Two blood สายเลือดลูกครึ่งราชัน

9.0

วันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2555 เวลา 00.43 น.

  6 ตอน
  1 วิจารณ์
  11.68K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) ฤทธิ์เดชสาวน้อยเนโครบอร์น

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ



            กลุ่มควันสีดำที่ออกมาจากในสุสานค่อยๆปรากฏร่างให้เห็นชัดเจนมันดูเหมือนผ้าคลุมสีดำที่ลอยอยู่และมีคนสวมใส่มันแต่ทว่าใบหน้าด้านในฮูดคลุมกลับว่างเปล่าเป็นสีดำสนิท ในมือของมันถืออาวุธด้ามยาวและมีใบมีดโค้งเข้า ที่ด้ามมีสลักเป็นลายปีศาจดูน่ากลัว

            “ไหน….ใครอยากจะลงไปอยู่กับพวกนั้นเป็นคนแรก!” เสียงหน้ากลัวจากคลุมสีดำดังออกมาอย่างน่ากลัวอีกครั้ง

            ส่วนเฟิร์ส วินดี้และใบหม่อนตอนนี้แทบจะขยับตัวไม่ได้ด้วยแรงประจุพลังมากมายที่กดดันรุนแรงมหาศาล

            ท่ามกลางความตรึงเครียดหญิงสาวคนหนึ่งที่ติดสอยห้อยตามมาอย่างไม่ได้ตั้งใจกลับยืนนิ่งไม่สะทกสะท้าน และพุ่งเข้ามาขวางระหว่างยมทูตกับหญิงสาวทั้งสอง

            มินท์แบมือของเธอออกแล้วกล่าวขึ้นเบาๆ “ลูกแก้วประจุวิญญาณ”ชั่วพริบตาลูกแก้วสีดำมืดจนมองภายในไม่เห็นก็ปรากฏขึ้นบนมือของเธอ เธอปลดปล่อยพลังประจุออกจากตัวเข้าสู่ลูกแก้วเกิดสนามพลังบางอย่างขยายตัวไปทั่วทำให้ทั้งสามคนด้านหลังหลุดพ้นจากแรงกดดันของยมทูตในทันที

            “โฮ่…เนโครแมนเซอร์อย่างนั้นเหรอ  สามารถทำลายเดธสแครี่ของยมทูตได้ในพริบตา ไม่ได้เจอมานานแล้ว ดวงวิญญาณของพวกแกจะรสชาติยังไงนะ”

            *อธิบายนิดหน่อยนะครับ: เดธสแครี่ (Death scary) เป็นความสามารถอย่างหนึ่งของยมทูต  โดยจะปล่อยประจุวิญญาณเข้าครอบงำความรู้สึกของฝ่ายตรงข้ามให้รู้สึกกลัวและกดดันอย่างรุนแรงจากความตายที่มันจะมอบให้ 

            ในขณะเดียวกันที่ลูกแก้วสีดำปรากฏออกมา หญิงสาวทั้งสามที่อยู่ด้านหลังก็สามารถขยับตัวได้อีกครั้ง

            “รุ่นพี่ กับคุณแวมไพร์กรุณาดูแลพี่ผู้ชายที่สลบคนนั้นกับซากทหารผ่านศึกทางนั้นด้วยนะคะ จะพาหนีออกไปก็คงไม่ได้แล้วเพราะเมื่อยมทูตมันจะเอาชีวิตใครมันจะสร้างขอบเขตสีดำที่ไม่มีใครสามารถทำลายหรือออกไปได้วิธีเดียวที่จะรอดที่นี่ก็คือ กำจัดมันซะ ว่าแต่พี่ดาร์ฟหายหัวไปไหนอีกหละเนี่ย” มินท์พูดโดยไม่มองด้านหลัง  สายตาของเธอจ้องไปที่คลุมสีดำซึ่งดูเหมือนต้องการจะเอาชีวิตเธอและเพื่อนๆ มินท์เร่งประจุเวทย์สีดำทมึนออกมารอบตัวจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า  แล้วลูกแก้วของเธอก็ดูดประจุทั้งหมดหมุนวนเข้าไปรวมด้านในจนปรากฏเป็นภาพบางอย่างในลูกแก้วของเธอ

            “จงคืนชีพขึ้นมาสัตว์อสูรของข้า วอลวูฟ หมาป่าสงคราม!!” มินท์ตะโกนลั่น  เมื่อสิ้นเสียงกล่าวภายในลูกแก้วก็ปรากฏแสงออร่าสีดำขึ้นรอบพร้อมกับมีกระดูกออกมาจากในนั้น กระดูกลอยออกมาประกอบเป็นโครงร่างอย่างรวดเร็วพียงไม่กี่วินาที ร่างกายเนื้อของมันก็ถูกสร้างขึ้น มันเป็นหมาป่าสีน้ำตาล นัยน์ตาคมกริบ ยืนสองขาแถมใส่ชุดเกราะหนักราวกับนักรบยุคกลางถือขวานและโล่เหล็กที่ดูทรงพลัง

            สิ่งที่มินท์กล่าวทำให้เฟิร์สประหลาดใจเป็นอย่างมาก “รุนพี่….กับคุณแวมไพร์” เธอมองไปที่หญิงสาวตัวน้อยข้างๆสลับกับตัวเอง เห็นดวงตาน่ากลัวกับเขี้ยวแหลมคมเล็กๆที่ปากเล็กๆของวินดี้

            “ก็ผีอ่าสิ!! ว๊ายย!!กลัวแล้วค่าอย่าทำอะไรฉันกับพี่เลยนะ ไหว้หละ หงึกๆ” หญิงสาวหลับตาปี๋พร้อมกับพนมมือไหว้สุดชีวิต

            “- -แล้วยัยนี่มันเป็นอะไรกันเนี่ย ฉันไม่ใช่ผีไทยนะมาไหว้หงึกๆ ให้ตายสิประสาทจริงๆ” วินดี้บ่นเบาๆก่อนจะเดินเข้าไปแล้วก็ก้มหน้าลงมองเฟิร์สอย่างกระชั้นชิด

            “นี่…เลิกบ้าแล้วฟังฉันให้ดีเพื่อความปลอดภัยของพวกเราตอนนี้ต้องทำตามที่เด็กคนนั้นพูดก่อน เลิกกลัวฉันแล้วก็มองความจริงซะบ้างสิ!!”

            เฟิร์สค่อยๆลืมตาแล้วก็มองวินดี้ที่ยืนทำหน้ามุ่ยนิดๆ ทำให้เธอใจเย็นลงเล็กน้อยและค่อยๆควบคุมสติตนเอง

            “ตอนนี้ทำอะไรไม่ได้นอกจากดูเด็กคนนั้นเท่านั้น พลังของฉันหมดไปตั้งแต่ที่สู้กับยัยนั่นแล้ว” วินดี้กล่าวขึ้นพร้อมกับมองชี้เป้าไปที่ใบหม่อนที่นั่งใกล้ๆ

            “ทำไมยะ ฉันยังไม่ได้แพ้เธอนะ” ใบหม่อนออกตัวอย่างรวดเร็ว

            “ก็เลยตกอยู่ในสภาพอย่างที่เห็นนี่แหละ”วินดี้พูดอย่างไม่สนใจคู่กรณี

            “- - นี่พวกเธอสู้แบบไหนกันเนี่ย สภาพถึงเยินขนาดนี้” เฟิร์สมองหญิงสาวทั้งสองที่มีสภาพเสื้อผ้าขาดลุ่ยด้วยความประหลาดใจ แต่คนสภาพดูไม่จืดสุดๆก็คงไม่พ้นใบหม่อน

            “เด็กคนนั้นเก่งไม่เบาเลยแฮะ เป็นเนโครแมนเซอร์ที่ฝีมือไม่ธรรมดาจริงๆ ที่อัญเชิญออกมาก็คงเป็นสัตว์อสูรประจำตัวสินะ ดูแข็งแกร่งจังขนน่าจะนุ่มด้วย”วินดี้กล่าวขึ้นขณะนั่งดูดน้ำมะเขือเทศกล่องที่อยู่ในกระเป๋าเป้ของเธอ  วินดี้มองการต่อสู้ของมินท์อย่างใจเย็นราวกับชมดอกซากุระในสวนสีชมพู  ถ้ามีไพ่ก็คงนั่งเล่นกันไปแล้ว

            “ว่าแต่เธอก็เด็กไม่ใช่เหรอ จากส่วนสูงแล้วน่าจะอยู่ประถมด้วยซ้ำ” เฟิร์สกล่าวขึ้นขัด

            “นี่! อายุฉันถ้านับตามอายุมนุษย์ฉันก็สิบเจ็ดแล้วนะ!! ฉันไม่ชอบให้ใครมาเรียกแบบนั้นเข้าใจไหม” วินดี้ตะโกนลั่นอย่างไม่พอใจ

            “ก็ยังไม่บรรลุนิติภาวะ เด็กอยู่ดีแหละ” เสียงกระซิบคุยกันของสองสาวด้านหลัง

            “โป๊ก!! โป๊ก!!”

            “ขอโทษค่า….”

            กลับมาที่การต่อสู้กันบ้าง ตอนนี้สถานการณ์ยังดูอะไรไม่ออก มินท์ได้อัญเชิญสัตว์อสูรของเธอออกมาเป็นหมาป่ายืนสองขาเหมือนคนทั้งตัวติดเกราะเหมือนนักรบสมัยยุคกลาง อาวุธของมันคือขวานและโล่ซึ่งมีความหนักหน่วงในการโจมตีและการตั้งรับที่ได้ผลดี  ดูเหมือนมินท์จะได้เปรียบยมทูตเล็กน้อย เนื่องด้วยมินท์ใช้ระเบิดลูกเล็กของเธอที่เธอประดิษฐ์เอง โจมตีผสมผสานกับการป้องกันของ วูฟอย่างลงตัว

            “ที่เขาเล่าลือกันว่ายมทูตเป็นเผ่าพันธุ์ที่เก่งที่สุดของเหล่าดวงวิญญาณมันเป็นเรื่องจริงแน่เหรอคะ” มินท์พูดถามอย่างสุภาพ แต่ความหมายเต็มไปด้วยความเย้อหยัน

            “หึๆ เจ้ารู้จักข้าน้อยไป นี่แค่เริ่มต้นเท่านั้นดูสัตว์อสูรของเจ้าสิ” ยมทูตพูดขึ้นอย่างน่าขนลูก

            มินท์หันไปมองยังสัตว์อสูรของเธอที่ตอนนี้ดูเหนื่อยอ่อนและหมดแรงลงทุกทีๆแต่ยังไม่สามารถทำอันตรายอะไรให้ยมทูตได้เลยแม้แต่น้อย ที่ฟันไปก็ได้เพียงเฉียดผ้าคลุมสีดำเป็นรอยแหว่งเล็กน้อยเท่านั้น

            “ไม่นะ!!”  มินท์ตะโกนลั่นขณะที่เธอยืนมองสัตว์อสูรของเธอถูกยมทูตปลิดชีพไปต่อหน้าต่อตา

            “มันเกิดอะไรกันขึ้น ปกติวอร์วูฟของเราสามารถสู้ติดต่อกันถึงสองวันสองคืนโดยไม่พัก แต่นี่แค่ไม่กี่นาทีก็หมดแรง” หญิงสาวเกิดความตกใจมากที่สัตว์อสูรของเธอเกิดอาการเหนื่อยอ่อนและถูกจัดการอย่างรวดเร็ว

            “ท่าทางงานนี้ จาอาลำบากนะ” หญิงสาวผมเงินตัวน้อยกล่าวขึ้นขณะที่เธอนั่งเคี้ยวกระเทียมที่ดาร์ฟยกให้อยู่ในปากอย่างเอร็ดอร่อย

            “อืม…...” เสียงของฟรอสดังขึ้นเบาๆ

            “พี่ฟรอสท์ได้สติแล้ว!” เฟิร์สตะโกนอย่างดีใจเมื่อเห็นชายหนุ่มที่นอนหนุนตักเธอยู่ส่งเสียงเบาๆพร้อมกับค่อยๆขยิบตานิดๆ

            “ว่าไงนะ!! ดีเลยฉันจะได้ฆ่ามัน” วินดี้กับใบหม่อนกล่าวขึ้นพร้อมเพรียง

            “ฉันจัดการหมอนี่เอง!!” วินดี้พูดขึ้นก่อนพร้อมกับเอาหัวของเธอไปโขกกับหน้าผากของใบหม่อน

            “ไม่ได้! ถ้าเธอฆ่าเขาก็แปลว่าฉันพลาดงานนี้หนะสิฉันจะไม่ยอมประวัติเสียเด็ดขาด!”ใบหม่อนก็ไม่ยอมแพ้เธออแรงดันสู้กับวินดี้อย่างแข็งขัน

            “ส่วนฉันก็จะต้องล้างแค้นให้ได้มันทำให้ฉันหมดอนาคต!!”

            “อะไรกัน!! นี่เธอ  ท…ท…ท้องเหรอ!” ตายแล้ว! ท้อง! เรื่องใหญ่นะเนี่ยปรึกษาผู้ปกครองหรือยังครับ

            “จะบ้าหรือไง!! ฉันพึ่งจะเจอหมอนี่วันนี้วันแรก” แล้วมันยังไงกันนะ

            “อ้าว!! หมดอนาคตที่ว่านี่มันยังไง”  นั่นหนะสิ

            “ก็ไม่รู้หละ ฉันต้องฆ่าหมอนี่ให้ได้เอาเป็นว่าเธอรู้แค่นั้นพอ” ตอบแบบนี้ก็เท่ากับไม่บอกอะไรอะดิ

            “แล้วเธอมีเหตุผลอะไรต้องฆ่าเขา”  ผมก็อยากรู้

            “เอ่อ…เรื่องมันยาวไว้คุยวันหลังก็แล้วกัน” ยาวขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย

            “โถ่เอ้ย! ยัยบ้านี่!  ก็ได้…งั้นไว้เสร็จเรื่องนี้ก่อนค่อยตกลงกันโอเคไหม!?”  เออไอนี่ก็บ้าจี้ตามเขา- -

            “นี่เธอสองคนเถียงอะไรกัน มาช่วยหาน้ำมาให้พี่ฟรอสท์หน่อยใครมีติดมาบ้าง” เฟิร์สพูดขัดขึ้นทำให้สงครามของทั้งสองฝ่ายต้องพักรบกันชั่วคราว

            “เอานี่! ดื่มไอนี่แล้วกัน” วินดี้พูดขึ้นพร้อมกับยื่นน้ำมะเขือเทศเพื่อสุขภาพบรรจุกล่องที่เหลืออยู่ในกระเป๋าของเธอให้เฟิร์ส

            “อ่า….รสชาติมันเป็นยังไงหละเนี่ย” เฟิร์สกล่าวถามอย่างสงสัยขณะที่เธอกำลังหมุนกล่องไปมาด้วยความประหลาดใจเพราะเธอไม่เคยเห็นหรือซื้อดื่มเลยสักครั้ง

            “เอาเป็นว่าอร่อยแล้วกันเนอะ ฮิฮิ” วินดี้ตอบด้วยรอยยิ้มเหมือนเธอกำลังเป็นพนักงานหน้าบูทขายซ๊อสปรุงรสตราเด็กสมบูรณ์

            ใกล้ๆกันบนสนามต่อสู้ระหว่างมินท์และยมทูต

            “ทำยังไงต่อหละ เนโครแมนเซอร์น้อย ฆ่าจะฆ่าเจ้าซะง่ายๆมันก็คงไม่สนุกเอาเป็นว่าข้าให้โอกาสเจ้าดิ้นรนต่ออีกสักนิดก็แล้วกันมันสนุกดีจริงๆตอนที่ได้เห็นแววตาของคนที่ค่อยๆสิ้นหวังตายไปอย่างช้าๆ” ยมทูตสีดำกล่าวขึ้นดังแล้วค่อยๆลดอาวุธลง

            “งั้นก็ขอบคุณนะคะ รอบแรกหนูประมาทคุณไปหน่อยแต่คราวนี้หนูไม่ออมมือหละนะ” ทันทีที่เธอพูดจบ ดวงตาของเธอก็ปิดลงแล้วพลังของเธอเพิ่มขึ้นกว่าตอนแรกอีกเท่าตัว

            “ข้าในนามของผู้นำวิญญาณ ข้าขอพลังแห่งดวงจิตชักพาจอมปีศาจกลับมาจากพิภพที่มืดมน อัญเชิญเดม่อนอาร์มี่” แล้วในที่สุดบทสวดสุดยอดของมินท์ก็ดังขึ้น ครั้งนี้ประจุพลังของเธอไหลลงสู่พื้นดิน  สิ่งที่ค่อยๆผุดขึ้นมาเป็นกองทัพปีศาจน่าเกลียดน่ากลัวนับสิบที่ค่อยๆคลานออกมาจากผืนดินด้านล่าง

            แต่ในขณะนั้นเองมีแผ่นดินไหวเบาๆทำให้เธอตื่นตกใจเล็กน้อยสักพักที่หลุมศพหลุมหนึ่งใกล้ๆก็ปรากฏแสงสีดำที่พุ่งขึ้นไปบนฟ้า ทั้งมินท์และยมทูตต่างหันมองไปทางหลุมศพนั้น  แสงนั่นมาพร้อมกับทำลายปีศาจที่มินท์เรียกออกมาไปสองตัว ทำให้มินท์ที่มองอยู่ฉุนขาด        

            “เห้ยๆๆ ใครมาทำเสียงโหวกเหวกอะไรกันแถวนี้วะเนี่ย คนจะฝึกวิชาพวกแกก็มาทำเสียงดังเอะอะหนวกหูเป็นบ้าเลย!!” เสียงชายหนุ่มดังขึ้นมาจากหลุมศพนั่นอย่างเซ็งๆ

            “ขอเวลาแปบนะคะคุณยมทูต”

            “ก็ได้ตามสบาย ยังไงพวกเจ้าก็ต้องตายอยู่แล้วใช้ให้คุ้มแต่อย่าให้นานนักหละ”

            มินท์เดินกระทืบเท้าอย่างไม่พอใจไปที่หลุมนั้นแล้วชะโงกหัวไปดูด้านล่างที่ดูเหมือนจะเป็นหลุมขนาดใหญ่แถมลึกมากด้วย

            ชายด้านในมองขึ้นมาข้างบนเห็นมินท์เหมือนจะยิ้มออกมานิดๆ “อ้าวมินท์มาได้ยังไงเนี่ยมาพอดีเลยช่วยพี่ขึ้นไปหน่อย พลังพี่เมื่อกี๊ทำให้หลุมลึกจนขึ้นลำบากเลยเอาเชือกหรืออะไรก็ได้”

            “อ่อ….เป็นพี่ดาร์ฟอย่างที่คิดจริงๆด้วย  เดี๋ยวรอแปบนะคะ” เมื่อหญิงสาวพูดจบเธอหันไปหยิบของออกจากกระเป๋าเป้ของเธอออกมา

            “เอ่…ไม้ขีดๆ…อ่ะเจอแล้ว รอแป๊บนะคะพี่ดาร์ฟ” มินท์หยิบไม้ขีดไฟพร้อมกับบางอย่างในกระเป๋าออกมา แล้วตะโกนบอกดาร์ฟที่นั่งรอยู่ข้างล่างอย่างสบายอารมณ์

            “เดี๋ยวจะโยนลงไปให้นะคะ”

            “โอเค๊!!” เสียงตอบจากด้านล่างดังขึ้น

            “เอ้านี่ค่ะรีบขึ้นมาซะนะเดี๋ยวจะไม่ทัน” มินท์กล่าวพร้อมกับโยนลูกกลมสีดำเบ้อเร่อที่ภายในบรรจุผงดินปืนเต็มลูกพร้อมจุดฉนวนเรียบร้อยลงไปด้านในหลุม

            ลูกระเบิดค่อยๆร่วงหล่นลงไปตกลงบนมือของดาร์ฟที่รอรับอยู่พอดีเป๊ะ  ทันทีที่เขาเห็นสิ่งที่มินท์ส่งมาให้ทำให้เขาถึงกับตาเหลือกกว้าง และรีบโยนมันทิ้ง แล้วรีบตะกุยปีนหนีขึ้นข้างบนอย่างรวดเร็ว

            “ตูม!! อ๊าก!!” เสียงดังสนั่นหวั่นไหวพร้อมกับแรงของระเบิดรุนแรงทำให้หลุมภายในเปิดกว้างอย่างมาก ดาร์ฟที่ขึ้นมาอยู่บนหลุมได้อย่างเฉียดฉิว      ยืนมองประสิทธิภาพของมันพร้อมกับกลืนน้ำลายลงคอ

            “นี่เธอคิดจะฆ่าพี่หรือไงกันฮะ!? ระเบิดแบบนั้นมันฆ่าก๊อตซิลล่าได้เลยนะ” ดาร์ฟหันมาต่อว่ามินท์เนื่องด้วยเขาเกือบจะได้ใช้หลุมที่เขาขุดไว้นอนในโรงศพอย่างถาวรซะแล้ว

            “เอาน่ายังไงก็ขึ้นมาได้จริงไหม”

            “เออไหนใครทำเสียงดังเอะอะเมื่อกี๊ หนวกหูเป็นบ้าเลย” ดาร์ฟถามขึ้นพร้อมกับมองหันหน้าไปมา

            “นั่นหนะทางนั้น” มินท์ชี้นิ้วไปทางยมทูตที่นั่งรออยู่บนป้ายสุสานหลังหนึ่ง

            ดาร์ฟหันไปตามนิ้วของมินท์แล้วก็มองเงียบๆสักพัก

            “โอ้ว….ยมทูตระดับ A Class  จัดอยู่ในเผ่าพันธุ์ของวิญญาณที่มีความแข็งแกร่งที่สุด อาวุธของมันคือเคียวอันใหญ่ที่มีรูปแบบแตกต่างกันไปตามระดับและกลุ่มของยมทูต และยมทูตยังมีความสามารถด้านการดูดกลืนพลังชีวิต แถมยังใช้เคียวได้อย่างคล่องแคล่าวแม่นยำเรียกได้ว่าอยู่ข้างหน้าสามารถเสียบหัวใจจากข้างหลัง ดังนั้นนับได้ว่ายมทูตเป็นตัวอันตรายระดับสุดยอดจริงๆ” ดาร์ฟกล่าวขึ้นราวกับผู้เชี่ยวชาญเขาวิเคราะห์ ยมทูตได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

            “ยอดไปเลยพี่ อย่างนี้นี่เองมันดูดพลังชีวิตได้ ถึงว่าทำไมสัตว์อสูรของหนูถึงเป็นอย่างนั้น” มินท์พูดขึ้นชื่นชมพี่ชายแสนรู้ของเธอ

            “หึๆๆ แน่อยู่แล้ว” ดาร์ฟใช้นิ้วดันแว่นขึ้นเล็กน้อย “เพราะฉะนั้น…..”

            สิ่งที่ดาร์ฟพูดทำให้มินท์มองเขาตาไม่กระพริบ เพื่อรอฟังคำต่อไปอย่างใจจดจ่อ “เพราะฉะนั้น…..”มินท์กล่าวขึ้นอย่างตื่นเต้น

            “เพราะฉะนั้น พี่เลยนึกได้ว่าข้างในหลุมมันก็ไม่เลวนักนะ ก็สวยดี ต้องขอตัวกลับหลุมก่อนแล้วหละ เสร็จแล้วก็เคาะหลุมเรียกพี่ด้วยแล้วกัน” ดาร์ฟพูดขึ้นเสียงนิ่งก่อนที่จะมุ่งตรงไปยังหลุมที่เข้าออกมา

            ไม่ทันที่เขาจะได้ก้าวเดินมินท์ก็กระชากคอเสื้อของดาร์ฟแล้วลากเขากลับไปยังที่เดิมที่เธอต่อสู้กับยมทูตค้างไว้

            ทางสามสาวที่นั่งมองเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ถึงกับอึ้งและมองพี่น้องคู่นี้อย่างประหลาดใจ+เหนื่อยใจ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา