Whirligig : #1 อาถรรพ์ผีคุณไสย(The sorcery)

-

เขียนโดย พหุกันต์

วันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2554 เวลา 13.18 น.

  11 ตอน
  3 วิจารณ์
  19.97K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

10) ผู้คุมแดนสนธยา

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
 
ผู้คุมแดนสนธยา
             ในบรรยากาศที่มืดสนิท   ไม่มีแม้แต่แสงจันทร์และแสงดาว  มีเพียงแสงของลูกไฟกลมใสสีขาวที่โผล่จากพื้นดินและลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า  แต่ก็ยังไม่ได้ทำให้ความมืดครึ้มที่อึดอัดนั้นหายไป  ป่าไทรที่อยู่ภายใต้แสงของดวงไฟนั้นดูน่ากลัววังเวง กิ่งไม้เสียดสีกันส่งเสียงดังตามสายลมทำให้ขนลุกอย่างบอกไม่ถูก
            ภายใต้ต้นไทรใหญ่นั้นมีเด็กหนุ่มกำลังนอนหลับอยู่  เขามีใบหน้าที่เรียว คิ้วดกดำ ผิวที่ขาวติดผมที่ดำสนิท   สวมเสื้อผ้าคนไข้ของโรงพยาบาลและไม่ได้สวมรองเท้าเหมือนกับว่าเขาถูกใครบางคนพามาที่นี่โดยไม่รู้ตัว   
            ซักพักเด็กหนุ่มก็ตื่นขึ้น  ขยี้ตาอย่างงัวเงีย
 
หนาวจัง    เอ๊ะ!? ทำไมเตียงแข็งจัง
หืม!!? ที่นี่มันที่ไหนกันเนี่ยยย
             เด็กหนุ่มเริ่มตื่นเต็มตา เมื่อเขาคิดว่าสถานที่ที่เขาอยู่มันแตกต่างจากเดิมก่อนหน้านี้   ภาพที่เห็นตรงหน้ามันแตกต่างจากก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง     ห้องนอนขนาดเล็ก  เตียงที่มีฟูกนุ่มๆ กับโต๊ะอ่านหนังสือ กลายมาเป็น พื้นสนามโล่ง แล้วก็มีดวงไฟแปลกๆลอยขึ้นมาจากพื้นดิน
         “ไม่ร้อนแฮะ” เขาชักมือออกและมองไปรอบๆ
          ข้างหลังเป็นป่าไทรที่มีบรรยากาศน่าขนลุก ด้านขวาติดป่าไทรมีตึก 4 ชั้น มีห้องหนึ่งบนชั้น 4 ที่เปิดไฟอยู่
 
นี่คือความฝันเหรอ
ห้องนั้นจะมีใครอยู่มั้ยนะ
         
        อากาศที่เย็นเยือกกับดวงไฟที่ลอยขึ้นอย่างช้าๆ  เพทายเดินเข้าไปในอาคารหลังนั้นทันทีที่เท้าสัมผัสพื้นอาคาร  ความรู้สึกคุ้นเคยแล่นเข้ามาในตัวเขาจนน่าขนลุก เมื่อมองเข้าไปในตัวอาคาร  เมื่อมองเข้าไปในตัวอาคารห้องแต่ละห้องถูกล็อคด้วยแม่กุญแจ  สุดทางเดินนั้นเป็นบันได  เสียงฝีเท้าของเพทายกระทบพื้นดังกังวานบ่งบอกว่าเขาอยู่คนเดียวที่นี่  เขากอดอกเดินมองห้องแต่ละห้องอย่างหวาดระแวงเหมือนกลัวว่าจะมีอะไรโผล่ออกมาจากห้องเหล่านั้น  ขาที่สั่นเทาค่อยๆก้าวขึ้นบันได
          ทางข้างหน้ามืดมิดเกินกว่าสายตามนุษย์จะมองเห็นได้  ทันทีที่ถึงชั้นสี่เพทายมองห้องริมสุดที่สว่างด้วยแสงไฟ
          “สวัสดีครับ มีใครอยู่มั้ย”เขาเปิดประตูห้องออก สายตาของเพทายพลันเห็นใครบางคนยืนอยู่ภายในห้องนั้น
          “นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” เด็กหนุ่มภายในห้องตกใจเมื่อเห็นอาคันตุกะใหม่ที่เปิดประตูเข้ามาเยือน
          “คือฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง พอตื่นขึ้นมาอีกทีฉันก็มาอยู่ที่นี่แล้ว”เพทายเกาหัวมองบุคคลตรงหน้า
          เด็กหนุ่มตรงหน้าดูเร้นลับและสะอาดหมดจดเหมือนอากาศบริสุทธิ์ที่อยู่ในป่าลึกทำให้รู้สึกถึงมนต์สะกดทะลุเข้าไปตราตรึงจิตใจของผู้ที่พบเห็น  ผมเงามันดำสนิทตัดกับผิวขาวดุจหิมะ  ดวงตาดำที่สวยงามเปล่งประกายเหมือนท้องฟ้ายามค่ำคืนจ้องมาที่เพทาย
 
คุ้น!!? เด็กผู้ชายคนนี้
รู้สึกคุ้นมาก คุ้นเคย
จนน่าขนลุก
 
          “เหรอ งั้นนั่งก่อนสิ” เสียงของเด็กหนุ่มทำให้เพทายตื่นจากภวังค์
          “ที่นี่คือที่ไหนเหรอ”เพทายหยิบเก้าอี้ตัวนึงมานั่ง ภายในห้องนี้เหมือนห้องเรียนทั่วๆไปที่มีกระดาน บอร์ด แล้วก็โต๊ะกับเก้าอี้ที่ไม่ค่อยเป็นแถวเป็นแนว
          “ที่นี่ก็คือแดนสนธยาไงล่ะ” เด็กหนุ่มเจ้าของห้องกระตุกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย
          “แดนสนธยา!?  ฉันไม่เข้าใจอ่ะ  นายช่วยอธิบายให้เข้าใจมากกว่านี้หน่อยได้มั้ย” เพทายนั่งขมวดคิ้วมองคนตรงหน้า
          “ที่นี่เป็นดินแดนก่ำกึ่งระหว่างความเป็นกับความตาย”เด็กหนุ่มกอดอกมองหน้าเพทายนิ่ง
          “นายอย่ามาล้อเล่นนะ ฉันยังไม่ตายสักหน่อย” เพทายเริ่มประสาทเสีย ก็แน่ล่ะเห็นอยู่ว่าเขายังหายใจ เนื้อตัวก็ยังอุ่น จู่ๆเจอใครก็ไม่รู้บอกว่าเขาตาย...ตลกสิ้นดี
          “ฉันก็ไม่บอกนี่ ว่านายตายแล้ว” เด็กยังคงมองเพทายอย่างแน่นิ่ง
          “แล้วที่นายพูด มันหมายความว่าอะไรล่ะ” เพทายจ้องคนตรงหน้าอย่างไม่วางตา
          “ที่นี่เป็นโลกที่ก่ำกึ่งระหว่างความเป็นกับความตาย คนที่มาที่นี่ได้ต้องเป็นคนที่วิญญาณออกจากร่างด้วยภาวะใกล้ตายอย่างเช่นพวกคนที่บาดเจ็บสาหัส” เด็กหนุ่มเส มองออกไปนอกหน้าต่าง
          “นายลองนึกดูสิ  ว่าเกิดอะไรขึ้นถึงทำให้นายมาอยู่ที่นี่ได้” เด็กหนุ่มกระตุกยิ้มเย็น
          “ฉัน.....ฉันไม่รู้” เพทายเอามือทั้งสองกุมขมับ
   
          จำได้แค่ว่าเขาหลับอยู่บนเตียง  แต่ที่จริงแล้วตัวเขาเองนั้นไม่อยากนอนเลยเพราะมันจะทำให้เขาฝันร้าย....ฝันร้ายอันน่าสะพรึงกลัวที่หลอกหลอนแม้กระทั่งยามตื่น
          “เหรอ งั้นนายคงต้องอยู่ที่นี่สักพักแล้วล่ะ” เด็กหนุ่มหรี่ตามองเพทายอย่างชั่งใจ
          “ว่าแต่นายเป็นใคร ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้” เพทายโพล่งถามขึ้น เงยหน่ามองคนตรงหน้า
          “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง พอรู้สึกตัวอีกทีก็ยืนอยู่กลางห้องนี้แล้ว  ฉันแค่อยู่มานานพอที่จะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็เท่านั้นเอง”เด็กหนุ่มยักไหล่
          “อืม”เพทายพยักหน้าเล็กน้อย
          “ฉันชื่อเพทาย แล้วนายชื่ออะไรล่ะ”คำถามมิตรภาพที่ดูเหมือนไม่มีอะไร  แต่ว่า....
          “ฉันชื่ออัสดง” อัสดงยิ้มให้คนตรงหน้า
    
          ราวกับฟ้าผ่ากลางหัว ความรู้สึกต่างๆแล่นเข้ามาในตัวของเพทาย  ภาวะตึงเครียดก่อตัวภายในตัวเขา  อากาศที่หายใจอยู่เหมือนหายไปชั่วขณะมันอึดอัดมากเหมือนร่างกายจะแตกเป็นเสี่ยงๆ 
 
ชื่อนี้!! รู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด
รอยยิ้มนั่น!? ไม่!! หยุดเดี๋ยวนี้!!!
ฉันกลัว!! กลัวที่จะจำมันได้
ความทรงจำนั้นให้ฉันลืมไปซะ
ได้โปรด อย่าทำให้ฉันนึกมันออก
 
          “ทำไมต้องทำหน้าเครียดแบบนั้นด้วย นายเป็นอะไรรึเปล่า”อัสดงถามอย่างแปลกใจ
          “เปล่าหรอก ฉันแค่รู้สึกคุ้นชื่อนาย” เพทายเกาหัวมองอัสดง
          “เหรอ สงสัยชื่อฉันโหลมั้ง”อัสดงยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ เสมองออกไปนอกหน้าต่าง
          “เราเคยเจอกันมาก่อนรึเปล่า” เพทายถามเพื่อความแน่ใจในบางอย่าง
          “ไม่รู้สิ”อัสดงตอบอย่างลอยเลื่อน
          “อ้าว!?”เพทายรู้สึกหงุดหงิดในคำตอบเล็กน้อย
          “ถ้าเราเคยเจอกันมาก่อนจริงๆ ทำไมนายถึงจำฉันไม่ได้ล่ะ”อัสดงกอดอกกระตุ้นยิ้มใส่เพทาย
          “ก็...ก็เผื่อฉันลืมไง”เพทายยิ้มเฝื่อนๆ
          “ไม่หรอก นายไม่รู้จักฉัน แล้วฉันก็พึ่งเจอนายครั้งแรก โอเคมั้ย” อัสดงตัดบท
          “อืมๆ”เพทายพยักหน้าอย่างไม่ค่อยจะเชื่อนัก
 
ถ้าฉันไม่รู้จักนายจริง แล้วความคุ้นเคยนี่มันอะไรกัน
จะบอกว่ามันแค่อุปทานงั้นเหรอ
          “ฉันไม่รู้จักนายจริงๆเหรอ” เพทายถามย้ำ เมื่อมองเข้าไปในแววตาคนตรงหน้าซึ่งราวกับรัตติกาลอันมืดมิดที่ดึงดูดจิตวิญญาณของคนที่มองอย่างหาที่หยั่งถึงไม่ได้
 
 
 
          “เฮ้ย!? ไอ้เพทายนั่งเหม่ออะไรอยู่ว่ะ” เด็กหนุ่มที่คาดว่าจะเพื่อนทักเขา
          “เปล่า พอดีคิดอะไรเรื่อยเปื่อย”เพทายมองเด็กหนุ่มทั้งสามคนที่เป็นเพื่อนเขา
          “แล้วเรื่องเมื่อคืนเป็นไงบ้างว่ะ”เพทายตัดบท
          “อ๋อ ไอ้เรื่องที่พวกเราไปลองของหมอผีที่อยู่หลังตลาดเมื่อคืนนี้ใช่มั้ย” เด็กหนุ่มหนึ่งในนั้นครุ่นคิดเดินมานั่งข้างๆเพทาย
          “เออสิ ของเก๊รึเปล่าก็ไม่รู้  หมอผีบ้าอะไรว่ะ เป็นเด็กอายุเท่าเราแถมย้อมผมทองยังกับฝรั่ง”เพทายขมวดคิ้วทำหน้ายู่
          ระยะนี้มีข่าวลือหนาหูเกี่ยวกับหมอผีที่อยู่ท้ายตลาด เพื่อนๆในห้องเรียนของเขาเล่าว่า เป็นหมอผีจอมขมังเวทย์ที่ไม่มีใครเทียบได้ เชี่ยวชาญทั้งผูกดวง พยากรณ์ ใบ้หวย  ทำเสน่ห์และอื่นๆอีกสารพัด แต่ที่เด็ดที่สุดคือ การทำของใส่คนอื่น     เพทายกับเพื่อนๆทั้งสามก็เลยไปลองของโดยการ.......
 
สั่งฆ่า....คนที่พวกเขาเกลียดที่สุด
 
          “น่า...เดี๋ยวก็รู้  ว่าหมอผีนั่นของจริงหรือของเก๊” เด็กหนุ่มที่นั่งข้างๆโอบไหล่ยิบตาให้เพทาย
          “เออๆ เย็นแล้วรีบกลับบ้านเหอะว่ะ” เพทายลุกขึ้นสะพายกระเป๋า
          “เดี๋ยวๆ พวกหนูน่ะ” ศรชัยวิ่งอย่างกระหืดกระหอบ
          “ครับ!? ว่าไงครับลุงศร” เพทายเอียงคออย่างแปลกใจ
          “ลุงวานช่วยไปเอากุญแจโรงยิมจากอาจารย์ธันวาให้หน่อยสิ” ศรชัยพูดปนหอบเอามือทาบหน้าอก
          “อ๋อ ได้ครับลุง” เพทายพยักหน้าแล้วไปทางกลุ่มเพื่อน
          “แก2คนอ่ะกลับก่อนได้เลย ส่วนนายมากับฉัน” เพทายลากคอเพื่อนที่นั่งคุยเรื่องหมอผีไปกับเขาด้วย
          “เฮ้ย!? อะไรว่ะทำไมต้องเป็นฉันด้วย” เด็กหนุ่มที่ถูกลากเริ่มโวยวาย
         “น่าๆ ไปเป็นเพื่อนหน่อยสิ  นายเป็นถึงหัวหน้าห้องจะปล่อยให้ฉันเดินไปบนอาคารคนเดียวได้ไง” เพทายแกล้งทำหน้ายู่เหมือนเด็ก
          “ว่าแต่อาจารย์ธันวาอยู่ที่ไหนล่ะครับ”เพทายหันมองศรชัยอย่างยิ้มแย้ม
          “ตอนนี้สงสัยอยู่อาคารสี่ล่ะมั้งครับ ลุงไม่แน่ใจเหมือนกัน”ศรชัยทำหน้านึก
          “อาคารสี่เหรอครับ ไปกันเถอะไอ้เพื่อนรัก”เพทายคว้าคอเพื่อนของเขา แล้วมุ่งหน้าไปอาคารสี่
 
ณ อาคารสี่
 
          “อาจารย์ธันวาครับ” เพทายตะโกนเข้าไปในห้องเรียนที่คาดว่าผู้เป็นอาจารย์จะอยู่
          “มีอะไรกัน? ตะโกนซะเสียงดังเชียว” ธันวาหันตอบเพทาย
          “คือลุงศรอยากได้กุญแจโรงยิมน่ะครับ”เพทายพูดอย่างยิ้มแย้ม  แต่ก็ต้องหุบยิ้มเมื่อเห็นหน้าใครบางคนในห้องนั้น
          “โดม?” เพทายมองเจ้าของชื่อด้วยหางตาเหมือนมองของต่ำ
เห็นหน้าแล้วเกะกะลูกตาว่ะ
เมื่อไรจะตายๆไปสักทีว่ะ  ไอ้งั่ง!!
ทำเป็นทำการบ้าน กลับบ้านช้า!!! ประจบอาจารย์
อย่าคิดนะ  ว่ากูไม่รู้
คนในห้องอ่ะ  ไม่มีใครจริงใจกับมึงหรอก
ไปตายซะ....ไอ้สวะ
 
          “อ๋อ!?  แปปนึงนะ”ธันวาหยิบกุญแจออกจากระเป๋ากางเกงแล้วเดินออกจากห้องไป เขายื่นกุญแจให้เพทาย ฉับพลันนั้น...
          “อาจารย์ธันวาครับ”โดมแผดเสียงด้วยความกลัว
 
          สิ่งที่เพทายมองเห็นภายในห้องทำให้เขาตกตะลึงด้วยความกลัว เมื่อหน้าต่างในห้องนั้นปิดเองอย่างแรงทีละบาน โต๊ะกับเก้าอี้เคลื่อนที่อย่างบ้าคลั่ง  โดมอยู่ภายในวงล้อมของโต๊ะกับเก้าอี้เหล่านั้น เขาจึงไม่สามรถออกจากห้อง  นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่เพทายได้เห็นโดมเมื่อประตูห้องได้ปิดลง
 
          
          “จงเขียนชื่อคนที่นายเกลียด อยากให้มันทรมานแล้วก็ตายไปโดยไม่มีใครรับรู้ว่ามันเคยมีตัวตนอยู่   อะไรจะทรมานไปมากกว่าการตายไปอย่างโดดเดี่ยวโดยที่คนรู้จักลืมเลือนเรื่องของตัวเอง หึๆ”หมอผีพูดด้วยเสียงที่เย็นยะเยือก
          กระดาษใบลานถูกวางไว้ตรงหน้าเพทาย  เขาเริ่มเขียนชื่อบุคคลนั้น...บุคคลที่เขาเกลียดจนไม่อยากเห็นหน้ามัน  น้ำหมึกสีแดงข้นจากปากกาเริ่มตวัดตัวอักษร
อัสดง  รัตติกาล
 
ฉันเกลียดนายสุดขั้วหัวใจ
เหตุผลน่ะเหรอ  ไม่จำเป็นต้องมีมันหรอก
 
          เพทายยิ้มอย่างเย้ยหยัน จ้องกระดาษใบลานที่ตนเขียนเสร็จ ส่งให้หมอผีโดยไร้ความผิดชอบชั่วดีแค่ว่านึกสนุกว่าลองของ แต่ผลที่ตามมานี่สิ......มันมากกว่าแค่นึกสนุก
 
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา