Two blood สายเลือดลูกครึ่งราชัน
เขียนโดย frostfrozelหมึกลมหนาว
วันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2555 เวลา 00.43 น.
4) การปะทะกันของนักดาบและแวมไพร์
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความหญิงสาวที่สะกดรอยตามฟรอสท์ มองได้สักพักและรู้สึกเหมือนว่าทั้งสองจะมีปากเสียงกันนิดหน่อยซึ่งได้ยินแต่เสียงผู้หญิง - -
แต่ไม่นานเธอก็รู้สึกได้ถึงประจุพลังที่ถูกปล่อยออกมาจากวินดี้ที่ตอนนี้ กำลังโกรธเต็มที่ “ประจุพลังนี่มัน....ยัยผู้หญิงนั่นไม่ใช่คนธรรมดาซะแล้วสิ เป็นแบบนี้ในฐานะนักดาบสำนักเพลิงเมฆา ปล่อยไว้ไม่ได้ แม้จะอยากจัดการหมอนั่นก็เถอะ เดี๋ยวเก็บยัยนั่นก่อนแล้วค่อยฝังมันตามลงไปก็แล้วกันเอ่แต่เดี๋ยวก่อน ดูท่าที่สักหน่อยดีกว่า” เธอกล่าวก่อนจะวิ่งเข้าไปหาที่ซุ่มดู
กลับมาดูในโรงเรียนที่โรงฝึกชมรมฟันดาบ เฟิร์สกำลังเก็บของกลับบ้านหลังจากซ้อมเสร็จแล้ว “พี่ฟรอสท์จะเสร็จหรือยังนะ หวังว่าคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นนะ แต่สังหรณ์ใจไม่ค่อยดีเลย”
“กลับก่อนนะ เฟิร์ส” หญิงสาวกลุ่มหนึ่งกล่าวลาเธอก่อนจะเดินจากออกไป เหลือเพียงเธอกับหญิงสาวอีกคนที่เป็นรุ่นน้องมีหน้าที่เป็นเวรเก็บกวาดและดูแลสารทุกข์สุขดิบของรุ่นพี่ในวันนั้น
“รุ่นพี่คะ วันนี้ดูใจลอยๆนะคะ มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า” หญิงสาวผมสั้นสีดำที่เป็นรุ่นน้องเอ่ยถามเฟิร์ส หลังจากที่เธอสังเกตเห็นสีหน้าของเฟิร์สอยู่พักใหญ่
เฟิร์สหันไปมองตามเสียงที่ถามมา “อ้าว มินท์ยังไม่กลับอีกเหรอ” เธอถามกลับ
“ยังหรอกค่ะ คือวันนี้เป็นเวรหนูทำความสะอาดห้อง” หญิงสาวผมสั้นตอบโดยที่มือเธอใช้ไม้ถูๆพื้นไปเรื่อยๆ
เฟิร์ส มองมินท์อยู่พักหนึ่ง “นี่มินท์เสร็จแล้วไปกับพี่หน่อยสิ” ส่วนมินท์ก็ทำหน้างง และถามกลับมาอีกว่า “ไปที่ไหนเหรอคะ?”
เฟร์สเหงื่อตกเล็กน้อยเนื่องจากสิ่งที่เธอจะพูดเป็นที่ๆเธอไม่อยากไปมากที่สุด “สุสานหลังโรงเรียนที่ห่างไปสามบลอคหนะ”
“เอ๋….ทำไมต้องไปที่นั่นด้วยหละคะ ที่นั่นมันมีอะไรเหรอ” มินท์ทำท่าสนใจอย่างมาก
“น่านะไปเป็นเพื่อนพี่หน่อย พอดีพี่ไปที่นั่นกับไอโรคจิตดาร์ฟ แถมยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรอีก พี่ชายยิ่งแต่โดนหลอกง่ายๆด้วย ไม่ไปดูก็คงไม่ได้ แล้วอีกอย่าง…..พี่ไม่ค่อยถูกกับเรื่องผีซะด้วยสิ”
“ไอโรคจิตดาร์ฟ เหรอ……..ใช่คนที่ได้ท๊อปของโรงเรียนห้าปีติดนั่นหรือเปล่าคะ”
“อืมไอหมอนั่นแหละ”
“อ่าค่ะ คนนั้นเป็นลูกพี่ลูกน้องกับหนูเอง”
“งั้นเหรอแต่ทำไมเธอถึงดูต่างจากหมอนั่นลิบลับเลย มินท์ออกจะดูเรียบร้อย แต่พี่เธอนี่…..ช่างมันเถอะ งั้นเดี๋ยวพี่ช่วยเธอทำแล้วกันจะได้ไปกัน”
“ขอบคุณค่ะ รบกวนด้วยนะรุ่นพี่”
แล้วทั้งสองก็ช่วยกันทำความสะอาดอย่างสนุกสนานจนเวลาร่วงเลยไปเรื่อยๆๆ และเรื่อยๆ
ในเวลาเดียวกันที่หน้าสุสานคริสต์ที่ชีวิตของฟรอสท์กำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย
“ไม่ต้องพูดแล้ว ฉันจะลงโทษนายเองที่มาทำแบบนี้กับฉัน!” วินดี้พูดเสียงแข็งพร้อมกับดวงตาสีแดงราวโลหิตที่จ้องฟรอสท์อย่างน่ากลัว ทำให้ฟรอสท์ตกใจและติดได้ว่าเธอพูดถึงเรื่องแวมไพร์แม้จะไม่เชื่อเต็มร้อยแต่เจอแบบนี้ถึงจะไม่ใช่แวมไพร์แต่ความรู้สึกกดดันนั่นมันของจริงถ้าพลาดเขารู้สึกว่าเขาต้องตายแน่ เขาจึงพยายามที่จะวิ่งหนี แต่ก็สายไปซะแล้วมือของหญิงสาวคว้าหมับเข้าที่แขนของเขา
“หึๆทีนี้ไม่รอดแน่!” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงสะใจพร้อมรอยยิ้มที่มุมปากเล็กๆของเธอ ฟรอสท์หลับตารับชตากรรมของเขา
“………......” เกือบสิบวินาทีไม่มีอะไรเกิดขึ้นฟรอสท์ค่อยๆลืมตาขึ้นมา
“เอ่อ……นี่นายช่วยก้มลงมาหน่อยได้ไหม”
“ทำไมหละ?”
“ก็ฉันกัดไม่ถึงนิ!!” หญิงสาวทำหน้าเบ้อย่างไม่พอใจ
“เอ้า จะบ้าเหรอนี่เธอเป็นอะไรกันแน่เนี่ย อยู่ดีๆก็ทำท่าน่ากลัว อยู่ดีๆก็ทำท่าติ๊งต๊อง ยังไงกันแน่นะ”
“นายว่าฉันติ๊งต๊องเหรอ!!” หญิงสาวพูดเสียงกร้าวก่อนจะใช้แรงของเธอกระชากฟรอสท์ให้ล้มลงไปนอนที่พื้นแต่แรงดึงที่แขนของเธอกับฟรอสท์ทำให้ตัวของหญิงสาวล้มลงไปด้วย โดยที่ลงไปคร่อมฟรอสท์พอดิบพอดี
“นี่นายทำบ้าอะไรของนายฮะ!!” วินดี้พูดขึ้นอย่างฉุนเฉียวด้วยใบหน้าออกสีแดงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ฟรอสท์หน้าแดงและพูดอะไรไม่ออกเพราะเขาไม่เคยใกล้ผู้หญิงแบบนี้มาก่อน
และฉากนั้นเองทำให้หญิงสาวที่ซุ่มดูถึงกับอึ้ง “นี่พวกนั้นจะทำอะไรกันเนี่ย!!” เธอพูดพร้อมกับใบหน้าเขินๆเล็กน้อยตามภาษาเด็กกำลังโต
“ตาบ้า! ตาบ้า! ตาบ้า! เพี๊ยะ! เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!” วินดี้เปิดฉากตะโกนลั่นพร้อมกับตบหน้าฟรอสท์หันไปมาจนแทบมองไม่ทัน
“อะไรกันเนี่ยฉันไปทำอะไรให้เธอนักหนา” ฟรอสท์กล่าวขณะที่ใบหน้าของเขามีทั้งสีแดงจากอารมณ์ภายในและรอยตบของหญิงสาวเบื้องบน
“เหอะ งั้นก็ดีหละทีนี้ฉันก็กัดนายได้แล้ว จงเจ็บปวดทรมานด้วยพิษแวมไพร์ของฉันและกลายมาเป็นทาสของฉันซะเถอะ!!” หลังจากสิ้นเสียงพูดของวินดี้เธออ้าปากง้างเขี้ยวยาวของเธอและกัดงับเข้าที่คอของฟรอสท์เต็มแรงทำให้ฟรอสท์ร้องด้วยความเจ็บปวด
แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นทำให้วินดี้ม่านตาเปิดกว้างด้วยความตกใจ “ทำไม…..ทำไมถึงสูบเลือดไม่ได้หละ……หรือว่า….น…นายจะ…เป็นแวมไพร์เหมือนกัน!! ไม่นะ! ไม่ ไม่จริงใช่ไหม” หญิงสาวค่อยๆถอนเขี้ยวออกจากคอฟรอสท์พร้อมแล้วมองฟรอสท์ด้วยความโกรธแค้น
ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อนที่คฤหาสน์หลังใหญ่ เสียงเด็กหญิงผมสีเงินตัวน้อยนั่งหัวเราะคิกคัก อยู่บนตักของชายวัยกลางคนคนหนึ่ง
“สนุกจังเลยค่ะพ่อ” เด็กหญิงกล่าวอย่างมีความสุขหลังจากที่เธอฟังนิทานที่พ่อเธอเล่า
“ฮะๆๆ ชอบหละสินะพ่อก็เหมือนกัน นี่เป็นเรื่องเล่าที่มีมานานหลายสตวรรษแล้ว พ่อเองก็ฟังมาจากคุณปู่ของลูกอีกที ปู่ของลูกบอกพ่อว่ามันเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นจริง” พ่อของเด็กหญิงหัวเราะอย่างมีความสุขเมื่อเห็นลูกของตนชอบที่เขาเล่ามา มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับตระกูลแวมไพร์ที่อยู่ในยุโรปซึ่งเกี่ยวกับการผจญภัยมากมายและความรักของแวมไพร์ที่ไม่มีวันสูญสลาย
“พ่อคะ แล้วทำไมเขาต้องกัดคอคนรักของเขาด้วยหละคะ”
“มันเป็นธรรมเนียมหนะ มันก็เหมือนการสาบานรักก่อนแต่งงาน แต่นี่มันสำคัญยิ่งกว่านั้นเพราะ เมื่อกัดแล้วนั่นคือคำสาบานด้วยเลือด และทั้งสองจะต้องแต่งงานกันไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตามที”
“อย่างนี้เองเหรอเนี่ยหนูเองก็จะกัดท่านพ่อมั่งจะได้อยู่กับพ่อตลอดไปไง”
“ฮะๆพูดเป็นเล่นไป เดี๋ยวสักวันลูกโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ลูกก็ต้องทำมันไม่ว่ายังไง ลูกก็ต้องเก็บรอยเขี้ยวที่เป็นพันธสัญญานิรันดร์นี่ไว้ให้คนที่ลูกรักที่สุดเท่านั้น จำพ่อไว้นะ มันทำได้เพียงครั้งเดียวกับคนๆเดียวหากลูกกัดแวมไพร์ตนอื่นนอกจากเขาลูกจะต้องเจ็บปวดด้วยพิษแวมไพร์ของลูกเอง”
กลับมาที่หน้าสุสานอีกครั้ง
‘อีตาบ้านี่เหรอ ฉันต้องแต่งงานกับคนแบบหมอนี่อย่างนั้นเหรอ!! ไม่เอาด้วยหรอก!’
“ไม่น้าาาา,,,,,,,,!!!!” วินดี้ตะโกนเสียงดังลั่นอย่างไร้เหตุผลที่ฟรอสท์จะเข้าใจ ซึ่งเขาเองสลบไปนานแล้วตั้งแต่เขี้ยวฝังเพราะทนแรงกดดันไม่ไหว
“ฉันเปลี่ยนใจแล้ว ฉันจะฆ่านายซะ!!” หญิงสาวพูดกระชากขณะที่ดวงตาของเธอมีน้ำตาไหลออกมาเล็กน้อย ส่วนมือของเธอก็ง้างขึ้นแบออกพร้อมกับมีประจุพลังสีแดงไหลอยู่บางๆเนื่องจากพลังของเธอยังกลับมาไม่เต็มที่
เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนั้น“ ไม่ได้การณ์แล้วปล่อยไว้แบบนี้หมอนั่นมีหวังตายแน่! ด้วยเกียรติของสำนักเราจะปล่อยให้ผู้คนถูกปีศาจฆ่าไปต่อหน้าต่อตาไม่ได้ แม้มันจะสมควรตายก็เหอะ” เมื่อพูดจบหญิงสาวที่ซุ่มดูก็ชักดาบที่พกมาออกจากฝักและวิ่งตรงเข้าหาฟรอสท์และวินดี้
“แกตายซะ!” วินดี้พูดพร้อมกับพุ่งกริชสีเลือดในมือที่หลอมรวมมาจากประจุสีพลังสีแดงก่อนหน้านี้เข้าหาฟรอสท์เต็มแรง
“แก๊งค์!” เสียงของแข็งปะทะกันดังลั่น กริชในมือของวินดี้เข้าปะทะกับคมดาบของหญิงสาวปริศนาที่มาสอดแทรกระหว่างศาสตราเลือดกับใบหน้าของฟรอสท์ไว้อย่างฉิวเฉียด
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ! ฉันใบหม่อน ศิษย์อันดับที่สองของสำนักเพลิงเมฆาฉันไม่ยอมให้เธอแตะต้องผู้ชายคนนั้นเด็ดขาด” หญิงสาวคนนั้นกล่าวขึ้นอย่างภาคภูมิใจ
วินดี้หันไปมองด้วยสายตาดุดัน “เหอะๆ งั้นก็แปลว่าเธอก็อยากตายด้วยอีกคนสินะ ก็ได้ฉันจะฆ่าให้เอง”
วินดี้ลุกขึ้นจากล่างของฟรอสท์และขยายกริชในมือของเธอเป็นดาบเรเปียร์ ที่เป็นดาบปลายแหลมที่มีใบผอมบาง ใช้ในการโจมตีในลักษณะแทงและฟันมีด้ามจับดูสง่างาม
“เรเปียร์งั้นเหรอ สามารถหลอมประจุพลังสีแดงสดให้กลายเป็นศาสตราวุธได้ ปีศาจชั้นสูง แวมไพร์สินะ”
“รู้จักพวกฉันงั้นเหรอ ก็ดีจะได้รู้ตัวเองว่าชตาของเธอมันขาดตั้งแต่เข้ามาสอดแล้ว”
“จะเป็นงั้นแน่เหรอ” ใบหม่อนกล่าวก่อนขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มที่ปรากฏออกมาเล็กน้อย เธอเร่งประจุพลังสีแดงเพลิงของเธอขึ้นจนฝ่ายตรงข้ามรู้สึกได้อย่างชัดเจน
“ระดับประจุพลังไม่ธรรมดาเลย เราในสภาพที่ฟื้นตัวไม่เต็มที่ คงชนะลำบากแน่”
ทั้งสองต่างแผ่รังศีฆ่าฟันด้วยดวงตาเชือดเฉือนและตั้งท่าพร้อมต่อสู้ ส่วนฟรอสท์ ตอนนี้นอนสลบอยู่กลางสนามรบและปล่อยให้สองสาวตีกันเพื่อแย่งเขา (แย่งไปฆ่านะครับ- -)
การต่อสู้เริ่มขึ้นจากใบหม่อนเป็นคนพุ่งตรงเข้าหาวินดี้อย่างรวดเร็ว เธอใช้ดาบในมือฟันขวาเป็นแนวนอนเข้าหาร่างของวินดี้ซึ่งเธอก็สามารถใช้ดาบรับการโจมตีไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ทั้งสองสามารถรุกรับสับฟันแทงและหลบหลีกได้อย่างคล่องแคล่วมันเป็นการต่อสู้ที่ดูสวยงามเป็นอย่างมาก เสียงฟันกันดังสนั่นไปทั่วบริเวณพร้อมกับแสงไฟที่เกิดจากการปะทะของดาบที่วูบวาบต่อเนื่อง แต่ในที่สุด วินดี้ก็เป็นฝ่ายพลาดท่าโดนหญิงสาวจากสำนักเพลิงเมฆาฟันเข้าทีกลางลำตัวทำให้เสื้อของเธอเกิดรอยขาดเล็กน้อยรวมถึงเลือดที่ไหลออกมาเยอะระดับหนึ่ง
“ไม่เลวนี่ยัยแวมไพร์ สามารถหลบเพลงดาบที่สองได้ ปกติปีศาจที่โดนไม่เคยตนใดรอดชีวิต ทั้งๆที่ตอนแรกสติแตกแทบตายแต่พอโดนฟันเข้าสักฉับดูเหมือนจะได้สติกลับมาแล้วนะ” ใบหม่อนกล่าวด้วยเสียงชมกึ่งเหยียด
“แฮ่กๆ เป็นเพลงดาบที่อันตรายจริงๆ แต่ว่า….เธอลืมอะไรไปหรือเปล่า…..ฉันเป็นแวมไพร์นะ หึๆๆ” หญิงสาวผมเงินหัวเราะอย่างน่ากลัวก่อนที่แผลของเธอจะสมานตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้สีหน้าของใบหม่อนจากยิ้มเยาะกลับมาเป็นจริงจังอีกครั้ง
“เหอะ ต่อให้เป็นแวมไพร์ฉันก็จะฟันเธอไม่ให้เหลือร่างกายที่จะฟื้นคืนเลยคอยดูสิ” ใบหม่อนพูดอย่างเหี้ยมโหด เธอกำดาบในมือแน่นพร้อมกับเร่งประจุพลังสูงขึ้นอีก
‘ยัยบ้านี่มันจะเร่งพลังขึ้นได้อีกขนาดไหนกัน ถ้าสูงมากกว่านี้อีกสักสองระดับเราก็คงไม่ไหวเหมือนกัน’ วินดี้นึกในใจขณะที่มองใบหม่อนเร่งพลังอยู่อย่างใจเย็น
“เอาหละ! รับมือ!” ใบหม่อนตะโกนลั่นก่อนจะเตรียมพุ่งเข้าโจมตีวินดี้อีกครั้งแต่ทว่าไม่สามารถทำได้ “อะไรกันทำไมถึงขยับขาไม่ได้!”ใบหม่อนกล่าวอย่างตกใจและมองไปที่ขาของตนทำให้ดวงตาของเธอเบิกกว้าง
“พึ่งจะรู้ตัวงั้นเหรอ ตอนที่ฉันถูกฟันจนเลือดไหลออกมามากระดับหนึ่ง ฉันได้บังคับ บลัดดี้เซลล์ที่ไหลออกให้รวมตัวกันที่เท้าเธอแล้วก็ทำให้มันแข็งตัวฉับพลัน ตอนนี้เธอถูกตรึงไว้กับที่ไม่สามารถขยับได้หรอก จงตายอยู่บนไม้กางเขนที่เธอตรึงมันเองซะเถอะ” วินดี้พูดอย่างใจเย็นส่วนมือของเธอก็ตั้งท่าโจมตีรูปแบบใหม่ ดาบในมือของเธอค่อยหลอมรวมตัวกับประจุพลังสีแดงเลือดและค่อยๆกลายเป็นศาสตราใหม่ “กรงขังสีเลือด!!” วินดี้ตะโกนลั่น ก่อนที่จะปล่อยศรสีแดงตรงเข้าหาร่างของใบหม่อน
“ขยับไม่ได้!!” ใบหม่อนมองศรที่พุ่งตรงเข้าหาตนอย่างเจ็บใจ ศรเริ่มแยกตัวจากหนึ่งกลายเป็น สอง และ สี่ หก สิบสองดอก พุ่งตรงเข้าล้อมทุกทิศรอบตัวรวมถึงด้านบนเฉียงของใบหม่อน
“ที่นี้ก็ไม่มีทางหนีแล้วหละ มีอะไรจะสั่งเสียไหม?” หญิงสาวตัวน้อยกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มน่ากลัว ส่วนใบหม่อนก็ได้แต่กัดฟันอย่างเจ็บใจ
“งั้นก็จบกันสักที พิพากษาศรลงทันฑ์!!” วินดี้ร้องลั่นพร้อมกับใช้มือของเธอหุบเข้าหากันสั่งให้ศรทั้งหมดพุ่งตรงเข้าหาร่างของหญิงสาวที่ถูกตรึงด้วยเลือดสีแดงสดของเธอ
ศรพุ่งเข้าโจมตีพร้อมกันทำให้ประจุพลังที่เกิดศรเกิดพลังทำลายรุนแรงเสียงระเบิดดังโครมครามพร้อมกับฝุ่นควันเต็มไปหมด
“ก็แค่นี้แหละ เสียเวลาชะมัด” วินดี้พูดก่อนจะเดินหันหลังแล้วก็เดินตรงไปเพื่อเอาชีวิตฟรอสท์ซึ่งยังคงสลบอยู่
“มันไม่ง่ายแบบนั้นหรอก!” เสียงใบหม่อนพูดขึ้นดังมาจากกลุ่มควันที่เริ่มจางลงทีละน้อย ทำให้เธอหันไปมองอย่างไม่เชื่อสายตา “น่าจะโดนไปเต็มๆแล้วนินา” วินดี้กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดูประหลาดใจ
“ก็โดนแหละเต็มๆเลยด้วย แต่พอดีว่าไอของเล่นที่พลังทำลายต่ำแบบนี้ใช้กับฉันไม่ได้เท่านั้นเอง”
วินดี้หันมามองหญิงสาวที่เริ่มปรากฏออกมาจากกลุ่มควัน
“หืม…นี่หนะเหรอทำอะไรไม่ได้…….”
ในไม่ช้ากลุ่มควันก็จางหายไปปรากฏร่างหญิงสาวคนหนึ่งสภาพเหมือนเหยียบกับระเบิดและผ่านสงครามโลกมาอย่างโชกโชน ค่อยๆคลานออกมาจากกลุ่มควันนั้น
“ก่อนจะพูดอะไรก็หัดดูสารรูปตัวเองซะก่อนนะ เก๊กซะจนลืมสังขาร” วินดี้พูดขึ้นเซ็งๆ ก่อนจะละสายตาจากใบหม่อนและเดินตรงไปที่ฟรอสท์
“เดี๋ยวก่อนสิ การต่อสู้ยังไม่จบนะยะ กลับมาก่อนสิฉันยังไม่ได้แพ้เธอสักหน่อย” ใบหม่อนพูดขึ้นอย่างฉุนเฉียว แต่ก็ไม่ได้เข้าหูวินดี้เลยแม้แต่น้อย
แต่หญิงสาวก็ต้องหยุดผงะลงเมื่อสัมผัสได้ถึงประจุพลังรุนแรงแห่งใหม่ที่กำลังใกล้เข้ามาซึ่งทำให้เธอถึงกับเหงื่อตกและดวงตาแสดงถึงความเกรงกลัวอย่างชัดเจน
“ใครกันที่มารบกวนดินแดนสงบแห่งนี้” เสียงน่ากลัวดังออกมาจากในสุสาน เสียงมันน่ากลัวราวกับความมืดที่กำลังเข้าปกคลุมพื้นที่แถวนั้นจนแทบจะไร้แสงสว่าง
ในเวลาเดียวกันนั้นเองที่เฟิร์สมาถึงพอดีเธอไม่เห็นการต่อสู้ใดๆแต่เพียงเธอเห็นพี่ชายของเธอล้มกองอยู่กับพื้นเธอโยนกระเป่าในมือทิ้งตะโกนเรียกชื่อพี่ดังลั่นและรีบวิ่งตรงเข้าไปดูอาการของฟรอสท์ด้วยความเป็นห่วง เธอเขย่าร่างฟรอสท์ที่สลบอยู่พร้อมกับเรียกชื่อพี่ชายของเธอและน้ำตาเม็ดเล็กๆที่ไหลออกมาเมื่อพี่ชายไม่ตอบรับเธอ
“เขาแค่สลบไปเท่านั้นเอง สักพักก็ฟื้น” วินดี้พูดเหมือนตัวเองไม่ใช่ต้นเหตุ ตอนนี้เธอสัมผัสได้ถึงประจุพลังขั้นรุนแรงซึ่งอยู่ใกล้ๆพวกเธอแล้วในตอนนี้
“เธอเด็กคนเมื่อเช้าหนิ แล้วทำไมพี่ฉันถึงเป็นอย่างนี้ได้”เฟิร์สร้องถามอย่างสงสัย
“ห๊ะงั้นเธอก็ยัยบ้าพลังเมื่อเช้านี้ ช่างเถอะเรื่องนั้น เรื่องพี่ชายของเธอไว้คุยกันทีหลัง ตอนนี้พวกเราเจอปัญหาใหญ่แล้วหละ” วินดี้กล่าวด้วยเสียงสั่นเล็กน้อยเนื่องจากพลังประจุและรังศีฆ่าฟันของสิ่งที่อยู่ใกล้ๆทำให้เธอรู้สึกสยอง
“พวกเธอสินะ!!” เสียงประหลาดก่อนหน้าดังขึ้นอีกครั้ง มันมาพร้อมกับเงาดำขนาดใหญ่ สีมืดดำมืดสนิท
“อาลัยอาวรณ์ อยากมาอยู่กับเจ้าพวกนี้กันนักสินะ งั้นเดี๋ยวขข้าจะหาที่เหมาะๆให้เอง” เสียงน่ากลัวดังขึ้นอีกครั้งทำเอาทั้งสองเสียวสันหลังวูบ และเกิดความกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต
“พี่ดาร์ฟก่อเรื่องอีกแล้วสิเนี่ย….” มินท์ที่ติดมากับเฟิร์สพูดด้วยเสียงนิ่งเฉยราวกับแรงกดดันไม่บังเกิดกับเธอเลยแม้แต่น้อย
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ