่อาจจะเป็นชะตากรรมของโลก แล้วทำผลงานเพื่อรับใช้ตามคำสั่งเบื้องบนเฉกเช่นทุกทีเล่า หากว่ามันเป็นหนทางที่ผิด หากว่าเขาได้ทำลายโอกาสแห่งสิ่งที่ตนเองยังไม่ทราบแน่ชัดว่าคืออะไร หากว่าเป็นเช่นนั้น...
สีหน้ากลัดกลุ้มของเขาทำให้ช่างทำขนมปังหญิงอดยิ้มออกมาไม่ได้ นางถอดผ้ากันเปื้อนลายดอกไม้ผืนเก่า ต่อให้บุตรชายกล่าวว่าสามารถใช้เงินเลี้ยงดูตนได้อย่างสบาย หรือมอบของกำนัลราคาแพงมาให้มากมาย สิ่งที่นางปรารถนาคือการทำในสิ่งที่รักต่อไป การตื่นขึ้นมานวดแป้งขนมปังเฉกเช่นทุกวัน ซึ่งนางอยากและได้รับไม้กลึงอันใหม่ใหญ่กว่าเดิมมาเรียบร้อยแล้ว
เมื่อครู่นี้ เฮอลิออนเพิ่งเล่าสิ่งที่เหมือนนิทานปรัมปราออกมา คงเป็นบางส่วนจากสิบแน่นอน ซึ่งนางเองก็ไม่ทราบว่าควรเชื่อหรือไม่ เจ้าหญิงมีอยู่จริงในโลกใบนี้ เจ้าหญิงในราชวงศ์และพระราชวัง แต่เจ้าหญิงแห่งการเยียวยาโลกเยียวยาในทางใดกันเล่า? นางอยากให้เขานำความเรื่องหญิงสาวในดวงใจสักคนกลับมามากกว่า แม้เฮอลิออนยังคงเป็นเด็กชายตัวน้อยอยู่เสมอก็เถอะ มันต้องเป็นหัวข้อที่ให้คำปรึกษาได้ง่ายกว่าแน่
แต่สำหรับตอนนี้...นางคือมารดาที่มีคำปรึกษาให้เสมอ
“ลูกรัก ไม่มีใครหนีหน้าที่พ้นหรอก ไม่ว่าเจ้าจะปฏิเสธแค่ไหน” นางวางมือลงบนฝ่ามือหยาบกร้านจากการฝึกซ้อมของเขา “แต่หน้าที่นั้นคืออะไร นั่นคือสิ่งที่เจ้าต้องตัดสินใจเอง สิ่งสำคัญคือเจ้าต้องไม่เสียดายในการทิ้งอย่างใดอย่างหนึ่ง หากเจ้าช่วยพวกนางในตอนนี้ มันอาจเป็นโอกาสแรกและโอกาสเดียว อนึ่ง...ถ้ามันเป็นเรื่องโกหก เจ้าคงโดนลดขั้น หนักถึงการลงโทษร้ายแรง แน่นอนว่าถ้านางพูดความจริง เจ้าคือวีรบุรุษ”
“ข้าไม่ได้อยากเป็นวีรบุรุษ ข้า...เซอนาร์ไม่เชื่อด้วยซ้ำว่าพวกนางพูดจริง” เขากล่าวเบาๆ คำกล่าวอ้างนั้นราวกับต้องการใช้ชื่อใครสักคนมาเป็นโล่ป้องว่าตนไม่ได้คิดในสิ่งที่ว่าเลย คงเพราะมันย้อนแย้งกับสิ่งที่เคยกล่าวไว้ ถ้าเจ้าไม่คิดว่าพวกนางเป็นเจ้าหญิงแห่งโชคชะตาที่ต้องพิทักษ์ ข้าจะทำหน้าที่นั้นเองโดยสมบูรณ์ ตอนนี้เขากลับเป็นฝ่ายสงสัยในเรื่องนั้นเสียเอง สมควรที่ไหนกัน!
สำหรับนักรบ พลทหาร อัศวินหรือราชองครักษ์ทุกคน สิ่งสำคัญคือการทำตามหน้าที่และคำสั่งอย่างเคร่งครัด เฮอลิออนเองก็ทำหน้าที่เช่นนี้มาตลอด เขาไม่เคยเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนาย ไม่ว่าเงินจำนวนมหาศาล , สาวงามหรืออำนาจราชศักดิ์เพียงใดไม่เคยซื้อใจเขาได้เลย แต่เรื่องนี้มันผิดกัน เขายังคงซื่อสัตย์เฉกเช่นวันวานที่เคยรับใช้องค์ราชา แต่คำสั่งของพระองค์อาจทำลายล้างโลกใบนี้ได้!
แม้เขาจะไม่ทราบความหมายของการเยียวยา แต่พอจะสัมผัสได้ว่ามันร้ายแรงพอสมควร
แล้วเขาควรทำอย่างไรดี?
“ทำตามใจเจ้าสิ เจ้าทำแบบนั้นมาตลอดไม่ใช่รึ?” ท่านเสนาบดีมองคนที่ยกไปป์ขึ้นสูบอย่างเงียบเหงา หลังเล่าประหลาดมหัศจรรย์พันลึกระหว่างเจ้าหญิงว่าที่พระสนมกับทาสหญิงเผ่านักรบออกมา หากเทียบกับเฮอลิออนที่เก็บความลับบางส่วนแล้ว ฝั่งนี้กลับเล่าออกมาโดยไม่ปิดบังส่วนใดเลย คงเพราะความไว้ใจในสายเลือดและอาการที่สื่อออกมาให้ทราบว่า ‘เรื่องนี้เป็นความลับ’
ท่านเสนาบดีไม่คิดเข้าข้างบุตรชายตัวเองโดยการยุยงให้เข้าร่วมกับเจ้าหญิงแห่งชะตากรรมแน่นอน รวมทั้งไม่หักห้ามเพราะรู้ดีถึงความหมายของโชคชะตา ห้ามอย่างไร สุดท้ายก็ได้ทำหรือ ‘ต้องทำ’ อยู่ดี มนุษย์เรามีเรื่องแปลกประหลาดแบบนี้เสมอ
สิ่งสำคัญยิ่งยวดในตอนนี้ นั่นคือไม่รู้ว่าบุตรชายทราบหรือไม่ เรื่องที่พระราชามีคำสั่งให้เร่งติดตามว่าที่พระสนมกลับมาโดยด่วน ทั้งยังประสานกับเมืองที่ตนได้รับชัยทั้งหลายให้รีบนำพวกนางกลับคืนสู่อาณาจักรอย่างรวดเร็วที่สุด แม้จะไม่ใช่คืนก็พระราชพิธีแต่งตั้นฐานะแก่นาง การหนีไปเช่นนี้นับว่าหักหน้าพระองค์ไม่น้อยเลยทีเดียว
คำตอบของผู้เป็นบิดาเหมือนเขาวงกต ปลายทางของวาจานั้นมีความหมายอย่างไร? การทำตามใจตนคือการทำตัวตามสบาย เช้าตื่นมาก็ล่าสัตว์ ตกเย็นก็เข้าสโมสร ยามค่ำสับเปลี่ยนงานเลี้ยงไปเรื่อยๆเพื่อค้นหาใครสักคนสำหรับตลอดคืนหรือ รึว่าท่านกำลังหมายถึงการแน่ใจและมุ่งเข้าไปหาเจ้าหญิงสององค์นั้น บอกนางว่าพวกเขาเชื่อในการปกป้อง
“ท่านพ่อ ท่านคิดหรือเปล่าว่าข้าเป็นคนไม่ได้เรื่อง?” เด็กหนุ่มกัดไปป์เบาๆเมื่อกล่าวออกไป
ท่านเสนาบดีเลิกคิ้ว “เจ้าอยากได้ความจริงหรือคำโกหกกันล่ะ?” ก่อนจะมองออกไปเบื้องหน้า โต๊ะทำงาน ชั้นหนังสือ พื้นหินมันวาว อาจมีสักสิ่งที่เขาตั้งใจจับจ้อง นอกจากเหม่อ “ถ้าเจ้าอยากได้คำโกหก คำตอบคือเจ้าสมบูรณ์แบบแล้ว เจ้ามีเสน่ห์กับผู้หญิง เรียนรู้ได้ไวในหลายๆเรื่อง”
เซอนาร์กัดไปป์แน่นขึ้น แล้วถ้าเขาต้องการ ‘ความจริง’ ล่ะ?
“ความจริงก็คือ...เราทุกคนล้วนไม่ได้เรื่อง ตัวข้าเองก็เถอะ เด็กใจกล้าที่สบตาข้าโดยไม่ร้องไห้ควรค่าแก่การยกย่องเป็นวีรบุรุษ ข้าคือคนที่ไม่ได้เรื่องกับพวกเด็กๆ” ท่านกล่าวอย่างอึดอัดในเรื่องนี้ สังเกตได้จากการขยับตัวเล็กน้อย “ส่วนเจ้า แม้หน้าหวานไปบ้างเพราะถอดแบบจากมารดา แต่ก็มีเสน่ห์และใจดีกับพวกเด็กๆ ถามว่าไม่ได้เรื่องกับอะไรบ้าง โอ้...ร่ายยาวเลย อยากฟังไหมล่ะ”
เขาคลายฟันกับออกจากส่วนที่กัดไว้ อยากจะทราบ ทว่า...มันคงดีกว่าหากว่าเป็นความลับในตอนนี้ คนเราล้วนมีข้อด้อยในแต่ละเรื่อง มันสมควรจะรู้ในถูกเวลา ไม่ใช่ในตอนที่เขากำลังสับสนกับสิ่งที่เรียกวาภาระหน้าที่ตามโชคชะตา บางทีการที่เขาสับสน คงเพราะว่ามันเป็นโชคชะตาที่ควรสับสน มันร่ำร้องให้เขาตามหาเพื่อพิทักษ์พวกนางอย่างสมบูรณ์ มิใช่โยนหน้าที่ให้กับนักรบหนุ่มเพียงผู้เดียว
ตอนนี้เขารู้แต่ว่าตัวเองกำลังลองเสี่ยงทายในใจ ถ้าเขานับหนึ่งถึงสิบแล้วเจ้านั่นยังไม่เอาม้ามารับเขาไปร่วมผจญภัยด้วยล่ะก็ เขาจะถือว่าทุกอย่างเป็นโมฆะจริงๆด้วย
หนึ่ง...
สอง...
สาม...
เป็นโมฆะจริงๆนะ~!
ห้า...
หก...
เจ็ด...
ก๊อก...ก๊อก เสียงเคาะประตูดังขึ้น ตามด้วยร่างของสาวใช้ในชุดกระโปรงสีส้ม สวมผ้ากันเปื้อนสีขาวผืนใหญ่ นางมาพร้อมกับน้ำชาเพราะเจ้านายอยู่ในห้องกันมานานพอสมควรแล้ว บางทีพวกเขาอาจจะกระหายน้ำและรอใครสักคนยกชามาเสิร์ฟ นั่นคือหน้าที่ที่สาวใช้พึงปฏิบัติ
เก้า...
สิบ...
เงียบกริบ!
“ท่านพ่อ ลูกคิดว่า...”
ร่างหนึ่งคุ้นตาเดินเข้ามาอย่างว่องไว “ขออภัยท่านเสนาบดี ข้าอยู่ทักทายไม่ได้ รวมทั้งต้องขอตัวบุตรชายของท่านโดยด่วน”
“มีเวลาน้ำชาสำหรับเราทั้งสามไหม?” ท่านเสนาบดีกล่าวอย่างสุขุม แต่นัยน์ตาเจือความขบขัน เมื่อเห็นว่าบุตรชายแสดงความดีใจออกมาทางสีหน้าเพียงใด
“แน่นอน...ท่านพ่อ เมื่อข้ากลับมา” เขากล่าวพร้อมรอยยิ้ม “แต่ตอนนี้...ข้าต้องขอตัวไปทำธุระตามพรหมลิขิตกับใครบางคนก่อน”
เสียงประตูได้ปิดลงไปครู่หนึ่งแล้ว พร้อมสาวใช้ที่รั้งรอร่างไว้เพื่อดูว่าเจ้านายยังต้องการสิ่งใดเพิ่มเติมหรือเปล่า บางทีอาจจะใช่ ท่านมีคำถามหนึ่งซึ่งอาจจะไม่ต้องการคนตอบ ทว่า...คนฟังยังคงมีประโยชน์เสมอสำหรับสิ่งนี้ “ ‘เมื่อข้ากลับมารึ?’ นี่บุตรชายข้าโตพอสำหรับคำพูดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!”
“พวกนางหนีไปได้” เสียงเล่าขานของชายผู้หนึ่งดังไปทั่วทั้งห้องลับใต้ดิน มีเพียงแสงเทียนจากเชิงเทียนเล็กๆที่เขาถือมาเท่านั้น
บุคคลผู้ปรากฏในเงามืดสวมผ้าคลุมปิดหน้าตา เขามีร่างเล็กที่สูงราวเมตรครึ่งและเผยตัวออกมาจากหลังเสาทีละน้อย ฝ่ายนั้นทวนคำด้วยน้ำเสียงแหบคล้ายคนแก่จนแยกไม่ออกว่าเป็นหญิงหรือชาย เสียงนั้นบ่นพึมพำในลำคออย่างโมโห ก่อนจะส่งสัญญาณให้คนร้อนรนสงบใจลง
“ข้าควรทำอย่างไรดี!” ชายผู้ถือเชิงเทียนคุกเข่ากล่าวออกไปจนกึ่งจะเป็นตะโกนพร้อมความร้อนใจ ไม่แพ้แสงที่วูบวาบตามแรงลม เงาของเขาปัดป่ายซ้ายที... ขวาที... ตามการโยกตัวไปมา โดยบุคคลในเงามืดนั้นรอจนกว่าเขาจะสงบลง ซึ่งชายผู้นั้นเข้าใจในความเงียบของบทสนทนาดี
“ข้าพยายามแก้ไขในสิ่งนี้อย่างสุดความสามารถแล้ว หวังว่าท่านจะไม่เคืองโกรธ” แววตาของชายถือเชิงเทียนเศร้าสร้อย หากแต่ความเงียบยังคงปรากฏ บ่งบอกถึงอารมณ์อันคุกรุ่นของคนในชุดคลุม
คล้อยหลังเขาไปไม่นาน เสียงแหบห้าวนั่นกรีดร้องขึ้นมาแหลมสูงราวกับเป็นเสียงร้องของนกมุ่งร้ายเหยื่ออย่างที่สุด!
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ