The Kid , No kid.
9.7
7) บทที่7
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ "ใส่แล้วดู...บอกไม่ถูก" คาโอรุมองชุดที่ออกมาจากโทรศัพท์มือถือเครื่องกระจ้อยร่อยอย่างพูดยาก ถ้าหากเขาไม่มีน้องสาวที่ประดิษฐ์ของประหลาดจำพวกเดียวกันล่ะก็ เขาคงคิดว่ามันเป็นอุปกรณ์เวทมนตร์ไปแล้ว "แบบว่า...ใครเขาใส่สูทแต่งเนี้ยบมาเล่นไจแอนท์ เฮ้าส์ กันจริงๆนะเหรอ"
ผู้มีเนตรราตรีไม่คิดว่ามันจะเป็นอุปกรณ์ที่ใส่แต่ชุดแนวนี้เท่านั้น เมื่ออ่านดูดีๆจะพบว่าคู่มือมีต่ออีกด้าน และในด้านที่สองนี้มีคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องโหมดเสื้อผ้าไว้อย่างครบครัน เป็นอันว่าเซโตะต้องเปลี่ยนชุดอีกรอบ แน่นอน ถึงจะต้องลำบากถอดเข้าถอดออก แต่ให้ชุดสูทวิ่งปุเลงๆเล่นเครื่องเล่น เปลี่ยนเสื้อผ้าซะดีๆตั้งแต่ตอนนี้ง่ายกว่า
เด็กหนุ่มผมแดงใส่ชุดตามปกติของตนเองแล้วแหงนหน้าขึ้นมองเพดานราวกับจะทะลุไปยังท้องฟ้ากว้างไกลพลางถามว่าเมื่อไหร่ลูกเห็บจะหยุดตกกันนะ
คาโอรุเลิกคิ้ว "พูดอย่างกับนายอยากให้หยุดงั้นแหละ"
เซโตะส่ายหน้าแล้วอธิบายว่าเขาอุตสาห์มาถึงสวนสนุกทั้งทีแต่กลับต้องมาอุดอู้อยู่แต่ในไจแอนท์ เฮ้าส์ ตัวคู่เดทจำเป็นอย่างคาโอรุเองไม่คิดว่ามันน่าเบื่อบ้างหรือไง
"งั้นเล่นเครื่องเล่นที่อยู่แต่ในร่มไหมล่ะ พวกนั้นน่าจะยังเปิดให้เข้าชมอยู่นี่"
"แถวยาวแน่ๆ!" เซโตะพูดอย่างมั่นใจ "เพราะมีแต่พวกเครื่องเล่นในร่มที่เล่นได้ไงล่ะ คนเขาถึงแห่กันไป"
"เถอะน่า ส่วนใหญ่เขาก็ไปหลบในร้านไอติมกันหมดนั่นแหละ ฉันเห็นร้านใหญ่ๆอยู่ร้านหนึ่ง หรือไม่ก็ร้านอาหารจานด่วนที่อยู่ใกล้ๆ ยังไงเราก็ลองไปกันเถอะ ที่นั่นนะ..."
เซโตะหรี่ตาลง หรือว่า... "ที่นั่น?"
"อืม! Devil House นั่นน่ะ!"
ถึงจะเป็นเครื่องเล่นในร่ม แต่ส่วนยืนต่อแถวอยู่กลางแจ้ง พวกทรหดอดทนและถึกพอไม่กี่คนเท่านั้นที่จะทนกับลูกเห็บ หนึ่งในนั้นคือพวกคาโอรุที่มีเซโตะยื่นมือออกไปรับก้อนน้ำแข็งเล็กๆด้วยความสุขล้นปรี่ ตกมาอีกนานๆเลยยิ่งดี เขาจะได้ไม่ต้องเป็นเด็กน้อยให้โดนอุ้มน่าอายอีก
ผู้มีเนตรราตรีเอาเสื้อแจ๊คเก็ตที่เคยบ่นมาคลุมศีรษะของตนกับเซโตะอย่างมีน้ำใจ เด็กหนุ่มผมแดงออกจะแปลกใจนิดๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะำไร พนักงานชื่อคาโนชิกะมองเผินๆแล้วรู้สึกอมยิ้ม ช่างเป็นคู่รักที่น่ารักดีจังเลย
เอ๊ะ เขาอาจเป็นแค่เพื่อนกันก็ได้นี่นะ แต่ว่า...ทำไมความรู้สึกที่อยากให้เขาเป็นมากกว่าเพื่อนมันช่างแรงกล้าเช่นนี้นะ เรา...เราจะคิดอกุศลกับลูกค้าไม่ได้นะ แต่ว่า...แต่ว่า!
ภายใต้ใบหน้าที่แย้มยิ้มตามปกติของสาวน้อยพนักงานต้อนรับของ Evil house กำลังมีความคิดปั่นป่วนอย่างหนัก ตามหลักจรรยาบรรณของพนักงานที่ดีห้ามยุ่งเรื่องส่วนตัวของลูกค้าเด็ดขาดนี่นะ แต่อีกใจมันก็หยุดความคิดไม่ได้เลย นี่มันอะไรกันนะ!
"เชิญคิวต่อไปเลยค่ะ"
ภายใต้ใบหน้าแย้มยิ้มที่ผายมือให้คู่ของคาโอรุเข้าไปด้านใน ไม่มีใครดูออกว่าเธอคิดอะไรและไม่มีใครดูออกว่าเธอกำลังจะกลายเป็นสาววาย...
บรรยากาศเย็นเฉียบส่งผลให้คาโอรุอยากเอาแจ๊คเก็ตกลับมาสวม แต่มันก็เปียกชื้นซะแล้ว เซโตะกดโทรศัพท์อย่างยุ่งยากอยู่สองสามรอบแล้วยื่นเสื้อกันหนาวหนาๆตัวหนึ่งให้
เสียงของคาโอรุบอกขอบคุณเบาๆท่ามกลางความหนาวเหน็บ ในขณะที่เซโตะเสมองไปทางอื่นระหว่างเอ่ยถาม
"นาย...ทำไมถึงยอมเลี้ยงฉันล่ะ เรื่องเอาเสื้อมากันลูกเห็บอีก จะปล่อยให้ลูกเห็บตกใส่ไปก็ได้นี่นา"
คาโอรุมองอย่างงุนงง "นั่นมันเรื่องปกติ ใครๆก็ทำกันไม่ใช่เหรอ"
เซโตะสั่นหน้าแรงๆ "ไม่ใช่กับคนที่เกลียดกันแน่นอน นายเกลียดฉันไม่ใช่เหรอ แล้วฉันก็ทำแย่ๆกับนายไว้เรื่องจูบ..."
คาโอรุดีดนิ้วเป๊าะกอดอกด้วยสีหน้าของผู้กำชัยชนะว่าในที่สุดเซโตะก็สำนึกผิดในเรื่องนั้นจนได้สินะ ปฏิกริยาที่เขาคาดคือการโวยวายอะไรสักอย่างของเด็กหนุ่มผมแดง แต่ไม่ใช่ อีกฝ่ายเพียงแค่พยักหน้า สายตามองแต่พื้น พอๆกับที่คาโอรุเอาแต่จ้องมองเขา ไม่ได้รู้เลยว่าคนใส่ชุดน่ากลัวโผล่มาจำนวนเท่าไหร่แล้ว
"ฉันไม่ได้เกลียดนายหรอกนะ" คาโอรุยึดไหล่อีกฝ่ายไว้ "ก็แค่ไม่ค่อยชอบพฤติกรรมเท่านั้นเอง และพอมาอยู่กับนายในร่างเด็กๆก็รู้สึกว่าไม่แย่อย่างที่คิด อีกอย่าง ถ้าฉันเกลียดจริงคงไม่วิ่งออกไปแบบนั้นหรอก"
เซโตะนึกถึงสวิทช์ระเบิดขึ้นมาได้ ตอนนั้นคาโอรุก็วิ่งออกไปนี่นะ ทั้งที่จะระเบิดอารมณ์โกรธแล้วประเคนหมัดใส่เขาไม่ยั้งก็ทำได้ ถ้าไม่ใช่เพราะกลัวคนอื่นจะโดนลูกหลงไปด้วย ก็คงจะเป็นห่วงว่าเขาจะโดนทำร้ายจริงๆ ใจหนึ่งของเซโตะพยามลุ้นอย่างบอกไม่ถูกว่าจะเป็นอย่างหลัง เฮ้อ เขาชินกับการโดนคนคนนี้ห่วงใยแล้วอย่างนั้นสินะ แล้วถ้าเขากลับเป็นเด็กมัธยม คาโอรุจะไม่สนใจเขาเหมือนอย่างที่ผ่านรึเปล่า...
"เป็นอะไรไปนะ"
คาโอรุถามคนที่สั่นศีรษะไม่หยุดเพื่อสะบัดความคิดแปลกๆบางอย่างที่ผุดขึ้นมาด้วยความงุนงง เซโตะยังคงไม่สบตากับเขา ได้แต่ตอบเฉไฉไปเรื่อยจนคาโอรุไม่อยากเซ้าซี้
ลูกศรเรืองแสงบอกทางให้ไปทางไหนเป็นที่แปลกใจนัก ครั้งล่าสุดที่มาให้เลี้ยวซ้ายจริงๆนะหรือ คาโอรุได้แต่เดินตามเซโตะซึ่งไม่คิดผิดสังเกตอะไรสักอย่างไป ในขณะเดียวกัน ที่มุมมืดไร้ซึ่งความสนใจของผู้ใด เด็กสาวผมทองกับเพื่อนในชุดสีดำสวมหน้ากากผีเสื้อเหมือนพวกนางมารร้ายทั้งหลายยืนแอบดูอยู่
โซราซี่กอดอกพูดเบาๆ "ทำอย่างนี้มันไม่เรียกว่าขี้โกงเหรอ"
เด็กสาวผมทองแย้มยิ้ม "เถอะน่า ยังไงบัตรที่เราให้ไปก็มี 'Mirror Mirror Room' ให้เล่นฟรีอยู่แล้วนี่นา จะผิดก็ตรงคนสร้างที่ทำให้สองห้องนี้ติดกันนั่นแหละ ฮิฮะ"
ใครอย่าได้มาหาว่าเธอโกงเชียว รู้ไหมว่าบัตรที่เป็นแค่เศษกระดาษใบหนึ่งนั่นนะ มีมูลค่าแพงระยับแค่ไหน!
สุดทางเดินที่พวกคาโอรุโดนลวงให้เดินมาคือประตูบานหนึ่งที่ล็อกเอาไว้ แต่กุญแจที่ควรอยู่ในห้องของผู้รักความปลอดภัยที่บัดนี้นอนอู้หลับอุตุ ถูกนำมาเสียบที่ลูกบิดราวกับจงใจให้ไข คาโอรุมองหน้ามองหลัง ครั้งล่าสุดที่เล่น จำได้ว่าทางออกไม่ใช่แบบนี้นี่นา...
แล้วยังคงเป็นเซโตะอีกเช่นเคยที่เป็นคนไขโดยไม่สนใจอะไร เขาไม่ได้กลัวความมืด แต่ไม่ชอบบรรยากาศมืดๆทึมๆ ที่สำคัญคือตลอดทางที่เดินมา เขาเตะอะไรบ้างก็ไม่รู้ เด็กหนุ่มผมแดงเผลอจับมือจูงผ่านไปบานประตูนั้นไปกับผู้มีเนตรราตรี หากเขารู้ตัวสักหน่อยคงจะเฉลียวใจได้ว่าไม่ได้จับมืออย่างสนิทใจกับใครแบบนี้มานานมากแล้ว
พวกคาโอรุถึงกับหลับตาแน่นเมื่อปะทะเข้ากับแสงสว่างจ้า มันสว่างกว่าแสงแดดเสียอีก ไม่ทันที่จะลืมตาขึ้นมา บานประตูนั้นก็ปิดลงพร้อมกับลูกกุญแจที่ถูกดึงออก พร้อมจะนำไปคืนที่เดิม การจะเปิดประตูแต่ละครั้งต้องใช้ลูกกุญแจไขเอา รวมทั้งด้านของพวกเซโตะนั้นไม่มีกุญแจเสียบอยู่เลย
ทั้งคู่มองตากับปริบๆแล้วหันไปทางกระจกเงาจำนวนมากมาย ส่องดูราวกับมีเซโตะหรือคาโอรุหลายคนก็ไม่ปาน นั่นยิ่งทำให้ทั้งคู่จับมือกันแน่นขึ้นไปอีกเพื่อไม่ให้หลงไปกับเงา
"ฉันจะพาออกไปเอง"
เซโตะแสดงความเป็นผู้นำออกมาทันที อย่างน้อยก็รู้สึกอยากได้ความชื่นชมหรือใบหน้ายินดียามที่อีกฝ่ายถูกพาออกไปได้อย่างปลอดภัยล่ะนะ
แต่มันคงจะไม่ถูกยอมรับโดยคาโอรุอีกต่อไป ผู้มีเนตรราตรีดึงอีกฝ่ายให้ก้าวไปตามเส้นทางต่างๆ ถึงอยากจะพร่ำบ่นว่าเป็นเพราะเซโตะพาเข้ามาทางประตูบานนั้นก็ตาม แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่อยากเถียง แถมเขายังไม่ได้ห้ามตลอดทางที่เดินจับมือกันมาด้วย อ๊ะ...จับมือ?
เมื่อเห็นอีกฝ่ายเหล่มอง ตัวเซโตะก็เริ่มรู้สึกบ้าง แต่เขาก็ทำเป็นไม่สนใจอะไร ผิดกับคาโอรุที่พูดเบาๆ "จับกันแน่นเลยนะ"
ถึงมันจะดูเสียฟอร์มไปบ้างแต่แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อะไรแบบนี้ก็คลายความประหม่าลงไปได้บ้างหรอก ที่เขาจับมือไว้แบบนี้ก็เพราะว่ากลัวสับสน ไม่ได้จับเพราะอยากจับจริงๆนะ!
เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่มีปฏิกริยาอะไร คาโอรุก็ได้แต่เดินไปตามทางอย่างเงียบๆ ทั้งๆที่รู้อยู่เต็มอกว่าเซโตะแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไรก็เถอะ ว่าไงดีล่ะ ถ้าอีกฝ่ายไม่ได้ดึงมือออก เขาก็คิดว่าจะปล่อยเลยตามเลยไปก็ได้นะ
เซโตะได้แต่นึกเรื่องที่จะสนทนา ไม่รู้ทำไม มันไม่มีเรื่องที่อยากจะพูดแต่กลับอยากพูดอะไรสักอย่าง ผลสรุปโดยรวมของเด็กหนุ่มผมแดงก็คือหากพูดอะไรสักอย่างคงคลายความอึดอัดประหม่าแบบนี้ไปได้บ้าง หลังจากนึกอยู่นานก็นึกถึงใบปลิวตอนเข้าในคิด คิด แลนด์ขึ้นมาได้ เขาลองเลียบๆเคียงๆ
"ในนี้มีภัตตาคารน่าสนใจอยู่ด้วยนะ" เซโตะเหลือบๆมองดูอีกฝ่าย "ยังไงลองเข้าไปทานมื้อเย็นไหมล่ะ"
"นายชวนฉันไปดินเนอร์เหรอ"
คาโอรุถามอย่างแปลกใจ ปกติคนญี่ปุ่นจะไม่ค่อยทานอาหารนอกบ้านกันนักเพราะเรื่องราคาที่สูงเอาการอยู่ แถมเป็นภัตตาคารแบบนั้นด้วยยิ่งแล้วใหญ่ เซโตะชูบัตรสวนสนุกขึ้น
"ในนี้เขาบอกว่าฟรีดินเนอร์น่ะ ถ้านายไม่สนใจ ฉันไปกินคนเดียวก็ได้"
ผู้มีนัยย์ตาสีราตรีค้อนขวับ อยากถามออกไปดังๆว่าถ้าบัตรนี่มันไม่ฟรี เซโตะจะชวนเขาไปทานข้าวที่ไหนบ้างไหม เขาเดาในใจว่าต้องเป็นคำว่าไม่มีทาง หารู้ไม่ว่าคำชวนนั้นไม่ใช่แค่ชวนผ่านๆอย่างที่ปากพูด เด็กหนุ่มผมแดงครุ่นคิดจริงจังว่ามันจะต้องเป็นมื้อที่ดี อย่างน้อยก็เพื่อตอบแทนที่ดูแลเขามาตลอดล่ะนะ
กระจกที่สะท้อนเพียงภาพของทั้งสองคนเป็นอะไรที่คุ้นชินหลังจากเดินมานานกว่าสิบนาที ในที่สุดก็ถึงทางออกจนได้ พนักงานออกจะแปลกใจที่บัตรของพวกเขามารอยปั๊มซึ่งทางเข้าจะประทับไว้ก่อนเล่น แต่ถึงจะไม่มีอย่างไร บัตรวีไอพีของทั้งสองคนก็เป็นของจริง หลับหูหลับตาปล่อยผ่านออกไปง่ายๆแล้วกัน
ในตอนนี้ ปัญหาที่กำลังเป็นที่นิยมที่สุดและร้ายแรงที่สุดในเวลานี้นั้นก็คือ...ทานร้านไหนกันดีล่ะ?
ถึงจะฟรีดินเนอร์แต่ไม่ได้ฟรีข้าวกลางวัน คู่เดทจำเป็นหลบลูกเห็บอยู่ใต้หลังคาระหว่างสองร้านคือไก่ทอดคาเอเสะกับโชสตาเกรล ทั้งๆที่เมนูและลูกค้าและสิ่งที่อยากกินของทั้งสองในแต่ละร้านก็คล้ายกันแท้ๆ แต่มันเป็นเรื่องของความคุ้นชินและการโปรโมท
"น้ำอัดลมของคาเอเสะหวานเกินไป" เซโตะเถียงข้างๆคูๆ "โชสตาเกรลกำลังพอดี"
คาโอรุส่ายหน้า "มั่ว! น้ำอัดลมก็ยี่ห้อเดียวกันนั่นแหละ แต่เบอร์เกอร์ของโชสตาเกรลใส่ซอสรสชาติแย่สุดๆ"
เซโตะไม่ยอมแพ้ "คาเอเสะแพงกว่าชัดๆ!"
"ถ้าแพงแต่อร่อยกว่าก็คุ้มล่ะ" คาโอรุกอดอกเชิดจมูกหน้ามุ่ยๆ
ผู้มีเนตรราตรีไม่คิดว่ามันจะเป็นอุปกรณ์ที่ใส่แต่ชุดแนวนี้เท่านั้น เมื่ออ่านดูดีๆจะพบว่าคู่มือมีต่ออีกด้าน และในด้านที่สองนี้มีคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องโหมดเสื้อผ้าไว้อย่างครบครัน เป็นอันว่าเซโตะต้องเปลี่ยนชุดอีกรอบ แน่นอน ถึงจะต้องลำบากถอดเข้าถอดออก แต่ให้ชุดสูทวิ่งปุเลงๆเล่นเครื่องเล่น เปลี่ยนเสื้อผ้าซะดีๆตั้งแต่ตอนนี้ง่ายกว่า
เด็กหนุ่มผมแดงใส่ชุดตามปกติของตนเองแล้วแหงนหน้าขึ้นมองเพดานราวกับจะทะลุไปยังท้องฟ้ากว้างไกลพลางถามว่าเมื่อไหร่ลูกเห็บจะหยุดตกกันนะ
คาโอรุเลิกคิ้ว "พูดอย่างกับนายอยากให้หยุดงั้นแหละ"
เซโตะส่ายหน้าแล้วอธิบายว่าเขาอุตสาห์มาถึงสวนสนุกทั้งทีแต่กลับต้องมาอุดอู้อยู่แต่ในไจแอนท์ เฮ้าส์ ตัวคู่เดทจำเป็นอย่างคาโอรุเองไม่คิดว่ามันน่าเบื่อบ้างหรือไง
"งั้นเล่นเครื่องเล่นที่อยู่แต่ในร่มไหมล่ะ พวกนั้นน่าจะยังเปิดให้เข้าชมอยู่นี่"
"แถวยาวแน่ๆ!" เซโตะพูดอย่างมั่นใจ "เพราะมีแต่พวกเครื่องเล่นในร่มที่เล่นได้ไงล่ะ คนเขาถึงแห่กันไป"
"เถอะน่า ส่วนใหญ่เขาก็ไปหลบในร้านไอติมกันหมดนั่นแหละ ฉันเห็นร้านใหญ่ๆอยู่ร้านหนึ่ง หรือไม่ก็ร้านอาหารจานด่วนที่อยู่ใกล้ๆ ยังไงเราก็ลองไปกันเถอะ ที่นั่นนะ..."
เซโตะหรี่ตาลง หรือว่า... "ที่นั่น?"
"อืม! Devil House นั่นน่ะ!"
ถึงจะเป็นเครื่องเล่นในร่ม แต่ส่วนยืนต่อแถวอยู่กลางแจ้ง พวกทรหดอดทนและถึกพอไม่กี่คนเท่านั้นที่จะทนกับลูกเห็บ หนึ่งในนั้นคือพวกคาโอรุที่มีเซโตะยื่นมือออกไปรับก้อนน้ำแข็งเล็กๆด้วยความสุขล้นปรี่ ตกมาอีกนานๆเลยยิ่งดี เขาจะได้ไม่ต้องเป็นเด็กน้อยให้โดนอุ้มน่าอายอีก
ผู้มีเนตรราตรีเอาเสื้อแจ๊คเก็ตที่เคยบ่นมาคลุมศีรษะของตนกับเซโตะอย่างมีน้ำใจ เด็กหนุ่มผมแดงออกจะแปลกใจนิดๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะำไร พนักงานชื่อคาโนชิกะมองเผินๆแล้วรู้สึกอมยิ้ม ช่างเป็นคู่รักที่น่ารักดีจังเลย
เอ๊ะ เขาอาจเป็นแค่เพื่อนกันก็ได้นี่นะ แต่ว่า...ทำไมความรู้สึกที่อยากให้เขาเป็นมากกว่าเพื่อนมันช่างแรงกล้าเช่นนี้นะ เรา...เราจะคิดอกุศลกับลูกค้าไม่ได้นะ แต่ว่า...แต่ว่า!
ภายใต้ใบหน้าที่แย้มยิ้มตามปกติของสาวน้อยพนักงานต้อนรับของ Evil house กำลังมีความคิดปั่นป่วนอย่างหนัก ตามหลักจรรยาบรรณของพนักงานที่ดีห้ามยุ่งเรื่องส่วนตัวของลูกค้าเด็ดขาดนี่นะ แต่อีกใจมันก็หยุดความคิดไม่ได้เลย นี่มันอะไรกันนะ!
"เชิญคิวต่อไปเลยค่ะ"
ภายใต้ใบหน้าแย้มยิ้มที่ผายมือให้คู่ของคาโอรุเข้าไปด้านใน ไม่มีใครดูออกว่าเธอคิดอะไรและไม่มีใครดูออกว่าเธอกำลังจะกลายเป็นสาววาย...
บรรยากาศเย็นเฉียบส่งผลให้คาโอรุอยากเอาแจ๊คเก็ตกลับมาสวม แต่มันก็เปียกชื้นซะแล้ว เซโตะกดโทรศัพท์อย่างยุ่งยากอยู่สองสามรอบแล้วยื่นเสื้อกันหนาวหนาๆตัวหนึ่งให้
เสียงของคาโอรุบอกขอบคุณเบาๆท่ามกลางความหนาวเหน็บ ในขณะที่เซโตะเสมองไปทางอื่นระหว่างเอ่ยถาม
"นาย...ทำไมถึงยอมเลี้ยงฉันล่ะ เรื่องเอาเสื้อมากันลูกเห็บอีก จะปล่อยให้ลูกเห็บตกใส่ไปก็ได้นี่นา"
คาโอรุมองอย่างงุนงง "นั่นมันเรื่องปกติ ใครๆก็ทำกันไม่ใช่เหรอ"
เซโตะสั่นหน้าแรงๆ "ไม่ใช่กับคนที่เกลียดกันแน่นอน นายเกลียดฉันไม่ใช่เหรอ แล้วฉันก็ทำแย่ๆกับนายไว้เรื่องจูบ..."
คาโอรุดีดนิ้วเป๊าะกอดอกด้วยสีหน้าของผู้กำชัยชนะว่าในที่สุดเซโตะก็สำนึกผิดในเรื่องนั้นจนได้สินะ ปฏิกริยาที่เขาคาดคือการโวยวายอะไรสักอย่างของเด็กหนุ่มผมแดง แต่ไม่ใช่ อีกฝ่ายเพียงแค่พยักหน้า สายตามองแต่พื้น พอๆกับที่คาโอรุเอาแต่จ้องมองเขา ไม่ได้รู้เลยว่าคนใส่ชุดน่ากลัวโผล่มาจำนวนเท่าไหร่แล้ว
"ฉันไม่ได้เกลียดนายหรอกนะ" คาโอรุยึดไหล่อีกฝ่ายไว้ "ก็แค่ไม่ค่อยชอบพฤติกรรมเท่านั้นเอง และพอมาอยู่กับนายในร่างเด็กๆก็รู้สึกว่าไม่แย่อย่างที่คิด อีกอย่าง ถ้าฉันเกลียดจริงคงไม่วิ่งออกไปแบบนั้นหรอก"
เซโตะนึกถึงสวิทช์ระเบิดขึ้นมาได้ ตอนนั้นคาโอรุก็วิ่งออกไปนี่นะ ทั้งที่จะระเบิดอารมณ์โกรธแล้วประเคนหมัดใส่เขาไม่ยั้งก็ทำได้ ถ้าไม่ใช่เพราะกลัวคนอื่นจะโดนลูกหลงไปด้วย ก็คงจะเป็นห่วงว่าเขาจะโดนทำร้ายจริงๆ ใจหนึ่งของเซโตะพยามลุ้นอย่างบอกไม่ถูกว่าจะเป็นอย่างหลัง เฮ้อ เขาชินกับการโดนคนคนนี้ห่วงใยแล้วอย่างนั้นสินะ แล้วถ้าเขากลับเป็นเด็กมัธยม คาโอรุจะไม่สนใจเขาเหมือนอย่างที่ผ่านรึเปล่า...
"เป็นอะไรไปนะ"
คาโอรุถามคนที่สั่นศีรษะไม่หยุดเพื่อสะบัดความคิดแปลกๆบางอย่างที่ผุดขึ้นมาด้วยความงุนงง เซโตะยังคงไม่สบตากับเขา ได้แต่ตอบเฉไฉไปเรื่อยจนคาโอรุไม่อยากเซ้าซี้
ลูกศรเรืองแสงบอกทางให้ไปทางไหนเป็นที่แปลกใจนัก ครั้งล่าสุดที่มาให้เลี้ยวซ้ายจริงๆนะหรือ คาโอรุได้แต่เดินตามเซโตะซึ่งไม่คิดผิดสังเกตอะไรสักอย่างไป ในขณะเดียวกัน ที่มุมมืดไร้ซึ่งความสนใจของผู้ใด เด็กสาวผมทองกับเพื่อนในชุดสีดำสวมหน้ากากผีเสื้อเหมือนพวกนางมารร้ายทั้งหลายยืนแอบดูอยู่
โซราซี่กอดอกพูดเบาๆ "ทำอย่างนี้มันไม่เรียกว่าขี้โกงเหรอ"
เด็กสาวผมทองแย้มยิ้ม "เถอะน่า ยังไงบัตรที่เราให้ไปก็มี 'Mirror Mirror Room' ให้เล่นฟรีอยู่แล้วนี่นา จะผิดก็ตรงคนสร้างที่ทำให้สองห้องนี้ติดกันนั่นแหละ ฮิฮะ"
ใครอย่าได้มาหาว่าเธอโกงเชียว รู้ไหมว่าบัตรที่เป็นแค่เศษกระดาษใบหนึ่งนั่นนะ มีมูลค่าแพงระยับแค่ไหน!
สุดทางเดินที่พวกคาโอรุโดนลวงให้เดินมาคือประตูบานหนึ่งที่ล็อกเอาไว้ แต่กุญแจที่ควรอยู่ในห้องของผู้รักความปลอดภัยที่บัดนี้นอนอู้หลับอุตุ ถูกนำมาเสียบที่ลูกบิดราวกับจงใจให้ไข คาโอรุมองหน้ามองหลัง ครั้งล่าสุดที่เล่น จำได้ว่าทางออกไม่ใช่แบบนี้นี่นา...
แล้วยังคงเป็นเซโตะอีกเช่นเคยที่เป็นคนไขโดยไม่สนใจอะไร เขาไม่ได้กลัวความมืด แต่ไม่ชอบบรรยากาศมืดๆทึมๆ ที่สำคัญคือตลอดทางที่เดินมา เขาเตะอะไรบ้างก็ไม่รู้ เด็กหนุ่มผมแดงเผลอจับมือจูงผ่านไปบานประตูนั้นไปกับผู้มีเนตรราตรี หากเขารู้ตัวสักหน่อยคงจะเฉลียวใจได้ว่าไม่ได้จับมืออย่างสนิทใจกับใครแบบนี้มานานมากแล้ว
พวกคาโอรุถึงกับหลับตาแน่นเมื่อปะทะเข้ากับแสงสว่างจ้า มันสว่างกว่าแสงแดดเสียอีก ไม่ทันที่จะลืมตาขึ้นมา บานประตูนั้นก็ปิดลงพร้อมกับลูกกุญแจที่ถูกดึงออก พร้อมจะนำไปคืนที่เดิม การจะเปิดประตูแต่ละครั้งต้องใช้ลูกกุญแจไขเอา รวมทั้งด้านของพวกเซโตะนั้นไม่มีกุญแจเสียบอยู่เลย
ทั้งคู่มองตากับปริบๆแล้วหันไปทางกระจกเงาจำนวนมากมาย ส่องดูราวกับมีเซโตะหรือคาโอรุหลายคนก็ไม่ปาน นั่นยิ่งทำให้ทั้งคู่จับมือกันแน่นขึ้นไปอีกเพื่อไม่ให้หลงไปกับเงา
"ฉันจะพาออกไปเอง"
เซโตะแสดงความเป็นผู้นำออกมาทันที อย่างน้อยก็รู้สึกอยากได้ความชื่นชมหรือใบหน้ายินดียามที่อีกฝ่ายถูกพาออกไปได้อย่างปลอดภัยล่ะนะ
แต่มันคงจะไม่ถูกยอมรับโดยคาโอรุอีกต่อไป ผู้มีเนตรราตรีดึงอีกฝ่ายให้ก้าวไปตามเส้นทางต่างๆ ถึงอยากจะพร่ำบ่นว่าเป็นเพราะเซโตะพาเข้ามาทางประตูบานนั้นก็ตาม แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่อยากเถียง แถมเขายังไม่ได้ห้ามตลอดทางที่เดินจับมือกันมาด้วย อ๊ะ...จับมือ?
เมื่อเห็นอีกฝ่ายเหล่มอง ตัวเซโตะก็เริ่มรู้สึกบ้าง แต่เขาก็ทำเป็นไม่สนใจอะไร ผิดกับคาโอรุที่พูดเบาๆ "จับกันแน่นเลยนะ"
ถึงมันจะดูเสียฟอร์มไปบ้างแต่แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อะไรแบบนี้ก็คลายความประหม่าลงไปได้บ้างหรอก ที่เขาจับมือไว้แบบนี้ก็เพราะว่ากลัวสับสน ไม่ได้จับเพราะอยากจับจริงๆนะ!
เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่มีปฏิกริยาอะไร คาโอรุก็ได้แต่เดินไปตามทางอย่างเงียบๆ ทั้งๆที่รู้อยู่เต็มอกว่าเซโตะแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไรก็เถอะ ว่าไงดีล่ะ ถ้าอีกฝ่ายไม่ได้ดึงมือออก เขาก็คิดว่าจะปล่อยเลยตามเลยไปก็ได้นะ
เซโตะได้แต่นึกเรื่องที่จะสนทนา ไม่รู้ทำไม มันไม่มีเรื่องที่อยากจะพูดแต่กลับอยากพูดอะไรสักอย่าง ผลสรุปโดยรวมของเด็กหนุ่มผมแดงก็คือหากพูดอะไรสักอย่างคงคลายความอึดอัดประหม่าแบบนี้ไปได้บ้าง หลังจากนึกอยู่นานก็นึกถึงใบปลิวตอนเข้าในคิด คิด แลนด์ขึ้นมาได้ เขาลองเลียบๆเคียงๆ
"ในนี้มีภัตตาคารน่าสนใจอยู่ด้วยนะ" เซโตะเหลือบๆมองดูอีกฝ่าย "ยังไงลองเข้าไปทานมื้อเย็นไหมล่ะ"
"นายชวนฉันไปดินเนอร์เหรอ"
คาโอรุถามอย่างแปลกใจ ปกติคนญี่ปุ่นจะไม่ค่อยทานอาหารนอกบ้านกันนักเพราะเรื่องราคาที่สูงเอาการอยู่ แถมเป็นภัตตาคารแบบนั้นด้วยยิ่งแล้วใหญ่ เซโตะชูบัตรสวนสนุกขึ้น
"ในนี้เขาบอกว่าฟรีดินเนอร์น่ะ ถ้านายไม่สนใจ ฉันไปกินคนเดียวก็ได้"
ผู้มีนัยย์ตาสีราตรีค้อนขวับ อยากถามออกไปดังๆว่าถ้าบัตรนี่มันไม่ฟรี เซโตะจะชวนเขาไปทานข้าวที่ไหนบ้างไหม เขาเดาในใจว่าต้องเป็นคำว่าไม่มีทาง หารู้ไม่ว่าคำชวนนั้นไม่ใช่แค่ชวนผ่านๆอย่างที่ปากพูด เด็กหนุ่มผมแดงครุ่นคิดจริงจังว่ามันจะต้องเป็นมื้อที่ดี อย่างน้อยก็เพื่อตอบแทนที่ดูแลเขามาตลอดล่ะนะ
กระจกที่สะท้อนเพียงภาพของทั้งสองคนเป็นอะไรที่คุ้นชินหลังจากเดินมานานกว่าสิบนาที ในที่สุดก็ถึงทางออกจนได้ พนักงานออกจะแปลกใจที่บัตรของพวกเขามารอยปั๊มซึ่งทางเข้าจะประทับไว้ก่อนเล่น แต่ถึงจะไม่มีอย่างไร บัตรวีไอพีของทั้งสองคนก็เป็นของจริง หลับหูหลับตาปล่อยผ่านออกไปง่ายๆแล้วกัน
ในตอนนี้ ปัญหาที่กำลังเป็นที่นิยมที่สุดและร้ายแรงที่สุดในเวลานี้นั้นก็คือ...ทานร้านไหนกันดีล่ะ?
ถึงจะฟรีดินเนอร์แต่ไม่ได้ฟรีข้าวกลางวัน คู่เดทจำเป็นหลบลูกเห็บอยู่ใต้หลังคาระหว่างสองร้านคือไก่ทอดคาเอเสะกับโชสตาเกรล ทั้งๆที่เมนูและลูกค้าและสิ่งที่อยากกินของทั้งสองในแต่ละร้านก็คล้ายกันแท้ๆ แต่มันเป็นเรื่องของความคุ้นชินและการโปรโมท
"น้ำอัดลมของคาเอเสะหวานเกินไป" เซโตะเถียงข้างๆคูๆ "โชสตาเกรลกำลังพอดี"
คาโอรุส่ายหน้า "มั่ว! น้ำอัดลมก็ยี่ห้อเดียวกันนั่นแหละ แต่เบอร์เกอร์ของโชสตาเกรลใส่ซอสรสชาติแย่สุดๆ"
เซโตะไม่ยอมแพ้ "คาเอเสะแพงกว่าชัดๆ!"
"ถ้าแพงแต่อร่อยกว่าก็คุ้มล่ะ" คาโอรุกอดอกเชิดจมูกหน้ามุ่ยๆ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.3 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ