The Tale Of Lilian.

-

เขียนโดย ปรัสรา

วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2556 เวลา 22.52 น.

  6 session
  0 วิจารณ์
  9,391 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 เมษายน พ.ศ. 2556 14.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) SS.2

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

      “พวกนางหนีไปแล้ว”  เฮอลิออนมาแจ้งข่าว  ทั้งที่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องแจ้ง  “เจ้าไม่คิดจะตามหาเหรอ?”

     “ตามทำไม  เดี๋ยวพวกทหารพระราชาก็ตามมาเองนั่นแหละ”

     แม้ท่าทีจะไม่เชื่อเอาอย่างจริงจัง  แต่ใจหนึ่งของบุตรชายขุนนางก็อดคิดถึงสิ่งทั้งหลายนั่นไม่ได้  พวกนางจำเป็นต้องหลอกด้วยเรื่องไร้สาระนี้ไปเพื่ออะไร?  หากเป็นเหตุผลเชิงเหยียดหยามที่เขาใช้ยั่วโมโหคนตรงหน้าล่ะก็  เซอนาร์ก็ว่าพวกนางคงมีวิธีที่ดีกว่านี้หลายเท่านัก

     ไปป์สีเงินขลิบทองถูกจุดขึ้นสูบ  ระหว่างมองแผ่นหลังของนักรบหนุ่มถอยออกไปเรื่อยๆ  กองเอกสารตรงหน้าที่ผู้เป็นบิดาให้เขาจัดการเกี่ยวกับงานด้านกิจการส่วนตัวถูกปล่อยทิ้งไว้  แทนที่ด้วยเท้าที่ยกขึ้นมาพาดอย่างไร้มารยาทแทน  ต้องสนใจทำไมกันมารยาท?  ในเมื่อในห้องนี้ไม่มีใคร  คนหนึ่งมาเพื่อธุระแล้วก็ออกไป  เป็นแบบนี้ทั้งวันนั่นแหละ

     บุตรชายขุนนางเลิกแขนเสื้อด้านขวาขึ้น  รอยกุหลาบสีน้ำเงินดอกนั้นได้จางไปแล้ว  แต่เรื่องราวและการคงอยู่ของมันได้เกิดขึ้น  เขารู้แจ้งแก่ใจดี  ทาสหญิงคนหนึ่งกับเจ้าหญิงตัวประกันคงไม่ทำอะไรแบบเดียวกัน  เพียงเพราะต้องการทำเรื่องต้องห้ามหรือก้าวสู่ตำแหน่งของภรรยาที่ถูกต้องของพวกชนชั้นสูงหรอกนะ?  แววตาของพวกนางไร้สิ่งใดเจือปน  แต่เป็นใจเขาเองที่ไม่คิดจะเชื่อและไม่เคยปรารถนาจะเชื่อ

     กรอบรูปไม้มันวาวสอดรูปของเขาในงานเลี้ยงแสนรื่นรมย์  ที่นั่นมีหญิงสาวมากหน้าหลายตาและสนใจในฐานันดรหน้าตาเขาอย่างยิ่ง  ถูกต้อง...สนใจในฐานันดร  แล้วจึงเลื่อนมาเป็นหน้าตา  ไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องความดีกับศีลธรรม  เพราะชนชั้นสูงในอาภรณ์หรูหราทั้งหลาย  ใช่ว่าจิตใจที่งดงามดังเปลือกนอกแห่งกายาเช่นเดียวกันนี่?  เขาเองก็เช่นกัน  เขาทราบว่าตนเองไม่ใช่คนดีอะไรเลย

     แต่การนั่งผิดท่าผิดมารยาทจำต้องยุติลง  เมื่อท่านขุนนางเดินเข้ามา  ท่านเป็นคนที่มีกายสูงชะลูดและใบหน้าดุแกมหยิ่งแบบพวกชนชั้นสูงเฮี้ยบทั้งหลาย  ในขณะเดียวกัน  นัยน์ตาที่ส่อเค้าความขุ่นเคืองเริ่มเพิ่มกำลังขึ้น  เมื่อเห็นว่าบุตรชายไม่ได้กำลังลงมือจัดการงานเอกสารในกิจการอยู่  แม้เรื่องค้าขายโดยส่วนใหญ่จะมีผู้จัดการที่รู้ใจเขาคอยดูแลให้  แต่ท่านขุนนางยังปรารถนาให้บุตรชายทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเสียที

     ท้ายที่สุด...นัยน์ตาที่ประสานกัน  ท่านขุนนางก็เป็นฝ่ายอ่อนลง  ท่านนั่งลงในที่ประจำของตัวเองทุกครั้งที่มาในห้องนี้  “มันจะเสร็จก่อนเย็นนี้ได้ใช่ไหม  ข้าไม่อยากให้มีเรื่องค้างคาจนถึงมื้อเย็น”

     “ข้าไม่ทราบ”  และนั่นคือความจริง

     สำหรับผู้ที่มีใบหน้าดุแกมหยิ่ง  เมื่อใบหน้านั้นเริ่มผ่อนลงและอ่อนโยนขึ้นเพราะกำลังพูดกับบุตรชาย  ความน่ากลัวเริ่มจางหายไปอย่างช้าๆพร้อมกลิ่นอายเมตตาที่ปรากฏ  ท่านเสนาบดีพบว่าอีกฝ่ายกำลังคิด  แน่ล่ะ  ไม่ใช่เรื่องของมารีแอนน่า  เลดี้เบอรัคไกวส์  หรือสาวน้อยลอเรนน่า  แต่เป็นเรื่องบางอย่างที่ควรค่าแก่การคิด  ท่านใคร่รู้ว่ามันคืออะไร  สิ่งใดที่ทำให้บุตรชายจอมเสเพลมานั่งไตร่ตรองเช่นนี้ได้?

     เซอนาร์คล้ายจะอ้าปากเอ่ยวาจาออกมาอยู่หลายครั้ง  แล้วมันก็หยุดลง  เหมือนจะเอ่ย , แล้วก็หยุด  จนท่านเสนาบดีต้องเตือนทางอ้อมว่าตนไม่มีเวลาว่างทั้งวัน  โดยการยกนาฬิกาพกทองคำขึ้นมามอง  อันที่จริงนี่เป็นความบังเอิญในการแวะเวียนเข้ามาดูเท่านั้น  ท่านไม่คาดคิดว่าต้องใช้เวลานานขนาดนี้ด้วยซ้ำ

     เซอนาร์พอจะรับรู้ในการเตือนของบิดา  เขาลงไปนั่งข้างกายและพิงไหล่เหมือนเด็ก  “ท่านพ่อ  มีบางคนบอกในเรื่องที่ลูกไม่เชื่ออย่างที่สุด”

 

     “มีสิ่งใดในโลกที่ไม่น่าเชื่อถือกันเล่า?”  มารดาของเฮอลิออนหัวเราะกับเรื่องที่ทำให้บุตรชายกลับมาเยือนอีกครั้ง

     เขาเป็นเด็กหนุ่มที่น่าชื่นชม  ประพฤติดีและมีวินัยมาตั้งแต่เด็ก  นั่นทำให้ครอบครัวชนชั้นกลางเล็กๆครอบครัวหนึ่งจะภาคภูมิได้  นอกเหนือจากฝีมือทำขนมปังที่สืบทอดกันมา  ทั้งยังช่วยเหลือดูแลตัวเองมาตั้งแต่เยาว์วัย  มันนานมากจนนางเองยังจำไม่ได้เลย  ว่าครั้งสุดท้ายที่นักรบหนุ่มหันหน้ามาปรึกษาคือเมื่อไร?

     แม้จะกล่าวว่าตนเองพร้อมจะเป็นอัศวินพิทักษ์เจ้าหญิงแห่งโชคชะตา  เจ้าหญิงผู้ต้องมีชีวิตอยู่จนถึงเวลาแห่งการเยียวยา เขาก็อดหนักใจในเรื่องนี้ไม่ได้  เฮอลิออนเพิ่งทราบว่าตนเองเป็นหนึ่งในกองค้นหา  แต่เขาควรทำอย่างไร?  ค้นหาเพื่อส่งตัวว่าที่พระสนมแก่พระราชา?  ส่งนางทาสหญิงเผ่านักรบสู่ที่คุมขัง?  สู่การฝึกปรือฝีมือเพื่อเป็นกำลังรบในราชอาณาจักรต่อไป?  หรือว่า...

     พวกนางกล่าวว่าตนเองต้องเดินทางเพื่อต้อนรับวันเวลาแห่งการเยียวยา  สิ่งนี้จะมาถึงเมื่อใด  หากว่าเขาหันหลังจากผู้ที่อาจจะเป็นชะตากรรมของโลก  แล้วทำผลงานเพื่อรับใช้ตามคำสั่งเบื้องบนเฉกเช่นทุกทีเล่า  หากว่ามันเป็นหนทางที่ผิด  หากว่าเขาได้ทำลายโอกาสแห่งสิ่งที่ตนเองยังไม่ทราบแน่ชัดว่าคืออะไร  หากว่าเป็นเช่นนั้น...

     สีหน้ากลัดกลุ้มของเขาทำให้ช่างทำขนมปังหญิงอดยิ้มออกมาไม่ได้  นางถอดผ้ากันเปื้อนลายดอกไม้ผืนเก่า  ต่อให้บุตรชายกล่าวว่าสามารถใช้เงินเลี้ยงดูตนได้อย่างสบาย  หรือมอบของกำนัลราคาแพงมาให้มากมาย  สิ่งที่นางปรารถนาคือการทำในสิ่งที่รักต่อไป  การตื่นขึ้นมานวดแป้งขนมปังเฉกเช่นทุกวัน  ซึ่งนางอยากและได้รับไม้กลึงอันใหม่ใหญ่กว่าเดิมมาเรียบร้อยแล้ว

     เมื่อครู่นี้  เฮอลิออนเพิ่งเล่าสิ่งที่เหมือนนิทานปรัมปราออกมา  คงเป็นบางส่วนจากสิบแน่นอน  ซึ่งนางเองก็ไม่ทราบว่าควรเชื่อหรือไม่  เจ้าหญิงมีอยู่จริงในโลกใบนี้  เจ้าหญิงในราชวงศ์และพระราชวัง  แต่เจ้าหญิงแห่งการเยียวยาโลกเยียวยาในทางใดกันเล่า?  นางอยากให้เขานำความเรื่องหญิงสาวในดวงใจสักคนกลับมามากกว่า  แม้เฮอลิออนยังคงเป็นเด็กชายตัวน้อยอยู่เสมอก็เถอะ  มันต้องเป็นหัวข้อที่ให้คำปรึกษาได้ง่ายกว่าแน่

     แต่สำหรับตอนนี้...นางคือมารดาที่มีคำปรึกษาให้เสมอ

     “ลูกรัก  ไม่มีใครหนีหน้าที่พ้นหรอก  ไม่ว่าเจ้าจะปฏิเสธแค่ไหน”  นางวางมือลงบนฝ่ามือหยาบกร้านจากการฝึกซ้อมของเขา  “แต่หน้าที่นั้นคืออะไร  นั่นคือสิ่งที่เจ้าต้องตัดสินใจเอง  สิ่งสำคัญคือเจ้าต้องไม่เสียดายในการทิ้งอย่างใดอย่างหนึ่ง  หากเจ้าช่วยพวกนางในตอนนี้  มันอาจเป็นโอกาสแรกและโอกาสเดียว  อนึ่ง...ถ้ามันเป็นเรื่องโกหก  เจ้าคงโดนลดขั้น  หนักถึงการลงโทษร้ายแรง  แน่นอนว่าถ้านางพูดความจริง  เจ้าคือวีรบุรุษ”

     “ข้าไม่ได้อยากเป็นวีรบุรุษ  ข้า...เซอนาร์ไม่เชื่อด้วยซ้ำว่าพวกนางพูดจริง”  เขากล่าวเบาๆ  คำกล่าวอ้างนั้นราวกับต้องการใช้ชื่อใครสักคนมาเป็นโล่ป้องว่าตนไม่ได้คิดในสิ่งที่ว่าเลย  คงเพราะมันย้อนแย้งกับสิ่งที่เคยกล่าวไว้  ถ้าเจ้าไม่คิดว่าพวกนางเป็นเจ้าหญิงแห่งโชคชะตาที่ต้องพิทักษ์  ข้าจะทำหน้าที่นั้นเองโดยสมบูรณ์  ตอนนี้เขากลับเป็นฝ่ายสงสัยในเรื่องนั้นเสียเอง  สมควรที่ไหนกัน!

     สำหรับนักรบ  พลทหาร  อัศวินหรือราชองครักษ์ทุกคน  สิ่งสำคัญคือการทำตามหน้าที่และคำสั่งอย่างเคร่งครัด  เฮอลิออนเองก็ทำหน้าที่เช่นนี้มาตลอด  เขาไม่เคยเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนาย  ไม่ว่าเงินจำนวนมหาศาล , สาวงามหรืออำนาจราชศักดิ์เพียงใดไม่เคยซื้อใจเขาได้เลย  แต่เรื่องนี้มันผิดกัน  เขายังคงซื่อสัตย์เฉกเช่นวันวานที่เคยรับใช้องค์ราชา  แต่คำสั่งของพระองค์อาจทำลายล้างโลกใบนี้ได้!

     แม้เขาจะไม่ทราบความหมายของการเยียวยา  แต่พอจะสัมผัสได้ว่ามันร้ายแรงพอสมควร

     แล้วเขาควรทำอย่างไรดี?

 

     “ทำตามใจเจ้าสิ  เจ้าทำแบบนั้นมาตลอดไม่ใช่รึ?”  ท่านเสนาบดีมองคนที่ยกไปป์ขึ้นสูบอย่างเงียบเหงา  หลังเล่าประหลาดมหัศจรรย์พันลึกระหว่างเจ้าหญิงว่าที่พระสนมกับทาสหญิงเผ่านักรบออกมา  หากเทียบกับเฮอลิออนที่เก็บความลับบางส่วนแล้ว  ฝั่งนี้กลับเล่าออกมาโดยไม่ปิดบังส่วนใดเลย  คงเพราะความไว้ใจในสายเลือดและอาการที่สื่อออกมาให้ทราบว่า ‘เรื่องนี้เป็นความลับ’

     ท่านเสนาบดีไม่คิดเข้าข้างบุตรชายตัวเองโดยการยุยงให้เข้าร่วมกับเจ้าหญิงแห่งชะตากรรมแน่นอน  รวมทั้งไม่หักห้ามเพราะรู้ดีถึงความหมายของโชคชะตา  ห้ามอย่างไร  สุดท้ายก็ได้ทำหรือ ‘ต้องทำ’ อยู่ดี  มนุษย์เรามีเรื่องแปลกประหลาดแบบนี้เสมอ

     สิ่งสำคัญยิ่งยวดในตอนนี้  นั่นคือไม่รู้ว่าบุตรชายทราบหรือไม่  เรื่องที่พระราชามีคำสั่งให้เร่งติดตามว่าที่พระสนมกลับมาโดยด่วน  ทั้งยังประสานกับเมืองที่ตนได้รับชัยทั้งหลายให้รีบนำพวกนางกลับคืนสู่อาณาจักรอย่างรวดเร็วที่สุด  แม้จะไม่ใช่คืนก็พระราชพิธีแต่งตั้นฐานะแก่นาง  การหนีไปเช่นนี้นับว่าหักหน้าพระองค์ไม่น้อยเลยทีเดียว

     คำตอบของผู้เป็นบิดาเหมือนเขาวงกต  ปลายทางของวาจานั้นมีความหมายอย่างไร?  การทำตามใจตนคือการทำตัวตามสบาย  เช้าตื่นมาก็ล่าสัตว์  ตกเย็นก็เข้าสโมสร  ยามค่ำสับเปลี่ยนงานเลี้ยงไปเรื่อยๆเพื่อค้นหาใครสักคนสำหรับตลอดคืนหรือ  รึว่าท่านกำลังหมายถึงการแน่ใจและมุ่งเข้าไปหาเจ้าหญิงสององค์นั้น  บอกนางว่าพวกเขาเชื่อในการปกป้อง

     “ท่านพ่อ  ท่านคิดหรือเปล่าว่าข้าเป็นคนไม่ได้เรื่อง?”  เด็กหนุ่มกัดไปป์เบาๆเมื่อกล่าวออกไป

     ท่านเสนาบดีเลิกคิ้ว  “เจ้าอยากได้ความจริงหรือคำโกหกกันล่ะ?”  ก่อนจะมองออกไปเบื้องหน้า  โต๊ะทำงาน  ชั้นหนังสือ  พื้นหินมันวาว  อาจมีสักสิ่งที่เขาตั้งใจจับจ้อง  นอกจากเหม่อ  “ถ้าเจ้าอยากได้คำโกหก  คำตอบคือเจ้าสมบูรณ์แบบแล้ว  เจ้ามีเสน่ห์กับผู้หญิง  เรียนรู้ได้ไวในหลายๆเรื่อง”

     เซอนาร์กัดไปป์แน่นขึ้น  แล้วถ้าเขาต้องการ ‘ความจริง’ ล่ะ?

     “ความจริงก็คือ...เราทุกคนล้วนไม่ได้เรื่อง  ตัวข้าเองก็เถอะ  เด็กใจกล้าที่สบตาข้าโดยไม่ร้องไห้ควรค่าแก่การยกย่องเป็นวีรบุรุษ  ข้าคือคนที่ไม่ได้เรื่องกับพวกเด็กๆ”  ท่านกล่าวอย่างอึดอัดในเรื่องนี้  สังเกตได้จากการขยับตัวเล็กน้อย  “ส่วนเจ้า  แม้หน้าหวานไปบ้างเพราะถอดแบบจากมารดา  แต่ก็มีเสน่ห์และใจดีกับพวกเด็กๆ  ถามว่าไม่ได้เรื่องกับอะไรบ้าง  โอ้...ร่ายยาวเลย  อยากฟังไหมล่ะ”

     เขาคลายฟันกับออกจากส่วนที่กัดไว้  อยากจะทราบ  ทว่า...มันคงดีกว่าหากว่าเป็นความลับในตอนนี้  คนเราล้วนมีข้อด้อยในแต่ละเรื่อง  มันสมควรจะรู้ในถูกเวลา  ไม่ใช่ในตอนที่เขากำลังสับสนกับสิ่งที่เรียกวาภาระหน้าที่ตามโชคชะตา  บางทีการที่เขาสับสน  คงเพราะว่ามันเป็นโชคชะตาที่ควรสับสน  มันร่ำร้องให้เขาตามหาเพื่อพิทักษ์พวกนางอย่างสมบูรณ์  มิใช่โยนหน้าที่ให้กับนักรบหนุ่มเพียงผู้เดียว

     ตอนนี้เขารู้แต่ว่าตัวเองกำลังลองเสี่ยงทายในใจ  ถ้าเขานับหนึ่งถึงสิบแล้วเจ้านั่นยังไม่เอาม้ามารับเขาไปร่วมผจญภัยด้วยล่ะก็  เขาจะถือว่าทุกอย่างเป็นโมฆะจริงๆด้วย

     หนึ่ง...

     สอง...

     สาม...

     เป็นโมฆะจริงๆนะ~!

     ห้า...

     หก...

     เจ็ด...

     ก๊อก...ก๊อก  เสียงเคาะประตูดังขึ้น  ตามด้วยร่างของสาวใช้ในชุดกระโปรงสีส้ม  สวมผ้ากันเปื้อนสีขาวผืนใหญ่  นางมาพร้อมกับน้ำชาเพราะเจ้านายอยู่ในห้องกันมานานพอสมควรแล้ว  บางทีพวกเขาอาจจะกระหายน้ำและรอใครสักคนยกชามาเสิร์ฟ  นั่นคือหน้าที่ที่สาวใช้พึงปฏิบัติ

     เก้า...

     สิบ...

     เงียบกริบ!

     “ท่านพ่อ  ลูกคิดว่า...”

     ร่างหนึ่งคุ้นตาเดินเข้ามาอย่างว่องไว  “ขออภัยท่านเสนาบดี  ข้าอยู่ทักทายไม่ได้  รวมทั้งต้องขอตัวบุตรชายของท่านโดยด่วน”

     “มีเวลาน้ำชาสำหรับเราทั้งสามไหม?”  ท่านเสนาบดีกล่าวอย่างสุขุม  แต่นัยน์ตาเจือความขบขัน  เมื่อเห็นว่าบุตรชายแสดงความดีใจออกมาทางสีหน้าเพียงใด

     “แน่นอน...ท่านพ่อ  เมื่อข้ากลับมา”  เขากล่าวพร้อมรอยยิ้ม  “แต่ตอนนี้...ข้าต้องขอตัวไปทำธุระตามพรหมลิขิตกับใครบางคนก่อน”

     เสียงประตูได้ปิดลงไปครู่หนึ่งแล้ว  พร้อมสาวใช้ที่รั้งรอร่างไว้เพื่อดูว่าเจ้านายยังต้องการสิ่งใดเพิ่มเติมหรือเปล่า  บางทีอาจจะใช่  ท่านมีคำถามหนึ่งซึ่งอาจจะไม่ต้องการคนตอบ  ทว่า...คนฟังยังคงมีประโยชน์เสมอสำหรับสิ่งนี้  “ ‘เมื่อข้ากลับมารึ?’  นี่บุตรชายข้าโตพอสำหรับคำพูดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!”

 

     “พวกนางหนีไปได้”  เสียงเล่าขานของชายผู้หนึ่งดังไปทั่วทั้งห้องลับใต้ดิน  มีเพียงแสงเทียนจากเชิงเทียนเล็กๆที่เขาถือมาเท่านั้น

     บุคคลผู้ปรากฏในเงามืดสวมผ้าคลุมปิดหน้าตา  เขามีร่างเล็กที่สูงราวเมตรครึ่งและเผยตัวออกมาจากหลังเสาทีละน้อย  ฝ่ายนั้นทวนคำด้วยน้ำเสียงแหบคล้ายคนแก่จนแยกไม่ออกว่าเป็นหญิงหรือชาย  เสียงนั้นบ่นพึมพำในลำคออย่างโมโห  ก่อนจะส่งสัญญาณให้คนร้อนรนสงบใจลง

     “ข้าควรทำอย่างไรดี!”  ชายผู้ถือเชิงเทียนคุกเข่ากล่าวออกไปจนกึ่งจะเป็นตะโกนพร้อมความร้อนใจ  ไม่แพ้แสงที่วูบวาบตามแรงลม  เงาของเขาปัดป่ายซ้ายที...  ขวาที...  ตามการโยกตัวไปมา  โดยบุคคลในเงามืดนั้นรอจนกว่าเขาจะสงบลง  ซึ่งชายผู้นั้นเข้าใจในความเงียบของบทสนทนาดี

     “ข้าพยายามแก้ไขในสิ่งนี้อย่างสุดความสามารถแล้ว  หวังว่าท่านจะไม่เคืองโกรธ”  แววตาของชายถือเชิงเทียนเศร้าสร้อย  หากแต่ความเงียบยังคงปรากฏ  บ่งบอกถึงอารมณ์อันคุกรุ่นของคนในชุดคลุม

     คล้อยหลังเขาไปไม่นาน  เสียงแหบห้าวนั่นกรีดร้องขึ้นมาแหลมสูงราวกับเป็นเสียงร้องของนกมุ่งร้ายเหยื่ออย่างที่สุด!

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา