Two blood สายเลือดลูกครึ่งราชัน

9.0

วันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2555 เวลา 00.43 น.

  6 ตอน
  1 วิจารณ์
  11.56K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) (ตอนพิเศษวันแม่)เราจะรักแม่ตลอดไป

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

                ในบ้านหลังหนึ่งภายในมีเสียงหัวเราะ ขบขันกันอย่างมีความสุขภายในห้องๆหนึ่งมีเด็กหญิงตัวน้อยผมสีทองยาวสลวยนัยตาสีแดงสดสวยนั่งอยู่หน้ากระจกโดยที่มีแม่ของเธอหวีผมอยู่ข้างหลัง

            “แม่คะ วันนึงหนูจะสวยเหมือนแม่ไหมคะ” เด็กหญิงล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มขณะที่มองภาพแม่ของเธอสะท้อนอยู่ในกระจก

            “แน่นอนจะ ลูกจะต้องโตขึ้นและงดงามยิ่งกว่าแม่ซะอีกนะ” แม่ของเธอตอบด้วยน้ำเสียงที่ดูมีความสุข

            เด็กหญิงตัวน้อยไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อนจึงทำหน้างงเล็กน้อย “งดงามเหรอคะ?”

            “ใช่จะ งดงาม มันยิ่งกว่าคำว่าสวยซะอีกนะ คำๆนี้มันเป็นคำที่ผู้หญิงทุกคนใฝ่ฝันจะเป็น” แม่ของเธอหวีผมของเด็กหญิงอย่างเบามือและค่อยๆมองเส้นผมสีทองสวยที่เหมือนของตัวเธอเองด้วยแววตาที่นิ่มนวล

            “งั้น…หนูก็โตขึ้นและงดงามเหมือนแม่นะคะ” เด็กหญิงกล่าวขึ้นอีกครั้งหลังจากเข้าใจคำๆนึงที่แม่ของเธอพึ่งพูดออกมา

            “แหม…ลูกคนนี้นิ  ชมแม่ซะเขินเลย” หญิงสาวเย้าแหย่เล่นกับลูกของเธอตามประสาแม่ลูกอย่างมีความสุข

            “ไหน….เดี๋ยวแม่จะเสกให้เจ้าหญิงน้อยของแม่โตขึ้นไวๆดีไหม” แม่ของเธอกล่าวขณะที่สวมกอดเด็กสาวตัวน้อยจากข้างหลังอย่างอบอุ่น

            “ค่ะ ^ ^” เด็กสาวตอบรับอย่างพอใจที่เธอจะได้โตและเหมือนแม่ของเธอ

            “เอาหละ หลับตาลงสิจ๊ะ ห้ามแอบดูนะ” เสียงแม่ของเธอกล่าวขึ้น แล้วเด็กหญิงตัวน้อยก็หลับตาลงตามที่เธอบอก

            เวลาผ่านไปนาน นาน นาน เด็กหญิงรู้สึกเช่นนั้น “เสร็จหรือยังคะแม่” เด็กหญิงตัวน้อยเอ่ยถามขึ้นอย่างตื่นเต้น แต่ก็ไม่ได้เสียงตอบรับอะไรเลย เธอจึงค่อยๆลืมตาขึ้น

            ขณะที่ดวงตาของเธอค่อยๆเปิดออก เธอยังคงอยู่หน้ากระจกเหมือนเดิม แต่เพียงเธออยู่คนเดียว และร่างของเธอก็โตขึ้นเป็นหญิงสาวอายุสิบหก เธอใช้มือเรียวยาวของเธอสัมผัสใบหน้าอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง

            “แม่คะ คุณแม่” หญิงสาวกล่าวขึ้นอย่างประหลาดใจ แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับจากผู้ที่เธอเรียกหา

            เธอลุกออกจากเก้าอี้แล้วเดินไปเปิดประตูมองซ้ายมองขวาหาคุณแม่ของเธอ “คุณแม่คะ….คุณพ่อคะ….พี่ฟรอสท์” หญิงสาวตะโกนถามด้วยความสงสัยที่ดูเหมือนทั้งบ้านจะเงียบเชียบไม่มีใครอยู่

            เธอค่อยๆเดินลงบันไดจากชั้นบนลงมาห้องรับแขกด้านล่าง หญิงสาวค่อยๆมองไปรอบๆ บรรยากาศมันดูเงียบเหงาจนน่าแปลกใจ

            หญิงสาวยังคงส่งเสียงเรียกครอบครัวของเธออย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่มีใครเลยที่จะออกมาตามคำเรียกหา

            ในตอนนั้นเธอรู้สึกถึงความโดดเดี่ยวเหงาใจแล้วรู้สึกเหมือนห้องกำลังมืดและแคบลงเรื่อยๆหญิงสาวค่อยๆนั่งลงในท่าชันเข่าเหมือนคนที่มีเรื่องทุกข์โศก เธอเป็นคนกลัวความมืดและที่แคบ แต่สิ่งที่รายรอบเธอมีแต่ความมืดเท่านั้น

            “ทำไม….ทุกคนถึงหายไปหมด พี่ฟรอสท์ คุณพ่อ คุณแม่….”

            “หนูกลัว หนูไม่อยากอยู่คนเดียวแบบนี้” หญิงสาวกล่าวขึ้นขณะที่เธอนั่งนึกภาพความทรงจำต่างๆ ใบหน้าของพ่อ ของแม่และพี่ของเธออยู่ในความมืดที่เข้าปกคลุม  ด้วยน้ำตาที่ไหลนองออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

            หญิงสาวนั่งอยู่ตรงนั้นพักใหญ่ก่อนที่แสงสีขาวจะปรากฏออกมา เธอหันมองไปที่แสงนั่นด้วยดวงตาที่ไม่เปิดเต็มที่นักเนื่องจากแสงนั่นสว่างจ้ามาก

            “ไม่มีเวลาอีกแล้วหละ!” เสียงพ่อของเธอดังขึ้นพร้อมกับภาพที่ปรากฏในแสงสีขาวที่ดูเหมือนประตู

            โดยมีแม่ของเธอนั่งลงกอดเด็กชายตัวน้อยอยู่ ทั้งสามดูเหมือนจะร้องไห้และจะบอกลากันเป็นครั้งสุดท้าย หญิงสาวนั่งมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก เธอค่อยๆเดินตรงเข้าหาแสงนั่นโดยยื่นมือขวาไปเบื้องหน้าราวกับจะคว้ามันเอาไว้

            “พ่อคะ  แม่คะ จะไปไหนกัน หนูขอไปด้วยได้ไหม ทำไมต้องร้องไห้ด้วย” หญิงสาวกล่าวขึ้นขณะที่เดินไปอย่างช้าๆแต่ดูเหมือนระยะห่างจะไม่ลดลงเลย

            ในที่สุดทั้งสองคนก็ออกจากประตูไปโดยที่เหลือเด็กชายตัวน้อยเอาไว้เพียงคนเดียว  หญิงสาวค่อยๆเดินมาจนถึงเธอมองใบหน้าของเด็กชายตัวน้อยที่นั่งอยู่หน้าประตู

            “พี่ฟรอสท์…..” หญิงสาวพูดขึ้นเบาๆก่อนที่จะหันไปทางประตู

            เธอค่อยๆเอื้อมมือไปเปิดมันอย่างช้าๆ ทันทีที่เธอบิดกลอนประตู ประตูก็ถูกผลักเข้ามาอย่างรุนแรงด้วยอะไรบางอย่าง

            น้ำสีแดงข้นขลักผลักดันประตูและเข้าชนร่างของหญิงสาวและเด็กตัวน้อยจนท่วม หญิงสาวผมทองตกใจอย่างมากเธอมองผมของเธอที่สะบัดไปมาท่ามกลางน้ำสีแดงนั่น ผมของเธอถูกย้อมเป็นสีแดงเลือด

            ในขณะนั้นร่างของเธอลอยเคว้งอย่างไม่มีจุดหมายเธอประหลาดใจที่เธอสามารถหายใจในน้ำนั้นได้อย่างปกติ

            ตามกระแสน้ำเหมือนมีเสียงบางอย่างเข้ากระทบกับใบหูหญิงสาว เธอนั่งฟังมันอย่างตั้งใจ จากเสียงเบาๆเป็นเสียงที่ค่อยๆดังขึ้นๆ เป็นเหมือนเสียงแม่ของเธอ

            เสียงนั่นค่อยๆดังขึ้นอย่างชัดเจน เป็นเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดของแม่เธอซึ่งเมื่อเธอได้ยินทำให้น้ำตาของเธอไหลในทันที

            “แม่คะ แม่ แม่อยู่ที่ไหนเป็นอะไร!!” เธอกล่าวอย่างตกใจ และหันซ้ายขวามองหาคุณแม่ของเธอ หญิงสาวสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดของแม่ที่เธอรัก เธอเร่งกายแหวกว่ายไปตามกระแสน้ำสีเลือดซึ่งเธอเองก็ไม่รู้จุดหมาย

            เสียงนั่นดังกังวานอยู่ในหูเธอไม่รู้จบ ในที่สุดมันก็ดังจนเหมือนอยู่ข้างหน้าเธอเองเธอจึงหยุดว่ายและหันมองไปตามเสียงนั่น

            “อีกนิดเดียวที่รัก อดทนหน่อยนะ” เสียงพ่อของเธอดังขึ้นพร้อมกับภาพที่เขาจับมือแม่ของเธอไว้ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ

            “ค่ะ ฉันจะพยายาม” เสียงแม่ของเธอที่นอนอยู่บนเตียงดังขึ้นอีกครั้งแต่น้ำเสียงไม่ดูไม่ค่อยจะดีนัก

            แล้วเสียงกรีดร้องของแม่เธอก็ดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้หญิงสาวที่มองเห็นภาพนั้นค่อยๆจ้องมองไปที่สีหน้าของแม่เธอที่ดูเจ็บปวด

            ไม่นานหญิงสาวอีกคนก็ปรากฏเข้ามาในภาพนั้น เธอเป็นน้าของเธอเอง เธอหยิบถุงเลือดมากองไว้หลายถุง

            “นี่ ถุงเลือดเอาให้เธอดื่มซะ เพราะการคลอดลูกของแวมไพร์มันไม่เหมือนกับมนุษย์หรอกนะ เด็กที่อยู่ในตัว ต้องดูและสูบเลือดของเธอไปมากแน่ ถ้าไม่มีเลือดให้มันหละก็บางที เด็กอาจจะฆ่าเธอจากข้างในก็ได้” น้าของหญิงสาวกล่าวขึ้นพร้อมกับยื่นถุงเลือดถุงแรกให้กับชายที่เป็นพ่อของเธอ

            หญิงสาวในน้ำสีเลือดยังคงนั่งมองแม่ของเธออย่างเศร้าใจขณะที่เธอสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเจ็บปวดของคนผู้นั้น

            “แต่ในที่สุดที่บริเวณหน้าท้องที่โปร่งพองของแม่เธอมีเหมือนอะไรบางอย่างที่ดันมันออกมายุบยับอย่างน่ากลัว

            “คุณแม่!!!” หญิงสาวตะโกนลั่นด้วยน้ำตานองหน้าก่อนที่ภาพนั้นจะหายไปพร้อมกับเสียงเด็กร้องออกมาผสมกับเสียงกรี๊ดสุดเสียงของแม่เธอ

            เฟิร์สลืมตาขึ้นมากลางดึกพร้อมกับเหงื่อที่ไหลท่วมตัวเธอ “ฝันหรอกเหรอเนี่ย…...” เธอกล่าวขึ้นขณะที่มองสำรวจไปที่ผมและมือของเธอซึ่งตอนแรกเป็นสีแดงฉาน

            มือของเธอเอื้อมไปเปิดโคมไฟที่โต๊ะข้างเตียง แล้วก็ลุกไปเปิดไฟห้องของเธอ เฟิรส์เปิดประตูห้องนอนของเธอที่อยู้ชั้นสองแล้วก็เดินไปยังห้องนอนของพี่เธอซึ่งอยู่ถัดไปอีกหนึ่งประตูซึ่งนั่นเคยเป็นห้องของพ่อแม่ของเธอนั่นเอง แต่ตอนนี้กลายเป็นห้องของผู้อาศัยใหม่ คือวินดี้แวมไพร์สาวน้อยน่ารักนั่นเอง ตอนแรกทั้งสองเถียงกันแทบตายเรื่องห้องว่าจะย้ายห้องของเฟิร์สมาอยู่ติดกับฟรอสท์แต่ทว่ามันดูลำบากฟรอสท์ก็เลยตัดสินให้ อยู่ที่เดิมส่วนตรงกลางก็เป็นของวินดี้ไป

            “ก๊อก! ก๊อก!” เฟิร์สเคาะประตูห้องของฟรอสท์กลางดึกตามเคย “พี่ฟรอสท์ขอหนูนอนด้วยคน

            เสียงฝีเท้าดังขึ้นและเดินมาใกล้ๆประตู ลูกบิดถูกบิดเสียงดังแกร๊ก ประตูค่อยๆเปิดออก

            “ว่าไงมีอะไรดึกๆดื่นๆเนี่ยคนจะหลับจะนอน” เสียงที่ดังขึ้นไม่ใช่ฟรอสท์แต่เป็นวิ้นดี้หญิงสาวตัวน้อยในชุดนอนสีขาว

            “นี่เธอ!! มาทำอะไรห้องพี่ฉันฮะ!” เฟิร์สกล่าวขึ้นเสียงดังลั่นเมื่อเห็น วินดี้ที่ยืนขยี้ตาอยู่หลังประตูที่เปิดออก

            “ก็ไม่มีอะไรหรอก  พอดีว่าเดี๋ยวฉันก็ต้องแต่งเข้าบ้านเธออยู่แล้วฉันก็แค่ซ้อมไว้ให้ชินเท่านั้นเอง” วินดี้กล่าวเสียงนิ่งแล้วก็เดินกลับไปเหมือนจะไปนอนต่อ

            “แต่ตอนนี้ยัง! ออกไปนอนห้องเธอเดี๋ยวนี้เลยนะนั่นมันที่ของฉันต่างหาก” เฟิร์สกล่าวเสียงกรรโชก ทำให้วินดี้หยุดแล้วหันมามองเธอ

            “งั้นเหรอ…….เธอเป็นอะไรกับฟรอสท์กันแน่ฮะ?”  วินดี้พูดขึ้นดวยสายตาส่อแววเหมือนกำลังจับผิดเฟิร์ส

            “ก็เราเป็นพี่น้องกันยังไงหละ” เฟิร์สกล่าวขึ้นบอก อย่างเต็มเสียง

            “งั้นเหรอ….งั้นฉันชนะเพราะฉันเป็นว่าที่ภรรยาเขา เธอกลับไปซะฉันก็จะได้นอนซักที” วินดี้พูดพร้อมกับสะบัดมือเบาๆไล่ให้เฟิร์สไปนอน

            “หนอย….ยัยผีดิบตัวเตี้ยเอ้ย!!”

            “ว่าไงนะ! เธอมันก็ผีดิบ….เอ่อ…”วินดี้พูดขึ้นสวนแต่ก็ต้องชะงักกำคำพูดต่อไปแล้วก็มองสำรวจร่างกายของเฟิร์สที่ดูจะสมส่วนและเพอร์เฟคจนหาที่ติไม่ได้

            “เชอะ! งั้นก็ได้ แต่วันหลังฉันไม่ยอมแน่” วินดี้กล่าวขึ้นอย่างไม่ค่อยพอใจแต่ก็ต้องถอยฉากออกมาก่อน

            “น่าแปลกใจจังเสียงดังขนาดนี้ทำไมพี่ถึงไม่ตื่นกันนะ” เฟิร์สพูดขึ้นด้วยความสงสัย

            “ก็ฉันเอาสำลียัดหูเขาไว้เวลานอนเวลาฉันทำอะไรๆเขาจะได้ไม่รู้ไง” วินดี้พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย

            “เธอพูดบ้าอะไรของเธอ! ไปได้แล้ว ไป!” เฟิร์สปิดประตูใส่หน้าของวินดี้ที่อยู่หน้าห้อง

            เฟิร์สค่อยยืนมองพี่ชายของเธอที่นอนอยู่จากหน้าห้อง “พี่ฟรอสท์……ในความฝันนั่นคือความจริงหรือเปล่า พี่อยู่กับพ่อแม่ในวันที่พวกเขาหายตัวไป แล้วตอนนั้นเราไปอยู่ที่ไหนกันนะ” หญิงสาวพึมพำกับตัวเองแล้วก็ค่อยๆทำใจให้ว่างและเดินไปนอนลงข้างๆกับฟรอสท์เหมือนเคย

            “สีหน้าของพ่อแม่ตอนนั้นเหมือนเขากำลังเศร้าใจมากเลย……พวกเขาไม่ได้ทิ้งเราไปอย่างไร้สาเหตุสินะ….นี่เราเข้าใจผิดมาตลอดเลยเหรอ…..เราโกรธพ่อกับแม่ที่รักเราขนาดนั้นได้ยังไงกันนะ” เฟิร์สพูดขึ้นเบาๆก่อนที่เธอจะหลับตาลง

            เช้าวันรุ่งขึ้น ฟรอสท์ลืมตาขึ้นมาช้าๆ “แล้วนี่มันอะไรกัน…..?” ฟรอสท์กล่าวขึ้นอย่างประหลาดใจด้วยสีหน้าแดงระเรื่อเมื่อเขาตื่นมาพบกับสัมผัสนิ่มนวลและอบอุ่นสองด้านข้างเฟิร์สที่นอนอยู่ด้านขวาเขานอนน้ำลายเยิ้มติดแขนเขาตามปกติ แต่ที่แปลกคือมีวินดี้ที่นอนฝังเขี้ยวที่มือของเขาอยู่อย่างเหนียวแน่น

            “ยัยนี่เป็นยุงหรือไงเนี่ยกัดเขาไปแต่ฉันกลับไม่รู้สึก” ฟรอสท์พูดขึ้นแล้วค่อยๆใช้มือแกะวิ้นดี้ที่งับแขนเขาไว้อยู่ราวกับเด็กน้อยกัดของเล่น

            ฟรอสท์ลุกขึ้นอาบน้ำตามปกติเตรียมตัวออกไปข้างนอกเพราะวันนี้เป็นวันอาทิตย์ เขาใส่เสื้อคลุมกันหนาวและเสื้อสีดำด้านใน เขาเดินออกจากบ้านไปแต่เช้าเพื่อไปตลาดใกล้บ้าน

            มื่อเขากลับมาถึงบ้านก็พบว่าในบ้านของเขากำลังเกิดสงครามระหว่างสองฝ่ายเหนือใต้

            “นี่เธอเข้ามานอนในนี้ได้ยังไงฉันล๊อกประตูไว้แล้วนะ” เฟิร์สตะโกนลั่นอย่างไม่พอใจ

            “ฉันจะเข้ามายังไงก็เรื่องของฉันเธอไม่มีทางรู้ได้หรอก” วินดี้กล่าวตอบและผิวปากอย่างสบายใจ           

            เฟิร์สมองไปที่หน้าต่างเห็นเศษผ้าสีขาวที่ดูเหมือนจะพอดีกับรอยขาดเล็กๆในเสื้อของวินดี้ “หน้าต่างสินะ”

            “เก่งไม่เบานะที่รู้ว่าฉันเข้ามาที่นี่ได้ยังไง ฮะๆๆ”

            “งั้นก็ปิดตายหน้าต่างซะเลย” เฟิร์สกล่าวลุกขึ้นเดินไปทางหน้าต่าง “ไม่ได้นะคนเราต้องการอากาศบริษุทธิ์พร้อมกับวิวอันสวยงามอย่าเปิดมัน!!” วินดี้กล่าวขณะใช้มือกอดรอบลำตัวห้ามเฟิร์สพร้อมกับส่งเสียงอ้อนวอน

            “นี่พวกเธอทำอะไรกันอีกหละเนี่ย!” ฟรอสท์มองไปเห็นสองสาวกำลังฉุดดึงกันอย่างเอาเป็นเอาตาย

            “แล้วพี่ฟรอสท์ไปไหนมาเหรอ หายไปแต่เช้าเลย” เฟิร์สเอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัย

            “อ่อพอดีพี่ไปตลาดมา พี่ไปซื้อดอกมะลิมาไหว้แม่หนะ งั้นพี่ไปเตรียมของก่อนนะ” ฟรอสท์กล่าวขึ้นแล้วก็เดินลงไปชั้นล่างเพื่อเตรียมการต่างๆ

            “ไหว้คุณแม่เหรอ….จริงสิ วันแม่นินา ปกติเราจะทำเมินและไม่สนใจเพราะว่าเรานึกว่าพ่อกับไม่ทิ้งเราไป…..แต่ว่าถ้าเรื่องเมื่อคืนนี้….” เฟิร์สบ่นพึมพำกับตัวเอง

            “แล้วนี่เธอไม่กลับไปหาแม่เหรอ วินดี้?” เฟิร์สมองไปทางซ้ายที่วินดี้ยืนอยู่

            “ออ เรื่องนั้น ฉันส่งโปสการ์ดไปที่บ้านใหญ่แล้ว ป่านนี้ก็คงถึงแล้วหละมั้ง”

            ที่คฤหาสน์หลังใหญ่ของตระกูลคาริสเนลล่า “คุณผู้หญิงมีจดหมายมาจากคุณหนูครับ” เสียงคนรับใช้คนหนึ่งเดินไปหาคุณหญิงของบ้านแล้วมอบจดหมายของวินดี้ให้

            แม่ของวินดี้หยิบมันมาดูพร้อมกับสายตาที่ดูตื่นเต้นและมีความสุขอย่างมาก “ขอบใจจะ กลับไปทำงานต่อเถอะ” เธอกล่าว

            “ไหนดูซิลูกแม่ไปอยู่ทางโน้นกับพ่อเป็นยังไงบ้าง” เธอกล่าวและเปิดจดหมายออกพบโปสการ์ดสวยสีแดงชมพู มีรูปการ์ตูนที่วินดี้วาดแทนตัวเธอชูมือสองนิ้วน่ารัก

            “สวัสดีค่ะแม่ ทางนี้วันนี้เป็นวันที่สิบสองสิงหา วันแม่หนะค่ะ หนูเลยอยากเขียนโปสการ์ดมาให้แม่อ่าน หนูอยู่ทางนี้สบายดี สนุกมากเลยเจอเพื่อนใหม่ตั้งเยอะแถมแต่ละคนเก่งๆทั้งนั้นเลยด้วย ยังไงก็ขอให้แม่มีความสุขนะ   ปล.หนูมีสามีแล้วค่ะ” แม่ของเธออ่านโปสการ์ดอย่างมีความสุขจนเกือบถึงประโยคสุดท้าย  เธอค่อยกำหมัดอีกด้านอย่างไม่พอใจ

            “ไอเฒ่าหัวงู นี่แกสอนให้ลูกของฉันมีสามีตั้งแต่ยังเด็กเลยเหรอเนี่ย เดี๋ยวคงต้องไปจัดการสักหน่อยแล้ว!!” แม่ของเธอกล่าวขึ้นถึงพ่อของเธอนั่นเอง แต่เธอก็รู้สึกประหลาดใจมากที่หญิงสาวตัวน้อยมีแฟนเร็วขนาดนี้ เธอเข้าใจว่าแฟน- - แต่จริงๆมันม่ายช่าย

            กลับมาในบ้านของฟรอสท์อีกครั้ง “ป่านนี้แม่ของยิ้มไม่หุบแล้ว” วินดี้กล่าวอย่างภูมิใจ

            “นั่นสินะ” เฟิร์สพูดก่อนที่เธอจะเดินไปเข้าห้องน้ำอย่างช้าๆ

            และเมื่อเฟิร์สแต่งตัวเสร็จเธอเดินลงบันได้ไปด้านล่างพบฟรอสท์ที่ตอนนี้กำลังสวมพวงมะละให้กับรูปของแม่ที่มีรูปใหญ่ๆชัดๆเพียงแค่รูปเดียว

            “พี่ฟรอสท์….คือว่า…” เฟิร์สพูดขึ้นอย่างช้าๆ ส่วนฟรอสท์ก็หันมายิ้มให้เธอนิดๆก่อนจะยื่นพวงมะลิอีกพวกมาให้

            “พี่รู้ว่าสักวันน้องของพี่จะต้องเข้าใจ พี่ถึงได้ซื้อพวงมะลิมาสองพวงทุกๆปี อ่ะ รับไปสิ” ฟรอสท์กล่าวขึ้นแล้วยื่นพวงมะลืที่เต็มไปด้วยดอกมะลิสีขาวบริษุทธิ์ ดูสวยงามอย่างมากให้กับเฟิร์ส

            “พี่ชาย….ที่เห็นพวงมะลิวางอยู่บนโต๊ะทุกปีก็เพราะแบบนี้เองเหรอ” เฟิร์สกล่าวพร้อมกับน้ำตาเม็ดเล็กๆที่ไหลออกมา

            “อย่าร้องไห้สิ ต่อหน้าแม่ต้องเข้มแข็งเอาไว้” ฟรอสท์พูดขึ้น แล้วใช้มือเขาแตะไหล่ปลอบหญิงสาวที่กำลังร้องไห้

            ทั้งสองเขียนกระดาษสีขาวด้วยหมึกสีแดงสดเพื่อบอกคำที่อยากจะพูดกับแม่ที่ไม่ได้อยู่กับพวกเขาในตอนนี้

            “หนูขอโทษนะคะแม่ที่เข้าใจพ่อกับแม่ผิดมาตลอดจริงๆแล้วแม่รักพวกเรามากใช่ไหม  แล้วสักวันหนูจะโตขึ้นงดงามเหมือนแม่ค่ะ” เธอก้มหัวพนมมือไหว้รูปของแม่ตนและพ่อของเธอซึ่งปกติเธอไม่เคยคิดจะทำ

            “คุณแม่ครับ ผมจะดูแล น้องเองครับ ผมเชื่อว่าคุณแม่และคุณพ่อจะต้องอยู่ที่ไหนสักแห่ง สักวันพวกเราจะต้องได้เจอกันอีกแน่ครับ สักวันนึงนะ รักแม่ครับจากฟรอสท์

            “เอาหละพร้อมนะ” ฟรอสท์พูด แล้วเขาทั้งสองก็ยกมือก้มหัวลงไหว้และกล่าวขึ้นพร้อมกันว่า “ไม่ว่าคุณแม่จะอยู่ที่ไหนตอนนี้ พวกเราจะรักแม่ตลอดไป”

            จบแล้วครับ

            ขนาดทั้งสองคนแม่ไม่ได้อยู่กับพวกเขายังไหว้กันไปแล้วแล้วพวกคุณก้มกราบแม่ของคุณสักครั้งหรือยังครับ ถ้ายังก็ใช้โอกาสวันนี้ที่เป็นวันพิเศษ ปิดบังความเขินอายนั่นแล้วทำซะนะครับ ^_^ ขอให้มีความสุขนะ

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา